ผู้เขียน หัวข้อ: สุขาอยู่หนใด (ให้รีบไป)  (อ่าน 1304 ครั้ง)

knife05

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
    • ดูรายละเอียด
สุขาอยู่หนใด (ให้รีบไป)
« เมื่อ: 19 ธันวาคม 2011, 21:37:14 »
มีคนส่งคลิปรายการเหมือนจะชื่อ "สุขาอยู่หนได๋" หรืออะไรสักอย่างของดาราที่ชื่อ "ได๋" - ฟังแล้วอาจน่าหมั่นไส้ว่านี่คืออาการดัดจริตของคนที่แอบหลงว่าตนเองเป็นชนที่มีปัญญา - ฉันคือหนึ่งในนั้น - คือมีอคติกับความบันเทิงของมวลชน ยิ่งเป็นมวลชนกระฎุมพี ยิ่งไม่อยากปะทะสังสรรค์ เพราะไม่อยากระเบิดความรำคาญออกมาเป็นภาษาที่หยาบคาย ดังนั้น จึงหลีกเลี่ยงที่จะดูละครหลังข่าว เกมโชว์ ทอล์กโชว์ ข่าวซุบซิบบันเทิง

เมื่อเป็นเช่นนั้นเสียแล้ว ฉันจึงไม่รู้จักดาราหรือนักร้องร่วมสมัยคนใดเลย รวมทั้งคนที่ชื่อ "ได๋" ไม่นับว่าดาราสาวสวย หนุ่มหล่อทั้งหมดในวงการมีหน้าตา ทรงผม และสีผิว ที่ใกล้เคียง คล้ายคลึงกันจนยากที่แยะแยะว่าใครเป็นใคร สุดท้ายฉันก็ยอมแพ้ ยกเลิกความพยายามที่จะจดจำ

เขียนมาทั้งหมดเพื่อจะบอกว่าฉันไม่รู้จัก "ได๋" แต่รายการของเธอตอน "จับจ๊ะแจ๊ซ" ทำให้ฉันอึ้ง อึดอัด หายใจไม่ออก

ก่อนจะรู้สึกเวทนาสำนึกระฎุมพีไทยอย่างสุดซึ้ง

เปิดรายการมาด้วย

- ได๋ใส่เสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น นอนเกลือกกลิ้งอยู่บนเตียงพร้อมกระดาษและปากกา ใส่แว่น - แปลว่า - หญิงสาวชนชั้นกลาง และช่วยไม่ได้ที่เธอผุดผ่อง สะอาดสะอ้าน แต่ไม่ได้แปลว่าเธอไม่มีสมอง เธอไม่ครุ่นคิด (สำแดงผ่าน กระดาษ ปากกา และแว่นตา)

- ความสุขอยู่ที่ไหน ได๋ถามตัวเอง ความสุขอยู่ที่ตัวเอง ความสุขของได๋อยู่ตรงที่ได้ไปพบปะพูดคุยกับคน บันทึกผ่านไดอารี่ อันเป็นเสมือนการดีท็อกซ์ความคิด เพราะหากคิดแล้วไม่ได้ระบายออกบ้างก็เหมือนคนไม่ได้ขี้อาจเป็นมะเร็งในที่นี้อาจเป็นมะเร็งความคิด - แปลว่า - สิ่งที่ได๋พูดอาจถกเถียงได้จากหลายมุมมองทางศาสนา ปรัชญา ประวัติศาสตร์ เถียงได้แม้กระทั่งว่า นิยามของความสุขคืออะไร

แต่ทั้งหมดนี้ต้องการสื่อให้เห็นว่า ได๋ไม่ใช่ดารากิมกลวง รู้จักตั้งคำถาม เปรียบเทียบ และไม่อยากทำไรตื้นเขินเหมือนที่คนอื่นทำ (ชั้นเหนือกว่าพวกหล่อนดาราดาดๆ นะยะ) เพราะได๋บอกว่า เธอไม่ต้องการทำรายการแบบ "สวัสดีค่าคุณผู้ชม ขอต้อนรับเข้าสู่รายการ - (ทำเสียงแหลม)

ภาพตัดมาที่เธอไปพบ จ๊ะ เทอร์โบ เจ้าของเพลงคันหู เธอบอกว่า อยากไปทำความรู้จักจ๊ะ เพราะคิดว่าเธอไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการพิพากษาที่ตัดสินเธอจากเพลงและท่าเต้น คันหู เท่านั้น

จากนั้นเธอพาจ๊ะไปร้อง คันหู ในเวอร์ชั่นของแจ๊ซ ก่อนจะจบแบบที่เธอคิดว่ามันสะเทือนใจคือสารภาพกับจ๊ะว่ามีหลายโรงแรมที่เธอขอเข้าไปใช้สถานที่แล้วปฏิเสธไม่ให้ใช้เมื่อบอกว่าแขกรับเชิญคือจ๊ะ (ภาษากายคือดวงตาเต็มไปด้วยความสะเทือนใจพร้อมทั้งมือที่เอื้อมไปจับแขนของจ๊ะอย่างต้องการจะปลอบประโลม ส่วนปฏิกิริยาของจ๊ะคือ "งงๆ"

(ไม่เห็นจะน่าสะเทือนใจอะไรขนาดนั้น ไม่เข้าใจว่า พี่ทำไมต้องทำหน้าเศร้าขนาดนั้น)

"จับจ๊ะแจ๊ซ" ในรายการ "สุขาอยู่หนได๋" ทำให้ฉันนึกถึงบทกวีของ Rudyard Kipling ที่ชื่อ The White Man"s Burden (1899) ว่าด้วย "ภาระของคนผิวขาว" ที่พูดถึงความจำเป็นของอเมริกาในการเข้าไปยึดครองฟิลิปปินส์

ทั้งนี้ การเข้าไปปกครองประเทศที่ยัง "ไร้เดียงสา" เหล่านี้ก็เพื่อผลประโยชน์ของคนพื้นเมืองที่ยังไม่ประสีประสาเหล่านั้น เพราะคนผิวขาวจะนำเอาความรุ่งเรือง ปัญญา องค์ความรู้ ศาสนา (ที่ดีกว่า) เหตุผล ฯลฯ มาปรับปรุงคุณภาพชีวิตของคนพื้นเมือง

เช่น จากที่เคยนับถือผีสางนางไม้ก็ให้หันมานับถือพระเจ้า จากที่เคยอยู่ในเวทมนตร์ ไสยศาสตร์ก็ให้หันมาเรียนวิทยาศาสตร์

จากที่เคยใช้หมอผีรักษาโรคภัยไข้เจ็บก็ให้หันมาไว้วางใจการแพทย์แบบตะวันตก

จากที่เคยเดินเปลือยกายโทงเทงก็ให้หันมารู้จักการใส่เสื้อผ้า

จากที่เคยใช้มือกินข้าวก็ให้หันมาใช้ จาน ชาม ช้อน ส้อม มีด

จากที่เคยกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ ก็ให้เรียนรู้เรื่องโภชนาการ และวัฒนธรรมการกิน ดื่มอย่างมีอารยะ

ในที่จะขอละเว้นไม่พูดเรื่อง "การขูดรีดส่วนเกินทางเศรษฐกิจ" ของลัทธิจักรวรรดินิยม แต่จะพูดถึงด้านอัปลักษณ์ของแนวคิด "ภาระของคนผิวขาว" ในเชิงวัฒนธรรมที่โหดร้ายไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าในเชิงเศรษฐกิจ

เพราะภาระของคนผิวขาวนั้นอบอวลไปด้วยการดูถูกมนุษย์บนฐานของชาติพันธุ์ โดยยึดเอาวัฒนธรรมความเป็นคนผิวขาวเป็นศูนย์กลางของจักรวาลและสูงส่งกว่าใครในโลก ก่อนจะ "ธุดงค์" ไปทั่วโลกเพื่อ "โปรดสัตว์" ยังดินแดนต่างๆ

โดยไม่ได้สนใจว่าคนเหล่านั้นต้องการอะไร

แต่เรามีหน้าที่ไปบอกเขาว่า "เขาควรจะต้องการอะไร"

"จับจ๊ะแจ๊ซ" ได๋ เดินทางไปพบจ๊ะ ด้วยศีลธรรมอันสูงส่งและอยากจะไปให้ Morral Support เพราะเธอบอกว่า "อยากไปกะเทาะเปลือก ผู้หญิงคนหนึ่งที่สังคมพิพากษาไปแล้วว่าเป็นคนไม่ดี" - ตรงนี้เป็นการวาง "ทุน" ทางศีลธรรมให้แก่ตัว ได๋ เองว่า เหตุใดเธอจึงมีความชอบธรรมพอที่จะเข้าไป กอบกู้ชีวิตของ "จ๊ะ" ขึ้นมาใหม่ได้

(แปลว่า - ฉันเป็นคนดีพอนะ, ฉันเล็งเห็นแล้วว่ามนุษย์กินคนเหล่านี้จริงๆ แล้วไม่ใช่คนดุร้าย ป่าเถื่อน เพียงแต่เขาได้รับการสั่งสอนที่ผิดๆ มาเท่านั้น ถ้าเราไปสอนเขาให้เดินไปถูกทางแล้วละก็ เขาจะกลับตัวกลับใจเป็นคนดีๆ ได้เหมือนพวกเรานี่ล่ะ งุงิ)

ในบทสนทหนาระหว่างได๋กับจ๊ะ สิ่งที่เราได้ยินคือ จ๊ะฟังว่าได๋พูดอะไร แต่ได๋ไม่ฟัง (ฟังแต่ไม่ได้ยินว่าจ๊ะพูดว่าอะไร?")

เริ่มตั้งแต่เธอใช้ "วัตถุ" มา "ล่อ" น้องจ๊ะ ด้วยการบอกว่า จะพาไปซื้อเสื้อผ้าประตูน้ำ (ทำไมประตูน้ำ ก็คนอย่างน้องจ๊ะ หรือน้องจ๊ะอาจจะบอกเองว่าชอบไปประตูน้ำ) เหตุที่เอา "วัตถุ" นำ เพราะในจิตไร้สำนึกของคนขาวย่อมมองว่าคนพื้นเมืองขาดแคลนและกระหายในวัตถุ ดังนั้น ได๋ จึงตั้งหน้าตั้งตาใช้วัตถุซื้อมิตรภาพตั้งแต่

- เดี๋ยวพาซื้อเสื้อผ้าที่ประตูน้ำ

- เดี๋ยวส่งครีมล้างหน้าไปให้ หน้าจะขาวเด้งวิ้งๆ เหมือนพี่ - ในตัวรายการทำกราฟิกวิ้งๆ ขึ้นให้ดูด้วย)

- จะรับค่าตัวหรือรับเป็นเสื้อผ้า

- ถ้ายอมร้องเพลงแจ๊ซจะยกชุดสวยๆ ที่เตรียมมาให้

ส่วนจ๊ะรับไมตรีทางวัตถุที่ได๋ทอดมาให้ มิใช่เพราะความตะกลาม ขาดแคลน เธอรับมาด้วยเหตุผลเดียวคือ "ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะไม่รับ", "ให้ก็เอาแต่ไม่ได้ขอ และถ้าไม่ให้ก็ไม่ได้เดือดร้อนอะไร"

ได๋สำแดงความเป็นคนผิวขาวที่เปี่ยมเมตตาต่อคนพื้นเมืองต่อด้วยการพยายามพูดสำเนียงเหน่อๆ แบบน้องจ๊ะ เพื่อจะบอกว่า "นี่ไง พี่เป็นพวกเดียวกับหนูนะ พี่ไม่ใช่คนถือตัวเล้ยยย" พูดไปขำไป - เราพึงรู้ว่า ถ้าคนกรุงเทพฯ พยายามพูดเหน่อ มันจะน่ารัก แต่ถ้าคนสุพรรณฯ พยายามดัดสำเนียงให้เหมือนคนกรุงเทพฯ จะถูกคนกรุงเทพฯ ค่อนให้อีกว่า กระแดะ ดัดจริต ลืมกำพืด

ได๋ถามถึงค่าตัว ถามว่าเก็บเงินได้เท่าไหร่ ร้องเพลงมากี่ปีแล้ว ทั้งหมดนี้ imply หรือส่อนัยอยากสื่อสารตรวจสอบว่า จ๊ะได้ค่าแรงที่เป็นธรรมไหม คนพื้นเมืองที่น่าสงสารอาจถูกนายทุนใจร้ายขูดรีดเอารัดเอาเปรียบอยู่ก็ได้

คำตอบของจ๊ะน่าสนใจมาก ฉันไม่ได้สนใจว่าจ๊ะเก็บเงินได้เท่าไหร่ แต่เธอบอกว่า เธอร้องเพลงออกแขกลิเกมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะที่บ้านเป็นคณะลิเก เล่นลิเกกันทั้งบ้าน ปู่ ย่า ตา ยาย พ่อ แม่

ได๋ไม่ได้ฟัง ไม่ได้ยินว่า ครอบครัวของจ๊ะเป็นครอบครัวศิลปินพื้นบ้าน เป็นศิลปินกันทั้งเนื้อทั้งตัว จ๊ะร้องเพลง เต้น และ perfrom ได้เหมือนเรากินข้าว

จ๊ะเกิดมาพร้อมกับชีวิตของนักแสดง วัฒนธรรมของการเลี้ยงชีพด้วยการแสดง สั่งสมทักษะนี้มาจนเป็นเรื่องสามัญ ระบบค่าตอบแทนจะเป็นธรรมหรือไม่เป็นธรรมเป็นสิ่งที่จ๊ะจะเรียนรู้เอง ประเมินด้วยตนเอง (อีกทั้งตัวฉันก็จะไม่เข้าไปตัดสิน)

ทว่า สำหรับได๋ คำว่า "เป็นลิเกกันทั้งบ้าน" ไม่มีความหมายอะไรกับเธอเลย เพราะในสายตาของคนผิวขาว ศิลปะการแสดงของคนท้องถิ่นนั้นเป็นแต่สิ่งน่ารักน่าเอ็นดู หาได้มีคุณค่าอื่นแต่อย่างใดไม่

ยังไม่หนำใจ คนผิวขาวยังขอร้องให้จ๊ะพูดอย่างมีหางเสียงลงท้ายด้วยคำว่า "คะ ขา" พลาง เอียงคอมอง "สิ่งมีชีวิตแสนไร้เดียงสาน่ารักซื่อใส" นี้อย่างพึงใจ อิ่มเอม ระคนขบขัน ลางทีก็ส่ายหัวระอาใจ

ไม่นับคำถามแบบ

"อยากดังมั้ย", "อยาก", ทำไมถึงอยากดัง", "ดังแล้วก็มีเงิน มีเงินก็ซื้อรถ ซื้อบ้าน ให้เงินพ่อแม่ไว้ใช้" - สิ่งที่จ๊ะพูดคือความจริงแสนสามัญที่คนผิวขาวอย่างได๋ก็ทำในสิ่งเดียวกัน ตระหนักในสิ่งเดียวกัน ทว่า ไม่กล้าพูดออกมาอย่างไม่สะทกสะท้านอย่างจ๊ะ เพราะอาภรณ์ของคนผิวขาวคือ Morral ที่ต้องพอกให้หนาเตอะเข้าไว้

เฉกเดียวกับลัทธิจักรวรรดินิยมที่เข้าไปสูบกินทรัพยากรในดินแดดต่างๆ อย่างเหี้ยมโหด พร้อมๆ กับการสอนพระคัมภีร์แก่คนพื้นเมือง

ฉากที่น่าสนใจอีกฉากหนึ่งคือ ได๋กับจ๊ะนั่งรถกระบะไปยังสถานที่ที่จ๊ะไปร้องแจ๊ซ

คำถามคือทำไมต้องเป็นรถกระบะ?

เพราะได๋คิดว่านี่คือการลงไปสัมผัสกับความเป็นชาวบ้าน ขณะที่รถกระบะแล่นไปบนถนน เธอแหกปากตะโกนถามผู้คนบนถนนด้วยอาการค่อนไปทางคุ้มคลั่ง เพื่อสำแดงความ อปกติ ของเหตุการณ์ที่เธอรู้อยู่แก่ใจว่าเธอมีความเป็นดารามากกว่า ดังกว่า ที่พยายาม fake ตนเองให้ติดดินเพื่อจะเชิดอีกฝ่ายหนึ่งที่อยู่ต่ำกว่าให้ดูสูงขึ้นอย่างวิปริต

"รู้จักจ๊ะ คันหูมั้ย?"

"นี่ดารานะ"

"นี่จ๊ะ เทอร์โบ"

ถัดมาคือจุดพีคของรายการภาระของคนผิวขาวนั่นคือ ได๋ต้องการ purify เพลง "คันหู" ด้วยการให้ไปอยู่ในเวอร์ชั่นของ Jazz

"เคยฟังแจ๊ซมั้ย"

"ไม่เคย"

"คิดว่าร้องได้มั้ย"

"ไม่รู้หนูร้องแต่ลูกทุ่ง"

นอกจากจับจ๊ะไปแจ๊ซ ได๋ยังจับจ๊ะ แต่งหน้า ทำผม แต่งตัว ทำท่ายั่วยวนอย่างที่เธอคิดว่ามัน Classy - ทำผมยุ่งๆ หน่อย ดูเป็นธรรมชาติ ได๋ไม่ได้สนใจว่าจ๊ะพูดอะไรหรือรู้สึกอย่างไร เพราะเธอมัวแต่เคลิบเคลิ้มกับผลงานของเธอในขณะที่จ๊ะบอกว่า

"จะทำอะไรก็ทำ หนูจะได้กลับบ้าน"

ความวิตถารอย่างยิ่งในรายการนี้ของการปฏิบัติภารกิจของคนขาว (ที่ในบริบทไทยคือขาวด้วยการเป็นลูกครึ่งจีนหรือลูกครึ่งอื่นๆ บวกกับการใช้ไวต์เทนนิ่ง ฉีดกลูต้าฯ บวกการศึกษาแบบล้าหลังอนุรักษนิยมคับแคบ โถมทับด้วยช่องทางอันตีบตันในการเข้าถึงอาหารทางปัญญาที่มากกว่าหนังสือเบสต์เซลเลอร์และธรรมะย้อมใจที่อ้างว่าเป็นปรัชญาอันลึกล้ำ) คือการใช้พลงแจ๊ซเป็นสื่อบอกความ classy ทั้งๆ ที่ดนคนตรีแจ๊ซคือวิญญาณของคนผิวดำผู้ถูกถูกความรันทดที่สะท้อนออกมาในท่วงทำนองของสิ่งที่เรียกว่าแจ๊ซ

แจ๊ซไม่ใช่ชุด LBD สีดำ ไม่ใช่โรงแรมหกดาว (แม้จะสมมุติ) ไม่ใช่ความ classy, sophisticated ที่ได๋บอกว่า ถ้าจับจ๊ะมาแจ๊ซได้มั่นจะเก๋กว่า จะอารยะกว่า จะหลุดพ้นจากความป่าเถื่อน ไร้รสนิยมได้มากกว่า

ขอยืนไว้อาลัยแด่ชนชั้นกลางผิวขาว (กลูต้าฯ แอนด์ไวต์เทนนิ่ง) ของไทย อาเมน

คำ ผกา 
มติชนออนไลน์  19 ธันวาคม พ.ศ. 2554