สรุปการสัมมนา "สิทธิการตายอย่างสงบ สิทธิอันชอบธรรมของผู้ป่วย" ที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย 13 กค.
นพ. เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ
นพ. วิฑูรย์ อึ้งประพันธ์
นพ.สันต์ หัตถีรัตน์
ดร.ศันย์สนีย์ ทองประทีป (อาจารย์ วิทยาลัยพยาบาล เกื้อการุณย์)
สมผล ตระกูลรุ่ง (นักกฎหมายอิสระ)
นพ. เมธี ... แพทยสภาเห็นด้วยในหลักการ สิทธิการตายมีอยู่ทุกคน แพทยสภาคงไปทำอะไรไม่ได้ถ้ามีคนอยากตาย แต่ปัญหาคือ กฎกระทรวงและแนวทางที่สช.ออกมาทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติ
ปัญหาของเรื่องนี้เกิดจาก มีคนคิดว่าการตายในสถานพยาบาลทุกวันนี้มันไม่สงบ จึงต้องเขียนกฎหมายเพื่อให้ตายอย่างสงบ โดยคิดเอาว่าตายตามวิธีที่สช.กำหนดแล้วจะตายอย่างสงบ
สช.สร้างปัญหาโดยการทำสิ่งที่เป็น "นามธรรม" ให้เป็น "รูปธรรม" ด้วยการเขียนกฎหมายบอกวิธีการตายที่จะไปอย่างสงบ
ผู้ร่างมีอคติกับสถานพยาบาลหรือแพทย์ คิดว่า "เลี้ยงไข้" "ต้องการสูบเงิน" "ต้องการทรมาน"
คำจำกัดความมีปัญหา "วาระสุดท้าย" "การบ่งบอกว่าเปลือกสมองเสียหาย" "การยุติการรักษา(ช่วยให้ผู้ป่วยเสียชีวิต)ด้วยเหตุผู้ป่วยทรมานจากโรคทางกายหรือใจ"
กฎกระทรวงผลักภาระ (สร้างหน้าที่) ให้แพทย์ พยาบาล ทำการยุติชีวิตด้วยการถอดถอน (withdraw) หรือ unplugged แทนที่ญาติจะเป็นผู้ทำเอง
แม้ว่ากฎหมายจะคุ้มครอง(วรรคสาม)การถอดถอน แต่ในทางปฏิบัติ หากญาติจะฟ้องก็ฟ้องได้ แพทย์ต้องไปแก้ต่างเองในศาล และที่สำคัญมิใช่เรื่องกฎหมาย แต่เป็นเรื่องศีลธรรม มโนธรรมในใจของผู้ปฎิบัติ
ถามคนในห้องว่ามีใครกล้าunpluggedญาติตนเองหรือไม่.... ไม่มี ++++++แล้วทำไมสช.ถึงกล้ามาบังคับให้บุคลากรทำตามที่สช คิดเองเออเองว่าทำได้ ไม่บาป ทำไมสช ไม่ทำเองหรือตั้งหน่วยเคลื่อนที่เร็วมาทำเอง
ชี้แจงว่าที่ผ่านมาได้มีการคัดค้านเรื่องนี้แล้ว แต่สช.ไม่ยอมฟัง
เน้นย้ำต่อสื่อมวลชนว่า "แพทยสภาไม่ขัดข้องเรื่องสิทธิการตาย แต่ติดใจกฎกระทรวงและแนวปฏิบัติที่สช.กำหนด ซึ่งก่อให้ปัญหาให้บุคลากร โดยการลากบุคลากรเข้าไปเกี่ยวข้องในการถอดถอนโดยตรง"
เน้นย้ำว่า "ทุกคนมีหน้าที่ที่ต้องตาย ติดตัวมาแล้วตั้งแต่เกิด ไม่จำเป็นต้องมาบัญญัติสิทธิการตาย" คนที่เขียนกม.นี้ต้องไปศึกษาพุทธศาสนาใหม่ว่า "ตายอย่างสงบคือแบบไหน" แต่ไม่ใช่ตายตามพรบ.นี้แน่นอน
อ.วิฑูรย์.... แพทยสภาตีความเกินเลย ตีความทุกตัวอักษร ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ไม่ต้องกลัวการฟ้องร้อง
(ชี้เจงว่า เหตุเกิดเพราะสช.เป็นคนเขียนกม. หากไม่อ่าน ไม่ตีความแล้วจะให้ทำอย่างไร ทั้ง ๆ ที่เรื่องนี้ ไม่จำเป็นต้องเขียนเป็นกม. ทุกวันนี้ไม่ได้มีกรณีปัญหาแบบนี้ให้ลำบาใจเท่าไร ทำไมต้องออกเป็นกม. สงสัย สช. ไม่มีอะไรทำ (เจี้ยป้า บ๋อซือ) หากเกิดปัญหาจริง ญาติก็สามารถไปร้องต่อศาลได้เป็นกรณี ๆ ไป ไม่เห็นต้องออกเป็นกม. แล้วมาบังคับแพทย์ พยาบาลให้ทำแทนญาติ)
ผู้ป่วยต้องการก็ต้องทำให้ผู้ป่วย
แพทยสภาไม่เอาไหน หากค้านเรื่องนี้ อีกหน่อย ประชาชนก็จะยุบแพทยสภาไปเอง (ไม่โต้ตอบ)
อ. สันต์ .. แพทยสภาทำผิดบทบาทตนเอง ควรไปตรวจหรือเอาผิดกับแพทย์ที่ทำไม่ดี ต้องไปดูตนเองก่อน
ทำขึ้นเพื่อให้แพทย์สบายใจในการหยุดการรักษา
ตำหนิแพทย์ (ตนเอง) ว่ากล้าใส่ท่อ ก็ต้องกล้าถอดถอนท่อ ไม่ใช่เรื่องของญาติที่จะไปถอดถอนท่อแทนแพทย์หรือพยาบาล (อึ้ง........)
อ. สมผล .. เห็นว่าแพทยสภากับสช.เห็นตรงกันว่า "สิทธิการตาย" เป็นสิทธิของทุกคน แต่ที่ไม่เข้าใจกันคือ "วิธีปฏิบัติตามกฎกระทรวง และแนวทางสช. คือสิ่งที่ก่อปัญหา"
แปลกใจว่าทำไมแพทยสภา ถึงไม่คุยกับสช. เพราะเป็นแพทย์ด้วยกัน (อธิบายแล้วว่า สช.รับฟัง แต่ไม่สนใจ และดึงดันจะทำให้ได้)
เน้นว่าทำไมเวลาเซ็นใบยินยอมรักษา ไม่เห็นแพทย์หรือสถานพยาบาลสนใจตรวจสอบว่าเป็นญาติจริงหรือไม่ แล้วทำไมมาสนใจกับความถูกต้องของพินัยกรรมก่อนตาย (อธิบายว่า การรักษาชีวิตผู้ป่วยเป็นหน้าที่ของแพทย์
อยู่แล้วตั้งแต่ต้น หากรักษาไปแล้ว เอกสารยินยอมปลอม ก็ไม่มีใครเสียหายจากการที่แพทย์พยายามรักษาไว้ก่อน แต่หากเอกสารพินัยกรรมก่อนตายปลอมแล้วแพทย์ทำตามไปแล้ว ความเสียหายคีอ "คนไข้ตาย" โดยที่เรียก
กลับคืนมาไม่ได้) สองเรื่องนี้เอามาเทียบกันไม่ได้
เห็นด้วยกับแพทยสภาที่ปัญหาน่าจะมาจากเรื่องแนวทางที่สช.วางไว้โดยเฉพาะการถอดถอนการรักษาที่ไปผลักภาระให้แพทย์หรือพยาบาลทำแทนญาติ เพราะเป็นเรื่องมโนธรรม ไปบังคับเขาไม่ได้
ดร.ศันสนีย์ .. แพทย์น่าจะช่วยให้ผู้ป่วยตายโดยสงบด้วยการทำตามกม.นี้ ทำไมต้องมาคัดค้าน พยาบาลไม่เห็นมีปัญหาอะไรกับกม.นี้ (ชี้แจงว่า ตัวแทนสภาการพยาบาล ไม่เห็นด้วยกับกม.นี้ คงมีแต่อ.ที่เห็นด้วย)
พยาบาลไม่มีหน้าที่ถอดถอนการรักษา เป็นหน้าที่ของแพทย์ต้องทำเอง เพราะเป็นคนรักษา (โต้แย้งไปแล้วว่า ให้รอถามสภาการพยาบาล ก่อนว่า พยาบาลกระทบหรือไม่กับกม.นี้)
ผู้เข้าร่วมประชุม ไม่ทราบนาม คาดว่าเป็นทั้งพยาบาลและสื่อมวลชน .... ดิฉันกล้าถอดถอน และextubate ไปแล้วหลายราย ไม่เห็นจะเป็นบาปตรงไหน (ชี้แจงว่า คงไปบังคับเรื่องความเชื่อแบบนี้ไม่ได้ เป็นเรื่องปัจเจกบุคคล หากคุณ คิดว่าไม่บาปและอยากทำก็ทำไป แต่ยังมีอีกประเด็นที่ในเวทีลืมพูดถึง คือ การยุติการรักษาตามกฎกระทรวงด้วยเหตุผลเรื่อง "ผู้ป่วยทรมานจากความเจ็บป่วยทางกายหรือใจ" ใครจะกล้าถอดถอนหรือunplugผู้ป่วยที่ยังลืมตาปริบ ๆ .....ผู้เข้าร่วมประชุมไม่ยอมตอบเรื่องนี้)
นพ. เมธี วงศ์ศิริสุวรรณ