แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - science

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 13
31


ขอร้องข้าราชการบางคนที่ทำงานแบบรอเวลา ไม่ยอมทำอะไรเพราะคิดว่าอีกไม่นานรัฐบาลนี้ก็ไปแล้ว เดี๋ยวผมจะมีวิธีการตรวจสอบ วันนี้ขอร้องว่าอย่ารอเวลา เพราะเวลาเราใกล้จะหมดแล้วในเวทีโลก ถ้าเราปล่อยเวลาอีกต่อไปไทยจะกลายเป็นประเทศที่ล้มเหลวดังนั้น ใครที่ยังเฉื่อยแฉะรอเวลา ผมจะไม่ปล่อย การทุจริตผิดกฎหมายจะต้องถูกดำเนินการ

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวระหว่างแถลงผลงานของรัฐบาล รอบ 3 เดือน เมื่อวันที่ 25 ธ.ค. 57

26 ธันวาคม 2557
โพสต์ทูเดย์

32
 วันที่ 10 ธันวาคม ของทุกปีเป็นวันรัฐธรรมนูญ ซึ่งถือปฏิบัติกันมาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นการปกครองระบอบประชาธิปไตยตั้งแต่ปี พ.ศ.2475

คนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากมักจะรู้เพียงว่าในปีดังกล่าว คือเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 นั้น มีการปฏิวัติของคณะทหารพวกหนึ่งซึ่งมีพลเรือนร่วมอยู่ด้วยจำนวนหนึ่งภายใต้ชื่อที่เรียกว่า “คณะราษฎร” ได้กระทำการยึดอำนาจการปกครองจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มาทำการปกครองภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ที่จัดทำขึ้น ซึ่ง “คณะราษฎร” เป็นผู้ร่างขึ้นเพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ต่อไป

แต่คนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากดังกล่าวนี้ ไม่รู้ดอกว่าพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เคยมีพระราชบันทึกความเห็นของพระองค์ท่านเกี่ยวกับเรื่องรัฐธรรมนูญ ส่งไปยังคณะรัฐบาลของคณะทหารผู้ทำการปฏิวัติครั้งนั้นว่าอย่างไรบ้าง ลองหาอ่านกันดูที่กองจดหมายเหตุแห่งชาติบ้างก็ดี

แม้กระทั่งพระราชบันทึกของพระองค์ท่านในการสละราชสมบัติ เพราะอะไรนั้น คนไทยรุ่นใหม่จำนวนมากเหล่านี้ก็ไม่ค่อยจะรู้อย่างละเอียดลึกซึ้งว่าทรงมีเหตุผลสำคัญต่างๆ อย่างไร เพราะไม่เคยอ่านกันอย่างเป็นกิจจะลักษณะ

ขอนำพระราชบันทึกทั้ง 2 ฉบับมาพูดให้ฟังในสาระสำคัญๆ บางประการ เพราะเป็นพระราชบันทึกที่ค่อนข้างจะยาวมาก

พระราชบันทึกเกี่ยวกับเรื่องรัฐธรรมนูญ

1.ก่อนอื่นหมดข้าพเจ้าขอชี้แจงไว้เสียชัดเจนว่า เมื่อพระยาพหลฯและผู้ก่อการ ร้องขอให้ข้าพเจ้าอยู่ครองราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญนั้น ข้าพเจ้าได้ยินดีรับรองก็เพราะเข้าใจและเชื่อมั่นว่าคณะผู้ก่อการฯต้องการจะสถาปนาการปกครองแบบประชาธิปไตย หรือตามแบบอย่างของประเทศอังกฤษและประเทศอื่นๆ ซึ่งมีพระมหากษัตริย์ปกครองภายใต้อำนาจอันจำกัด โดยรัฐธรรมนูญและรัฐสภาซึ่งประชาชนเป็นผู้เลือกตั้งโดยแท้ ข้าพเจ้าเองก็ได้เล็งเห็นอยู่นานแล้วว่า เมื่อประเทศสยามได้มีการศึกษาเจริญขึ้นมากแล้ว ประชาชนคงจะประสงค์ที่จะให้เปลี่ยนแปลงการปกครองบ้านเมืองแบบนี้

และตั้งแต่ข้าพเจ้าได้รับสืบราชสมบัติจากพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ ข้าพเจ้าก็ได้คิดการที่บันดาลให้การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นไปได้ และได้กล่าวถึงความประสงค์นั้นหลายครั้งหลายหนโดยเปิดเผย โดยเหตุนี้เมื่อคณะผู้ก่อการฯ ขอร้องให้ข้าพเจ้าเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้ารับรองได้ทันทีโดยไม่มีเหตุขัดข้องใจอย่างไรเลย

ครั้นเมื่อข้าพเจ้าขึ้นไปกรุงเทพฯแล้ว ได้เห็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกที่หลวงประดิษฐ์ฯได้นำมาให้ข้าพเจ้าลงนาม ข้าพเจ้ารู้สึกทันทีว่า หลักการของคณะผู้ก่อการฯกับหลักการของข้าพเจ้าไม่พ้องกันเสียแล้ว เพราะผู้ก่อการฯมิได้มีความประสงค์ที่จะให้เสรีภาพในการเมืองโดยสมบูรณ์ แต่หากต้องการให้มีคณะการเมืองได้แต่คณะเดียว ข้าพเจ้าเห็นว่าเวลานั้นเป็นเวลาฉุกเฉินและสมควรจะรักษาความสงบไว้ก่อนเพื่อหาโอกาสผ่อนผันภายหลัง และเพื่อมีเวลาสำเหนียกฟังความเห็นของประชาชนก่อน ข้าพเจ้าจึงได้ยอมผ่อนผันไปตามความประสงค์ของคณะผู้ก่อการในครั้งนั้น ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วยกับหลักการเหล่านั้นเลย

ครั้งต่อมาในระหว่างที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรอยู่ ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและได้โต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลาว่า ควรยึดถือหลัก “ประชาธิปไตย” อันแท้จริง มิฉะนั้นก็เป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่ ในเวลาที่ฐานะของบ้านเมืองตกอยู่ในขีดคับขันและยากจน

นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังได้กล่าวความเห็นของข้าพเจ้าในข้อนี้โดยเปิดเผยเมื่อข้าพเจ้าไปให้รางวัลแก่นักเรียนโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ข้าพเจ้าเคยตักเตือนพระยามโนฯไว้อย่างชัดเจน เพื่อให้เสนอคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญว่า การที่จะให้สมาชิกประเภทที่ 2 ซึ่งคณะรัฐบาลเป็นผู้เลือกตั้งเองนั้น จะเป็นเหตุทำความไม่พอใจให้เกิดขึ้นได้ และเป็นอันตรายแก่วิธีการปกครองแบบใหม่ที่กำลังจะสถาปนาขึ้น โดยหวังว่าจะเป็นการถาวรและจะนำความสุขความเจริญมาสู่บ้านเมืองของเรา

ความตักเตือนของข้าพเจ้าเหล่านี้ไร้ผล เพราะคณะผู้ก่อการฯยืนยันในความประสงค์ที่จะยึดอำนาจไว้ในมือของคณะของตนให้จงได้อย่างน้อยเป็นเวลา 10 ปี ข้าพเจ้ารู้สึกในขณะนี้ว่า ถ้าจะโต้เถียงกันต่อไป การร่างรัฐธรรมนูญก็จะชักช้าไม่รู้จักแล้ว และอาจเป็นการแตกหักร้ายแรงเสียกว่าจะยอมที่ให้เป็นไปตามนั้น

ต่อมาข้าพเจ้าก็ได้ยินคำติเตียนหลักการอันนั้นในรัฐธรรมนูญมากขึ้นทุกที และหลักการอันนี้เป็นเหตุให้มีคนไม่พอใจในคณะรัฐบาลเป็นจำนวนมาก จนมีการเริ่มคิดที่จะล้มรัฐบาลเสียโดยพละการ เพื่อแก้ไขหลักการข้อนี้ตั้งแต่ก่อนจะทำพิธีพระราชทานรัฐธรรมนูญ และยังมีอยู่เนืองๆ

ข้าพเจ้าเชื่อแน่ว่าตราบใดยังมิได้แก้หลักการอันไม่พึงประสงค์นี้เสีย ความสงบราบคาบอันแท้จริงจะมีไม่ได้เลย รัฐบาลจะต้องใช้วิธีการประหัตประหารและปราบปรามอย่างรุนแรงอยู่เรื่อยไป

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
...
เหตุสำคัญของการสละราชสมบัติของ ร.7 (2)

ในตอนที่ผ่านมา ได้นำพระราชบันทึกของล้นเกล้าฯ ร.7 เกี่ยวกับเรื่องที่ทรงไม่เห็นด้วยกับบทบัญญัติบางข้อของรัฐธรรมนูญที่คณะทหารที่ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเสนอมาเพื่อให้ทรงลงพระปรมาภิไธยประกาศใช้ โดยในพระราชบันทึกดังกล่าวมีอยู่ด้วยกันหลายข้อนั้น วันนี้มาว่ากันต่อไปในข้อที่ 2 เกี่ยวกับเรื่องรัฐธรรมนูญฉบับนั้น

2. การที่ข้าพเจ้าขอร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เพราะข้าพเจ้าต้องการอำนาจ ข้าพเจ้าเบื่อหน่ายการเมืองเต็มที่ แต่เป็นเพราะข้อที่ข้าพเจ้าขอร้องดังที่ได้กล่าวมานั้นเป็นข้อที่ที่ทำให้คนไม่พอใจในรัฐธรรมนูญ จะทำให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ที่จะต้องรับบาปความซัดทอดและรับผิดชอบโดยไม่มีอำนาจเลย จะเหนี่ยวรั้งการกระทำของรัฐบาลหรือสภาฯมิได้เลย ถ้ารัฐบาลทำอะไรที่ไม่ถูกใจประชาชน ข้าพเจ้าก็ถูกติเตียนว่า “ทำไมปล่อยให้ทำไปได้ ทำไมไม่ห้าม” ซึ่งเป็นของที่น่ารำคาญเต็มทน และบางครั้งหนังสือพิมพ์ที่สนับสนุนรัฐบาลก็ชอบพูดซัดทอดด้วย เช่น “ทรงเห็นด้วยและทรงยอมแล้ว” ถ้าปล่อยให้เป็นอย่างนี้ย่อมมีเสียงอยู่ได้เสมอว่าการปกครองที่เป็นอยู่เดี๋ยวนี้เป็นเผด็จการทางอ้อมไม่ใช่ “ประชาธิปไตย” จริงๆ เลย

3.ข้าพเจ้ายินยอมลงนามในรัฐธรรมนูญตามที่เสนอมานั้น แท้จริงข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยมาแต่ต้นและได้คัดค้านอยู่ตลอดเวลาแต่ไม่เป็นผลจึงได้จำใจยอมไป ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ควรทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ การกระทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ ข้าพเจ้าไม่ชอบ ต่อไปนี้ข้าพเจ้าขอให้รัฐบาลทำการตามหลักการของรัฐธรรมนูญจริงๆ คือ

ก.ให้เสรีภาพในการพูด การเขียน การโฆษณาจริงๆ แต่ที่เป็นมาแล้ว หนังสือพิมพ์ที่พูดอะไรไม่เป็นที่พอใจของรัฐบาลก็ถูกปิด หนังสือพิมพ์ที่คัดค้านนโยบายของรัฐบาลต้องเลิกล้ม เช่น หนังสือพิมพ์เดลิเมล์ เป็นต้น ต่อไปขอให้อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ออกความเห็นได้จริงๆ และให้ติชมนโยบายของรัฐบาลได้จริงๆ จะถูกปิดต่อเมื่อยุยงให้เกิดการจลาจลอย่างชัดๆ เท่านั้น เมื่อก่อนมีรัฐธรรมนูญนั้นหนังสือพิมพ์มีเสรีภาพกว่าเดี๋ยวนี้เป็นอันมาก ขอให้เลิกจับกุมราษฎรโดยหาว่า “กล่าวร้ายรัฐบาล”

ข.ให้เสรีภาพในการประชุมโดยเปิดเผยและการตั้งสมาคม เวลานี้ยังตั้งสมาคมการเมืองไม่ได้ ควรอนุญาตให้ตั้งได้ถ้าวัตถุประสงค์ไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ และต้องไม่ไห้ทหารบก ทหารเรือ และตำรวจประจำการเป็นสมาชิกสมาคมการเมือง การประชุมนั้นเคยมีเรื่องแปลกๆ เช่น บุคคลบางจำพวกจะชวนเพื่อนฝูงไปเลี้ยงกัน ก็ถูกตำรวจฟ้องและถูกห้ามจนเป็นการเกรงกลัวกันมาก เป็นการตัดเสรีภาพและตัดความสุขของประชาชน เห็นควรเลิกกระทำชนิดนี้

4.ขอให้ยกเลิกพระราชบัญญัติป้องกันรัฐธรรมนูญ เพราะพระราชบัญญัตินี้มีวิธีการที่ขัดกับหลักเสรีภาพในร่างกายของประชาชน เช่น บุคคลอาจถูกจับกุมเพราะมีข้อคิดว่า คิดจะทำลายรัฐธรรมนูญ แล้วถูกนำตัวขึ้นให้คณะกรรมการที่ไม่ใช่ศาลพิจารณา และคณะกรรมการนั้นอาจสั่งให้เนรเทศบุคคลเหล่านั้นไปอยู่ในที่มีเขตจำกัด การกระทำเช่นนี้เป็นการตัดสิทธิ์ของพลเมืองในการที่จะต่อสู้ข้อหาของเจ้าหน้าที่ ถ้ามีเหตุที่ต้องจะชำระ ควรชำระโดยเปิดเผยในศาลหลวง ให้โอกาสจำเลยมีทนายว่าความและต่อสู้ความได้เต็มที่ ไม่ใช่ตัดสินกันอย่างงุบงิบ ซึ่งทำให้เห็นว่ารัฐบาลอาจขาดความยุติธรรม

5.ข้าพเจ้าเชื่อว่าความสงบราบคาบในบ้านเมืองจะมีมากขึ้น ถ้าหากได้มีการให้อภัยแก่นักโทษการเมืองที่ต้องถูกกักขังจำจอง หรือถูกลงโทษด้วยวิธีอื่นๆ อยู่ในเวลานี้ ถ้ายังไม่ปล่อยนักโทษการเมืองกันเสียบ้าง คงจะมีผู้ที่คิดจะยึดอำนาจเพื่อให้พวกนักโทษเหล่านั้นได้พ้นจากทุกข์เวทนา ยิ่งทิ้งไว้บานไปก็จะต้องจับขังกันเป็นจำนวนมากขึ้นทุกที เพราะฉะนั้นขอให้มีการให้อภัยโทษแก่นักโทษการเมืองดังต่อไปนี้

ก.นักโทษประหารชีวิต ให้เปลี่ยนโทษเป็นเนรเทศไปอยู่ที่จำกัดตามแต่จะกำหนดเป็นเวลา 10 ปี (เอาบุตรภรรยาไปอยู่ด้วยก็ได้)

ข.นักโทษจำคุกตลอดชีวิตให้ลดโทษเป็นอย่างเดียวกับข้างบนนี้ แต่ให้มีกำหนดเพียง 5 ปี

ทั้งสองประเภทนี้ ถ้าผู้ใดเจ็บป่วยและแพทย์อันมีชื่อเสียงแนะนำให้รักษาตัว ณ ที่ใดแล้ว ขอให้ผ่อนผันให้รักษาตัวได้ตามคำแนะนำแพทย์

ค.นักโทษอื่นๆ ที่มีโทษต่ำกว่าที่กล่าวมาแล้ว ไม่ว่าประเภทใดและไม่ว่าถูกจับกุมไปในคราวใด ถ้าเนื่องจากโทษการเมืองให้พ้นโทษไปสิ้น

6.ข้าราชการที่ถูกปลดจากราชการโดยฐานถูกสงสัยว่าจะมีความผิดทางการเมืองก็ดี หรือที่ถูกกล่าวหาว่า “กล่าวร้ายรัฐบาล” และถูกลงโทษไปแล้วก็ดี แต่ถูกตัดสิทธิ์ในการรับเบี้ยบำเหน็จบำนาญ ขอให้เขาได้กลับได้รับบำเหน็จบำนาญตามที่เขามีเกณฑ์จะได้ในวันที่ถูกปลดนั้น

7.ข้าราชการที่ยังถูกสงสัยว่าเกี่ยวข้องกับกบฏครั้งใดๆ ก็ตาม และที่กำลังจะฟ้องหรือดำริจะฟ้อง ขอให้งดการฟ้องร้องจับกุมนั้นเสีย

8.ขอให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรให้คำมั่นเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ข้าพเจ้าว่า จะไม่ตัดกำลังและตัดงบประมาณของทหารรักษาวังให้น้อยกว่าเท่าที่มีอยู่ในเวลานี้ เว้นแต่ข้าพเจ้าจะขอร้องเอง และจะคงให้ทหารรักษาวังอยู่ในฐานะที่เป็นอยู่ ณ บัดนี้โดยไม่มีการเปลี่ยนแปลง

พระราชบันทึกของล้นเกล้าฯ ร.7 ดังกล่าวนี้ได้ส่งให้รัฐบาลในขณะนั้นเมื่อวันที่ 20 ธันวาคม พ.ศ.2477 พระยาพหลฯ นายกรัฐมนตรีได้นำเข้าสู่ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรวันที่ 31 มกราคม พ.ศ.2477 (สมัยนั้นยังใช้วันปีใหม่ไทยเป็นเดือนเมษายน) ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม มีสมาชิกสภาเข้าประชุม 140 คน มีการอภิปรายถกเถียงกันจนถึงเวลา 23.30 น. ก็ปิดอภิปรายและลงมติ

ผลการลงมติปรากฏว่า “ไม่เห็นชอบ 96 เสียง” และ “เห็นชอบ 8 เสียง” ซึ่งเป็นอันว่าพระราชบันทึกความประสงค์ของ ล้นเกล้าฯ ร.7 ดังกล่าวต้องตกไป เป็นสัญญาณที่บอกให้รู้ว่าเกลียวสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรในสมัยนั้นได้ขาดสะบั้นลงแล้ว
...
 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประทับอยู่ที่กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรในกรุงเทพฯลงมติด้วยเสียงข้างมาก 96 ต่อ 8 เสียง ไม่ยอมรับพระราชวินิจฉัยของพระองค์ท่านดังรายละเอียดที่นำมาลงให้ทราบในตอนที่ผ่านมา ในวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2477 พระองค์ท่านก็ได้แจ้งแก่เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ ผู้แทนรัฐบาลไทยในสมัยนั้นที่ไปเข้าเฝ้าว่าทรงขอสละราชสมบัติ พร้อมกับเอกสารที่เป็นลายพระหัตถ์เพื่อนำไปแจ้งให้รัฐบาลทราบต่อไป

หนังสือพิมพ์และวิทยุในกรุงลอนดอนได้กระจายข่าวดังกล่าวก้องไปทั่วโลก พร้อมพระราชบันทึกฉบับสุดท้ายที่เป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งอธิบายเหตุผลสำคัญในการสละราชสมบัติของพระองค์ท่านครั้งนี้ มีความสำคัญดังต่อไปนี้

“เมื่อพระยาพหลพลพยุหเสนากับพวกได้ทำการยึดอำนาจการปกครอง โดยใช้กำลังทหารในวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 แล้วได้มีหนังสือมาอัญเชิญข้าพเจ้าให้ดำรงตำแหน่งพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ข้าพเจ้าได้รับคำเชิญนั้นเพราะเข้าใจว่า พระยาพหลฯและพวกจะสถาปนารัฐธรรมนูญตามแบบอย่างประเทศทั้งหลายซึ่งใช้การปกครองตามหลักนั้น เพื่อให้ประชาราษฎรได้มีสิทธิ์ที่จะออกเสียงในวิธีดำเนินการปกครองประเทศ และนโยบายต่างๆ อันที่จะเป็นผลได้เสียแก่ประชาชนทั่วไป

ข้าพเจ้ามีความเลื่อมใสในวิธีการเช่นนั้นอยู่แล้ว และกำลังดำริจะจัดการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศสยามให้เป็นไปตามรูปนั้น โดยมิมีการกระทบกระเทือนอันร้ายแรง เมื่อมามีเหตุรุนแรงขึ้นเสียแล้วและเมื่อผู้ก่อการรุนแรงนั้นอ้างว่ามีความประสงค์จะสถาปนารัฐธรรมนูญขึ้นเท่านั้น ก็เป็นอันไม่ผิดหลักการที่ข้าพเจ้ามีความประสงค์อยู่เหมือนกัน ข้าพเจ้าจึงเห็นควรโน้มตามความประสงค์ของผู้ก่อการยึดอำนาจนั้นได้ เพื่อหวังความสงบราบคาบในประเทศ

ข้าพเจ้าได้พยายามช่วยเหลือในการรักษาความสงบราบคาบ เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงอันสำคัญนั้นเป็นไปโดยราบรื่นที่สุดที่จะเป็นได้ แต่ความพยายามของข้าพเจ้าก็ไร้ผล โดยเหตุที่ผู้ก่อการปกครองหาได้กระทำให้บังเกิดความมีเสรีภาพในการเมืองอย่างบริบูรณ์ขึ้นไม่ และมิได้ฟังความคิดเห็นของราษฎรโดยแท้จริง และจากรัฐธรรมนูญทั้งสองฉบับจะพึงเห็นได้ว่า อำนาจที่จะดำเนินนโยบายต่างๆ นั้น จะตกอยู่แก่คณะผู้ก่อการและผู้ที่สนับสนุนเป็นพวกเท่านั้น มิได้ตกอยู่แก่ผู้แทนซึ่งราษฎรได้เป็นผู้เลือก

เช่นฉบับชั่วคราวแสดงให้เห็นว่า ถ้าผู้ใดไม่ได้รับความเห็นชอบของผู้ก่อการ จะไม่ให้เป็นผู้แทนราษฎรเลย

ฉบับถาวรได้มีการเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นตามคำร้องของข้าพเจ้า แต่ก็ยังมีสมาชิกซึ่งตนเลือกเองเข้ากำกับอยู่ในสภาผู้แทนราษฎรถึงครึ่งหนึ่ง การที่ข้าพเจ้าได้ยินยอมให้มีสมาชิก 2 ประเภท ก็หวังว่าสมาชิกประเภทที่ 2 ซึ่งข้าพเจ้าตั้งนั้น จะเลือกจากบุคคลที่รอบรู้การงาน และชำนาญในวิธีดำเนินการปกครองโดยทั่วไป ไม่จำกัดว่าเป็นพวกใดคณะใด เพื่อจะได้ช่วยเหลือนำทางให้แก่สมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้งขึ้นมา แต่ครั้นเมื่อถึงเวลาที่จะตั้งสมาชิกประเภทที่ 2 ขึ้น ข้าพเจ้าหาได้มีโอกาสแนะนำในการเลือกเลย และคณะรัฐบาลก็เลือกเอาแต่เฉพาะผู้ที่เป็นพวกของตนเกือบทั้งนั้น มิได้คำนึงถึงความชำนาญ

นอกจากนี้ คณะผู้ก่อการบางส่วนได้มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงโครงการเศรษฐกิจของประเทศอย่างใหญ่หลวง จึงเกิดแตกร้าวกันขึ้นเองในคณะผู้ก่อการและพวกพ้อง จนต้องมีการปิดสภาและงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา โดยคำแนะนำของคณะรัฐบาล ซึ่งถือตำแหน่งอยู่ในเวลานั้น ทั้งนี้เป็นเหตุให้มีการปั่นป่วนในการเมือง

ต่อมาพระยาพหลฯกับพวกก็กลับเข้าทำการยึดอำนาจโดยกำลังทหารเป็นครั้งที่ 2 และแต่นั้นมาความหวังที่จะให้มีการเปลี่ยนแปลงต่างๆ อย่างราบรื่นนั้น ก็ลดน้อยลง

เนื่องจากเหตุที่คณะผู้ก่อการมิได้กระทำให้มีเสรีภาพในการเมืองอันแท้จริง และประชาชนไม่ได้มีโอกาสออกเสียงก่อนที่จะดำเนินนโยบายอันสำคัญต่างๆ จึงเป็นเหตุให้มีการกบฏขึ้น ถึงกับต้องต่อสู้ฆ่าฟันกันเองระหว่างคนไทย

เมื่อข้าพเจ้าได้ร้องขอให้เปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญเสียให้เข้ารูปเข้ารอยประชาธิปไตยอันแท้จริง เพื่อให้เป็นที่พอใจแก่ประชาชน คณะรัฐบาลและพวกซึ่งกุมอำนาจอยู่บริบูรณ์ในเวลานี้ก็ไม่ยินยอม

ข้าพเจ้าเห็นว่า คณะรัฐบาลและพวกพ้องใช้วิธีการปกครองซึ่งไม่ถูกต้อง ตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคล และหลักความยุติธรรมตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าไม่สามารถจะยินยอมให้ผู้ใด คณะใด ใช้วิธีการปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้

ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาด และโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร”

นี่คือพระราชบันทึกฉบับสุดท้ายของ ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 7 เกี่ยวกับการสละราชสมบัติของพระองค์ท่าน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ.2477

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
แนวหน้า 29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

33
 ประเทศไทยหลังการรัฐประหารครั้งนี้ ได้เกิดแม่น้ำขึ้น 5 สาย (ตามคำเปรียบเทียบของคณะรัฐประหารเอง) ประกอบด้วย คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) คณะรัฐบาล สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งแต่ละคณะมีอำนาจหน้าที่ในการทำงานตามที่กำหนดไว้ในขอบเขตของตน เป็นระยะเวลาประมาณหนึ่งปี

การไหลมาของน้ำในแม่น้ำแต่ละสายดังกล่าวไม่ได้ไหลมาจากน้ำที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติเหมือนแม่น้ำทั้งหลาย ที่เป็น “ของฟรี” ซึ่งชาวบ้านทั้งหลายต่างก็ได้ประโยชน์ลูกเดียวจากน้ำในแม่น้ำนั้น แต่สำหรับแม่น้ำ 5 สายที่เกิดจากการรัฐประหารดังกล่าวนี้ ชาวบ้านทั้งหลายต้องเสียเงินในการไหลของน้ำแต่ละสาย ผ่านภาษีของตนในการไหลของน้ำ ไม่ใช่ได้น้ำมาใช้อย่างฟรีๆตามธรรมชาติเหมือนแม่น้ำอื่นๆ

เปิดหนังสือราชกิจจานุเบกษา เล่ม 131 ตอนที่ 75 ก. หน้า 13-17 ฉบับวันที่ 10 พฤศจิกายน 2557 ดูก็ได้จะรู้รายละเอียดทั้งหมดว่า “ภาษีของชาวบ้าน” ต้องจ่ายให้กับแม่น้ำแต่ละสายทั้ง 5 สาย เป็นจำนวนเงินเดือนละเท่าไร

ราชกิจจานุเบกษาฉบับดังกล่าวตีพิมพ์แจกแจงรายละเอียดของ พระราชกฤษฎีกา เงินประจำตำแหน่งและประโยชน์ตอบแทนอื่นต่างๆ ของผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) สภานิติบัญญัติแห่งชาติ สภาปฏิรูปแห่งชาติ คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ คณะกรรมาธิการและคณะอนุกรรมาธิการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ และคณะอนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ไว้อย่างครบถ้วน

ส่วนของคณะรัฐบาลนั้นคงเป็นไปตามเดิมเหมือนที่ผ่านๆมา ไม่ว่าจะเป็นอัตราเงินเดือนและประโยชน์ตอบแทนอื่นๆในคณะรัฐมนตรี

พูดได้ว่าขับเคลื่อนด้วยภาษีชาวบ้านทั้งสิ้น

พระราชกฤษฎีกาที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษาฉบับดังกล่าว มีทั้งหมด 11 มาตรา จะขอยกบางมาตราที่สำคัญๆซึ่งผู้ดำรงตำแหน่งในคณะต่างๆมาบอกกล่าวให้ทราบ ว่าแต่ละเดือน แต่ละครั้งของการประชุมนั้น ภาษีชาวบ้านหมดไปเท่าไร

มาตรา 3 ให้ผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินที่เพิ่มเป็นรายเดือน ตามบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ นับตั้งแต่วันดำรงตำแหน่ง แต่ไม่ก่อนวันที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ใช้บังคับ

ให้ผู้ดำรงตำแหน่งในสภานิติบัญญัติแห่งชาติและสภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้รับเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มเป็นรายเดือน ตามบัญชีอัตราเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มท้ายพระราชกฤษฎีกานี้ นับตั้งแต่วันที่มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง แต่สมาชิกผู้ใดไม่มาประชุมเกินกึ่งหนึ่งของกำหนดนัดประชุมในแต่ละเดือน ไม่มีสิทธิได้รับเงินเพิ่มเป็นรายเดือนสำหรับเดือนนั้น เว้นแต่กรณีไม่มาประชุมเพราะเหตุไปราชการของสภา โดยได้รับอนุญาตจากประธานแห่งสภาที่ตนเป็นสมาชิกอยู่

ผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ซึ่งเป็นข้าราชการ และมีเงินเดือนประจำอยู่แล้ว ถ้าไปดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองด้วย ผู้นั้นไม่มีสิทธิได้รับเงินเดือนในตำแหน่งข้าราชการการเมืองอีก

มาตรา 4 ให้กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญได้รับค่าตอบแทนเป็นเบี้ยประชุมเป็นรายครั้ง ครั้งละหกพันบาท สำหรับผู้ทำหน้าที่ประธานให้ได้รับเบี้ยประชุมเพิ่มขึ้นอีกสามพันบาท วันใดมีการประชุมหลายครั้งให้ได้รับเบี้ยประชุมเพียงครั้งเดียว

กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ หรือผู้ทำหน้าที่ประธาน ซึ่งมิได้เป็นผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือสภาปฏิรูปแห่งชาติ ให้ได้รับค่าตอบแทนเพิ่มขึ้นอีกร้อยละห้าสิบของค่าตอบแทนที่พึงได้ตามวรรคหนึ่ง

มาตรา 5 ให้กรรมาธิการของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และกรรมาธิการของสภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้ง ครั้งละหนึ่งพันห้าร้อยบาท และให้อนุกรรมาธิการของสภานิติบัญญัติ และสภาปฏิรูปแห่งชาติ และอนุกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้รับเบี้ยประชุมเป็นรายครั้ง ครั้งละแปดร้อยบาท

สำหรับอัตราเงินประจำตำแหน่งและเงินเพิ่มของผู้ดำรงตำแหน่งในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ สภาปฏิรูปแห่งชาตินั้น ได้กำหนดไว้ต่อท้ายพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้ (ตามที่ระบุไว้ในมาตรา 3) ดังนี้

หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ และประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้รับเงินประจำตำแหน่งเดือนละ 75,590 บาท/เดือน และเงินเพิ่ม 50,000 บาท/เดือน

ผู้ดำรงตำแหน่งอื่นในคณะรักษาความสงบแห่งชาติและประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ ได้รับเงินประจำตำแหน่ง เดือนละ 74,420 บาท/เดือน และเงินเพิ่ม 45,500 บาท/เดือน

รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และ รองประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ เงินประจำตำแหน่ง เดือนละ 73,240 บาท/เดือน และเงินเพิ่ม 42,500 บาท/เดือน

สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ และสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ เงินประจำตำแหน่ง 71,230 บาท/เดือน และเงินเพิ่ม 42,330 บาท/เดือน

ทั้งหลายทั้งปวงดังกล่าวมาข้างต้นนี้ ยังไม่ได้หยิบยกผลประโยชน์ตอบแทนอื่นๆของคนที่ดำรงตำแหน่งต่างๆดังกล่าว ตามที่กำหนดไว้ในพระราชกฤษฎีกาฉบับนี้มากล่าวให้ทราบเพราะเนื้อที่จำกัด ขอให้ไปหาอ่านกันเองก็แล้วกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่าเดินทางในประเทศ หรือต่างประเทศ ซึ่งใช้อัตราเดียวกันกับปลัดกระทรวง

เพราะฉะนั้น ขอให้แม่น้ำแต่ละสายทั้ง 5 สายดังกล่าวนี้ ได้พัดพาน้ำอันบริสุทธิ์มาให้ชาวบ้านผู้เสียภาษีเป็นเงินมาให้ใช้จ่ายกันในการทำงานดังกล่าว ได้ดื่มได้ใช้กันจริงๆ

อย่ามัวเพ้อเจ้อพล่ามโน่นพล่ามนี่ไม่เป็นเรื่องเป็นราว ให้รกหูรกตา อย่างที่ชาวบ้านกำลังอึดอัดใจกันอยู่ในขณะนี้เลย เดี๋ยวจะเกิดเรื่องอีก

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ
แนวหน้า  29 ธันวาคม พ.ศ. 2557

34
 ในฐานะประเทศผู้นำเข้าน้ำมัน ประเทศไทยน่าจะได้ประโยชน์สูงมากจากราคาน้ำมันที่ต่ำลง

ถ้าน้ำมันดิบอยู่ในระดับราคาประมาณ 60 เหรียญต่อบาร์เรล

ราคาน้ำมันสำเร็จรูปในเมืองไทยน่าจะทยอยลดราคาลงไม่ต่ำกว่า 30% จากจุดสูงสุด

แต่ปรากฏว่าช่วงที่ผ่านมา ราคาน้ำมันที่ดิ่งเหวกลับกลายเป็นข่าวในทางลบสำหรับเศรษฐกิจไทย

"หุ้นตก" ก็บอกว่ามาจากน้ำมันลด

ทั้งที่น่าจะมีผลจากข่าวลืออัปมงคลมากกว่า

ในมุมของภาคธุรกิจ ราคาน้ำมันที่ลดลงครั้งนี้น่าจะเป็นผลดีระดับ A+

เป็น "ข่าวดี" ที่สุดสำหรับเศรษฐกิจไทยที่ยังไม่เห็นวี่แววจะฟื้นตัว

คำถามก็คือเราจะรับ "ข่าวดี" นี้อย่างไร

หรือจะใช้ "โอกาส" นี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดอย่างไร

"เก่ง" หรือ "ไม่เก่ง" บางทีก็วัดกันตอน "โอกาส" หล่นทับ และตอนที่เผชิญ "วิกฤต"

จะทำอย่างไรให้ได้ประโยชน์สูงสุด หรือเสียหายต่ำสุด

"ฝีมือ" วัดกันตอนนี้

อีกเรื่องหนึ่งที่อยากเล่าให้ฟัง เป็นผลพวงจากการ "คิดต่อ" เรื่องกลยุทธ์การส่งออกของ "คาราบาวแดง"

พี่เสถียร เศรษฐสิทธิ์ เคยบอกว่าเขาเลือกบุกกัมพูชาเป็นหลัก คิดแบบละเอียดว่าจะลุยตลาดแบบไหน

ไม่ได้คิดเพียงแค่ตั้งเอเย่นต์แล้วปล่อยไปตามชะตากรรม

แต่เข้าไปช่วยอย่างจริงจัง เข้าไปช่วยกระจายสินค้าไปต่างจังหวัด

จัดคอนเสิร์ตศิลปินกัมพูชาในพื้นที่ ทำแคมเปญชิงโชค ฯลฯ

ตั้งเป้า "คาราบาวแดง" ต้องเป็นที่ 1 ที่กัมพูชา

ผมนึกถึงผลวิจัยทางประวัติศาสตร์การเมืองเรื่อง "แผนที่"

เพราะเส้นแบ่งเขตแดนทำให้เราคิดว่าเราเป็นคนของประเทศไหน

ทั้งที่ในพื้นที่ชายแดนคนหนองคายกับคนเวียงจันทน์จะคุ้นเคยกันกว่าคนหนองคายกับกรุงเทพฯ

คนบุรีรัมย์กับคนกัมพูชาจะสนิทสนมกันกว่าคนบุรีรัมย์กับคนยะลา

ครับ ถ้าเราลบเส้นแผนที่ออกไป ก็จะเหลือแต่ความสัมพันธ์ที่เป็นจริง

คิดแบบนี้เมืองไทยก็ไม่ได้มี 77 จังหวัด

เราสามารถคิดกับเมืองต่าง ๆ ที่อยู่ติดชายแดนไทยให้เสมือนเป็น 1 จังหวัดของไทยก็ได้

พอเราคิดว่าเป็นจังหวัดของไทย

เราจะคิดการทำตลาดแตกต่างจากที่ทำอยู่ตอนนี้

เพราะตอนนี้เราคิดว่าเป็นเมืองหนึ่งในลาว พม่า กัมพูชา เราก็จะแค่ส่งสินค้าให้เอเย่นต์ในเมืองนั้นดำเนินการ

ไม่เข้าไปลงแรงเหมือนกับการทำตลาดในต่างจังหวัด

แต่ถ้าเราไม่ยึดติดกับเส้นเขตแดน คิดว่าเมืองท่าขี้เหล็กที่อยู่ติดกับเชียงรายมีประชากร 1 ล้านคนของพม่าเป็นจังหวัดหนึ่งของไทย เพียงแต่พูดคนละภาษากัน

คล้าย ๆ กับ "แม่สอด" ที่คนพม่าเต็มเมือง หรือคนไทยพูดพม่าได้

คล้ายกับ "บุรีรัมย์" ที่คนไทยพูดภาษาเขมรได้

เพียงแค่มุมคิดเปลี่ยน ตลาดเปลี่ยนเลยนะครับ

กลายเป็นว่าเรามีจังหวัดใหม่อีกกว่า 10 จังหวัดที่เรายังไม่ได้ทำตลาดอย่างจริงจัง

ถ้าตั้งทีมการตลาดซึ่งอาจเป็นคนพื้นที่ทำกิจกรรมการตลาดเหมือนเป็นจังหวัดหนึ่งของเรา

เครื่องดื่มก็มีทีมเข้าถึงตู้แช่ ถ้าเป็นสินค้า

ทั่วไปก็บุกเข้าร้านโชห่วย

ยิ่งได้ปัจจัยเสริมจาก 2 เรื่อง คือ "ราคาน้ำมัน" ที่ลดลง กับ AEC

ราคาน้ำมันลด ค่าขนส่งก็ลดลง

เพราะการที่ไปส่งสินค้าที่หนองคายกับไปเวียงจันทน์ ต้นทุนก็เพิ่มนิดเดียว

จะทะลุทะลวงต่อแบบ "คาราบาวแดง" ก็ได้

หรือเรื่อง AEC ยิ่งถือเป็น "โอกาส" เพราะทำให้การส่งออกง่ายขึ้น

ในทางธุรกิจเราก็สามารถคิดแบบนี้ได้ เหมือนกับที่ คุณธนินท์ เจียรวนนท์ เจ้าสัว

ซีพี จะบอกว่าทรัพยากรทั้งโลกเป็นของซีพี คนทั้งโลกเป็นของซีพี ตลาดทั้งโลกเป็นของซีพี

ไม่ได้จำกัดกรอบว่าจะต้องอยู่ในเมืองไทย

"โอกาส" ในโลกนี้มีทั้ง "โอกาส" ที่ลอยลงมาจากฟ้า

คนอื่นประทานให้

และ "โอกาส" ที่เราสร้างขึ้นเอง

แค่เปลี่ยนกรอบความคิด ไม่ติดกับเส้นแผนที่

"โอกาสใหม่" ก็เกิดขึ้นครับ


 24 ธ.ค. 2557
คอลัมน์ Market-Think โดย สรกล อดุลยานนท์
ประชาชาติธุรกิจ

35
สำนวนเศรษฐศาสตร์ที่ว่า “No free lunch” หรือแปลเป็นแบบไทยๆ ที่กว้างยิ่งกว่าว่า “โลกนี้ไม่มีของฟรี” ยังใช้ได้อยู่เสมอ
    เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว อาจารย์โฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ประธานกรรมการบริหารธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ชี้ว่าเศรษฐกิจไทยปี 2558จะขยายตัวได้ประมาณ 3-4 % ซึ่งถือเป็นอัตราที่ตํ่ากว่าศักยภาพของไทย เป็นผลกระทบจากโครงการประชานิยม ที่ยังคงกดดันการบริโภคและการใช้จ่ายของภาคครัวเรือน เนื่องจากหนี้ภาคครัวเรือนสูง
    แต่ผลกระทบจากโครงการประชานิยมในช่วงปี 2558-2559 จะทยอยเริ่มลดลง หลังจากนั้นคงใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยจึงจะกลับมาปกติ
    ส่วนที่มีผู้เสนอให้กนง.หรือคณะกรรมการนโยบายการเงิน ลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจนั้น อาจารย์โฆสิตมีมุมมองว่า แม้อัตราดอกเบี้ยจะลดลง แต่คงไม่สามารถช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้ เพราะการบริโภคถูกกดดันจากนโยบายประชานิยม และแนะว่าควรใช้นโยบายการคลังดูแลเศรษฐกิจมากกว่า
    เพราะถ้าลดดอกเบี้ยลงตํ่าเกินไป จะส่งผลให้คนไม่ออมเงิน และทำให้ปริมาณเงินออมในระบบลดลง
    คำว่า “โลกนี้ไม่มีของฟรี” ของนักเศรษฐศาสตร์จึงหมายความว่า ของที่บอกว่าฟรีที่ให้ใครบางคนไปนั้น เมื่อไล่ดูอย่างถี่ถ้วนท้ายที่สุดแล้ว ต้องมีใครสักคนเป็นคนจ่าย หรือรับภาระ
    เช่นเดียวกับการโหมกระตุ้นให้คนบริโภคในยุคก่อนหน้า เพื่อเป่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้โตไม่หยุด ถึงขั้นหนึ่งโตเกินศักยภาพเกิดเป็นฟองสบู่เพื่อรอวันแตกดับ หรือเป็นการโตโดยไม่มีพื้นฐานรองรับ
    วันนี้เมื่อหนี้ท่วมหัว ถึงจะอัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบหวังกระตุ้นก็ไม่เป็นผล เศรษฐกิจที่ควรจะขยายได้ 5-6% ก็ไปไม่ถึง ต้องติดกับดักโตไม่เต็มศักยภาพเรื้อรังจนกว่าจะ “ใช้หนี้” กันหมด
    วันเดียวกัน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าว (นบข.) ประเด็นหลักยังเป็นเรื่องการสะสางปัญหาข้าวโครงการรับจำนำ ที่ยังแบกสต๊อกบานเบอะ 17ล้านตัน และกดดันราคาข้าวตลาดโลกไม่ให้โงหัว
    จึงต้องเร่งอนุมัติระบายข้าวในโกดัง ที่เวลานี้แบ่ง 4 เกรด คือ ข้าวผ่านมาตรฐาน ข้าวเสื่อมสภาพผิดมาตรฐาน ข้าวปรับปรุงได้ และผิดชนิดข้าวโดยดำเนินการ 3 แนวทาง เอ ขายตามมาตรฐาน บี ปรับปรุงข้าว และซี แจ้งความดำเนินคดี
    โดยจะดำเนินการทั้งทางอาญาและทางแพ่ง เพื่อเรียกค่าเสียหาย ซึ่งทั้งหมดส่งไปยังกระบวนการยุติธรรมแล้ว ทั้งนี้ ผลการปิดบัญชีข้าวพบว่า มีตัวเลขขาดทุนโดยประมาณ 6.8 แสนล้านบาท
    กรณีโครงการรับจำนำข้าวก็เช่นกัน วันนี้ชัดแล้วว่า “คนที่ต้องจ่าย”คือ คนไทยทั้งประเทศที่ต้องร่วมรับภาระหนี้การขาดทุนโครงการมหาประชานิยมดังกล่าว และอาจต้องจ่ายกันไปเป็น 20-30 ปี จนกว่าจะเคลียร์หนี้หมด
    หรือกรณีรถคันแรก ที่เป็นการเร่งดึง “ความต้องการในอนาคต” มาใช้ก่อนให้ทันกรอบเวลาโครงการ ไม่เพียงดูดคนตกบ่วงหนี้โดยไม่พร้อม ยังกระทบไปถึงโครงสร้างการผลิต-การตลาดรถยนต์ต่อเนื่อง วงการเพิ่งวางใจว่า อุตสาหกรรมรถยนต์เริ่มกลับสู่พื้นฐานปกติในปีหน้าเป็นต้นไป

อะไรที่เกินจริงมีค่าใช้จ่ายเสมอ

จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 34 ฉบับที่ 3,011  วันที่  21 - 24 ธันวาคม  พ.ศ. 2557
 

36
วันที่ 28 ธ.ค. นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เผยว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ฐานะประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน (ศปถ.) จะเดินทางมาเป็นประธานเปิดศูนย์แถลงข่าวสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2558 ภายใต้แนวคิด "มอบความสุขทั่วไทย สัญจรปีใหม่ ปลอดภัยทุกคน" ในวันที่ 30 ธ.ค.  เวลา 14.30 น. โดยศูนย์จะเปิดระหว่างวันที่ 30 ธ.ค.2557– 5 ม.ค.2558 มีรัฐมนตรีสลับกันมาแถลงข่าวทุกวัน ส่วนพิธีปิดศูนย์วันที่ 6 ม.ค. จะมีนายสุธี มากบุญ รมช.มหาดไทย  มาทำหน้าที่

นายฉัตรชัย กล่าวว่า มาตรการการสร้างความปลอดภัยทางถนน ถือเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล รวมทั้ง รมว.มหาดไทย ซึ่งเทศกาลปีใหม่เป็นช่วงที่มีสถิติอุบัติเหตุทางถนนสูงกว่าปกติ ดังนั้นเพื่อให้การป้องกันและลดอุบัติเหตุมีประสิทธิภาพ ลดความสูญเสียมาก ศปถ.จึงกำหนดกรอบแนวทางเน้นมาตรการ 3 ด้าน ได้แก่  การป้องกันเน้นการบังคับใช้กฎหมาย 10 มาตรการอย่างเข้มข้น การควบคุมการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี และการดูแลนักท่องเที่ยวตามจุดผ่านแดน

นายฉัตรชัย กล่าวอีกว่า ยอดของการสูญเสียที่ผ่านมาจะอยู่ในพื้นที่ตามท้องถิ่นเป็นส่วนใหญ่และเกี่ยวข้องกับสุรา โดยสาเหตุการเกิดอุบัติเหตุส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมของผู้ใช้รถใช้ถนน ได้แก่ เมาแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดจึงอยากเน้นการสร้างจิตสำนึกความรับผิดชอบเรื่องการใช้รถใช้ถนน ห้ามเมาแล้วขับ ส่วนรถที่บริการสาธารณะจะต้องมีความรับผิดชอบเช่นกัน ซึ่งก็จะมีมาตรการตรวจสอบและควบคุมคนขับด้วย ทั้งนี้ แม้ทางรัฐบาลและ ศปถ.จะไม่ได้ตั้งเป้าจำนวนผู้เสียชีวิต แต่เราหวังจะให้ยอดของผู้เสียชีวิตเป็นศูนย์

ทั้งนี้ สำหรับสถิติอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ 2557 โดยสรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสม 7 วันตั้งแต่วันที่ 27 ธ.ค.2556 - 2 ม.ค.2557
เกิดอุบัติเหตุรวม 3,174 ครั้ง (ปีใหม่ 2556 เกิด 3,164 ครั้ง) เพิ่มขึ้น 10 ครั้ง ร้อยละ 0.32
ผู้เสียชีวิต รวม 366 ราย เท่ากับปีใหม่ 2556
ผู้บาดเจ็บรวม 3,345 คน (ปีใหม่ 2556 ผู้บาดเจ็บ 3,329 คน) เพิ่มขึ้น 16 คน ร้อยละ 0.48

สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ เมาสุรา ร้อยละ 41.71
ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 81.03
พฤติกรรมเสี่ยงที่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ไม่สวมหมวกนิรภัย ร้อยละ 22.39
ผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มวัยแรงงาน ร้อยละ 56.59
ส่วนจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตในช่วง 7 วัน รวม 5 จังหวัด ได้แก่ แม่ฮ่องสอน บึงกาฬ ตราด ปัตตานี และ พังงา
จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ นครสวรรค์ 127 ครั้ง
จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ นครราชสีมา 21 ราย

28 ธันวาคม พ.ศ. 2557   ข่าวสดออนไลน์

37
นักวิชาการ ยัน พ.ร.บ.ยาสูบ ใหม่ ไม่กระทบชาวไร่

ผศ.ดร.ลักขณา เติมศิริกุลชัย ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนากำลังคนด้านควบคุมยาสูบ และรองประธานสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุ หรี่ กล่าวว่า ขณะนี้ร่าง พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ ยาสูบฉบับใหม่ กำลังจะเข้าสู่การพิจารณาของสภา แต่พบว่ามีกลุ่มชาวไร่ยาสูบออกมาคัดค้านว่าได้รับความเดือดร้อนจากกฎหมายฉบับดังกล่าว โดยอ้างว่ากฎหมายฉบับนี้จะมีประสิทธิภาพสูง ทำให้คนไทยสูบบุหรี่น้อยลง จนใบยาที่ปลูกไว้ไม่สามารถขายได้นั้น จากข้อมูลกระทรวงการคลังพบว่า ในฤดูการผลิตปี 2552-2553 ประเทศไทยมีชาวไร่ ยาสูบ 61,058 ราย ผลิตใบยาได้ 62,448,781 กิโลกรัม โดย 64.8% เป็นใบยาสำหรับส่งออก และ 35.2% รับซื้อโดยโรงงานยาสูบไทยจะเห็นว่า 2 ใน 3 ของผลผลิตใบยาสูบไทย เป็นผลผลิตสำหรับส่งออก ดังนั้นปัจจัยที่มากระทบกับรายได้หรืออาชีพของชาวไร่ยาสูบส่วนนี้จะมาจากกลไกการตลาดโลกเป็นหลัก ส่วนความต้องการใบยาสูบของชาวไร่จะกระทบต่อเมื่อมีสัดส่วนการนำเข้าบุหรี่ต่างประเทศมากกว่าความต้องการของบุหรี่จากโรงงานยาสูบ 

     ผศ.ดร.ลักขณา กล่าวว่า จากสถิติที่พบว่าจำนวนประชากรไทยที่สูบบุหรี่ ลดลงจาก 12.2 ล้านคนในปี 2534 เหลือ 10.77 ล้านคนในปี 2556 ขณะที่ยอดจำหน่ายบุหรี่ซิกาแรตในปี 2534 เท่ากับ 1,942 ล้านซอง และ ในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 2,172 ล้านซอง หรือเฉลี่ยเท่ากับ 2,000 ล้านซองต่อปี ในขณะที่โรงงานยาสูบเสียส่วนแบ่งตลาดให้บริษัทบุหรี่ต่างประเทศ จากที่เคยครองตลาดในประเทศ 100 เปอร์เซ็นต์ ในปี 2534 เหลือประมาณ 75% ในปี 2556 ซึ่ง​ข้อมูลข้างต้นย่อมเป็นหลักฐานยืนยันว่า ตลอดช่วง 23 ปีที่มีการรณรงค์ควบคุมยาสูบอย่างต่อเนื่อง การควบคุมยาสูบไม่ใช่ปัจจัยที่จะส่งผลต่ออาชีพชาวไร่ยาสูบไทย แต่การที่จำนวนยาสูบไทยในส่วนที่รับซื้อโดยโรงงานยาสูบลดลง นั่นเป็นเพราะโรงงานยาสูบไทยเสียส่วนแบ่งตลาดบุหรี่ให้แก่บริษัทบุหรี่ต่างประเทศ

ผศ.ดร.ลักขณา กล่าวว่า ​ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อชาวไร่ยาสูบไทยในอนาคต น่าจะประกอบด้วย
1.โรงงานยาสูบไทยเสียส่วนแบ่งให้แก่บุหรี่ต่างประเทศในสัดส่วนที่มากขึ้น
2.ต้นทุนการผลิตใบยาสูบในประเทศสูงขึ้นมากกว่าประเทศอื่นๆ ทำให้ปริมาณการส่งออกลดลงตามกลไกการตลาด
3.โรงงานยาสูบไทยหันไปซื้อใบยาสูบจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีราคาถูกกว่าเพื่อลดต้นทุน

ซึ่งการออก พ.ร.บ.​ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบฉบับใหม่ จึงไม่มีส่วนที่เกี่ยวกับการทำไร่ การบ่มใบยา และการค้าใบยาสูบ แต่เป็นการออกเพื่อป้องปกเยาวชนและสุขภาพประชาชนเท่านั้น

29 ธันวาคม พ.ศ. 2557
บ้านเมือง

38
6. คณิกา (Ganika)
       
       คณิกาก็คือ เกอิชาในเวอร์ชั่นอินเดียนั่นเอง ผู้หญิงเหล่านี้ชื่นมื่นกับที่ยืนในระดับสูงของสังคม และการมีนางคณิกาไว้ใกล้ๆ ตัวสักคนหนึ่ง มันหมายถึงคุณจะมีโชคดีและความมั่งคั่งตามมา
       
       นางคณิกาจะไม่มีวันได้แต่งงาน และไม่มีวันเป็นแม่ม่าย พวกเธอจึงรอดพ้นจากตราบาปของสังคมในความเป็นแม่ม่าย เพราะแม่ม่ายของชาวฮินดูนั้นถูกพิจารณาว่าเป็นกาลกิณี และถูกห้ามมิให้ปรากฏตัวต่อสาธารณะ
       
       สังคมอินเดียยอมรับการมีโสเภณี 9 แบบ และคณิกาเป็นโสเภณีชั้นสูงสุด นอกจากพรสวรรค์ทางเพศแล้ว โสเภณีชั้นสูงของอินเดียเหล่านี้ยังถูกคาดหวังให้เรียนรู้ทักษะอื่นๆ ในด้านการแสดงศิลปะอีกด้วย ทันทีที่พวกเธอศึกษาครบจนกระบวนความ ผู้หญิงเหล่านี้ก็จะถูกยกระดับขึ้นเป็นนางคณิกา
       
       ในขณะที่โสเภณีแบบอื่นๆ เป็นเพียงแม่บ้านทั่วไปที่หาลำไพ่พิเศษ เพื่อช่วยเหลือสามีซึ่งควบคุมพวกเธอ หรือไม่ก็เป็นสาวใช้ที่ถูกกำหนดให้รับใช้เจ้านายในทางเพศควบคู่ไปกับการรับใช้ทั่วไป
       
       แต่คณิกาจะได้รับเกียรติให้รับใช้ในราชสำนัก และมีเพลงกับบทกวีที่เขียนขึ้นเพื่อสรรเสริญความงาม และทักษะของพวกเธอ ในขณะที่พวกเธอรับใช้ชนชั้นสูงของสังคมนั้น พวกเธอก็ได้รับการคุ้มครองโดยกฎหมายของรัฐ นอกจากนี้พวกเธอยังเป็นสมบัติของรัฐด้วย และจะถูกเฆี่ยนหรือปรับถ้าปฏิเสธลูกค้าที่เป็นชนชั้นสูงคนใดคนหนึ่ง

   
        7. โซนาห์ (Zonah)
       
       โซนาห์คือ โสเภณีในคัมภีร์ฮิบรู พวกเธอแตกต่างจากผู้หญิงคนอื่นๆ ตรงที่ไม่มีผู้ชายคนใดคนหนึ่งเป็นเจ้าของ และไม่ต้องรับผิดชอบในการผลิตลูกเพื่อสืบสกุล
       
       โซนาห์มีตัวตนอยู่นอกกฎหมายของคัมภีร์ฮิบรู มีข้อห้ามในคัมภีร์เพียงไม่กี่ข้อสำหรับกำหนดพฤติกรรมของผู้หญิงเหล่านี้
       
       ข้อห้ามที่สำคัญมากข้อหนึ่งก็คือ ห้ามผู้เป็นพ่อขายลูกสาวไปเป็นโสเภณี และถ้าลูกสาวของนักบวชกลายเป็นโซนาห์ เธอก็จะถูกลงโทษโดยการเผาทั้งเป็นจนตาย นักบวชถูกห้ามแต่งงานกับโซนาห์ แต่ชายอื่นๆ สามารถแต่งงานและมีความสุขทางเพศกับพวกเธอได้อย่างเท่าเทียมกัน
       
       โสเภณีแบบอื่นๆ นั้นประจำอยู่ที่วิหารของเทพเจ้านอกศาสนาฮิบรู ว่ากันว่ามีข้อห้ามมิให้ผู้หญิงชาวอิสราเอลเป็นโสเภณีประจำวิหารเหล่านั้น

   
        8. เฮไทรา (Hetaira)
       
       เฮไทราคือ โสเภณีชั้นสูงในกรุงเอเธนส์ของกรีกโบราณ เนื่องจากการค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกกฎหมายในมหานครแห่งนี้ และด้วยเหตุที่พลเมืองเอเธนส์ไม่สามารถเป็นโสเภณีได้ เฮไทราจึงมักเป็นทาสคนหนึ่ง บางทีก็เป็นผู้หญิงที่อาศัยอยู่ในเอเธนส์ แต่เกิดจากพ่อแม่ที่ไม่ได้เกิดจากชาวเอเธนส์
       
       เฮไทราแตกต่างจากโสเภณีแบบอื่นๆที่ประกอบอาชีพอยู่หลังห้องปิด กล่าวคือพวกเธอมักจะถูกพบเห็นว่าทำงานรับใช้อยู่ในงานเลี้ยง พวกเธอถูกห้ามแต่งงานกับพลเมืองเอเธนส์ แต่สามารถถูกซื้อและปลดปล่อยให้เป็นอิสระได้
       
       แม้ว่าการกระทำเช่นนี้จะไม่เป็นที่ชื่นชมของสังคมก็ตาม สถานภาพเฮไทราของพวกเธอจะไม่มีวันถูกลบล้างไปได้ และถ้าพวกเธอถูกจับได้ว่าแสร้งกระทำตนเป็นพลเมืองเต็มตัว พวกเธอก็จะถูกจับตัวส่งฟ้องศาล ถ้าพบว่ามีความผิดจริงก็จะถูกสั่งให้กลายเป็นทาสไปตลอดชีวิต
       
       เฮไทราถูกซื้อไปเป็นเมียเก็บของผู้มีอิทธิพลชั้นสูงอยู่บ่อยๆ และเป็นที่รู้กันดีว่าพวกเธอถูกจ้างให้มานั่งเป็นนางแบบสำหรับการแกะสลักรูปปั้นเทพีวีนัส ทั้งนี้ก็เพราะความสง่างามเป็นเลิศของพวกเธอนั่นเอง


        9. ทาวาอิฟ (Tawaif)
       
       ทาวาอิฟ ถูกรู้จักในฐานะศิลปินนักแสดงในอินเดียเหนือระหว่างศตวรรษที่ 18 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 ทาวาอิฟก็เหมือนกับเกอิชาของญี่ปุ่นเช่นกัน พวกเธอเป็นนักเต้นระบำและนักเล่นดนตรี โดยทั่วไปไม่มีใครคิดว่าพวกเธอเป็นโสเภณี แต่เป็นนักแสดงที่มีกลุ่มผู้อุปถัมภ์ขาประจำแทนที่จะมีลูกค้าขาจร หลายคนร่ำรวย โดยเฉพาะคนที่เลือกผู้อุปถัมภ์อย่างฉลาด
       
       ทาวาอิฟที่มีลูกสาวสามารถส่งต่อมรดกอันมั่งคั่งนั้นได้ และมักมีการสืบทอดอาชีพกันเป็นส่วนใหญ่ จริงๆ แล้ว การมาจากการสืบตระกูลทาวาอิฟอันยาวนานนั้นเป็นการเพิ่มฐานะทางสังคมให้แก่พวกเธอด้วย
       
       พวกเธอถูกห้ามแต่งงาน แต่สามารถมีความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับผู้อุปถัมภ์ของพวกเธอได้ ซึ่งทำให้พวกเธอมีสถานะเหมือภรรยาคนหนึ่งทุกอย่าง ยกเว้นทางกฎหมาย เป็นที่น่าสนใจว่าพวกเธอมักจะถูกพบเห็นว่าอยู่เคียงข้างภรรยาตามประเพณีเสมอ เหมือนด้านทั้งสองของเหรียญเดียวกัน
       
       ในขณะที่ภรรยาตามกฎหมายสามารถสืบตระกูลได้อย่างน่านับถือ แต่ทาวาอิฟก็เป็นสาวสวยที่อยู่เคียงข้างกายบนเตียงนอนของบุรุษผู้มีอำนาจวาสนา

   
        10. มุตาห์ (Mutah)
       
       เรื่องของมุตาห์นั้นเป็นความเจ้าเล่ห์แสนกลพอสมควร มันเป็นการแต่งงานชั่วคราวของชาวอิสลาม ซึ่งทั้งสองฝ่ายบรรลุข้อตกลงว่าจะแต่งงานกันแค่ช่วงเวลาหนึ่งตามที่กำหนด สัญญาอาจเป็นลายลักษณ์อักษรหรือวาจาก็ได้ และส่วนต่างๆ ของการแต่งงานจะถูกตกลงกันไว้ล่วงหน้า รวมทั้งข้อที่ว่าฝ่ายหญิงจะได้รับสินสอดเท่าไร จะมีการแตะเนื้อต้องตัวกันได้แค่ไหน และการแต่งงานจะยืนยาวเท่าใด
       
       ในทางหนึ่ง มันก็คือวิธีที่จะทำให้คนสองคนใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันก่อนการแต่งานเต็มรูปแบบ เพื่อดูว่าพวกเขาจะเหมาะสมกันหรือไม่ โดยไม่ต้องฝ่าฝืนกฎหมายอิสลามข้อใดๆ
       
       บางสัญญาสามารถระบุว่าจะไม่มีการแตะเนื้อต้องตัวก็ได้ และบางสัญญาก็กระทำกันภายใต้การจับตามองของพ่อแม่ของทั้งสองฝ่าย บางสัญญาสามารถระบุได้ว่าการแต่งงานครั้งนั้นจะยืนยาวแค่ไม่กี่ชั่วโมง และฝ่ายหญิงจะได้รับค่าตอบแทนด้วย
       
       พูดให้ชัดๆ ก็คือ มันสามารถถูกใช้เป็นการค้าประเวณีแบบหัวหมอเพื่อหลีกเลี่ยงข้อห้ามทางศาสนาอิสลาม ซึ่งชาวมุสลิมบางนิกายอย่างสุหนี่ต่อต้านเรื่องการค้าประเวณีอย่างแข็งขัน ด้วยเหตุที่ระยะเวลาถูกจำกัดและมีการจ่ายเงิน จึงเห็นได้ชัดว่ามุตาห์ก็คือ ช่องโหว่ทางกฏหมายที่จะทำให้หนุ่มสาวสามารถมีคู่นอนได้โดยไม่ผิดหลักศาสนา คือไม่ต้องแต่งงานกันจริงๆ ก็สามารถมีเซ็กซ์กันได้

 ASTVผู้จัดการออนไลน์
   18 ธันวาคม 2557

39
 คอลัมน์ Sexociety โดย Dr.DEN

มันถูกเรียกว่าอาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
       
       การค้าประเวณี มีอยู่ทุกหนแห่งตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกประวัติศาสตร์กันมาแล้ว และมันเป็นอาชีพที่มีเวลาอันยาวนานที่สุดในการเจริญเติบโต โสเภณีมิได้เป็นเพียงโสเภณีอย่างเดียว มีผู้หญิงมากมายหลายแบบตลอดประวัติศาสตร์ที่ให้บริการหลากหลายระดับในสังคมเมือง ตั้งแต่ออหรี่ชั้นต่ำจนถึงหญิงงามเมืองของสังคมชั้นสูง

   
        1) หยิง-ชิ (Ying-Chi)
       
       หยิง-ชิ เป็นโสเภณีอิสระอย่างเป็นทางการพวกแรกในประวัติศาสตร์จีน โดยมีพวกเธอมาตั้งแต่ สมัยจักรพรรดิหวู่ ซึ่งว่ากันว่าพระองค์เกณฑ์บรรดาข้าราชบริพารฝ่ายหญิงให้มารับหน้าที่อย่างเดียว คือ การบำเรอทหารในกองทัพของพระองค์ขณะเดินทัพระยะไกล
       
       คำว่า หยิง-ชิ นั้น แปลตามตัวได้ว่า “โสเภณีในค่ายทหาร” ซึ่งถือว่าเป็นคำยกย่องอย่างสูงในยุค 100 ปีก่อนคริสต์ศักราช
       
       แหล่งข่าวบางแห่งตั้งข้อสงสัยว่าหญิงสาวเหล่านี้ไม่น่าจะเป็นโสเภณีจีนพวกแรก ว่ากันว่า กษัตริย์แห่งเย่ว์ (มณฑลกวางตุ้งในประเทศจีน) ได้จัดตั้งค่ายค้าประเวณีเป็นแห่งแรก ซึ่งประกอบด้วยบรรดาแม่ม่ายของทหารที่ล้มตาย ผู้หญิงเหล่านี้แตกต่างจาก หยิง-ชิ เป็นอันมาก เพราะ หยิง-ชิ เป็นที่นิยมยกย่องและมีบทบาทในการมอบ “มิตรภาพ” ให้แก่ชายชาติทหารเท่านั้น
       
       นอกจากนี้ หยิง-ชิ ยังแตกต่างจากผู้หญิงที่ทำงานในซ่องโสเภณีที่ดำเนินกิจการโดยรัฐบาล ซึ่งเป็นสถาบันที่เก่าแก่มากกว่า โดยสามารถย้อนหลังไปได้ถึง 700 ปีก่อนคริสต์ศักราช

   
        2) โสเภณีวิหาร (Temple Prostitutes)
       
       บทบาทของ โสเภณีวิหาร ในสังคมกรีก-โรมันโบราณนั้น เป็นเรื่องที่เคยถกเถียงกันมามาก ไม่ใช่เรื่องที่เถียงกันว่ามันเป็นการปฏิบัติที่นิยมกันหรือไม่ ข้อนั้นมันแน่อยู่แล้ว แต่รายละเอียดของการปฏิบัติต่างหากที่ยังต้องมีการตีความ
       
       โสเภณีวิหาร คือ พวกผู้หญิงที่ขายบริการภายใต้ความศักดิ์สิทธิ์ของวิหาร และด้วยการอนุญาตจากนักบวชของวิหาร นอกจากนี้พวกเธอยังทำงานเพื่อเทพเจ้าของพวกเธออีกด้วย
       
       การบริการทางศาสนาของโสเภณีวิหารเหล่านี้จะได้รับค่าตอบแทนกี่มากน้อยนั้นไม่มีใครรู้ นักวิชาการบางคนแย้งว่าพวกเธอเป็นเพียงทาสที่ขายบริการเพื่อให้ได้รับเงินมาเข้าวิหารเท่านั้น บางคนเชื่อว่าพวกเธอมีบทบาทที่ได้รับการเคารพมากกว่านั้นเยอะ
       
       ในวิหารและในการบวงสรวงเทพเจ้าของพวกเธอ และเชื่อว่าการไปเยือนโสเภณีวิหารและจ้างเธอ (หรือเขา) มาให้บริการนั้น เป็นรูปแบบของการบวงสรวงอย่างหนึ่ง ทฤษฎีนี้เป็นที่นิยมเป็นพิเศษในลัทธิการเจริญพันธุ์และผู้บูชากามเทวีอย่าง แอโฟรไดต์ (วีนัส) แนวความคิดของโสเภณีวิหารนั้น เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ และมีระดับชั้นที่แตกต่างกันตาม
       
       สมณะศักดิ์ของวิหาร สาวพรหมจรรย์จำนวนมากทุกระดับชั้นในสังคมถูกนำมาที่วิหาร เพื่ออุทิศชีวิตและร่างกายของพวกเธอให้แก่การบวงสรวงเทพเจ้าและเทวีของพวกเขา
       
       บางแหล่งข่าวระบุว่าหญิงสาวที่มีอายุต่ำกว่า 14 ปีเท่านั้น ที่จะได้เป็นโสเภณีวิหารในยุคกรีกโบราณ มีหลักฐานจำนวนมหาศาลที่ขัดแย้งกันว่าโสเภณีวิหารมีบทบาทอย่างไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ ก็คือ พวกเธอเป็นส่วนสำคัญของวิถีชีวิตแห่งวิหาร

   
        3) เทวทาสี (Devadasis)
       
       เทวทาสี คือ ผู้หญิงที่ถูกบังคับให้เข้าสู่วิถีชีวิตของการค้าประเวณี เพื่อรับใช้กามเทวีของฮินดูที่ชื่อ เยลลัมมา เมื่อเด็กหญิงเหล่านั้นถึงวัยเจริญพันธุ์ พ่อแม่ของพวกเธอก็นำพรหมจรรย์ของพวกเธอออกประมูลและขายให้แก่ผู้ให้ราคาสูงสุด
       
       ในทันทีที่พรหมจรรย์ของพวกเธอถูกทำลาย พวกเธอก็ถูกอุทิศให้กับเทวีองค์นั้น และใช้เวลาที่เหลือในชีวิตเป็นโสเภณีในพระนามของเยลลัมมา ทุกคืนชะตากรรมของพวกเธอไม่เคยเปลี่ยน กล่าวคือ ถูกขายให้ใครก็ตามที่จ่ายมากที่สุด
       
       สำหรับพ่อแม่ มันไม่ใช่การกระทำที่เลวร้ายแต่อย่างใด ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่ต้องจ่ายค่าสินสอดให้กับผู้ชายที่จะมาแต่งงานกับลูกสาวของพวกเขาเท่านั้น แต่พ่อแม่หลายคนยังเก็บเงินที่ลูกสาวหามาได้อีกด้วย
       
       การปฏิบัติดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งในศาสนาของเยลลัมมาที่ปฏิบัติกันมาเป็นเวลาหลายศตวรรษ แต่ถึงแม้ว่ามันเป็นสิ่งผิดกฎหมายในอินเดียในค.ศ. 1988 การปฏิบัติเช่นนี้ก็ยังคงดำเนินต่อมาจนถึงปัจจุบัน ตราบาปที่ติดตัวเทวทาสีนั้นหนักหนาสาหัส
       
       แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นตัดสินใจที่จะเลิกใช้ชีวิตแบบนี้ พวกเธอก็จะไม่มีวันได้แต่งงาน ทันทีที่พวกเธอถูกอุทิศให้แก่เทวีของพวกเธอ ก็ไม่มีทางหันกลับมาอีกได้ เทวทาสีส่วนใหญ่ถูกขับออกจากวิหารในวัย 45 ปี เมื่อพวกเธอถูกพิจารณาว่าไม่เป็นสาวและไม่มีเสน่ห์พอที่จะนำเกียรติศักดิ์มาสู่เทวีของพวกเธอได้แล้ว และส่วนใหญ่กลายเป็นขอทานเพื่อประทังชีวิตส่วนที่เหลือไปจนวันตาย


        4) นางโลม (Comfort Women)
       
       นางโลม หรือที่เรียกอีกอย่างว่า “หญิงประโลมใจ” ในสงครามโลกครั้งที่ 2 นั้น เป็นเชิงอรรถทางประวัติศาสตร์อันดำมืด และถูกมองข้ามอยู่บ่อยๆ มันเริ่มต้นในปี 1932 เมื่อทหารญี่ปุ่นเริ่มเกณฑ์ผู้หญิงซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวเกาหลีมาทำงานใน “สถานีประโลมใจ” ที่จัดตั้งขึ้นใหม่
       
       ผู้หญิงเหล่านี้ได้รับคำสัญญาว่าจะมีงานทำ แต่สิ่งที่ทางญี่ปุ่นไม่ได้บอกพวกเธอ ก็คือว่า สถานีเป็นซ่องโสเภณีสำหรับบริการทหารญี่ปุ่น
        ในที่สุดผู้หญิงประมาณ 200,000 คน ถูกลำเลียงไปทางเรือเพื่อเป็นนางโลม และประมาณการกันว่ามีเพียง 25-30% ของผู้หญิงเหล่านี้ที่รอดชีวิตจากเคราะห์กรรมของพวกเธอ เด็กหญิงอายุแค่ 11 ขวบถูกบังคับให้บริการทางเพศแก่ผู้ชายวันละประมาณ 50-100 คน และจะถูกเฆี่ยนตีถ้าพวกเธอปฏิเสธ
       
       ในขณะที่รัฐบาลญี่ปุ่นเคยกล่าวคำขอโทษด้วยวาจามาบ้างแล้ว แต่พวกเขาปฏิเสธการชดเชยด้านการเงินให้แก่นางโลมและครอบครัวของพวกเธอ พอถึงปี 2014 ก็มีนางโลมเพียง 55 คนที่ยังมีชีวิตอยู่

   
        5) โอเลทริดิส (Auletrides)
       
       โอเลทริดิส คือ โสเภณีชั้นหนึ่งของกรีกซึ่งมีตำแหน่งอันน่าพึงพอใจในสังคมกรีกโบราณ ผู้หญิงเหล่านี้ห่างไกลจากออหรี่ธรรมดาด้วยทักษะที่มากกว่าแค่การขายบริการทางเพศ พวกเธอเป็นนักเป่าขลุ่ยและนักเต้นระบำที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี
       
       บางคนมีความสามารถอื่นๆ ที่ทำให้พวกเธอเป็นนักแสดงอันเป็นที่หลงใหลต่อสาธารณชน อย่างเช่น การโยนของสลับมือ การฟันดาบ และการเล่นกายกรรม หลายคนถูกนำไปแสดงปาหี่ตามถนน รวมทั้งในการเฉลิมฉลองทางศาสนาและเทศกาลต่างๆ แหล่งข่าวบางคนกล่าวว่าพวกเธอยังเป็นผู้ให้ความบันเทิงยอดนิยมสำหรับเด็กๆ อีกด้วย
       
       โอเลทริดิสยังถูกจองตัวไว้สำหรับแสดงในงานเลี้ยงส่วนตัวได้อีกด้วย และมักจะจบลงด้วยการให้บริการทางเพศด้วยความชำนาญของพวกเธอ ความสามารถพิเศษอื่นๆ ของพวกเธอบางคนก็ยังมีอีก เช่น เป็นนักเล่นพิณหรือนักเล่นกีตาร์ หญิงสาวเหล่านี้ (บางทีก็เป็นเด็กหนุ่ม) มักขึ้นสังกัดกับแม่เล้าซึ่งจ้างพวกเธอออกไปหาลำไพ่ในงานเลี้ยงส่วนตัว

 ASTVผู้จัดการออนไลน์
   11 ธันวาคม 2557

40
เชื่อว่าหลายคนต้องมีข้อผิดพลาดในการใช้หรือสื่อสารภาษาอังกฤษกันบ้างไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะคำศัพท์ที่สะกดใกล้เคียงกัน ออกเสียงคล้ายกัน ยิ่งพูดเร็วๆ ด้วยแล้ว ยิ่งพาสับสนงุนงงไปกันใหญ่ อาจทำให้ตีความหมายของประโยคผิดเพี้ยนไป วันนี้ Life on Campus จึงนำ 15 ข้อผิดพลาดการใช้ภาษาอังกฤษมาฝากกัน จะได้มาตรวจเช็คกันว่าใครใช้ผิด จำสับสนกันบ้าง มีคำไหนบ้างนั้นต้องตามมาดู..

        1. Your /You're
        สองคำนี้เวลาออกเสียงจะมีความใกล้เคียงกัน อาจทำให้ความหมายเปลี่ยนไปได้ ซึ่งคำว่า “Your” เป็นคำสรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของ เช่น This is your teddy bear. (นี้คือตุ๊กตาหมีของคุณ) Your school is very big. (โรงเรียนของคุณใหญ่จัง) ส่วนคำว่า You're นั้นเป็นรูปย่อมาจากคำว่า You are ซึ่งมีความหมายว่า “คุณคือ” ทั้งนี้การออกเสียงของสองคำนี้มีความใกล้เคียงกัน แต่เราสังเกตความแตกต่างได้จากบริบทที่เรากำลังสนทนาอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนได้นั้นเอง
       
       2. It's / Its
        อีกหนึ่งการออกเสียงที่แยกไม่ค่อยออกระหว่าง It's กับ Its เพราะออกเสียงเหมือนกันเลย ส่วนตัวย่อของ “It's” นั้นเป็นรูปย่อมาจากคำว่า It is, It was และ It has ส่วนคำว่า “Its” เป็นคำสรรพนามใช้แสดงความเป็นเจ้าของว่าคือของมัน เช่น Since you're a member of this sports club, you'll have to conform to its rules. (เนื่องจากคุณเป็นสมาชิกของสปอร์ตคลับแห่งนี้ คุณจะต้องปฏิบัติตามกฏระเบียบด้วย) และเพื่อหลีกเลี่ยงการสับสนระหว่างสองคำนี้ อาจจะพูด It is แทน It's ไปเลยก็ได้

        3. There / Their / They're
        คำว่า There และ Their สองตัวนี้ออกเสียงเหมือนกันอย่างแยกไม่ออก แต่ความหมายต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะคำว่า There นั้นใช้แทนสถานที่ มีความหมายว่า “ที่นั่น” ส่วน Their จะเป็นคำสรรพนามที่ใช้ในการแสดงความเป็นเจ้าของ มีความหมายว่า “ของพวกเขา” เช่น It’s their anniversary next week ส่วนคำว่า They're คำนี้จะออกเสียงเหมือนกับ There และ Their เลย แต่ถ้าออกเสียงชัดๆ ก็จะแยกออกว่าพูดถึง There/ Their หรือ They're
       ส่วนความหมายนั้นก็คือ พวกเขาเป็น/อยู่/คือ เช่น I wonder who they are (ฉันสงสัยจังว่าพวกเขาเป็นใคร)
       
       4.Affect / Effect
        เชื่อว่าสองคำนี้ทำให้ใครหลายคนสับสนอยู่ไม่น้อย อาจใช้ถูกใช้ผิดกันมาบ้าง เพราะทั้งสองคำมีความหมายคล้ายกัน และยังออกเสียงใกล้เคียงกันอีกด้วย เรามาดูความแตกต่างของสองคำนี้กัน คำว่า “Affect” นั้นเป็น Verb มีความหมายว่า “กระทบหรือส่งผลต่อ” เช่น This experiment affects to the way of animal (การทดลองนี้มีผลต่อวิถีชีวิตของสัตว์) ส่วน “Effect” เป็นคำนาม แปลว่า ทำให้เกิดผล เช่น Smoking had a negative effect on his lungs (การสูบบุหรี่มีผลเสียต่อปอดของเขา)

        5. Then / Than
        ถึงแม้ว่า Then (เด็น) และ Than (แดน) จะออกเสียงต่างกัน แต่ถ้าพูดเร็วๆ ฟังไม่ดี ก็อาจตีความหมายผิดไปหรืออาจจะเขียนผิดไปได้ คำว่า Then นั้นเป็นคำวิเศษณ์หรือที่เรียกว่า Adverb ส่วนความหมายนั้นแปลได้หลายความหมาย อย่างแปลว่า นับแต่นั้นเป็นต้นมาในแง่ของเวลา เช่น I had a serious argue with her, she never talks to me again since then. (ผลทะเลาะกับเธอหนักมาก แล้วเธอก็ไม่คุยกับผมอีกเลยนับแต่นั้นมา) หรือใช้บอกลำดับขั้นตอนก็ได้เช่นกัน To make a cake, put the flour in a bowl then crack an egg.. (ในการทำเค้ก ให้ใส่แป้งลงในชาม จากนั้นตอกไข่ลงไป)
        ส่วนคำว่า Than นั้นใช้ในการเปรียบเทียบของสองสิ่งที่มีคุณสมบัติแตกต่างกัน เช่น My mother gets up earlier than I (แม่ของฉันตื่นนอนเร็วกว่าฉันอีก)
       
       6. Loose / Lose
        ต่อมาเป็นคำที่ใช้ผิดกันบ่อย เนื่องจากออกเสียงเหมือนกันอย่างกับแกะ แต่ความหมายนี่สิไม่ได้เหมือนกันเลย คำว่า Losse มีความหมายว่า “หลวม” ในขณะที่ Lose มีความหมายว่า “แพ้หรือทำหาย” เช่น If your pants are too loose, you might lose your pants. แปลว่า ถ้าหากกางเกงของคุณมันหลวมเกินไป คุณก็มีสิทธิ์ที่จะทำกางเกงหายไปได้นะจ๊ะ (หลวมจนหลุดนั่นเอง หรือกางเกงหายไปจากสะโพกนั่นเอง)

        7. Me / Myself / I
        ความหมายของ Me และ I แน่นอนว่าแปลว่า “ฉัน” แต่การใช้แตกต่างกัน เพราะ Me เป็นกรรมของประโยค ส่วน I นั้นใช้เป็นประธาน เช่น I love you and you love me (ฉันรักเธอ และเธอก็รักฉัน) ส่วน Myself เป็นคำสรรพนาม มีความหมายว่า “ตัวฉันเอง” การใช้ก็คือเมื่อพูดถึงการกระทำที่มี ประธาน และ กรรม ของประโยค เป็นคนเดียวกัน เช่น I live by myself (ฉันอาศัยอยู่คนเดียว)
       
       8. เครื่องหมาย Apostrophe “ ' ”
        ในภาษาอังกฤษจะเรียกเครื่องหมายวรรคตอนนี้ว่า Apostrophe ซึ่งการใช้เครื่องหมายนี้จะเห็นได้บ่อยๆ ในคำย่อต่างๆ เช่น isn't ย่อมาจาก is not หรือ Don't ย่อมาจาก do not ส่วนตัวอย่างการใช้เครื่องหมายวรรคตอนนี้ก็มีทั้งใช้เพื่อแสดงความเป็นเจ้าของ หรือ 's เช่น My uncle's house is at the corner. (บ้านของลุงของฉันอยู่ตรงมุมนั้น)

        9. Could of / Would of / Should of
        ความจริงแล้วคำว่า could've , would've และ should've เป็นคำย่อมาจาก could have, would have และ should have แต่เมื่อใช้เป็นภาษาพูดแล้ว ฟังออกมาเสียงดันไปคล้ายกันคำว่า Could of ,Would of และ Should of ซึ่งไม่มีใครใช้กัน และไม่มีความหมาย ดังนั้นเวลาที่เราฟังแล้วเขียนคำนี้ลงไป ก็อย่าเผลอเขียนผิดใส่ Of ข้างหลังคำนะจ๊ะ ถึงแม้ว่าจะออกเสียงออกมาเหมือนกันก็ตาม
       
       10. Complement / Compliment
        อีกสองคำศัพท์ที่การออกเสียงเหมือนกันจนแยกไม่ออก หากไม่เอียงหูฟังดีๆ ก็จะออกเสียงคล้ายกันมาก แถมตัวสะกดก็ต่างกันแค่ตัวเดียว ในส่วนของความหมายนั้นก็แตกต่างกัน อย่างคำว่า “Complement” เมื่อทำหน้าที่กริยาจะหมายถึง to fill up or complete แปลว่า ทำให้สมบูรณ์ และcomplement เมื่อทำหน้าที่นามจะหมายถึง something that fills up แปลว่า สิ่งที่เพิ่มเข้าไปเพื่อทำให้เกิดความสมบูรณ์ History is the complement of geography. (ประวัติศาสตร์เป็นส่วนประกอบของวิชาภูมิศาสตร์)
       
        ส่วน “Compliment” เมื่อทำหน้าที่เป็นคำกริยาจะหมายถึง to express respect or admiration แปลว่า การแสดงความเคารพและยกย่องชมเชย และเมื่อทำหน้าที่นาม หมายถึง a formal expression of admiration แปลว่า คำสรรเสริญเยินยอ เช่น She was pleased with his compliments. เธอพึงพอใจกับคำชมเชยของเขา

        11. Fewer / Less
        ความหมายของสองคำนี้ แปลว่า “น้อยลง น้อยกว่า” แต่คำว่า Fewer จะใช้จำนวนที่สามารถนับได้ เช่น Robert has written fewer poems since he got a real job. (โรเบิร์ตแต่งกลอนน้อยลงกว่าเดิม ตั้งแต่เขาได้งานทำ) ในกรณีนี้ใช้ fewer เพราะว่า poem (โคลงกลอน) สามารถนับจำนวนได้ ส่วน “Less” ใช้กับจำนวนที่นับไม่ได้ ตามด้วยคำนามเอกพจน์ เช่น We enjoy less freedom this year than last. (พวกเราเพลิดเพลินกับเสรีภาพปีนี้น้อยกว่าปีที่แล้ว)
       
       12. Historic / Historical
        แน่นอนความสับสนระหว่างความหมายของ Historic และ Historical มักสร้างปัญหาให้หลายคน และหากมองดูแล้วสองคำนี้สะกดคล้ายๆ กัน แถมยังเป็นคำคุณศัพท์ (Adj.) ทั้งคู่ ส่วนความหมายนั้นไม่เหมือนกันซะทีเดียว อย่างคำว่า “Historic” หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นในประวัติศาสตร์ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นในอดีต คำที่เรามักจะเห็นใช้กับ Historic บ่อยๆ ก็มี
       Historic Change (การเปลี่ยนแปลงที่ต้องจารึกไว้ในประวัติศาสตร์)
       Historic Site/spot (สถานที่สำคัญในประวัติศาสตร์)
       Historic Speech (การกล่าวสุนทรพจน์ที่เป็นประวัติศาสตร์)
       
       ส่วนคำว่า “Historical” หมายถึง ที่มีความเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ เรามักจะเห็น historical ใช้ในกรณีอย่าง
       Historical Figure บุคคลในประวัติศาสตร์
       Historical Document เอกสารทางประวัติศาสตร์
       Historical Novel นวนิยายประวัติศาสตร์

        13. Principal / Principle
        สองคำนี้ออกเสียงคล้ายกันมากจนฟังแต่ศัพท์เดี่ยวๆ แล้วอาจแยกไม่ออก แต่เมื่อฟังในรูปประโยคก็จะสามารถแยกแยะออกได้โดยดูจากบริบทรอบข้าง คำว่า “Principal” เป็นคำนามแปลว่า ผู้มีอำนาจสูงสุด หรือเมื่อเป็นคำคุณศัพท์ก็แปลว่า ซึ่งสำคัญที่สุด เช่น He is the the principal of a kindergarten school. (เขาเป็นครูใหญ่ของโรงเรียนอนุบาลแห่งหนึ่ง) ส่วน Principle แปลว่า หลักการ ทฤษฎี กฏ หรือหลักศีลธรรมก็ได้ เช่น It's against the principle to accept gifts from clients. (การรับของขวัญจากลูกค้านับเป็นเรื่องที่ผิดกฎ)
       
       14. Literally
        หลายคนคงเกิดความสับสนเมื่อเห็นคำนี้ในข้อความ ว่ามันมีความหมายว่าอะไรกัน?? ซึ่งคำว่า “Literally” จะแปลว่า “ตามตัวอักษร” เช่น I'm literally dying of shame. ประโยคนี้หากแปลผ่านๆ ก็แปลว่า ฉันกำลังจะตายเพราะความอับอายอยู่แล้ว แต่คำว่า literally ที่เติมเข้าไป เน้นให้เห็นจริงๆ ว่าคนพูดกำลังอับอายขายขี้หน้าถึงขีดสุด
       
       15. เรียงคำผิด ความหมายชวนสับสน
        ข้อผิดพลาดอีกอย่างที่เกิดขึ้นบ่อยๆ นั้นคือการวางคำผิดๆ และมีคำที่แปลได้หลายความหมาย เช่น
       After rotting in the cellar for weeks, my brother brought up some oranges. ประโยคนี้มีความหมายตามตัวว่า หลังจากเปื่อยเน่าอยู่ที่ห้องใต้ดินตั้งหลายสัปดาห์ พี่ชายของฉันก็ขนส้มขึ้นมาจำนวนหนึ่ง แปลดูแล้วความหมายแปลกๆ ราวกับว่าพี่ชายเป็นซอมบี้ยังไงอย่างงั้น แต่ที่เรียงประโยคถูกต้องจริงๆ คือ My brother brought up some orange that had been rotting in the cellar for weeks (พี่ชายขนส้มที่เน่าจากการถูกเก็บลืมไว้ในห้องใต้ดินขึ้นมาจำนวนหนึ่ง หรือเอาง่ายๆ ว่า พี่ชายขนส้มเน่าขึ้นมาจากห้องใต้ดินนั่นเอง)

        ขอบคุณข้อมูลจาก
       - http://www.copyblogger.com/grammar-goofs/
       - http://www.theknowledge.in.th
       - http://www.enconcept.com/index.php?option=com_content&task=view&id=229
       - https://blog.eduzones.com

ASTVผู้จัดการออนไลน์    25 ธันวาคม 2557

41
อีก 2 วันข้างหน้า จะเป็นอีกวันประวัติศาสตร์ที่โลกไม่อาจลืม กระทั่ง ครั้งหนึ่งเหตุการณ์นี้ถูกหยิบจับออกมาเรียบเรียงเล่าเป็นภาพยนตร์เรื่องดังของฮอลลีวูด "เพิร์ล ฮาร์เบอร์" โศกนาฏกรรมระหว่างสหรัฐฯ กับญี่ปุ่น ที่คร่าชีวิตคนนับพัน

เช้าวันอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2484 (ค.ศ. 1941) เวลา 07.55 น. ตามเวลาท้องถิ่น จักรวรรดิญี่ปุ่นได้เปิดการโจมตีฉับพลันโดยส่งเครื่องบินทิ้งระเบิดกว่า 150 ลำ โจมตีอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ เกาะโออาฮู เกาะใหญ่ลำดับที่ 3 ของรัฐฮาวาย ในสหรัฐอเมริกา 

การโจมตีระลอกแรกใช้เวลานาน 35 นาที และอีกเพียงครึ่งชั่วโมงหลังระลอกแรก ก็เกิดการโจมตีอีกครั้ง ด้วยเครื่องบิน 100 ลำ ต่อเนื่องนานนับชั่วโมง ส่งผลให้สหรัฐฯ สูญเสียทหาร 2,408 นาย เรือรบ 18 ลำ เครื่องบิน 400 ลำ สร้างความเดือดดาลให้ประชาชนชาวอเมริกันเป็นอย่างมาก  ทำให้ประธานาธิบดีแฟรงคลิน ดี. รูสเวลท์ ประกาศสงครามกับจักรวรรดิญี่ปุ่นในที่สุด  และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สหรัฐอเมริกาเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างเป็นทางการในสงครามโลกครั้งที่ 2

หากย้อนกลับไป สหรัฐฯ ได้ถูกร้องขอความช่วยเหลือจากอังกฤษที่ถูกเยอรมนีทิ้งระเบิดไม่เว้นแต่ละวัน และกำลังจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ ส่วนจีนที่ขณะนั้นถูกจักรวรรดิญี่ปุ่นรุกรานและทำการสังหารหมู่ชาวจีนอย่างโหดเหี้ยมจนเป็นโศกนาฎกรรมมาจนถึงทุกวันนี้ แต่ในขณะนั้น สหรัฐฯเพิกเฉยกับข้อเรียกร้องดังกล่าว โดยพยายามวางตัวเป็นกลางไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวใดๆ ด้วยเหตุผลที่ประชาชนชาวอเมริกันส่วนใหญ่มองว่า สงครามที่เกิดขึ้นในขณะนั้นเป็นเรื่องของคนอื่น สหรัฐฯไม่ควรเข้าไปยุ่ง

ขณะเดียวกัน แถลงการณ์ของสันนิบาตชาติได้ประณามการกระทำของญี่ปุ่น และออกคำสั่งให้ญี่ปุ่นถอนกองทัพออกจากจีน ทำให้ญี่ปุ่นไม่พอใจพร้อมประกาศถอนตัวออกจากสันนิบาตชาติ 

สหรัฐฯ จึงมีเหตุผลชอบธรรมในการให้ความช่วยเหลือจีน (มีการวิเคราะห์กันว่าที่จริงสหรัฐฯ มีความต้องการเข้าร่วมสงครามอยู่แล้วเพื่อบทบาทประเทศผู้นำโลกในอนาคต) จึงยุติการส่งออกสินค้าไปยังญี่ปุ่นเช่น น้ำมัน เหล็ก ทำให้ญี่ปุ่นขาดปัจจัยในการบำรุงกองทัพโดยเฉพาะน้ำมัน กระทบแผนการบุกยึดดินแดนประเทศในเอเชียทั้งหมดจนต้องหยุดชะงักลง

ญี่ปุ่นจึงตัดสินใจโจมตีที่อ่าวเพิร์ลฮาเบอร์  เพื่อเปิดเส้นทางการขยายอำนาจในภาคพื้นทะเลแปซิพิก  หลังการโจมตีเสร็จสิ้น นายพลเรืออิโซโรกุ ยามาโมโต ผู้วางแผนและรับผิดชอบการโจมตีอ่าวเพิร์ลฮาร์เบอร์ทั้งหมด ถึงกับกล่าวว่า "การกระทำของญี่ปุ่นในครั้งนี้ เปรียบเสมือนการปลุกยักษ์ให้ตื่น" และก็เป็นจริงดั่งคำพูด เพราะอีก 4 ปี ถัดมา ทั้งญี่ปุ่นและเยอรมนี (พันธมิตรร่วมกันฝ่ายอักษะ)  ต่างก็ถูกพิชิตลงด้วยแสนยานุภาพอันเกรียงไกรของกองทัพสหรัฐฯ

ปัจจุบัน โศกนาฏกรรม "เพิร์ล ฮาร์เบอร์" ได้สร้างเป็นอนุสรณ์สถานให้ผู้ที่สนใจศึกษาประวัติศาสตร์เดินทางมาเยี่ยมชม โดยการมาเยือนสถานที่แห่งนี้ต้องจองคิวก่อนล่วงหน้า สามารถจองได้ทางเวปไซต์ www.nps.gov/valr/index.htm หรือ สามารถมารอต่อคิวได้ตั้งแต่ตี 5 โดยเคาน์เตอร์แจกบัตรเริ่มเปิดทำการ 7 โมงเป็นต้นไป

"เพิร์ล ฮาร์เบอร์" การโจมตีที่เกิดขึ้นระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐฯ เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ได้ชื่อว่า เป็นสงครามที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ  คร่าชีวิตผู้คนทั่วโลกทั้งทหารและพลเรือนไปกว่า 65 ล้านคน

และแม้ว่าเหตุการณ์จะผ่านมานานกว่า 73 ปี แล้วก็ตาม  แต่บาดแผลและอิทธิพลจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยังคงอยู่ในอนุสรณ์สถานและพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ณ สถานที่ที่เคยเกิดเหตุทั่วโลก เพื่อให้ผู้คนได้ระลึกถึงความโหดร้าย ความสูญเสียที่มนุษย์ได้เคยกระทำต่อกัน  และเพื่อเตือนสติคนรุ่นหลังว่าอย่าให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นอีกเลย

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก pantip.com

5 ธ.ค. 2557
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

42
มักมีอะไรให้ตื่นเต้นเสมอ สำหรับการประกาศรายชื่อหนังยอดเยี่ยมประจำปี จากการจัดอันดับของนิตยสารไทม์ ที่ดูจะชื่นชอบหนังตลาดเป็นพิเศษ แหวกกระแสรางวัลต่างๆ อยู่บ่อยครั้ง อย่างที่ปีก่อนหนังรถซิ่งฮิตถล่มทลายอย่าง Fast and Furious 6 และแอนิเมชั่นขวัญใจเด็ก Frozen ยังกล้าๆ ถูกจัดอันดับเหนือ 12 Years A Slave จนทำให้การจัดอันดับในปีนี้ น่าสนใจยิ่งขึ้น

โดย 10 อันดับหนังยอดเยี่ยมประจำปี 2014 มีหนังที่คุ้นหูคุ้นตาในบ้านเราอย่าง The Grand Budapest Hotel, Boyhood, The Lego Movie, Birdman แต่ที่เซอร์ไพรส์สุดๆ อยู่ที่ Lucy หนังแอ็คชั่น-ไซไฟไอเดียล้ำ จากผู้กำกับลุค เบซอง ที่ได้ สกาเลต โจแอนสัน มาแสดงนำ ทะยานติดที่อันดับ 4

ส่วน 10 อันดับหนังยอดแย่ บางเรื่องไม่ได้ฉายในบ้านเรา แต่ส่งลงแผ่นดีวีดีทันที เพราะหลายเรื่องกระแสเงียบกริบมาตั้งแต่เมืองนอกแล้ว ส่วนที่ลงโรงฉายผ่านสายตาคอหนังไปบ้าง มีทั้ง A Million Ways To Die In The West หนังตลกสไตล์คาวบอยตะวันตก จากผู้กำกับ TED ที่เรื่องนี้คว่ำทั้งรายได้และคำวิจารณ์ The Legend Of Hercules เฮอร์คิวลิสภาครีเมค (คนละภาคกับเวอร์ชั่นเดอะร็อค) ที่จัดว่าเป็นหนังเกรดบีฟอร์มเล็ก แป้กทั้งรายได้และคำวิจารณ์เช่นกัน รวมไปถึง Transcendence หนังจอห์นนี่ เดปป์ ที่ได้คริสโตเฟอร์ โนแลนด์ มานั่งแท่นโปนดิวเซอร์ให้ ก็ติดโผกับเค้าด้วยเช่นกัน

10 อันดับหนังยอดเยี่ยม

1. The Grand Budapest Hotel
2. Boyhood
3. The Lego Movie
4. Lucy
5. Goodbye To Language
6. Jodorowsky’s Dune
7. Nightcrawler
8. Citizenfour
9. Wild Tales
10. Birdman

10 อันดับหนังยอดแย่

1. Blended
2. A Million Ways To Die In The West
3. Men, Women & Children
4. Walk Of Shame
5. Let’s Be Cops
6. The Legend Of Hercules
7. Winter’s Tale
8. Nut Job
9. Transcendence
10. Hateship Loveship

8 ธ.ค. 2557
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

43
ในโลกนี้มีเรื่องอีกมากมายที่มนุษย์ธรรมดาอย่างเราๆ คาดคิดไม่ถึง บางเรื่องเป็นเรื่องธรรมดาใกล้ๆ ตัว แต่บางเรื่องก็เป็นเรื่องที่ทำให้เมื่อรู้แล้วจะต้องรู้สึกประหลาดใจ ว่า เรื่องแบบนี้ก็มีด้วยหรือ หรือเรื่องแบบนี้ฉันไม่รู้มาก่อนเลย และนี้ก็คือ 30 ตัวอย่างของเรื่องเหล่านั้น


1. เดือนสิงหาคมคือเดือนที่มีคนเกิดเยอะที่สุด

2. โดยเฉลี่ยคนส่วนใหญ่จะหลับภายใน 7 นาที

3. หมีมีฟัน 42 ซี่

4. มะนาวมีสัดส่วนปริมาณของน้ำตาลมากกว่าสตอว์เบอร์รี่

5. ดวงตาของนกกระจอกเทศใหญ่กว่าสมองของตัวมันเอง

6. กวางเรนเดียร์ชอบกินกล้วย

7. ตัวอักษรที่ถูกใช้มากที่สุดคือ ตัว E

8. ตัวอักษรที่ถูกใช้น้อยที่สุดคือ ตัว Q

9. ภาษาที่มีผู้ใช้มากที่สุดในโลกคือ ภาษาจีน สเปนและอังกฤษ

10. เวลาออกจากถ้ำค้างคาวจะบินไปทางซ้ายเสมอ

11. ชื่อกลางของเอลวิส เพรสลี่ คือ Aron

12. ช่วงชีวิตของแมว 66% หมดไปกับการนอน

13. คนสวิสเซอร์แลนด์กินช็อกโกแลตมากที่สุดในโลก เฉลี่ย 10 กิโลกรัม/คน

14.เงินคือหัวข้อบทสนทนาที่คู่รักพูดถึงมากที่สุด

15. ทวีปเดียวในโลกที่ไม่มีภูเขาไฟ คือ ทวีปออสเตรเลีย

16. ถนนที่มีระยะทางยาวที่สุดในโลก คือถนน Yonge  ในแคนาดา 1,896 กิโลเมตร

17. เสียงเดินทางในน้ำได้เร็วกว่าในอากาศถึง 5 เท่า

18. หมีโคอาล่าใช้เวลา 18 ช.ม.ต่อวัน ไปกับการนอน

19. เบอร์เกอร์คิงเปิดบริการครั้งแรกในเมืองไมอามี รัฐฟลอริดา เมื่อปี 1954

20. กว่า 90 % ของภูเขาน้ำแข็งลอยอยู่ใต้ผิวน้ำ

21. ขนมปังครัวซองถูกคิดค้นขึ้นในออสเตรีย

22. เท้าของมนุษย์มีกระดูกทั้งหมด26ชิ้น

23. ฟองน้ำสามารถอุ้มน้ำเย็นได้มากกว่าน้ำร้อน
 
24. ไฟป่าลุกลามขึ้นไปบนภูเขาได้เร็วกว่าไหม้ลงมา

25. ช้างกระโดดไม่ได้

26. มีคนในโลกอีกประมาณ 9 ล้านคน ที่เกิดวันเดียวกับคุณ27. จูบ 1 นาที สามารถเผาผลาญพลังงานได้ 26 แคลอรี่

28. ร่างกายสามารถเผาผลาญพลังงานจากการนอนหลับได้มากกว่านั่งดูโทรทัศน์

29. นกฮัมมิ่งเบิร์ดเป็นนกชนิดเดียวที่สามารถบินถอยหลังได้

30. สมุดหน้าเหลืองเล่มแรกของโลกถือกำเนิดขึ้นในปี 1878 และมีเพียงแค่ 50 รายชื่อเท่านั้น

8 ธ.ค. 2557
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

44
ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -สมรภูมิรบเดียนเบียนฟู การเผชิญหน้าครั้งสำคัญในสงครามอินโดจีน ระหว่างกองทัพทหารฝรั่งเศสในฐานะเจ้าอาณานิคมกับกองทัพเวียดมินห์ของขบวนการกู้ชาติเวียดนาม ในฐานะผู้ดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากการเป็นประเทศอาณานิคม สงครามที่ชาวเวียดนามภาคภูมิใจว่านำมาซึ่งเอกราชของชาติอย่างแท้จริง
       
       แต่เป็นสงครามที่ฝรั่งเศสเองไม่อยากจะจดจำ กาลเวลาผ่านมาแล้วหลายทศวรรษ วันนี้เราจะไปสัมผัสร่องรอยที่ยังหลงเหลืออยู่ของการสู้รบในครั้งนั้น
       
       เดียนเบียนฟู (Dien Bien Phu) คือเมืองหนึ่งในจังหวัดเดี่ยนเบียนตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศเวียดนาม ห่างจากกรุงฮานอยประมาณ 200 กิโลเมตร ทิศตะวันตกอยู่ใกล้กับชายแดนแขวงพงสาลีของประเทศลาว
       
       เดียนเบียนฟูมีชื่อเสียงและเป็นที่จดจำเนื่องจากเป็นสมรภูมิรบอันโด่งดังระหว่างฝรั่งเศสกับกองกำลังเวียดมินห์ที่เกิดขึ้นในช่วงเดือนมีนาคม–พฤษภาคม ค.ศ.1954 ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสจนต้องถอนกำลังออกจากเวียดนามเหนือ และถือเป็นการสิ้นสุดลงของสงครามอินโดจีนครั้งแรก
       
       เราเดินทางมายังเมืองเดียนเบียนฟูผ่านทางประเทศลาว ลัดเลาะมาเรื่อยๆ จากเวียงจันทน์ เข้าโพนสะหวัน เชียงขวาง ต่อไปยังซำเหนือ เวียงไซย เมืองงอย ล่องเรือต่อไปยังเมืองขวา ก่อนที่จะนั่งรถข้ามชายแดนต่อมายังเมืองเดียนเบียนฟู เป็นเส้นทางที่ได้สัมผัสวิถีชีวิตและธรรมชาติที่ยังงดงามของลาว
       
       บางช่วงบางตอนยังเป็นเส้นทางที่เกี่ยวโยงกับสงครามอินโดจีน อย่างแขวงเชียงขวางที่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของลาวซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญของประเทศ มีชายแดนติดกับเวียดนาม เป็นเส้นทางในการลำเลียงกองกำลังและอาวุธยุทโธปกรณ์จากเวียดนามเหนือมาสู่ขบวนการปะเทดลาว
       
       รวมถึง “ถ้ำท่านผู้นำ” ที่เมืองเวียงไซย อดีตศูนย์บัญชาการใหญ่ของกองทัพปลดปล่อยประเทศลาว ที่ในสมัยสงครามอินโดจีน ผู้นำขบวนการปลดปล่อยประเทศลาว ได้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นฐานที่มั่นและศูนย์บัญชาการใหญ่เพื่อต่อต้านการรุกรานจากต่างชาติ ที่ซึ่งสงครามยังคงทิ้งร่องรอยของมันไว้ให้เราเห็น และครั้งนี้เราจะไปที่เดียนเบียนฟู อีกหนึ่งจิ๊กซอว์สำคัญของภาพสงครามอินโดจีน
       
       จากเมืองขวาของลาวมีรถบัสนำเราไปสู่เดียนเบียนฟูของเวียดนามผ่านทางด่าน Tay Trung ใช้เวลาเดินทางประมาณ 5-6 ชั่วโมง เพราะเป็นทางขึ้นเขาถนนแคบ และอาจต้องเจอสภาพรถที่ผู้โดยสารและสิ่งของแน่นเอี๊ยดเต็มทุกพื้นที่ของรถ เพราะเป็นอีกหนึ่งเส้นทางที่ทั้งคนลาว คนเวียดนาม รวมถึงนักท่องเที่ยวนิยมใช้ในการเดินทางไปมาระหว่างลาวและเวียดนาม
       
       รถบัสขนาดเล็กที่อัดแน่นไปด้วยคนและข้าวของพาเราลัดเลาะไปตามความสูงของเทือกเขาเป็นเวลาหลายชั่วโมง ก่อนลงสู่พื้นราบมุ่งหน้าสู่เดียนเบียนฟู สองข้างทางก่อนถึงตัวเมืองเป็นทุ่งนากว้างใหญ่มีเทือกเขาทอดตัวขนาบข้างประดุจปราการทางธรรมชาติ สลับด้วยหมู่บ้านชาวไทดำ และเวียดนาม ที่แบ่งโซนกันอย่างชัดเจน จากนี้ใช้เวลาเดินทางอีกไม่นานนักก็มาถึงจุดหมายปลายทาง
       
       เมืองเดียนเบียนฟูเป็นพื้นที่ราบขนาดใหญ่ที่โอบล้อมด้วยเทือกเขาสูงชั้น มีสภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์และธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ทำการเพาะปลูกพืชผลทางการเกษตรได้ตลอดทั้งปี
       
       ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่กองทัพฝรั่งเศสเลือกใช้พื้นที่แห่งนี้เป็นฐานบัญชาการทางทหารในการสู้รบกับกองทัพเวียดมินห์โดยหวังใช้เทือกเขาสูงชั้นเหล่านั้นเป็นเกราะคุ้มภัยให้กับทหารฝรั่งเศส และเพื่อตัดเส้นทางการลำเลียงกองกำลังและยุทธปัจจัยระหว่างกองทัพเวียดมินห์กับขบวนการปะเทดลาว
       
       แต่การกลับกลายเป็นว่ายอดเขาสูงชันนับพันที่กองทัพฝรั่งเศสหวังใช้เป็นเกราะคุ้มภัยนั้น ได้กลายเป็นฐานปืนใหญ่ของกองกำลังเวียดมินห์ที่ใช้เวลาแรมปีในการลำเลียงปืนใหญ่และกำลังพลขึ้นไปตั้งมั่นบนยอดเขาและปิดล้อมฐานที่มั่นแห่งนี้ของฝรั่งเศสไว้ได้สำเร็จ พร้อมระดมยิงลงมายังที่ตั้งของกองทหารฝรั่งเศสอย่างไม่ขาดสายจนสามารถเข้ายึดฐานของฝรั่งเศสได้ทั้งหมด นำมาสู่ความพ่ายแพ้ของฝรั่งเศสจนต้องถอนกำลังออกจากเวียดนามเหนือ ถือเป็นการปิดฉากของสงครามอินโดจีนครั้งแรก
       
       สงครามในครั้งนั้นยังคงทิ้งร่องรอยและสร้างแผลเป็นให้กับเดียนเบียนฟู แต่เป็นแผลเป็นที่ดึงดูดผู้คนที่สนใจประวัติศาสตร์สงครามได้เดินทางมาสัมผัส และศึกษาด้วยตัวเอง
       
       ป้อมปราการ Phu An Nan หรือ ฐานทัพ A1 เนินเขาลูกย่อมๆ อดีตฐานที่มั่นและกองบัญชาการของทหารฝรั่งเศสก่อนที่จะถูกกองกำลังเวียดมินห์ยึดได้ในที่สุด เป็นจุดที่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือด ทุกวันนี้เรายังคงเห็นอุโมงค์หลบภัยของทหารที่เป็นทางเดินซับซ้อนขุดเจาะเข้าไปในภูเขา ซึ่งเวียดนามดูแลรักษาไว้ในสภาพค่อนข้างดี นอกจากนี้ยังมีหลุมระเบิดขนาดใหญ่ และรถถังจัดแสดงไว้ด้วย ที่แห่งนี้นับเป็นแลนด์มาร์กที่สำคัญของนักท่องเที่ยวเลยทีเดียว
       
       นอกจากนี้ยังมีสุสานทหารเวียดนามที่เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้นที่ได้รับการดูแลอย่างดี แต่เดินเข้าไปแล้วความรู้สึกหดหู่เข้ามาแทรกคงเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ไม่ไกลกันนักมีพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ “เจียน ทั่ง ลิด ซือ” หรือชัยชนะแห่งเดียนเบียนฟู จัดแสดงเกี่ยวกับยุทโธปกรณ์ของกองทัพปลดแอกเวียดนามให้เราได้ชมกัน
       
        อีกหนึ่งแลนด์มาร์กที่พลาดไม่ได้คือ “Dien Bien Phu Victory Monument” หรืออนุสาวรีย์แห่งชัยชนะของเดียนเบียนฟู เป็นที่ระลึกถึงชัยชนะของเวียดนามที่มีเหนือกองทหารฝรั่งเศส สร้างอยู่บนเนินเขาใจกลางเมือง เราสามารถชมวิวเมืองเดียนเบียนฟูแบบพาโนราม่าได้จากจุดนี้
       
       ไม่เพียงแหล่งสำคัญทางประวัติศาสตร์สงครามเท่านั้นที่น่าสนใจ วิถีชีวิตของชาวไทดำซึ่งเป็นชนชาติที่เข้ามาอยู่ที่เดียนเบียนฟูตั้งแต่อดีตก็น่าสนใจไม่แพ้กัน ผมที่เกล้าเป็นมวยสูงและซิ่นสีดำที่สวมใส่คือเอกลักษณ์ของชาวไทดำ หมู่บ้านชาวไทดำและตลาดไทดำคือสถานที่ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด
       
       ตลาดที่เดียนเบียนฟูมีอยู่ 2 ตลาดใหญ่ๆ ที่ซึ่งเราจะได้เห็นความอุดมสมบูรณ์ของพืชผักผลไม้และข้าวปลาอาหารของเมืองเดียนเบียนฟู เพราะฉะนั้นเรื่องอาหารการกินไม่ต้องห่วง ส่วนจะถูกปากหรือไม่ก็แล้วแต่ความชอบของแต่ละบุคคล ส่วนเครื่องอุปโภคบางอย่างที่วางขายยังคงเป็นสินค้าที่นำเข้าจากประเทศจีนเป็นหลัก
       
       สำหรับเรื่องที่พัก แม้ว่าเดียนเบียนฟูจะไม่ใช่เมืองใหญ่หรือเมืองท่องเที่ยวหลักของเวียดนาม แต่ที่พักสำหรับนักท่องเที่ยวนั้นมีให้บริการอยู่หลายแห่ง หลายระดับราคา เรียกว่าสะดวกในการเดินหา เพราะที่พักจะกระจุกตัวอยู่ในเมือง เลือกได้ไม่ยาก
       
       เดียนเบียนฟูในปัจจุบันยังเป็นเส้นทางสำคัญในการเดินทางต่อไปยังเวียดนามเหนืออย่าง “ซาปา” เมืองตากอากาศของฝรั่งเศสสมัยเป็นเจ้าอาณานิคม และเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของทั้งชาวเวียดนามและต่างชาติ เพราะมีรถบัสจากเดียนเบียนฟูไปซาปาไว้บริการทุกวัน หรือจะเดินทางต่อไปยังฮานอยก็สะดวก เพราะระยะทางจากเดียนเบียนฟูไปยังฮานอยเพียง 200 กิโลเมตร ใช้บริการรถบัสได้เช่นเดียวกัน
       
       การได้มาเยือนเมืองเล็กๆ ที่มีประวัติศาสตร์น่าสนใจอย่างเดียนเบียนฟู ช่วยเพิ่มประสบการณ์การท่องเที่ยวและเติมเต็มอาหารสมองได้อย่างดี และทำให้รู้ว่า บ้านใกล้เรือนเคียงของเรายังมีสิ่งที่น่าสนใจและสถานที่ที่น่าไปเยือนรออยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว

ASTVผู้จัดการรายวัน    29 พฤศจิกายน 2557

หน้า: 1 2 [3] 4 5 ... 13