เผย ปิยมหาราชการุณย์ให้บริการได้ 40% เหตุขาดแคลนพยาบาล ด้านอุปนายกสภาการพยาบาลแจง แรงจูงใจไม่พอ งานหนัก สวัสดิการต่ำ แม้แต่ฉีดวัคซีนป้องกันยังต้องลางานไปฉีดเอง เหลื่อมล้ำวิชาชีพ ค่าตอบแทนต่ำกว่าแพทย์ 28 เท่า ทำให้พยาบาลลาออกจากระบบมากขึ้น เผยมีพยาบาลในระบบ 1.3 แสนคน แต่ความต้องการพยาบาลปี 58 อยู่ที่ 1.6 แสนคน คาดปี 62 อัตราขาดแคลนพยาบาลเพิ่มเป็น 5 หมื่นคน ขณะที่สามารถผลิตพยาบาลเข้าสู่ระบบปีละ 1 หมื่นคน เข้าสู่ระบบ 80% และค่อยๆ ลาออกในช่วง 5 ปีแรก
"ตึกใหม่ปิยมหาราชการุณย์ของเราให้บริการได้เพียง 40 % เหตุผลสำคัญคือขาดแคลนพยาบาล เพราะในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โรงพยาบาลเอกชนจำนวนมากที่เปิดทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ ดึงพยาบาลในระบบไปจำนวนไม่น้อย"
คำบอกเล่าจาก ศ.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ข้างต้น สะท้อนภาพปัญหาการขาดแคลนพยาบาลในระบบสุขภาพของไทยได้เป็นอย่างดี เพราะขนาดโรงพยาบาลชั้นยอดของประเทศยังเจอปัญหานี้ โรงพยาบาลอื่นๆยิ่งแทบไม่ต้องพูดถึง
การมีพยาบาลไม่เพียงพอกับความต้องการในระบบสุขภาพ เป็นปัญหาเรื้อรังที่นับวันจะยิ่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ กระทบต่อคุณภาพการดูแลผู้ป่วย ซึ่งผลลัพธ์สุดท้ายที่เกิดขึ้นก็ตกอยู่กับประชาชนผู้ใช้บริการนั่นเอง
- See more at:
http://www.hfocus.org/content/2015/04/9830#sthash.flKthJ8I.dpufดร.กฤษดา แสวงดี อุปนายกสภาการพยาบาล กล่าวถึงภาพรวมวิชาชีพพยาบาลในขณะนี้ว่า ด้วยสภาพการทำงานที่หนัก ไม่มีแรงจูงใจเพียงพอ ทำให้มีพยาบาลใหม่ๆ เข้าสู่ระบบน้อยลง ขณะเดียวกันบุคคลากรที่มีอยู่ ก็มีอายุมากขึ้นและทยอยเกษียณทุกปีๆ หากเป็นเช่นนี้ต่อไปอีก 10 ปี ประเทศไทยจะประสบกับปัญหาขาดแคลนพยาบาลอย่างรุนแรง
อุปนายกสภาการพยาบาล ฉายภาพให้เห็นว่าที่มาของปัญหานี้ มีหลายปัจจัยเชื่อมร้อยเป็นลูกโซ่ นับจากสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ที่คุมเข้มอัตราการบรรจุพยาบาลใหม่ ขณะเดียวกัน ก็มีการขยายบริการสุขภาพมากขึ้น มีการเปิดโรงพยาบาลใหม่ๆ ทั้งในภาครัฐ และแนวโน้มคนไทยป่วยเป็นโรคเรื้อรังมากขึ้น มีจำนวนผู้สูงอายุมากขึ้น ซึ่งเป็นการเจ็บป่วยที่มีความซับซ้อน ใช้เวลาในการรักษานานกว่าโรคติดเชื้อต่างๆ ทำให้ต้องใช้แพทย์และพยาบาลเฉพาะทางมากขึ้น และทำให้คนที่เหลือในระบบต้องอยู่ในสภาพที่ทำงานหนักขึ้น
ดร.กฤษดา ยกตัวอย่างว่า โดยปกติพยาบาลต้องดูแลคนไข้ 24 ชั่วโมง แบ่งเป็น 3 ผลัด ผลัดละ 8 ชั่วโมง เมื่อคนไม่พอก็ต้องทำโอทีเพิ่ม แทนที่จะทำงาน 8 โมงเช้า เลิกงาน 4 โมงเย็น ก็กลายเป็นเลิกงาน 4 ทุ่ม ขณะเดียวกัน มาตรฐานการปฏิบัติงานที่ดี พยาบาล 1 คน ควรดูแลคนไข้ 4 คน แต่เมื่อขาดคนทำงาน ก็กลายเป็นต้องดูแลผู้ป่วยในอัตรา 1 ต่อ 8 หรือโรงพยาบาลบางแห่งสูงถึง 1ต่อ 10 สิ่งที่ตามมาคือทำงานไม่ทัน
มันก็เหนื่อย หมดสมรรถภาพในการทำงาน แล้วมันจะจูงใจให้เป็นพยาบาลได้อย่างไรกฤษดา กล่าว
นอกจากงานหนักแล้ว สภาพการทำงานก็มีความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโรคสูง แต่กลับไม่มีสวัสดิการดูแล แม้แต่วัคซีนป้องกันโรคต่างๆ ที่ควรฉีดให้พยาบาลก่อนเริ่มทำงานก็ไม่มีให้ หากใครอยากได้วัคซีนต้องลางานไปฉีดเอง
ขณะเดียวกัน ค่าตอบแทนของพยาบาลเมื่อเทียบรายได้ต่อชั่วโมงแล้วก็ยังถือว่าน้อย รวมทั้งเกิดความเหลื่อมล้ำกับวิชาชีพอื่น เช่น แพทย์และพยาบาล หากเป็นพื้นที่ทุรกันดาร คนเป็นแพทย์จะได้รับค่าตอบแทนมากกว่าพยาบาล 28 เท่า ดังนั้นควรมีการปรับอัตราค่าตอบแทนที่สมเหตุสมผลกว่านี้
ที่ว่ากันว่าพยาบาลจบใหม่ได้เงินเดือน 4 หมื่นบาท จริงๆ แล้วหมายถึงรายได้รวมทั้งหมด และต้องทำโอที ทำงานแทบไม่มีวันหยุดจึงจะได้รายได้เท่านี้ ซึ่งเทียบรายได้ต่อชั่วโมงแล้วก็ยังถือว่าน้อย หากไปทำงานในโรงพยาบาลเอกชนจะมีรายได้มากกว่านี้อีก 40%
เมื่อต้องเจอกับสภาพการทำงานที่หนัก ค่าตอบแทนและสวัสดิการไม่จูงใจ โดนแช่แข็งอัตราจาก ก.พ. และสภาพเศรษฐกิจในปัจจุบันที่คนมีทางเลือกมากขึ้น ก็ทำให้พยาบาลจบใหม่เข้าสู่ระบบน้อยลง และคนที่มีอยู่แล้วก็รักษาให้อยู่ในระบบไม่ได้
อุปนายกสภาการพยาบาล ให้ตัวเลขว่า ปัจจุบันมีพยาบาลที่มีใบอนุญาตอยู่ 1.8 แสนคน แต่อยู่ในระบบประมาณ 1.3 แสนคน ขณะที่ความต้องการพยาบาลปี 2558 ต้องการ 1.6 แสนคน ยังขาดอยู่ 3 หมื่นคน และมีการคาดการณ์ว่าในปี 2562 อัตราการขาดแคลนพยาบาลจะเพิ่มขึ้นอีกเป็น 5 หมื่นคน ขณะที่สถานศึกษาที่ผลิตพยาบาลเข้าสู่ระบบ สามารถผลิตได้ปีละ 1 หมื่นคน ในจำนวนนี้ เข้าสู่ระบบประมาณ 80% และค่อยๆ ลาออกในช่วง 5 ปีแรก จนสุดท้ายเหลือในระบบเพียงครึ่งเดียว
ถามว่าเรียนจบแล้วไม่เป็นพยาบาล แล้วไปทำอะไร ต้องเข้าใจว่าเศรษฐกิจสังคมปัจจุบันมีทางเลือกมากขึ้น เมื่อเป็นพยาบาลแล้วเจองานหนัก ค่าตอบแทนไม่จูงใจ เขาก็ลาออกไปทำอาชีพอื่น ส่วนใหญ่ก็ไปสมัครเป็นแอร์โฮสเตส เพราะค่าตอบแทนมากกว่าเป็นพยาบาล 10 เท่า ยิ่งเปิดสายการบินใหม่ๆ มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งขาดแคลนพยาบาลมากเท่านั้น นอกจากนี้แล้วก็มีงานในบริษัทประกัน ซึ่งต้องการคนที่มีความรู้ด้านการแพทย์ไปทำงานด้วย เป็นงานในออฟฟิศ สบายกว่าเป็นพยาบาล ที่เหลือก็ไปประกอบอาชีพส่วนตัว เช่น เปิดสปา เป็นต้นอุปนายกสภาการพยาบาล กล่าว
ทั้งนี้ หากดูอายุเฉลี่ยของพยาบาลในปัจจุบัน ตัวเลขจะอยู่ที่ 45.7 ปี ถือว่าสูงอายุ อีกสิบกว่าปีก็จะเกษียณ และทุกวันนี้ก็มีพยาบาลเกษียณปีละประมาณ 1 หมื่นคน ดังนั้นหากยังไม่สามารถผลิตบุคลากรเพิ่ม และปรับระบบให้จูงใจในการทำอาชีพนี้ อีก 10 ปี ประเทศไทยจะเกิดวิกฤติขาดแคลนพยาบาลอย่างรุนแรง
ถ้ารัฐตั้งเป้าดูแลสุขภาพของประชาชน แต่ทำไมปล่อยให้เราอยู่กันแบบนี้ พอบอกว่าคนไม่พอ ต้องเติมคนเข้ามา ก็ติดขัดระเบียบ ก.พ. ซึ่งฟรีสอัตราบรรจุข้าราชการโดยไม่ได้ดูถึงความจำเป็นของภาระงาน แล้วรัฐก็บอกว่าเป็นภาระงบประมาณ ไม่มีตำแหน่ง ไม่มีเงินจ้าง อ้าว แล้วไหนว่าจะจัดบริการสุขภาพที่มีคุณภาพแก่ประชาชนไง แล้วแบบนี้จะทำให้มีคุณภาพได้อย่างไร อุปนายกสภาการพยาบาล กล่าวทิ้งท้าย
Mon, 2015-04-27
http://www.hfocus.org/content/2015/04/9830