ผู้เขียน หัวข้อ: นับ ′เลอะเทอะ′ ยิ่งถมทับ...บ้านนี้เมืองนี้ไม่อนุญาตให้ภูมิปัญญาไทยเป็นผู้จัดการ  (อ่าน 1156 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
ไม่ว่าจะนั่งลงในวงสนทนาใด ต่างนั่งก้มหน้าถอนหายใจ

ไม่ว่าจะเป็นเสียงโทรศัพท์จากนักการเมืองผู้ยิ่งใหญ่ นักธุรกิจมากความสามารถ หรือเพื่อนพ้องพรรคพวกล้วนเหนื่อยหน่ายต่อความล้มเหลวกับการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมใหญ่

ไม่ว่าจะเจอหน้าใคร ล้วนแต่ส่ายหน้าหากันด้วยความอ่อนระอา

ประเทศไทยอยู่กับน้ำมายาวนาน คนไทยเติบโตมากับน้ำ

ปิง วัง ยม น่าน ไหลมาร่วมกันเป็นเจ้าพระยา เด็กอนุบาลยังรู้

ไหลจากเหนือ ผ่านภาคกลาง ผ่านกรุงเทพฯ ลงทะเลที่ปากน้ำสมุทรปราการ

เป็นอย่างนี้มาทุกปี

ประเทศที่มีชาวนาเป็นกระดูกสันหลัง ต่างเรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์จนเป็นภูมิธรรมปัญญาไทยว่าจะอยู่และจัดการกับ "ธรรมชาติของน้ำ" อย่างไร

อย่างน้อยให้เสียหายน้อยที่สุด

แม้แต่ชาวนาที่อ่านหนังสือไม่ออกก็รู้ว่า จะ "ผันน้ำเข้าหา" หรือ "ผันน้ำให้หลบข้าว" อย่างไร

ทว่า บ้านนี้เมืองนี้ไม่อนุญาตให้ภูมิปัญญาไทยเป็นผู้จัดการ

เราเชื่อวิศวกรจากหน่วยราชการที่ดูแลเรื่องน้ำ

เราเชื่อว่าความรู้ที่ร่ำเรียนกันมา และทำงานจนเติบใหญ่ในหน้าที่ราชการจะมีความสามารถ มีศักยภาพมากกว่าภูมิปัญญาชาวนาไทย

แล้วมหาอุทกภัยครั้งนี้ก็พิสูจน์

เป็นความเชื่อที่ "ห่วยแตก" สิ้นดี

เจ้าใหญ่นายโตที่ได้รับแต่งตั้งมาดูแลเรื่องน้ำ จากการวิ่งเต้นผู้มีอำนาจ ไม่มีความสามารถที่แท้จริง มุ่งแก้ปัญหาเอาใจผู้มีพระคุณมากกว่าที่จะช่วยเหลือดูแลประชาชน

เมื่อผสมกับการเมืองทั้งในระบบและนอกระบบที่ขัดแย้งแตกแยกกันรุนแรง ไม่อยากให้ใครดีกว่าใคร

เห็นปัญหาของประชาชนเป็นเครื่องมือทำลายคู่แข่ง

ที่สุดประเทศทั้งประเทศก็วินาศสันตะโร จากน้ำ

"น้ำ" ที่อยู่ร่วมกับคนมาหลายชั่วชีวิตชาวไทย

เศรษฐกิจเสียหายไปแล้วหลายแสนล้าน ชีวิตคนไทยเดือดร้อนแสนสาหัสทั้งในวันนี้ และน่าจะสาหัสยิ่งขึ้นในวันข้างหน้า
ต้นเหตุมาจากความขัดแย้งแตกแยกทางการเมือง และข้าราชการที่เอาแต่สอพลอผู้มีพระคุณจนเอาความเดือดร้อนของประชาชนไว้ทีหลัง

มันเป็นเรื่องน่าเศร้า

ได้แต่หวังกันว่ามหาวินาศของประเทศครั้งนี้จะเป็นบทเรียนให้ทุกฝ่ายสำนึก

สำนึกในความเห็นแก่ส่วนรวมมากกว่าส่วนตัว

สำนึกเหมือนชาวบ้านธรรมดาที่มีจิตอาสา ลงทุนลงแรงช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติผู้ประสบภัย

แต่นั่นก็เป็นแค่ความหวังที่ต่างคนต่างสั่นหัว เพราะมองไม่เห็นว่าจะเป็นขึ้นมาได้อย่างไร

เพราะตราบใดที่ยังเอาแต่ฉกฉวยโอกาสทางการเมืองจนเลยเถิด ถึงขั้นละเลยความเดือดร้อนของประชาชนในภาพรวม

และไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากนักการเมืองที่มีสำนึกอย่างนี้

การเป็นประชาชนประเทศนี้ก็มีแต่ทุกข์ท่วมใจ ไม่รู้จบรู้สิ้น

โดย สุชาติ ศรีสุวรรณ
(ที่มา คอลัมน์ที่เห็นและเป็นไป หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 23 ตุลาคม 2554)