22 เครือข่ายสุขภาพค้านตั้ง "เมดิคัลฮับโรงเรียนแพทย์" ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนายกฯ หวั่นกระทบการเข้าถึงการรักษาของคนไทย เหตุหมอพยาบาลสมองไหล แห่ให้บริการต่างชาติ
น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล กรรมการมูลนิธิเพื่อผู้บริโภค กล่าวว่า ตามที่ นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ให้เห็นชอบในหลักการและอนุมัติงบประมาณการจัดตั้งศูนย์บริการทางการแพทย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางระดับสูง หรือเมดิคัลฮับ (Medical Hub) โรงเรียนแพทย์ต่างๆ ทางเครือข่ายภาคีสุขภาพทั้งหมด 22 เครือข่าย อาทิ เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ประเทศไทย, มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค, มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ ฯลฯ ได้ทำหนังสือเปิดผนึกถึงนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ตรวจสอบการจัดตั้งเมดิคัลฮับในส่วนกลางและภูมิภาคให้เป็นไปตามมติ ครม. เรื่องมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 3 พ.ศ.2553 มตินโยบายการเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ เมื่อวันที่ 12 เม.ย.2554
น.ส.กรรณิการ์กล่าวว่า การผลักดันให้ไทยเป็นเมดิคัลฮับมีผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขไทยอย่างมาก แม้ในตัวเลขทางเศรษฐกิจอาจจะดูดี ดังนั้นขอให้รัฐ บาลดำเนินนโยบายนี้ตามมติ ครม.เดิมที่ให้ สธ.โดยกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ซึ่งรับผิดชอบการพัฒนาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ ระยะที่ 2 ร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการเฉพาะกิจของนายกรัฐมนตรีเพื่อพัฒนาประเทศไทยเป็นศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติด้านการรักษาพยาบาล ดำเนินนโยบายศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติที่ไม่กระทบต่อบริการสุขภาพสำหรับประชาชนไทย และต้องพัฒนากลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชา ชน ภาคเอกชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ทั้งนี้ จากงานศึกษาของ รศ.ดร.อัญชนา ณ ระนอง และ ดร.วิโรจน์ ณ ระนอง ที่เพิ่งตีพิมพ์ในวารสารวิชาการขององค์การอนามัยโลก ระบุว่า แม้ประเทศไทยจะมีรายได้มากขึ้น แต่ผลกระทบจากเมดิคัลฮับทำให้เกิดการขาดแคลนแพทย์ และทำให้ค่ารักษาพยาบาลแพงขึ้น โดยมีข้อเสนอให้เก็บภาษีจากผู้ป่วยต่างชาติที่เข้ามารับการรักษาเพื่อไปสนับสนุนการผลิตแพทย์ และรักษาอาจารย์แพทย์ไว้ในระบบ แต่ข้อเสนอนี้ถูกคัดค้านโดยรัฐบาลและภาคเอกชน
"จากมติสมัชชาสุขภาพให้ตระหนักถึงปัญหาทรัพยากรสุขภาพของประเทศมีอย่างจำกัด และปัจจุบันหมอและพยาบาลมีความขาดแคลนในภาพรวม ไม่กระจายตัว ทั้งๆ ที่การผลิตแพทย์และบุคลากรทางการแพทย์เกือบทั้งหมดล้วนใช้งบจากเงินภาษี แพทย์และพยาบาลจึงมีพันธกิจในการให้บริการสุขภาพเพื่อประชาชนคนไทยเป็นสำคัญ"
น.ส.กรรณิการ์กล่าวอีกว่า ในฐานะที่นายกรัฐมนตรีเป็นประธานทั้งในคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติและหัวหน้ารัฐบาล จึงควรดำเนินนโยบายที่ไม่กระทบและไม่สร้างปัญหาต่อระบบสาธารณสุขของไทย ดังนั้น พวกเราเครือข่ายภาคีภาคประชาชนที่ร่วมในกระบวนการพัฒนาระบบสุขภาพมาโดยตลอด ขอเรียกร้องให้ ครม.ทบทวนมติ ครม. วันที่ 15 ม.ค.2555 ซึ่งเป็นการประชุม ครม.สัญจรที่ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเห็นชอบแผนงานโครงการในพื้นที่ 8 จังหวัดภาคเหนือตอนบน จัดตั้งศูนย์บริการสุขภาพและศูนย์บริการสาธารณสุข (Medical Hub) ให้ จ.เชียงใหม่ เป็นศูนย์กลาง.
ไทยโพสต์ 7 กุมภาพันธ์ 2555