วันที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2566
เรื่อง ขอให้แพทยสภาพิจารณาปรับปรุงหลักสูตรแพทยศาสตรศึกษา หลักเกณฑ์การรับรองหลักสูตรแพทยศาสตรศึกษา และสถาบันผลิตแพทย์ รวมถึงการฝึกปฏิบัติงานหลังปริญญาในฐานะแพทย์ฝึกหัด เพื่อคุณภาพ และสมรรถนะของแพทยศาสตรบัณฑิต
เรียน นายกแพทยสภา และกรรมการแพทยสภา
สิ่งที่ส่งมาด้วย
1. บทความ มาตรฐาน และคุณภาพ แพทย์
2. บทความ มาตรฐาน และคุณภาพ แพทย์ ที่เผยแพร่ในเพจสมาพันธ์แพทย์ รพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไป พร้อมทั้งความคิดเห็นของผู้อ่าน และจำนวนการกดถูกใจและแสดงความรู้สึก
3. บทความ แพทยศาสตรศึกษาไทย.. จะไปทางไหน?
4. บทความ แพทยศาสตรศึกษาไทย.. จะไปทางไหน? ที่เผยแพร่ในเพจสมาพันธ์แพทย์ รพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไป พร้อมทั้งความคิดเห็นของผู้อ่าน และจำนวนการกดถูกใจและแสดงความรู้สึก
เนื่องจากปัจจุบันมีคณะแพทย์ใหม่ๆ เกิดขึ้นจำนวนมาก และแต่ละคณะต่างก็เพิ่มจำนวนการผลิต ทำให้มีแพทย์จบใหม่แต่ละปีประมาณ 3,000 คน และมีแนวโน้มว่าจำนวนแพทย์จบใหม่จะมากขึ้นในทุกๆ ปี การเพิ่มการผลิตแพทย์ส่งผลกระทบให้ทรัพยากรต่างๆ ต่อจำนวนนักศึกษาลดลง นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรแพทย์ใหม่ๆ บางหลักสูตรที่ลดมาตรฐานการผลิต รวมทั้งแพทย์ที่จบจากคณะแพทย์ในต่างประเทศบางคณะมีมาตรฐานการผลิตที่ต่ำกว่าคณะแพทย์ของไทย สิ่งเหล่านี้มีผลต่อคุณภาพแพทย์ และกระทบต่อสุขภาพอนามัยของประชาชนในที่สุด ทางสมาพันธ์ แพทย์รพ.ศูนย์/รพ.ทั่วไป มีข้อมูล และความคิดเห็น นำเสนอในประเด็นต่างๆ ดังนี้
1. จำนวนแพทย์โดยรวมในปัจจุบันเพียงพอแล้ว การเพิ่มอัตราผลิตมากเกินไปจะทำให้ขาดแคลนทรัพยากรในการผลิต
ปัจจุบันสัดส่วนแพทย์ต่อประชากรของไทยได้ตามมาตรฐานองค์การอนามัยโลก(1)(2)(3) เป้าหมาย
อัตรากำลังแพทย์กระทรวงสาธารณสุขจะเพียงพอในระยะเวลาไม่กี่ปี ตำแหน่งบรรจุข้าราชการจะไม่เพียงพอสำหรับแพทย์จบใหม่(4) นอกจากนี้อัตราการเกิด และจำนวนประชากรไทยยังลดลงต่อเนื่อง 4 ปีติดต่อกัน(2) ในภาพรวมจำนวนแพทย์ไม่น่าจะอยู่ในภาวะขาดแคลนเหมือนในอดีตแล้ว การผลิตแพทย์จำนวนมากส่งผลให้ทรัพยากรต่างๆ ต่อจำนวนนักศึกษาลดลง จนแพทยสภาต้องปรับลดจำนวนหัตถการที่ทำได้เมื่อจบแพทยศาสตรบัณฑิต และเมื่อจบโครงการแพทย์เพิ่มพูนทักษะลง นอกจากนี้แพทยสภายังต้องอนุญาต ให้ใช้สื่อการเรียนการสอน สื่ออิเล็กทรอนิกส์แทนได้ ในกรณีที่ไม่มีผู้ป่วยหรือหัตถการ(5)(6)
2. ควรมีระบบการคัดเลือกผู้เข้ารับการฝึกอบรมที่มีมาตรฐาน เพื่อให้ได้ผู้ที่มีความรู้พื้นฐานเพียงพอ
ผู้เข้ารับการฝึกอบรมควรมีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ที่ดี สถาบันฝึกอบรมไม่ควรคัดเลือกเอง
เพราะถือเป็นผู้ได้รับผลประโยชน์โดยตรง ทำให้การคัดเลือกมีอคติได้ ไม่ว่าอคตินั้นจะเกิดจาก ค่าบำรุงการศึกษา เงินบำรุงจากรัฐบาล ถือเป็นผลงานของผู้บริหาร หรือเป็นเกียรติยศของสถาบันก็ตาม การคัดเลือกควรกระทำโดยสถาบันด้านวิชาการที่มีความเป็นกลาง ได้แก่ กระทรวงการอุดมศึกษาหรือแพทยสภา หรือด้วยแบบทดสอบที่นานาชาติยอมรับ เช่น MCAT โดยกระทรวงการอุดมศึกษาหรือแพทยสภาเป็นผู้กำหนดคะแนนขั้นต่ำ
3. ควรปรับระยะเวลาการฝึกอบรมให้ได้ตามมาตรฐานสากล และเหมาะสมกับบริบทระบบสุขภาพไทย
หลักสูตรแพทย์ประเทศตะวันตกใช้ระยะเวลาฝึกอบรม 7-8 ปี ขึ้นไป แต่จบแล้วยังรักษาผู้ป่วยไม่ได้ ต้องฝึกอบรมแพทย์เฉพาะทางก่อน ส่วนหลักสูตรของไทยจบแล้วสามารถรักษาได้ทุกโรค กลับใช้ระยะเวลาเพียง 6 ปี จนแพทย์ไทยขาดทักษะและประสบการณ์ที่เพียงพอ กระทั่งแพทยสภาต้องจัดโครงการแพทย์เพิ่มพูนทักษะขึ้น ยังมีรายงานวิจัยพบว่านักศึกษาแพทย์ไทยประสบปัญหาสุขภาพจากการฝึกอบรมอย่างหนัก(7) นอกจากนี้ประมาณ 50 ปีก่อนนี้ หลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์ของไทยใช้เวลา 7 ปี แต่เนื่องจากมีความขาดแคลนแพทย์อย่างรุนแรง แพทยสภาจึงลดเวลาฝึกอบรมลงเหลือเพียง 6 ปี เพื่อให้แพทย์ไปทำงานในชนบทได้เร็วขึ้น ดังนั้นเมื่อปัจจุบันความขาดแคลนแพทย์ไม่รุนแรงเช่นในอดีตแล้ว ก็ควรปรับหลักสูตรฝึกอบรมกลับมาเป็น 7 ปีเช่นเดิม โดยศึกษาในสถานศึกษา 6 ปีเช่นเดิม แต่ควรให้ฝึกงานในสถานพยาบาลก่อนอีก 1 ปี จึงมีสิทธิสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม เพื่อมีเวลาฝึกอบรมนานขึ้น เพิ่มทักษะและประสบการณ์ ลดความหนักหน่วงในการฝึกอบรม ลดความกดดันบีบคั้น ลดปัญหาสุขภาพกายและใจ
4. หลักสูตรแพทย์ใหม่ๆ บางหลักสูตร ลดมาตรฐานในการผลิตลง
หลักสูตรใหม่ ได้แก่ หลักสูตรแพทย์ 4 ปี นำหลักสูตรของสหรัฐมาปรับใช้ โดยหลักสูตรสหรัฐรับผู้ที่จบปริญญาตรีแล้วเข้ารับการฝึกอบรม หลักสูตรการศึกษา 4 ปี ประกอบด้วย ศึกษาพื้นฐานการแพทย์ 2 ปี ศึกษาจากผู้ป่วยโดยตรง 2 ปี รวม 4 ปี จึงได้รับปริญญาแพทยศาสตร์ จากนั้นยังต้องฝึกงานอีก 1-3 ปี จึงมีสิทธิสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม(
ขณะที่หลักสูตรที่ไทยนำมาปรับใช้ หลักสูตรการศึกษา 4 ปีเช่นกัน แต่ลดเวลาศึกษาพื้นฐานการแพทย์เหลือเพียง 1.5 ปี ศึกษาจากผู้ป่วยโดยตรงเหลือเพียง 1 ปี อีก 1.5 ปี ไปดูเรื่องอื่นๆ เมื่อศึกษาครบ 4 ปีแล้ว สามารถสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมได้เลยโดยไม่ต้องฝึกงานก่อน(9) เป็นการลดมาตรฐานการฝึกอบรม ทั้งเมื่อเทียบกับหลักสูตรแพทย์ของสหรัฐและหลักสูตรแพทย์ปกติของไทย
หลักสูตรใหม่อีกหลักสูตรหนึ่ง คือ หลักสูตรแพทย์ 2 ปริญญา นำหลักสูตรพิเศษของสหรัฐมาปรับใช้ แต่หลักสูตรพิเศษของสหรัฐใช้เวลารวมอย่างน้อย 9 ปี ต้องจบปริญญาตรีสาขาวิทยาศาสตร์ชีวภาพหรือสาขาวิชาอื่นที่เรียนร่วมมาก่อน บางคณะระบุว่าต้องมีประสบการณ์การทำงานหรือค้นคว้าวิจัย(10)(11)(12)(13) นอกจากนี้การฝึกอบรมของสหรัฐยังไม่หนักหน่วงเหมือนหลักสูตรของไทยเพราะเมื่อจบแล้วไม่ต้องรักษาผู้ป่วย จึงมีพื้นฐานความรู้และเวลาเพียงพอที่จะศึกษาสองหลักสูตรพร้อมกัน และยังมีสายงานที่ไม่ต้องตรวจรักษาผู้ป่วยรองรับ ขณะที่หลักสูตร 2 ปริญญาของไทยใช้เวลาเพียง 6-7 ปี(14)(15)(16)(17)(18) รับผู้สมัครระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย และต้องฝึกอบรมอย่างหนัก ย่อมส่งผลกระทบต่อการฝึกอบรม และไม่มีสายงานที่ไม่ต้องตรวจรักษาผู้ป่วยรองรับ
5. คณะแพทยศาสตร์ที่มีหลักสูตรแพทยศาสตร์หลายหลักสูตร แพทยสภาควรพิจารณาแต่ละหลักสูตรแยกจากกัน
คณะแพทยศาสตร์บางคณะมีหลักสูตรแพทย์หลายหลักสูตร แต่ได้รับการรับรองหลักสูตรจากแพทยสภาเพียงหลักสูตรเดียว กลับใช้หลักสูตรที่ได้รับการรับรองแล้วมาประยุกต์ใช้ แล้วถือว่าผ่านการประเมินตามกันไปด้วย แต่การประยุกต์ หรือเพิ่มสาขาวิชาอื่นเข้าไปย่อมมีผลกระทบต่อหลักสูตรเดิม แพทยสภาจึงควรรับรองหลักสูตรของคณะแพทย์ทุกหลักสูตรแยกจากกัน
6. ควรมีข้อบังคับสำหรับการรับรองหลักสูตรของคณะแพทย์ต่างประเทศ เพื่อให้มีมาตรฐานไม่น้อยกว่าหลักสูตรแพทย์ของไทย
พบว่าแพทย์ที่จบการศึกษาจากคณะแพทย์ต่างประเทศอาจประสบปัญหา เช่น ระยะเวลาในฝึกอบรมน้อยกว่าหลักสูตรของไทย, ได้ศึกษาเฉพาะทฤษฎี มีโอกาสฝึกตรวจรักษาผู้ป่วยโดยตรงน้อย, บางประเทศต้องใช้เวลาในการฝึกอบรมตามปกติไปฝึกอบรมภาษาและหลักสูตรแพทย์พื้นเมือง, แพทยสภาของไทยไม่สามารถตรวจสอบมาตรฐานการผลิตยังที่ตั้งของคณะแพทย์นั้นๆ, ปัญหาการปรับตัวให้เข้ากับระบบการแพทย์ของไทย, การตรวจรักษาโรคที่พบได้บ่อยเฉพาะในประเทศไทย, การใช้ภาษาไทยในการตรวจรักษา(19)(20)(21)
แพทยสภาจึงควรออกข้อบังคับรับรองคณะแพทย์ต่างประเทศเฉพาะที่อยู่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว หรือคณะแพทย์ที่อยู่ในประเทศที่กำลังพัฒนา ที่ได้รับการรับรองโดยองค์กรที่น่าเชื่อถือและมีตัวแทนที่สามารถตรวจสอบมาตรฐานของคณะแพทย์อยู่ในประเทศนั้นๆ ได้แก่ WFME และคณะแพทย์นั้นๆจะต้องมีระยะเวลาในการฝึกอบรมทั้งพื้นฐานทางการแพทย์ ศึกษาจากผู้ป่วยโดยตรง และระยะเวลาการฝึกอบรมโดยรวม ไม่น้อยกว่าหลักสูตรของไทย หากมีระยะในการฝึกอบรมพื้นฐานทางการแพทย์น้อยกว่าหลักสูตรของไทย ควรมีการเปรียบเทียบหน่วยกิตแล้วทำการศึกษาเพิ่มเติมในเนื้อหาวิชาที่ยังขาด หากระยะเวลาในการศึกษาจากผู้ป่วยโดยตรงน้อยกว่าหลักสูตรของไทย ควรทำการฝึกงานเพิ่มเติมในประเทศนั้นๆมาก่อน หรือมาฝึกงานในประเทศไทยจนได้ระยะเวลาในการศึกษาจากผู้ป่วยโดยตรงไม่น้อยกว่าหลักสูตรของไทย และก่อนการสอบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมในประเทศไทยควรได้รับการฝึกงานในประเทศไทยก่อนอย่างน้อย 1 ปี เพื่อปรับตัวให้เข้ากับระบบการแพทย์ของไทย
7. แพทยสภาควรควบคุมมาตรฐานของหลักสูตร และคณะแพทย์ต่างๆ โดยใช้อำนาจตาม พรบ.วิชาชีพเวชกรรม
แม้ พรบ.การอุดมศึกษา มาตรา 16 จะบัญญัติว่า สภาวิชาชีพจะออกข้อบังคับหรือหลักเกณฑ์เพื่อจัดระเบียบการประกอบอาชีพโดยมีลักษณะเป็นการเลือกปฏิบัติหรือก้าวก่ายการจัดการศึกษาของสถาบันอุดมศึกษามิได้ แต่ พรบ.วิชาชีพเวชกรรม มาตรา 8 ได้ให้อำนาจแพทยสภาในการ รับรองปริญญา หลักสูตร และวิทยฐานะของสถาบันฝึกอบรม และออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรม ดังนั้นหากแพทยสภาไม่รับรองคณะหรือหลักสูตรใด ผู้ที่จบการศึกษาก็ไม่มีสิทธิสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม หรือแพทยสภายังสามารถควบคุมการเปิดของคณะแพทย์ที่ไม่พร้อม และหลักสูตรแพทย์ที่ไม่ได้มาตรฐานได้
8. แพทยสภาควรเผยแพร่รายชื่อหลักสูตร และคณะแพทย์ที่ผ่านการรับรอง เพื่อป้องกันปัญหาผู้สำเร็จการศึกษาแพทยศาสตรบัณฑิต ไม่มีสิทธิสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรมนักศึกษาที่จบจากคณะแพทย์ทั้งในและต่างประเทศที่ไม่ได้การรับรองจากแพทยสภา อาจประสบปัญหา
ไม่มีสิทธิสอบเพื่อรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพเวชกรรม ดังนั้นควรมีการแจ้งรายชื่อคณะและหลักสูตรแพทย์ทั้งในและต่างประเทศที่แพทยสภารับรอง ไปยังกระทรวงศึกษาธิการเพื่อเผยแพร่ให้นักเรียนที่สนใจเป็นประจำทุกปีและทุกครั้งที่มีการเพิ่มหรือลดจำนวนคณะหรือหลักสูตรแพทย์ที่ได้รับการรับรอง