แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 402 403 [404] 405 406 ... 536
6046
“วิทยา” เดินหน้าปรับโฉมหน้าบริการของ รพ.สต.9,750 แห่ง ทั่วประเทศ เป็นศูนย์สุขภาพใกล้บ้าน ใกล้ใจ มีบริการควบคู่ทั้งการแพทย์แผนปัจจุบัน และแผนไทย ตรวจรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภายในปี 2556 เริ่มในปีนี้ 1,000 แห่ง โดยติดตั้งระบบวิดีโอออนไลน์ ให้ผู้ป่วยได้พบแพทย์เฉพาะทาง ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลใหญ่ ขณะนี้พบหลายแห่งใช้ได้ผลดี
   
       วันนี้ (31 มี.ค.) ที่โรงแรมวรบุรีอโยธยา คอนเวนชั่น รีสอร์ท จ.พระนครศรีอยุธยา นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมชี้แจง และมอบนโยบายการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือรพ.สต.และศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองหรือ ศสม.เพื่อยกระดับความเข้มแข็งของระบบบริการขั้นปฐมภูมิของกระทรวงสาธารณสุข แก่นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สาธารณสุขอำเภอ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกระดับ ผู้แทนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต.และศูนย์สุขภาพชุมชนเมือง หรือ ศสม.ใน 29 จังหวัดภาคกลาง รวมกว่า 1,000 คน เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาคุณภาพบริการแก่ประชาชนในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ช่วงทศวรรษที่ 2 ให้มีสถานพยาบาลใกล้บ้านใกล้ใจ ให้เป็นรูปธรรม ประชาชนสัมผัสบริการได้จริง ภายใน 6 เดือนในปีนี้
      
       นายวิทยา กล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งพัฒนาคุณภาพระบบบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิ คือ รพ.สต.ที่มี 9,750 แห่ง ทั่วประเทศ และ ศสม.อีก 228 แห่ง ซึ่งเป็นหน่วยบริการในสังกัดที่ไม่มีเตียงรับผู้ป่วยนอนรักษา ตั้งอยู่ในเขตชนบท และชุมชนในเขตเมือง เพื่อให้สถานบริการเหล่านี้มีความเข้มแข็ง มีศักยภาพในการตรวจรักษาผู้ป่วยทั่วไป และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 2 โรค คือ เบาหวาน และความดันโลหิตสูง โดยจะเน้นหนักการดูแลส่งเสริมสุขภาพแก่ประชาชน เพื่อลดจำนวนผู้เจ็บป่วย ลดความแออัดผู้ป่วยในโรงพยาบาลใหญ่ให้เป็นผลสำเร็จภายในปี 2556 โดยในปี 2555 นี้ มีเป้าหมายพัฒนารพ.สต.ขนาดใหญ่ 1,000 แห่ง
      
       ในการพัฒนาดังกล่าว จะมีการเพิ่มบุคลากรทั้งแพทย์ พยาบาล ทันตาภิบาล เพิ่มแพทย์แผนไทยให้บริการตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนไทยและส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพร โดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะเป็นหมอประจำทุกครัวเรือน และมีแพทย์ที่ปรึกษาประจำ รพ.สต. 1,000 แหง และได้ให้รพ.สต.ทุกแห่งติดตั้งสไกป์ (Skype) ซึ่งเป็นระบบวิดีโอออนไลน์ ใช้เงินลงทุนต่ำมาก เชื่อมโยงระบบกับโรงพยาบาลแม่ข่าย เพื่อสามารถปรึกษาและสนทนากับแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลใหญ่ ในรายที่มีปัญหาซับซ้อนแพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยอาการผู้ป่วยได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่ จากการตรวจเยี่ยม รพ.สต.หลายแห่งที่ จ.นครปฐม สมุทรสงคราม ราชบุรี และพระนครศรีอยุธยา พบว่าได้ผลดี ประชาชนพึงพอใจมาก การเสริมบริการด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารนี้ จะทำให้สามารถบรรเทาปัญหาขาดแคลนแพทย์ได้
      
       ทั้งนี้ ตั้งเป้าในปี 2555 มุ่งหวังจะลดจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังไปใช้บริการที่โรงพยาบาลใหญ่ให้ได้ร้อยละ 50 ของที่เป็นอยู่ในขณะนี้ มั่นใจว่าภายในปี 2556 จะสามารถดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มอัตราการใช้บริการของประชาชนให้ได้ร้อยละ 60 และดูแลเยี่ยมบ้านประชาชนได้ร้อยละ 80 ส่วนผู้ป่วยทั้งโรคทั่วไป หรือโรคเรื้อรังที่ป่วยรุนแรงหรือมีอาการแทรกซ้อน จะมีระบบส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล

ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 มีนาคม 2555

6047
  “วิทยา” เผย เหตุระเบิดยะลา ดับ 11 ราย อีก 2 รายบาดเจ็บหนักเสี่ยงตาบอด เร่งกำชับทีมแพทย์ช่วยเหลือด่วน พร้อมเปิดศูนย์ประสานงานฉุกเฉิน
       
       นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีเกิด เหตุการณ์ระเบิดที่เทศบาลนครยะลา ถือว่าเป็นครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติการณ์ของจังหวัดยะลา ล่าสุด ณ เวลา 08.00 น.วันนี้ (1 เม.ย.) สรุปมีผู้เสียชีวิตทั้งหมด 11 ราย เป็นชาย 6 ราย หญิง 5 ราย โดยเสียชีวิต ณ ที่เกิดเหตุ 8 ราย และเสียชีวิตที่โรงพยาบาล 3 ราย เนื่องจากอาการบาดเจ็บรุนแรงมาก มีผู้บาดเจ็บทั้งหมด 127 ราย ซึ่งผู้บาดเจ็บทยอยมาที่โรงพยาบาลยะลา จนถึงเวลา 23.00 น.(31 มี.ค.) ทีมแพทย์ได้ดูแล ทำแผล ส่วนใหญ่กลับบ้านได้ มีผู้บาดเจ็บที่ต้องนอนรักษาตัว 31 ราย ในจำนวนนี้อาการสาหัส 10 ราย ส่วนใหญ่ถูกเปลวไฟลวก และสะเก็ดระเบิด โดยมี 5 รายที่ถูกไฟลวกตามร่างกายรุนแรงมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป แพทย์ต้องใส่ท่อช่วยหายใจและใช้เครื่องช่วยหายใจ นอนรักษาที่ห้องไอ.ซี.ยู.ในวันนี้เตรียมส่งรักษาต่อที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า 1 ราย คือ อาสาสมัครทหารพราน สุวิทย์ ช่วยนะ ซึ่งถูกไฟลวกเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ อยู่ระหว่างการประสานงานส่งต่อทางเครื่องบิน ซี 130
       
       ส่วนผู้บาดเจ็บสาหัสอีก 5 ราย ขณะนี้อาการปลอดภัยแต่มี 2 ราย ที่เสี่ยงตาบอด เนื่องจากถูกสะเก็ดระเบิดเข้าที่ลูกตาทำให้ตาแตก ซึ่งทั้งหมดนี้ทีมแพทย์โรงพยาบาลยะลา ซึ่งมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทุกสาขาได้ให้การดูแลอย่างเต็มที่
       
       นพ.สมชัย นิจพานิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ในวันนี้กระทรวงสาธารณสุข ได้เปิดศูนย์ประสานงานการบริการฉุกเฉินทุกสิทธิ์ รวดเร็ว ปลอดภัย ไร้รอยต่อ ของกระทรวงติดตามการให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินของสถานบริการในสังกัดกว่า 800 แห่งทั่วประเทศ ตามนโยบายของรัฐบาล คือ เจ็บป่วยฉุกเฉิน รักษาทุกที่ ทั่วถึงทุกคน เพื่อให้การขับเคลื่อนบริการประชาชนเป็นไปด้วยดี โดยมีสายด่วนเบอร์โทร 02-590-1994 มี 10 คู่สาย เบอร์โทรสาร 02-590-1993 ประสานงานสำหรับเจ้าหน้าที่ในการจัดบริการประชาชน ขณะเดียวกัน สปสช.ได้เปิดสายด่วนให้บริการประชาชนในเรื่องนี้ด้วย ทางสายด่วน 1330 โดยหากประชาชนเจ็บป่วยฉุกเฉินสามารถโทร.แจ้ง หน่วยกู้ชีพฉุกเฉิน ฟรีทั่วประเทศ ทางหมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 เมษายน 2555

6048
สธ.” ส่งแพทย์ ทันตแพทย์ เภสัชป้ายแดง ลงทำงานในโรงพยาบาลในสังกัด ปีนี้ 2,468 คน เผยในปี 2555 นี้ กระทรวงสาธารณสุขยังขาดแคลนบุคลากรทั้ง 3 วิชาชีพมากถึง 14,681 คน
       
       วันนี้ (1 เม.ย.) ที่โรงแรมสีดารีสอร์ท จ.นครนายก นพ.โสภณ เมฆธน รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดอบรม ปฐมนิเทศ แพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกรที่จบใหม่ในปีการศึกษา 2555 เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนที่จะไปปฏิบัติงานในหน่วยงานต่างๆของกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ
       
       นพ.โสภณกล่าวว่า ในปีนี้มีบุคลากรที่สำเร็จการศึกษา และทำงานในโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ จำนวน 2,468 คน ประกอบด้วยแพทย์ 1,676 คน ทันตแพทย์ 472 คน และเภสัชกร 320 คน การปฐมนิเทศในครั้งนี้ เพื่อให้แพทย์จบใหม่ที่เข้ามาทำงานกับกระทรวงสาธารณสุขทุกคน เข้าใจในภาระหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุข รับทราบแนวนโยบายแนวทางการปฏิบัติงาน และเรียนรู้ประสบการณ์ต่างๆจากแพทย์รุ่นพี่ เพื่อนำไปปรับใช้ในการทำงานได้อย่างเหมาะสม
       
       นพ.โสภณกล่าวต่อว่า อัตรากำลังคนของกระทรวงสาธารณสุขในปี 2555 โดยเฉพาะสาขาแพทย์ ทันตแพทย์ และเภสัชกร ยังมีความต้องการเพิ่มอีกร้อยละ 20-60 ของจำนวนที่มีอยู่ขณะนี้ เพื่อกระจายบริการประชาชนอย่างทั่วถึง ในภาพรวมทั่วประเทศ มีความต้องการแพทย์ 40,620 คน แพทย์ 1 คน ต่อประชากร 1,800 คน ทันตแพทย์ 12,300 คน หรือ 1 คน ต่อประชากร 1,600 และเภสัชกร 14,560 คน เฉลี่ย 1 คน ต่อประชากร 7,500 คน โดยบุคลากรทั้ง 3 สาขาวิชาชีพที่อยู่ในสังกัดกระทรวงสาธารณสุขข้อมูลล่าสุด ณ เดือนกุมภาพันธ์ 2555 มีแพทย์ทั้งหมด 12,252 คน คิดเป็นร้อยละ 59 ของกรอบอัตรากำลังที่ควรจะมีคือ 20,855 คน มีทันตแพทย์ทั้งหมด 3,747 คน คิดเป็นร้อยละ 44 ของกรอบอัตรากำลังที่ควรจะมีคือ 8,462 คน ส่วนจำนวนของเภสัชกรดีขึ้น มีปฏิบัติงานทั้งหมด 5,383 คน คิดเป็นร้อยละ 80 ของกรอบอัตรากำลังที่ควรจะเป็นคือ 6,736 คน รวมแล้วกระทรวงสาธารณสุขยังขาดแคลนบุคลากรทั้ง 3 วิชาชีพที่กล่าวมา 14,681 คน ซึ่งส่งผลกระทบต่อภาคบริการประชาชน โดยเฉพาะปัญหาผู้เจ็บป่วยต้องรอคิวตรวจรักษานาน
       
       ดังนั้น เพื่อเร่งแก้ไขปัญหาขาดแคลนบุคลากรดังกล่าว โดยเฉพาะแพทย์ ซึ่งเป็นที่พึ่งหลักของประชาชนที่เจ็บป่วย และมีปัญหาการกระจายกำลังในพื้นที่ชนบท กระทรวงสาธารณสุขได้จัดโครงการผลิตแพทย์เพื่อชนบทเพิ่มขึ้นจากระบบการผลิตปกติของคณะแพทยศาสตร์ต่างๆ ในโครงการกระจายแพทย์ 1 อำเภอ 1 ทุน ดำเนินการระหว่างปี 2548-2556 เป้าหมายผลิตจำนวน 3,232 ทุน เพื่อขยายโอกาสให้แก่คนที่เรียนในระดับอำเภอได้มีโอกาสเข้าเรียนแพทย์ เมื่อเรียนจบก็ให้ไปปฏิบัติงานชดใช้ทุนในอำเภอที่เป็นภูมิลำเนาของตนเอง เป็นเวลา 12 ปี ระหว่างเรียนรัฐก็จะมีค่าเล่าเรียนให้ด้วยคนละ 40,000 บาทต่อปี มีค่าเช่าหอพักเดือนละ 3,000 บาท และมีเงินเดือนให้ระหว่างเรียนเดือนละ 5,000 บาท จนจบการศึกษาตลอด 6 ปี จนถึงขณะนี้ มีผู้ได้รับทุนไปแล้ว 1,339 คน และปัจจุบันมีผู้เรียนสำเร็จออกมาแล้วทั้งหมด 115 คน


ASTVผู้จัดการออนไลน์    1 เมษายน 2555

6049
สธ.ตั้งศูนย์แพทย์ใกล้บ้านใกล้ใจเขตเมือง-ชนบท 1,500 แห่งภายในปี 57 เพิ่มคุณภาพบริการบัตรทอง  ทุกสิทธิการรักษามีการรักษาไม่แตกต่างกัน มีแพทย์แผนไทย-ทางเลือกเข้ามาเสริม ขยายเวลาบริการคลินิกนอกเวลา ดึงเอกชนเข้าร่วม และตั้งกองทุนฟื้นฟูสุขภาพคนแก่-คนพิการ...

นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข  กล่าวปาฐกถาพิเศษ “ก้าวต่อไปของระบบหลักประกันสุขภาพ ใน 4 ปีข้างหน้า” ในงานสัมมนาอนุกรรมการหลักประกันสุขภาพระดับเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ว่า รัฐบาลได้มอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข สร้างหลักประกันให้กับคนทุกคนให้สามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพได้ตามความจำเป็นและมีคุณภาพ มาตรฐานเท่าเทียมกัน ไม่ล้มละลายจากการเจ็บป่วย เริ่มตั้งแต่ พ.ศ.2545 เป็นต้นมา จนถึงขณะนี้ประชาชนไทยมีหลักประกันสุขภาพครอบคลุมกว่า 63 ล้านคน  คิดเป็นร้อยละ 99.36 ในจำนวนนี้อยู่ในสิทธิประกันสุขภาพถ้วนหน้ามากที่สุด 47.73 ล้านคน

สำหรับการพัฒนาโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า “30 บาทรักษาทุกโรค ยุคใหม่ ” ใน 4 ปีจากนี้ไป จะมุ่งเน้นคุณภาพบริการ มีนโยบายพัฒนา 4 เรื่อง ได้แก่

1.มีหมอ“ใกล้บ้านใกล้ใจ”หรือหมอประจำครอบครัวทั้งในเขตเมืองและเขตชนบท โดยในเขตชนบทจะดำเนินการในโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล 1,000 แห่ง มีพยาบาลวิชาชีพครบทุกตำบลอย่างน้อย 1 คน ส่วนในเขตเมืองตั้งเป้า 500 แห่ง ภายในปี 2557 โดยดึงคลินิกชุมชนอบอุ่น ศูนย์บริการสาธารณสุของค์กรปกครองท้องถิ่น และโรงพยาบาลขนาดเล็กของภาครัฐและเอกชน ร่วมเป็นหน่วยบริการประจำครอบครัว

2.มียาดีใช้เพียงพอ เพื่อให้ประชาชนได้รับยาดีที่จำเป็นเหมาะสมกับความเจ็บป่วย ทั้งยารักษาโรคทั่วไปและยาที่ราคาสูง ทุกสิทธิการรักษาไม่แตกต่างกัน สนับสนุนให้ใช้การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ทั้งการนวดรักษา ประคบหลังคลอด เพิ่มขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี จะพัฒนายาสมุนไพรเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ ไม่น้อยกว่า 100 ตัว ตั้งศูนย์บริการการแพทย์แผนไทย มีแพทย์แผนไทยประจำ 200 แห่ง และร้อยละ 50 ของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลมีบริการแพทย์แผนไทยพื้นฐาน

3.ให้บริการผู้ป่วยรวดเร็วขึ้น ไม่ต้องรอรักษานาน การลดคิวรักษาโรคสำคัญ เพิ่มห้องตรวจโรค ขยายเวลาบริการ เพิ่มคลินิกนอกเวลา เพิ่มเครือข่ายเอกชนเข้าร่วมบริการเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 เพิ่มการผ่าตัดในโรงพยาบาลเอกชนกรณีไม่เร่งด่วน และมีศูนย์สำรองเตียงโรง พยาบาลเอกชนเพิ่มขึ้น

4.เร่งรัดการสร้างสุขภาพ เพื่อลดอัตราป่วย ตาย และผลกระทบจากโรคเรื้อรังต่างๆ ตั้งเป้าคัดกรองกลุ่มเสี่ยงเบาหวาน ความดันโลหิตสูงร้อยละ 80 สร้างเสริมสุขภาพเด็ก สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ โดยสนับสนุนงบประมาณสร้างเสริมสุขภาพให้หน่วยบริการและกองทุนตำบล เด็กแรกเกิด - 5 ปี ทุกคนจะได้รับการคัดกรองภาวะขาดไอโอดีน ได้รับวัคซีนพื้นฐานครบเกณฑ์ และได้รับการดูแลช่องปากป้องกันฟันผุ ผู้หญิงได้รับการตรวจมะเร็งปากมดลูกไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ผู้สูงอายุ 2.1ล้านคนและใส่ฟันเทียมทั้งปาก 4.5 หมื่นคน ตั้งกองทุนฟื้นฟูสุขภาพผู้พิการ ผู้สูงอายุที่ช่วยตนเองไม่ได้อย่างน้อย 12 จังหวัด โดยดำเนินการร่วมกับท้องถิ่น

ไทยรัฐออนไลน์ 1 เมย 2555

6050
"วิทยา" เผย เตรียมดึงระบบวิดีโอออนไลน์ มาใช้ในรพ.สต. 1,000 แห่ง โดยให้รพ.สต.ทุกแห่งติดตั้งโปรแกรมสไกป์ เชื่อมโยงระบบกับโรงพยาบาลแม่ข่าย ให้ผู้ป่วยพบแพทย์เฉพาะทางใกล้บ้าน...

เมื่อวันที่ 31 มี.ค.2555 นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมชี้แจง และมอบนโยบายการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต. และศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองหรือ ศสม. เพื่อยกระดับความเข้มแข็งของระบบบริการขั้นปฐมภูมิของกระทรวงสาธารณสุข แก่นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สาธารณสุขอำเภอ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกระดับ ผู้แทนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือรพ.สต. และศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองหรือศสม.ใน 29 จังหวัดภาคกลางรวมกว่า 1,000 คน เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาคุณภาพบริการแก่ประชาชนในโครงการหลัก ประกันสุขภาพถ้วนหน้า ช่วงทศวรรษที่ 2 ให้มีสถานพยาบาลใกล้บ้านใกล้ใจ ให้เป็นรูปธรรม ประชาชนสัมผัสบริการได้จริง ภายใน 6 เดือนในปีนี้

รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งพัฒนาคุณภาพระบบบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิ คือรพ.สต. ที่มี 9,750 แห่ง ทั่วประเทศ และศสม.อีก 228 แห่ง ที่เป็นหน่วยบริการในสังกัดที่ไม่มีเตียงรับผู้ป่วยนอนรักษา ตั้งอยู่ในเขตชนบท และชุมชนในเขตเมือง เพื่อให้สถานบริการเหล่านี้มีความเข้มแข็ง มีศักยภาพในการตรวจรักษาผู้ป่วยทั่วไป และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 2 โรคคือเบาหวาน และความดันโลหิตสูง โดยจะเน้นหนักการดูแลส่งเสริมสุขภาพแก่ประชาชน เพื่อลดจำนวนผู้เจ็บป่วย ลดความแออัดผู้ป่วยในโรงพยาบาลใหญ่ให้เป็นผลสำเร็จภายในปี 2556 โดยในปี 2555นี้ มีเป้าหมายพัฒนารพ.สต.ขนาดใหญ่ 1,000 แห่ง

นายวิทยา กล่าวอีกว่า ในการพัฒนาดังกล่าว จะมีการเพิ่มบุคลากรทั้งแพทย์ พยาบาล ทันตาภิบาล เพิ่มแพทย์แผนไทยให้บริการตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนไทยและส่งเสริมการใช้ยา สมุนไพร โดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะเป็นหมอประจำทุกครัวเรือน และมีแพทย์ที่ปรึกษาประจำรพ.สต. 1,000 แหง และได้ให้ รพ.สต.ทุกแห่งติดตั้งโปรแกรมสไกป์ ( Skype) ที่เป็นระบบวิดีโอออนไลน์ ใช้เงินลงทุนต่ำมาก เชื่อมโยงระบบกับโรงพยาบาลแม่ข่าย เพื่อสามารถปรึกษาและสนทนากับแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลใหญ่ ในรายที่มีปัญหาซับซ้อนแพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยอาการผู้ป่วยได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่

รมว.สาธารณสุข กล่าวด้วยว่า จากการตรวจเยี่ยมรพ.สต.หลายแห่งที่จ.นครปฐม สมุทรสงคราม ราชบุรี และพระนครศรีอยุธยา พบว่าได้ผลดี ประชาชนพึงพอใจมาก การเสริมบริการด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารนี้ จะทำให้สามารถบรรเทาปัญหาขาดแคลนแพทย์ได้ ทั้งนี้ในปี 2555 ตั้งเป้าจะลดจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังไปใช้บริการที่โรงพยาบาลใหญ่ให้ได้ร้อย ละ 50 ของที่เป็นอยู่ในขณะนี้ มั่นใจว่าภายในปี 2556 จะสามารถดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มอัตราการใช้บริการของประชาชนให้ได้ร้อยละ 60 และดูแลเยี่ยมบ้านประชาชนได้ร้อยละ 80 ส่วนผู้ป่วยทั้งโรคทั่วไปหรือโรคเรื้อรังที่ป่วยรุนแรงหรือมีอาการแทรกซ้อน จะมีระบบส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล

ไทยรัฐออนไลน์  1 เมย 2555

6051
รมว.สาธารณสุข สั่งระดมทีมแพทย์ช่วยชีวิตเหยื่อคาร์บอมบ์ที่ยะลา เบื้องต้นเสียชีวิต 8 ราย บาดเจ็บ 68 ราย...

นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าเหตุคาร์บอมบ์ 3 จุด ที่บริเวณย่านร้านอาหาร เขตเทศบาลนครยะลา เมื่อเที่ยงวันนี้ ว่า ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการ รพ.ศูนย์ยะลา ว่า มีผู้เสียชีวิตทันที 8 ราย เป็นชาย 4 ราย หญิง 4 ราย ได้สั่งการให้ระดมหน่วยแพทย์ พยาบาล รถกู้ชีพไปช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บยังจุดที่เกิดเหตุ และให้เตรียมพร้อมคลังเลือด ห้องผ่าตัด ห้องไอซียู รวมถึงทีมแพทย์เฉพาะทางให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่

รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ข้อมูล ณ เวลา 14.00 น. มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 68 ราย นำเข้ารักษาที่ รพ.ศูนย์ยะลา ในจำนวนนี้อาการสาหัส 10 ราย ประมาณร้อยละ 50 ถูกไฟลวกและถูกสะเก็ดระเบิดตามร่างกาย โดยแพทย์ได้ทำการผ่าตัดด่วนเพื่อเอาสะเก็ดระเบิดออก ส่วนที่เหลือ 58 ราย บาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลาง อย่างไรก็ดี ประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงกับจุดระเบิด หากมีอาการผิดปกติ เช่น หูอื้อ เจ็บแน่นหน้าอก สามารถเข้ารับการรักษาที่ รพ.ศูนย์ยะลา ตลอด 24 ชั่วโมง.

ไทยรัฐออนไลน์  1 เมษายน พ.ศ.2555

6052
ผอ.รพ.หาดใหญ่ เผยรับผู้บาดเจ็บจากเหตุแก๊สระเบิดกว่า60คนยังลำเลียงส่งรพ.ต่อเนื่อง ผู้บาดเจ็บมีบาดแผลไฟไหม้สำลักควันหมดสติขาดเลือดกร๊ปเอ-โอ

เมื่อเวลา 14.45 น.แจ๊ค จักรพันธ์ จันทร์โอ นักแสดงช่อง 3 เป็น 1ในผู้ที่ติดอยู่ รร.ลีการ์เด้นท์ กำลังคลานขึ้นไปจากชั้น 8 ไปชั้น 12 รอความช่วยเหลือ

ด้านพนักงานศูนย์ข่าวภาคใต้ช่อง 9 ติดบนลีการ์เดนส์ชั้น 6 อีก 2 คนขอความช่วยเหลือด่วน เพราะควันหนาแน่นมาก

ขณะที่ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์(มอ.หาดใหญ่) ต้องการรับบริจาคเลือด กรุ๊ป เอ และ โอ เป็นการด่วน

ผอ.รพ.หาดใหญ่ เปิดเผยว่า รับผู้บาดเจ็บจากเหตุแก๊สระเบิดกว่า 60 คน ยังลำเลียงส่งรพ.ต่อเนื่อง ผู้บาดเจ็บมีบาดแผลไฟไหม้สำลักควันหมดสติ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  31 มีนาคม 2555

6053
อาชญากรรมสธ.สั่งระดมทีมแพทย์ช่วยเหยื่อบึ้มยะลา
 
“วิทยา” ระดมทีมแพทย์ช่วยชีวิตเหยื่อบึ้มยะลา เบื้องต้นตาย 8 ราย บาดเจ็บ 68 ราย ส่วนเหตุไฟไหม้ที่โรงแรมในหาดใหญ่พบผู้สำลักควันไฟ 50 ราย

วันนี้(31มีนาคม 2555) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุระเบิด 3 จุด ที่บริเวณย่านร้านอาหาร เทศบาลเมือง จังหวัดยะลา เมื่อเที่ยงวันนี้ ว่า ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ยะลาว่า  มีผู้เสียชีวิตทันที 8 ราย เป็นชาย 4 ราย หญิง 4 ราย ได้สั่งการระดมหน่วยแพทย์ พยาบาล รถกู้ชีพไปช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บยังจุดที่เกิดเหตุ   และให้เตรียมพร้อมคลังเลือด ห้องผ่าตัด  ห้องไอซียู  และทีมแพทย์เฉพาะทาง ให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่

นายวิทยากล่าวว่า ข้อมูล ณ เวลา 14.00 น. มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 68 ราย นำเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา  ในจำนวนนี้อาการสาหัส 10 ราย  ประมาณร้อยละ 50 ถูกไฟลวก  และถูกสะเก็ดระเบิดตามร่างกาย  โดยแพทย์ได้ทำการผ่าตัดด่วนเพื่อเอาสะเก็ดระเบิดออก   ส่วนที่เหลือ 58 ราย บาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลางอย่างไรก็ดี ประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงกับจุดระเบิด หากมีอาการผิดปกติ เช่นหูอื้อ  เจ็บแน่นหน้าอก สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลาตลอด 24 ชั่วโมง   

สำหรับเหตุไฟไหม้จากท่อส่งแก๊สระเบิดชั้น 3 ที่โรงแรมลีการ์เดนส์  อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา  ได้ระดมหน่วยแพทย์กูชีพจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ ไปให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ  ในเบื้องต้นพบผู้สำลักควันไฟ  นำส่งโรงพยาบาลหาดใหญ่ 30 ราย และส่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ 20 ราย  วันนี้ได้สั่งการให้นายแพทย์บุญเรือง  ไตรเรืองวรวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา และยะลา  เพื่ออำนวยการดูแลผู้บาดเจ็บให้ได้รับความปลอดภัยในชีวิตสูงสุด โดยผู้บาดเจ็บทุกราย กระทรวงสาธารณสุขจะให้การรักษาฟรีตามนโยบายการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน 

โพสต์ทูเดย์  31 มีนาคม 2555

6054
อธิบดีดีเอสไอคาดมีข้าราชการระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขร่วมมือคนนอกลักลอบนำเข้ายาซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด เชื่อโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนปันผลกำไรกันเอง แนะสธ.ไม่ควรแยกสอบทางวินัยผู้ที่เกี่ยวข้อง หวั่นอาจสาวไม่ถึงตัวการใหญ่
       
       วันนี้ (31 มี.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงกรณีปัญหาการรั่วไหลของยาที่มีสารซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดเป็นส่วนผสมไปใช้นอกระบบการควบคุม โดยมีการลักลอบสั่งซื้อผ่านหลายโรงพยาบาลว่า เรื่องดังกล่าวต้องสืบสวนในทางลึก ซึ่งคาดว่ามีข้าราชการระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และคนนอกกระทรวงร่วมมือกัน ส่วนการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยของ สธ. เป็นการแยกสอบ ซึ่งตนเห็นว่าไม่ควรต้องแยกกัน เนื่องจากอาจสาวไม่ถึงตัวการใหญ่ ซึ่งต้องแก้ไขที่ระบบ โดยเฉพาะด่านตรวจคนเข้าเมือง เนื่องจากตัวเลขการลักลอบสูงถึง 83 เปอร์เซ็นต์ และขณะนี้มีข้อมูลมากพอสมควรที่ทำให้ทราบว่ามีการนำยามาแบ่งปัน และแบ่งผลกำไรกัน ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ และเอกชน ซึ่งดีเอสไอกำลังเร่งตรวจสอบให้ทราบถึงการเชื่อมโยงของการกระทำผิด ซึ่งเบื้องต้นทราบว่ามีกลุ่มเดียว แต่ส่งไปยังผู้ผลิตยาเสพติดหลายกลุ่ม
       
       “ในส่วนของตัวอักษรย่อ หลังสื่อมวลชนออกมาเปิดเผยนั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบเชิงลึกถึงความเกี่ยวข้องในขบวนการ ซึ่งหากบุคคลดังกล่าวเข้ามาให้ข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ก็จะกันเป็นพยานในคดี และเปิดโอกาสให้ชี้แจงข้อกล่าวหาได้” อธิบดีดีเอสไอกล่าว

ทีมข่าวอาชญากรรม    31 มีนาคม 2555
http://manager.co.th

6055
วันที่ 31 มีนาคม 2555   สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิสรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ได้จัดราชดำเนินเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละยาซูโดร่องหน ใครต้องรับผิดชอบ?” โดยมี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นาย พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข และประธานคณะทำงานป้องกันปราบปราม ฟื้นฟูและเยียวยาด้านยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข และภก.ประพนธ์ อางตระกูล ผอ.กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นวิทยากร

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ขณะนี้มีความชัดเจนว่ายาแก้หวัดที่ลักลอบออกจากระบบสาธารณสุขเพียง 17% ที่เหลือเป็นการลักลอบนำเข้าสูงถึง 83% โดยเฉพาะทางด่านสุวรรณภูมิ เนื่องจากมีหลายประเทศไม่ได้ควบคุมการส่งออกยานี้อย่างเข้มงวด โดยหิ้วเข้ามา แม้บริเวณด่านจะมีศุลกากรทำงานร่วมกับ อย. แต่ก็ยังมีปัญหาการทำงานกัน ดังนั้นเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาตรงนี้

นายธาริต กล่าวว่า ส่วนอักษรย่อผู้ที่เกี่ยวข้องและเปอร์เซ็นที่ปรากฎเป็นข่าว เป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ได้รับจากนายพสิษฐ์  ดีเอสไอตั้งสมมุติฐาน 2 ข้อจากข้อความประมาณ 5 บรรทัด คือ 1.อาจเป็นไปได้ว่า จะมีการแบ่งปันยาและส่งมอบกันไป เพื่อนำไปสู่กระบวนการช็อปปิ้งยาและนำไปผลิตยาเสพติดโดยตรง และ 2.เป็น การแบ่งปันผลประโยชน์หรือคอมมิชชั่น ข้อมูลนี้มีนัยสำคัญแน่นอน แต่ยังไม่ได้ชี้ชัดว่าจะเป็นสมมติฐานใด และการเชี่ยมโยงเกี่ยวกับผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุขและนักการเมืองทั้งในและ นอกกระทรวงสาธารณสุขจึงต้องตรวจสอบในเชิงลึก ส่วนตัวคิดว่า การสอบทุจริตทางวินัยหรือการสอบเรื่องความไม่ถูกในกระทรวงสาธารณสุข ต้องสอบในภาพรวมด้วย เพราะที่ผ่านมากระทรวงสอบแยกเป็นโรงพยาบาล ทำให้ไม่เชื่อมโยงไปยังผู้หลักผู้ใหญ่ กลายเป็นข้อจำกัดการสอบทั้งกระบวนการเพื่อขยายผล ตนเห็นว่า ควรจะมีการจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนแบบรวมศูนย์ และดึงคนนอกเข้าไปร่วมด้วย เช่น การสอบที่อาจจะพัวพันไปถึงผู้ใหญ่ในบางกระทรวง อาจจะเชิญ อัยการสูงสุด ดีเอสไอ กรมบัญชีกลาง เข้าไปร่วมด้วย

“แก้ไข ปัญหายาหวัดตอนนี้เป็นการแก้เฉพาะส่วน แต่การแก้ทั้งระบบลักลอบยามีการแก้หรือยัง และคิดจะแก้หรือไม่ ส่วนใหญ่เป็นการแก้ปลายเหตุเอาคนทำผิดมาลงโทษที่ป้องปรามได้ระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องแก้ที่ระบบ คนที่รับผิดชอบระบบต้องร่วมกันปรับปรุง ทั้งศุลกากร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และ อย. ส่วนปัญหาที่เกิดจากระบบสาธารณสุข ตั้งแต่ผู้บริหารลงไป ผู้ตรวจราชการ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และผู้อำนวยการโรงพยาบาล ลงไปถึงผู้ปฏิบัติก็ว่ากันไป” นายธาริต กล่าว และว่า กรณีหลักฐานรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ 5 บรรทัด ไม่ว่าจะสมมติฐานใดใน 2 ข้อ ก็ผิดอยู่ แต่ดีเอสไอจะทำได้เฉพาะคดีอาญา เมื่อถามว่า จะมีการเรียกผู้ที่มีชื่อทั้งหมดมาให้ข้อมูลหรือไม่ นายธาริต กล่าวว่า เบื้องต้นได้ตรวจสอบเชิงลึกแล้ว ตามชื่อ เบอร์โทรศัพท์ หลักฐานทางการเงิน จากนั้นจะเรียกมาสอบในฐานะพยานเพื่อดูว่ามีข้อแก้ตัวอย่างไร ก่อนที่จะแจ้งข้อกล่าวหา

ต่อ ข้อถามว่า ยาแก้หวัดที่หายไปจาก รพ.ดูเหมือนคนรับผิดอบมีเพียงเภสัชกรเท่านั้น นายธาริต กล่าวว่า กรณี ผอ.รพ.เราไม่ทิ้งประเด็นนี้ เพราะเป็นหัวหน้าส่วนราชการที่รับผิดชอบดูแล ดังนั้นต้องพิสูจน์ความรับผิดชอบต่อไป ดีเอสไอก็ต้องการปลาใหญ่ อาจจะไม่ได้หมายถึงแค่ ผอ.รพ. อาจจะไปถึงผู้ใหญ่กว่านั้นในกระทรวงสาธารณสุข เพราะชื่ออักษรย่อมันเชื่อมโยงไปถึงผู้ใหญ่ในกระทรวงตั้งแต่อดีตรัฐมนตรี ตามชื่อที่ตรวจสอบพบ ดีเอสไอก็ไม่อยากเห็นการดำเนินการที่ได้แต่ปลาซิว ปลาสร้อย  เพราะมันน่าจะมีกระบวนการ ไฟเขียว หรือเอื้ออำนวยให้กระทำผิด มิฉะนั้นคงไม่กล้าทำหลาย รพ. และหลายแห่ง ทั้งนี้อยากฝากผู้กระทำผิดว่า อย่าหนี ขอให้มาเป็นพยานให้ดีเอสไอ เมื่อถามว่าคิดว่าเภสัชกร รพ.อุดรธานียังมีชีวิตอยู่หรือไม่นายธาริต กล่าวว่า เชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่

นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข และประธานคณะทำงานป้องกันปราบปราม ฟื้นฟูและเยียวยาด้านยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในกระทรวงสาธารณสุขเกิดจากบุคคล ไม่ได้เกิดจากระบบ และตัวบุคคลที่ก่อให้เกิดปัญหาเป็นระดับปฏิบัติการเป็นส่วนใหญ่ ส่วนกรณีที่นายธาริตเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ไม่ใช่แยกสอบราย รพ.เพื่อจะได้เห็นภาพเชื่อมโยงกัน โดยดึงคนนอกเข้าไปร่วมด้วยนั้น ตนจะรับไปเสนอ รมว.สาธารณสุข เพราะอย่างที่บอกว่าการดำเนินการเอาผิดทางอาญายาก แต่การดำเนินการทางวินัยหรือปกครองจะง่ายกว่า

นายพสิษฐ์ กล่าวด้วยว่า ในวันจันทร์ที่ 2 เม.ย. คณะทำงานฯจะลงพื้นที่ รพ.เอกชน 2 แห่ง เนื่องจากมียาหายไปกว่า 9.2 แสน เม็ด นอกจากนี้ในสัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ภาคใต้ด้วย เนื่องจากได้รับรายงานจาก น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งดูแลพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้บางแห่งมีความน่าสงสัยเรื่องการใช้ยาเพราะ รพ.อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดแต่มีการสั่งซื้อยาดังกล่าวสูงมาก

ภก.ประพนธ์ อางตระกูล ผอ.กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 2 เม.ย. ทาง อย.จะมีการเสนอให้นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ลงนามประกาศยกระดับยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและ ประสาทประเภท2 และคาดว่าจะลงราชกิจจานุเบกษามีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. เป็นต้นไป ทั้งนี้หลังจากที่ประกาศให้ยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมซูโดอีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทแล้ว ในส่วนของคลินิกและ รพ.เอกชนจะต้องคืนยาที่อยู่ในสต็อกให้กับบริษัทยาภายใน 30 วัน แต่หากประสงค์ที่จะใช้ต่อจะต้องยื่นขอใบอนุญาตครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิต ประสาท โดยในพื้นที่ กทม.สามารถยื่นขอได้ที่ อย.ส่วนต่างจังหวัดให้ยื่นได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ซึ่งจะได้รับใบอนุญาตภายใน 3 วัน และในส่วนของบริษัทยาจะต้องยุติการผลิตยกเว้นการขออนุญาตจากอย.ซึ่งที่ผ่าน มามีบริษัทยาที่ผลิตยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมซูโดอีเฟดรีนจำนวน 63 แห่ง

  นอกจากนี้จากการตรวจสอบสต็อกยายาแก้หวัดที่มีส่วนผสมซูโดอีเฟดรีน วัตถุดิบที่เหลืออยู่ อย.มีประมาณ 20 ตัน ในส่วนของบริษัทยาพบว่ายังเหลือประมาณ 66 ล้านเม็ด สำหรับใน รพ.ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่เสร็จแต่คาดว่าจะเหลือประมาณ 20 ล้านเม็ด โดยทางอย.จะอนุญาตให้ใช้ยาดังกล่าวต่อไปได้อีก 1 ปี และหลังจากนั้นต้องทำลาย

มติชนออนไลน์   31 มีนาคม พ.ศ. 2555

6056
รมว.สธ.เผยความคืบหน้าสรุปกรณี 8 โรงพยาบาลรัฐ มีปัญหาเรื่องการสั่งซื้อยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน สั่งระงับซื้อพร้อมเดินหน้าลงโทษทางวินัยผู้ที่เกี่ยวข้อง ด้าน ผอ.รพ.ชลบุรีรีบแถลงยันไม่อยู่ในข่ายถูกตรวจสอบ ยันทำตามขั้นตอน...

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์หลังการประชุม อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุข ว่าได้รายงานที่ประชุมฯ เกี่ยวกับความคืบหน้าของการดำเนินการ กรณียาซูโดอีเฟดรีน มีข้าราชการมีส่วนเกี่ยวข้อง และได้ดำเนินการทางวินัย ดังนี้ ด้านการตรวจสอบข้อมูลจากการตรวจสอบข้อมูลการสั่งซื้อยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนของโรงพยาบาลรัฐ พบว่า มีปัญหาจำนวน 8 แห่งคือ โรงพยาบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี โรงพยาบาลทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ โรงพยาบาลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ โรงพยาบาลฮอด จังหวัดเชียงใหม่ โรงพยาบาลดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ โรงพยาบาลภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ โรงพยาบาลหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ โรงพยาบาลเสริมงาม จังหวัดลำปาง

นายวิทยา กล่าวว่า การดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข มีคำสั่งระงับการสั่งซื้อและสั่งจ่ายยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนแล้ว และแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนทางวินัย ข้าราชการของโรงพยาบาลผู้ที่มีส่วนที่เกี่ยวข้องจำนวน 7 แห่ง และสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขดังนี้ กรณีโรงพยาบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ นายสมชาย แซ่โค้ว ตำแหน่งเภสัชกรชำนาญการ และแจ้งความดำเนินคดีอาญาแล้ว ขณะนี้นายสมชาย แซ่โค้ว ได้ละทิ้งหน้าที่ราชการไปแล้ว และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วย

กรณีโรงพยาบาลทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการ 1 ราย และแจ้งความดำเนินคดีอาญาแล้ว และกระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งให้ข้าราชการ 2 ราย ไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรณีโรงพยาบาลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ กระทรวงสาธารณสุขได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ ข้าราชการ 2 ราย วินัยไม่ร้ายแรง 4 ราย แจ้งความดำเนินคดีอาญา และมีคำสั่งให้ ข้าราชการ 3 ราย ไปปฏิบัติราชการที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว กรณีโรงพยาบาลฮอด จังหวัดเชียงใหม่ กระทรวงสาธารณสุขได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการ 2 ราย และวินัยไม่ร้ายแรง 1 ราย และกระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งให้ ข้าราชการ 3 ราย ไปปฏิบัติราชการที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว

รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า กรณีโรงพยาบาลดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้าย แก่ ข้าราชการ 1 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวน และได้แจ้งความดำเนินคดีอาญาแล้ว กระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว กรณีโรงพยาบาลภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานสถานีตำรวจภูธรภูสิงห์ ไว้แล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไป กรณีโรงพยาบาลหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ตรวจสอบหลักฐานการนำยาเข้าคลังและหลักฐานการเบิกจ่ายแล้ว ไม่พบความผิดปกติในปริมาณการใช้และไม่พบการสูญหาย และมียาบางส่วนเภสัชกร ของโรงพยาบาลหนองกี่ เป็นผู้สั่งซื้อให้ตนเองโดยสวมสิทธิ์สั่งซื้อในนามโรงพยาบาล เพื่อนำยาดังกล่าวไปจำหน่ายในร้านขายยาของตน ขณะนี้จังหวัดบุรีรัมย์กำลังดำเนินการสอบสวนทางวินัย และกรณีโรงพยาบาลเสริมงาม จังหวัดลำปาง ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวน พบว่ามียอดสั่งซื้อยาจริงจำนวนหนึ่ง และมีอดีตเภสัชกร (ลาออกจากราชการไปก่อนหน้านี้แล้ว) เป็นผู้สั่งซื้อให้ตนเองโดยวิธีสวมสิทธิ์สั่งซื้อในนามโรงพยาบาลเสริมงาม และใช้เงินส่วนตัวจ่ายค่ายา แล้วได้นำยาดังกล่าวไปจำหน่ายในร้านขายยาของตนเอง

วันเดียวกัน นพ.ชาตรี ตันติยวรงค์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ชลบุรี แถลงว่า ตามที่มีหนังสือพิมพ์เสนอข่าวมีชื่อโรงพยาบาล จ.ชลบุรี มียาซูโดอีเฟดรีน อยู่ในข่ายถูกตรวจสอบด้วยนั้น พอมีข่าวออกมาทำให้มีคนโทรศัพท์มาสอบถามจนสายแทบไหม้ รวมทั้งนายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีด้วย ดังนั้นวันนี้จึงขอชี้แจงเรื่องนี้ผ่านสื่อมวลชน ว่าทางโรงพยาบาลศูนย์ชลบุรีมีการคุมเข้มในการซื้อ การจ่าย และตอนนี้ยาซูโดอีเฟดรีนของเราเหลืออยู่ในสต๊อกประมาณ 800,000 เม็ด และไม่มีการจ่ายแต่ได้เก็บเอาไว้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขสั่งห้าม ซึ่งสามารถให้ตรวจสอบได้.

ไทยรัฐออนไลน์  1 เมษายน พ.ศ.2555

6057
ศรีสะเกษ - ดีเอสไอส่งพนักงานสอบสวนลงพื้นที่อำเภอภูสิงห์ ศรีสะเกษ รวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน หายไปจาก รพ. ภูสิงห์ 250,000 เม็ด
       
       วันนี้ (30 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ สภ.ภูสิงห์ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการ สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้เดินทางไปยังพื้นที่ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ภูสิงห์ ที่ทางโรงพยาบาลภูสิงหได้เข้าแจ้งความไว้ เพื่อรับสำนวนการสอบสวนกรณียาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีนหายไปจากโรงพยาบาลภูสิงห์กว่า 250,000 เม็ดนั้น
       
       ขณะนี้ทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ทาง จ.ศรีสะเกษ แต่งตั้งขึ้นอยู่ระหว่างการสอบสวน ในส่วนของสำนวนที่ทางโรงพยาบาลได้เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้วนั้น ขณะนี้ ร.ต.อ.พิชิต เฉียบแหลม หัวหน้าพนักงานสอบสวน สภ.ภูสิงห์ เจ้าของคดีนี้ ได้เก็บสำนวน รวมทั้งข้อเท็จจริงจากผู้ที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นแล้ว และกำลังรอนำเสนอต่อที่ประชุมของกรมสอบสวนคดีพิเศษในวันที่ 2 เม.ย. นี้ ซึ่ง สภ.ภูสิงห์จะได้ส่งพนักงานสอบสวนเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย
       
       นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการ สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า ในวันนี้ตนได้เดินทางมารับทราบเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้น ซึ่งในเบื้องต้น ทาง สภ.ภูสิงห์ได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว และได้ขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.ภูสิงห์ไปปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว เนื่องจากทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษแล้ว โดยจะได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้นในวันที่ 2 เม.ย.ที่จะถึงนี้ จากนั้นตนก็จะเดินทางไปรับทราบผลการทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ทาง จ.ศรีสะเกษ มีคำสั่งแต่งตั้งขึ้นมาทำงานนี้ว่า การดำเนินงานมีอะไรคืบหน้าไปบ้างแล้ว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 มีนาคม 2555

6058
ทุกวันนี้เรามักได้ยินผู้ใหญ่บ่นกันหนาหูมากขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็ก บ้างก็ตำหนิว่าเด็กยุคนี้เอาแต่ใจตัวเอง ไม่สนใจสังคมรอบข้าง ไม่ช่วยเหลืองานบ้าน ทักษะชีวิตแย่ เล่นแต่เกม เมื่อหันมามองในด้านของพ่อแม่กันบ้าง ปฏิเสธไม่ได้ว่า พ่อแม่ก็ได้รับเสียงตำหนิด้วยเช่นกัน จากการสร้างปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การทอดทิ้งลูก ทารุณกรรม มีชู้ เสพยาเสพติด ติดการพนัน ฯลฯ
       
       บางที ปัญหาดังที่กล่าวข้างต้นอาจเกิดจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างการขาดความใกล้ชิดสนิทสนมกันระหว่างพ่อแม่ลูกก็เป็นได้ วันนี้เราจึงรวบรวมข้อดีของการอยู่ใกล้ชิดกันในครอบครัวมาฝากท่านผู้อ่าน เผื่อว่าในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้จะได้ลองหากิจกรรมดี ๆ ทำร่วมกัน และใช้เวลาสร้างความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูกค่ะ ซึ่งประโยชน์ทั้ง 5 ข้อจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยค่ะ
       
       ประโยชน์ข้อที่ 1 เพื่อความสำเร็จของลูก
       
       พ่อแม่ทุกคนต่างต้องการเห็นลูกประสบความสำเร็จในชีวิต ได้ทำงานที่รัก และมีความสุขความพึงพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ การให้ความใกล้ชิดกับลูกช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกไปถึง "ความสำเร็จ" นั้นได้มากกว่าเด็กที่พ่อแม่ห่างเหิน อีกทั้งยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่าการที่พ่อแม่มีความใกล้ชิดผูกพันกับลูกสามารถช่วยให้ลูกรู้จักใช้จ่ายเงินเมื่อโตขึ้นอีกด้วย
       
       ประโยชน์ข้อที่ 2 ใกล้ชิดกับลูกช่วยลดปัญหา
       
       เด็กที่พ่อแม่ดูแลใกล้ชิด มีความสนิทสนม ไว้วางใจ สามารถปรึกษาปัญหากับพ่อแม่ได้ตลอดเวลานั้น มักมีปัญหาในชีวิตน้อยกว่าเด็กที่พ่อแม่ทอดทิ้ง หรือไม่ใส่ใจ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงที่ลูกจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว ติดยาเสพติด หรือปฏิเสธสังคมได้อีกด้วย
       
       ประโยชน์ข้อที่ 3 ใกล้ชิดกับลูกช่วยฝึกกระบวนการคิด
       
       การพูดคุยกับลูกเป็นการฝึกกระบวนการคิดของเด็กได้ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งใคร ๆ ทำก็คงไม่เหมือนพ่อแม่ทำ แต่ก็มีพ่อแม่บางส่วนไม่อยากชวนลูกคุย เพราะไม่ต้องการตอบคำถามของลูก เกรงว่าจะมีคำถามที่ตนเองตอบไม่ได้ เช่น คำถามเกี่ยวกับการเรียน แต่จริง ๆ แล้ว หากพ่อแม่ละทิ้งความกังวลในจุดนั้นเสีย กิจกรรมการพูดคุยกันระหว่างพ่อแม่ลูกก็จะมีประโยชน์กับเด็กมากกว่าค่ะ ยกตัวอย่างหัวข้อที่สามารถชวนลูกคุยได้เช่น การหยิบข่าวที่มีเด็กถูกลักพาตัวมาพูดคุยกับลูก รวมถึงตั้งคำถามว่าหากมีคนมาคุยกับลูก ชักชวนไปเล่นเกม กินขนม ลูกจะทำอย่างไร ฯลฯ ก็ได้เช่นกัน
       
       ประโยชน์ข้อที่ 4 ส่งต่อทักษะชีวิตจากพ่อแม่
       
       ไม่มีพ่อแม่คนไหนต้องการให้ลูกผิดพลาดซ้ำรอยตนเอง การถ่ายทอดประสบการณ์ บทเรียนที่พ่อแม่พบเจอมาผ่านการพูดคุยก็อาจสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก ๆ ได้ หรืออย่างน้อย หากลูกเจอเหตุการณ์เหมือนเช่นที่พ่อแม่เคยประสบมา พวกเขาอาจฉุกคิด และสามารถเอาตัวรอดได้
       
       ประโยชน์ข้อที่ 5 เป็นตัวอย่างให้ลูกเมื่อเขาต้องเป็นพ่อแม่ในอนาคต
       
       การที่ลูกได้รับความอบอุ่น และความใกล้ชิดจากพ่อแม่เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้จะฝังลงไปในส่วนลึกของจิตใจ และเมื่อเขาเป็นพ่อแม่ ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะหยิบตัวอย่างดี ๆ ที่พ่อแม่เคยทำกับเขามาใช้เช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่คุณทำวันนี้ไม่เพียงแต่มีผลต่อลูก ๆ เท่านั้น มันอาจส่งผลยาวไปถึงรุ่นหลานของคุณเลยก็ว่าได้ค่ะ
       
       ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเห็นคุณค่าในทุกวินาทีที่ยังมีชีวิตอยู่น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในครอบครัวตระหนักร่วมกัน เพราะสุดท้ายแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องจากกันในวันใดวันหนึ่ง หากเราใช้ชีวิตในทุกวันที่ทุกคนยังอยู่กันพร้อมหน้าให้เต็มที่ ทำดีต่อกันให้ถึงที่สุด อย่างน้อย เมื่อถึงวันที่ต้องลาจาก ภาพทุกภาพในความทรงจำของครอบครัวก็จะยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้ระลึกถึงนั่นเอง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 มีนาคม 2555

6059
เมื่อเอ่ยถึงการรับประทาน "รก" อวัยวะสำคัญที่ร่างกายผู้เป็นแม่สร้างขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองทารกน้อยในครรภ์ตลอด 9 เดือนอาจทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกยากจะบรรยาย แต่ก็มีนักแสดงสาวนาม January Jones จากซีรี่ย์ Mad Men ออกมายอมรับว่า เธอเป็นคนหนึ่งที่รับประทานรกของตัวเอง และเธอเชื่อว่า ด้วยสารอาหาร และวิตามินที่มีในรถนั้นทำให้เธอสามารถฟื้นคืนพลังกลับไปทำงานละครต่อได้
       
       โดยเธอกล่าวว่า การรับประทานรกของตัวเองเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกลังเลใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้รับประทาน มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด พร้อมกันนั้นเธอยังเอ่ยปากเชิญชวนให้คุณแม่ท่านอื่น ๆ ได้ลองรับประทานกันด้วยเช่นกัน พร้อมระบุว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ต่างก็รับประทานรกกัน มีเพียงมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวที่ปฏิเสธ
       
       แม้ว่าการรับประทานรกจะยังไม่ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา แต่ก็เริ่มมีรายงานว่า กระแสนิยมในการบริโภครกเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้น โดยมีการนำผลการวิจัยที่ระบุว่า ในบางประเทศ หรือบางวัฒนธรรม การรับประทานรกเด็กแรกเกิดเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาสร้างความน่าเชื่อถือร่วมด้วย
       
       โดยงานวิจัยนั้นอ้างว่า รกประกอบด้วยสารอาหารที่มีคุณค่า และสามารถป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด รวมถึงช่วยให้ร่างกายแม่หลังคลอดกลับคืนสู่สภาพเดิมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับประโยชน์ที่ร่างกายมนุษย์จะได้รับจากการบริโภครกมาประกอบแต่อย่างใด
       
       ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบริษัทหัวใส จับธุรกิจเกี่ยวกับกระแสนิยมการบริโภครกเด็กขึ้นมาอย่างจริง ๆ จัง ๆ ด้วย ซึ่งบริษัทเหล่านี้ได้นำเสนอบริการแปรรูปรกหลังคลอดของบรรดาคุณแม่จากทางโรงพยาบาล โดยนำมาทำให้แห้ง จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการแพ็ก และส่งมาให้คุณแม่ภายใน 2 - 3 วัน นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า บางคนนำรกมาทำอาหารประเภทสตูว์ หรือลาซานญ่า โดยใช้รกแทนเนื้อสัตว์ด้วย
       
       อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญบางรายให้ความเห็นว่า แนวคิดของธุรกิจดังกล่าวอาจไม่เหมาะสมนัก โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจแปรรูปรกนี้อวดอ้างสรรพคุณว่า การรับประทานรกสามารถช่วยป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
       
       ดร. Lauren F. Streicher แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์จาก Northwestern Medical School ให้ความเห็นว่า ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องบริโภครกของตัวเองเพราะคิดว่าสามารถยับยั้งการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หากเกิดอาการซึมเศร้าหลังคลอดควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า
       
เรียบเรียงจากรอยเตอร์
ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 มีนาคม 2555

6060
 ฝากไว้ก่อนเถอะ...
       จำไว้นะ...
       
       คำพูดเหล่านี้มักเป็นคำพูดของคนช่างโกรธ ที่มักจะฝากความแค้นของตนเองเอาไว้ยามเจอเหตุการณ์ หรือบุคคลที่ไม่น่าพึงพอใจ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเจ้าของความโกรธแต่อย่างใด เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่า ผู้ที่จดจำเรื่องราวไม่ดี ๆ ในอดีตได้อย่างแม่นยำนั้น ชีวิตมักจะเดินหน้าต่อไปได้ยาก
       
       เป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแกรนาดา ที่นักวิจัยได้ทำการประเมินผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวน 50 คน แบ่งเป็นชาย 25 คนและหญิงอีก 25 คน อายุของผู้เข้าร่วมมีตั้งแต่ 20 - 70 ปี โดยแบ่งการทดสอบออกเป็น 5 มิติ ผลออกมาคือทัศนคติของคน ๆ นั้นต่ออดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตนเอง จากนั้นจะมีการจัดกลุ่มตามโปรไฟล์ และผู้เข้าร่วมวิจัยต้องตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของตนเองทั้งในด้านจิตใจ และสุขภาพ
       
       จากการวิจัยพบว่า ด้านที่มีอิทธิพลต่อชีวิตสูงสุดต่อมนุษย์คือ อดีต มุมมองในแง่ลบที่มนุษย์มีต่ออดีตของตัวเอง มีความเชื่อมโยงกับสุขภาพของคน ๆ นั้นโดยตรง เนื่องจากคนที่มีทัศนคติในแง่ลบต่อตัวเองจากเหตุการณ์ในอดีตนั้นจะไร้ซึ่งพลังใจที่จะปรับตัวได้ยามที่ต้องเจอกับความยากลำบากในชีวิต
       
       นอกจากนั้น เขายังอาจมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้า หรือมีพฤติกรรมที่มีปัญหาได้อีกด้วย
       
       ขณะที่กลุ่มคนที่มีความสมดุลในชีวิตคือกลุ่มคนที่สามารถมองหาเรื่องราวดี ๆ จากเหตุการณ์ในอดีตได้ พวกเขามักเป็นคนที่สามารถประสบความสำเร็จได้ในอนาคต และมีพลังมากมายสำหรับตัวเองในการทำสิ่งต่าง ๆ
       
       อย่างไรก็ดี คนที่มีเป้าหมายในชีวิต และมุ่งหน้าทำความฝันให้เป็นจริงมากเกินไปนั้นก็อาจไม่ดีสักเท่าไร เพราะคนเหล่านี้จะยกเป้าหมายของตนเองเหนือทุกสิ่ง รวมถึงการมองข้ามประสบการณ์ดี ๆ ในชีวิต เพื่อนดี ๆ ไปด้วย
       
เรียบเรียงจากเดลิเมล
ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 มีนาคม 2555

หน้า: 1 ... 402 403 [404] 405 406 ... 536