แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 401 402 [403] 404 405 ... 535
6031
"วิทยา" เผย เตรียมดึงระบบวิดีโอออนไลน์ มาใช้ในรพ.สต. 1,000 แห่ง โดยให้รพ.สต.ทุกแห่งติดตั้งโปรแกรมสไกป์ เชื่อมโยงระบบกับโรงพยาบาลแม่ข่าย ให้ผู้ป่วยพบแพทย์เฉพาะทางใกล้บ้าน...

เมื่อวันที่ 31 มี.ค.2555 นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมชี้แจง และมอบนโยบายการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล หรือ รพ.สต. และศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองหรือ ศสม. เพื่อยกระดับความเข้มแข็งของระบบบริการขั้นปฐมภูมิของกระทรวงสาธารณสุข แก่นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สาธารณสุขอำเภอ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกระดับ ผู้แทนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือรพ.สต. และศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองหรือศสม.ใน 29 จังหวัดภาคกลางรวมกว่า 1,000 คน เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาคุณภาพบริการแก่ประชาชนในโครงการหลัก ประกันสุขภาพถ้วนหน้า ช่วงทศวรรษที่ 2 ให้มีสถานพยาบาลใกล้บ้านใกล้ใจ ให้เป็นรูปธรรม ประชาชนสัมผัสบริการได้จริง ภายใน 6 เดือนในปีนี้

รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า ขณะนี้ กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งพัฒนาคุณภาพระบบบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิ คือรพ.สต. ที่มี 9,750 แห่ง ทั่วประเทศ และศสม.อีก 228 แห่ง ที่เป็นหน่วยบริการในสังกัดที่ไม่มีเตียงรับผู้ป่วยนอนรักษา ตั้งอยู่ในเขตชนบท และชุมชนในเขตเมือง เพื่อให้สถานบริการเหล่านี้มีความเข้มแข็ง มีศักยภาพในการตรวจรักษาผู้ป่วยทั่วไป และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 2 โรคคือเบาหวาน และความดันโลหิตสูง โดยจะเน้นหนักการดูแลส่งเสริมสุขภาพแก่ประชาชน เพื่อลดจำนวนผู้เจ็บป่วย ลดความแออัดผู้ป่วยในโรงพยาบาลใหญ่ให้เป็นผลสำเร็จภายในปี 2556 โดยในปี 2555นี้ มีเป้าหมายพัฒนารพ.สต.ขนาดใหญ่ 1,000 แห่ง

นายวิทยา กล่าวอีกว่า ในการพัฒนาดังกล่าว จะมีการเพิ่มบุคลากรทั้งแพทย์ พยาบาล ทันตาภิบาล เพิ่มแพทย์แผนไทยให้บริการตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนไทยและส่งเสริมการใช้ยา สมุนไพร โดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะเป็นหมอประจำทุกครัวเรือน และมีแพทย์ที่ปรึกษาประจำรพ.สต. 1,000 แหง และได้ให้ รพ.สต.ทุกแห่งติดตั้งโปรแกรมสไกป์ ( Skype) ที่เป็นระบบวิดีโอออนไลน์ ใช้เงินลงทุนต่ำมาก เชื่อมโยงระบบกับโรงพยาบาลแม่ข่าย เพื่อสามารถปรึกษาและสนทนากับแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลใหญ่ ในรายที่มีปัญหาซับซ้อนแพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยอาการผู้ป่วยได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่

รมว.สาธารณสุข กล่าวด้วยว่า จากการตรวจเยี่ยมรพ.สต.หลายแห่งที่จ.นครปฐม สมุทรสงคราม ราชบุรี และพระนครศรีอยุธยา พบว่าได้ผลดี ประชาชนพึงพอใจมาก การเสริมบริการด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารนี้ จะทำให้สามารถบรรเทาปัญหาขาดแคลนแพทย์ได้ ทั้งนี้ในปี 2555 ตั้งเป้าจะลดจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังไปใช้บริการที่โรงพยาบาลใหญ่ให้ได้ร้อย ละ 50 ของที่เป็นอยู่ในขณะนี้ มั่นใจว่าภายในปี 2556 จะสามารถดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มอัตราการใช้บริการของประชาชนให้ได้ร้อยละ 60 และดูแลเยี่ยมบ้านประชาชนได้ร้อยละ 80 ส่วนผู้ป่วยทั้งโรคทั่วไปหรือโรคเรื้อรังที่ป่วยรุนแรงหรือมีอาการแทรกซ้อน จะมีระบบส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล

ไทยรัฐออนไลน์  1 เมย 2555

6032
รมว.สาธารณสุข สั่งระดมทีมแพทย์ช่วยชีวิตเหยื่อคาร์บอมบ์ที่ยะลา เบื้องต้นเสียชีวิต 8 ราย บาดเจ็บ 68 ราย...

นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ความคืบหน้าเหตุคาร์บอมบ์ 3 จุด ที่บริเวณย่านร้านอาหาร เขตเทศบาลนครยะลา เมื่อเที่ยงวันนี้ ว่า ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการ รพ.ศูนย์ยะลา ว่า มีผู้เสียชีวิตทันที 8 ราย เป็นชาย 4 ราย หญิง 4 ราย ได้สั่งการให้ระดมหน่วยแพทย์ พยาบาล รถกู้ชีพไปช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บยังจุดที่เกิดเหตุ และให้เตรียมพร้อมคลังเลือด ห้องผ่าตัด ห้องไอซียู รวมถึงทีมแพทย์เฉพาะทางให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่

รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ข้อมูล ณ เวลา 14.00 น. มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 68 ราย นำเข้ารักษาที่ รพ.ศูนย์ยะลา ในจำนวนนี้อาการสาหัส 10 ราย ประมาณร้อยละ 50 ถูกไฟลวกและถูกสะเก็ดระเบิดตามร่างกาย โดยแพทย์ได้ทำการผ่าตัดด่วนเพื่อเอาสะเก็ดระเบิดออก ส่วนที่เหลือ 58 ราย บาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลาง อย่างไรก็ดี ประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงกับจุดระเบิด หากมีอาการผิดปกติ เช่น หูอื้อ เจ็บแน่นหน้าอก สามารถเข้ารับการรักษาที่ รพ.ศูนย์ยะลา ตลอด 24 ชั่วโมง.

ไทยรัฐออนไลน์  1 เมษายน พ.ศ.2555

6033
ผอ.รพ.หาดใหญ่ เผยรับผู้บาดเจ็บจากเหตุแก๊สระเบิดกว่า60คนยังลำเลียงส่งรพ.ต่อเนื่อง ผู้บาดเจ็บมีบาดแผลไฟไหม้สำลักควันหมดสติขาดเลือดกร๊ปเอ-โอ

เมื่อเวลา 14.45 น.แจ๊ค จักรพันธ์ จันทร์โอ นักแสดงช่อง 3 เป็น 1ในผู้ที่ติดอยู่ รร.ลีการ์เด้นท์ กำลังคลานขึ้นไปจากชั้น 8 ไปชั้น 12 รอความช่วยเหลือ

ด้านพนักงานศูนย์ข่าวภาคใต้ช่อง 9 ติดบนลีการ์เดนส์ชั้น 6 อีก 2 คนขอความช่วยเหลือด่วน เพราะควันหนาแน่นมาก

ขณะที่ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์(มอ.หาดใหญ่) ต้องการรับบริจาคเลือด กรุ๊ป เอ และ โอ เป็นการด่วน

ผอ.รพ.หาดใหญ่ เปิดเผยว่า รับผู้บาดเจ็บจากเหตุแก๊สระเบิดกว่า 60 คน ยังลำเลียงส่งรพ.ต่อเนื่อง ผู้บาดเจ็บมีบาดแผลไฟไหม้สำลักควันหมดสติ

กรุงเทพธุรกิจออนไลน์  31 มีนาคม 2555

6034
อาชญากรรมสธ.สั่งระดมทีมแพทย์ช่วยเหยื่อบึ้มยะลา
 
“วิทยา” ระดมทีมแพทย์ช่วยชีวิตเหยื่อบึ้มยะลา เบื้องต้นตาย 8 ราย บาดเจ็บ 68 ราย ส่วนเหตุไฟไหม้ที่โรงแรมในหาดใหญ่พบผู้สำลักควันไฟ 50 ราย

วันนี้(31มีนาคม 2555) นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเหตุระเบิด 3 จุด ที่บริเวณย่านร้านอาหาร เทศบาลเมือง จังหวัดยะลา เมื่อเที่ยงวันนี้ ว่า ได้รับรายงานจากผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ยะลาว่า  มีผู้เสียชีวิตทันที 8 ราย เป็นชาย 4 ราย หญิง 4 ราย ได้สั่งการระดมหน่วยแพทย์ พยาบาล รถกู้ชีพไปช่วยชีวิตผู้บาดเจ็บยังจุดที่เกิดเหตุ   และให้เตรียมพร้อมคลังเลือด ห้องผ่าตัด  ห้องไอซียู  และทีมแพทย์เฉพาะทาง ให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บอย่างเต็มที่

นายวิทยากล่าวว่า ข้อมูล ณ เวลา 14.00 น. มีผู้ได้รับบาดเจ็บรวม 68 ราย นำเข้ารักษาที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา  ในจำนวนนี้อาการสาหัส 10 ราย  ประมาณร้อยละ 50 ถูกไฟลวก  และถูกสะเก็ดระเบิดตามร่างกาย  โดยแพทย์ได้ทำการผ่าตัดด่วนเพื่อเอาสะเก็ดระเบิดออก   ส่วนที่เหลือ 58 ราย บาดเจ็บเล็กน้อยถึงปานกลางอย่างไรก็ดี ประชาชนที่อยู่ใกล้เคียงกับจุดระเบิด หากมีอาการผิดปกติ เช่นหูอื้อ  เจ็บแน่นหน้าอก สามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลาตลอด 24 ชั่วโมง   

สำหรับเหตุไฟไหม้จากท่อส่งแก๊สระเบิดชั้น 3 ที่โรงแรมลีการ์เดนส์  อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา  ได้ระดมหน่วยแพทย์กูชีพจากโรงพยาบาลหาดใหญ่ ไปให้การช่วยเหลือผู้บาดเจ็บ  ในเบื้องต้นพบผู้สำลักควันไฟ  นำส่งโรงพยาบาลหาดใหญ่ 30 ราย และส่งโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ หาดใหญ่ 20 ราย  วันนี้ได้สั่งการให้นายแพทย์บุญเรือง  ไตรเรืองวรวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ลงพื้นที่จังหวัดสงขลา และยะลา  เพื่ออำนวยการดูแลผู้บาดเจ็บให้ได้รับความปลอดภัยในชีวิตสูงสุด โดยผู้บาดเจ็บทุกราย กระทรวงสาธารณสุขจะให้การรักษาฟรีตามนโยบายการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน 

โพสต์ทูเดย์  31 มีนาคม 2555

6035
อธิบดีดีเอสไอคาดมีข้าราชการระดับสูงกระทรวงสาธารณสุขร่วมมือคนนอกลักลอบนำเข้ายาซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นผลิตยาเสพติด เชื่อโรงพยาบาลของรัฐและเอกชนปันผลกำไรกันเอง แนะสธ.ไม่ควรแยกสอบทางวินัยผู้ที่เกี่ยวข้อง หวั่นอาจสาวไม่ถึงตัวการใหญ่
       
       วันนี้ (31 มี.ค.) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ กล่าวถึงกรณีปัญหาการรั่วไหลของยาที่มีสารซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตยาเสพติดเป็นส่วนผสมไปใช้นอกระบบการควบคุม โดยมีการลักลอบสั่งซื้อผ่านหลายโรงพยาบาลว่า เรื่องดังกล่าวต้องสืบสวนในทางลึก ซึ่งคาดว่ามีข้าราชการระดับสูงของกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และคนนอกกระทรวงร่วมมือกัน ส่วนการตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยของ สธ. เป็นการแยกสอบ ซึ่งตนเห็นว่าไม่ควรต้องแยกกัน เนื่องจากอาจสาวไม่ถึงตัวการใหญ่ ซึ่งต้องแก้ไขที่ระบบ โดยเฉพาะด่านตรวจคนเข้าเมือง เนื่องจากตัวเลขการลักลอบสูงถึง 83 เปอร์เซ็นต์ และขณะนี้มีข้อมูลมากพอสมควรที่ทำให้ทราบว่ามีการนำยามาแบ่งปัน และแบ่งผลกำไรกัน ทั้งโรงพยาบาลของรัฐ และเอกชน ซึ่งดีเอสไอกำลังเร่งตรวจสอบให้ทราบถึงการเชื่อมโยงของการกระทำผิด ซึ่งเบื้องต้นทราบว่ามีกลุ่มเดียว แต่ส่งไปยังผู้ผลิตยาเสพติดหลายกลุ่ม
       
       “ในส่วนของตัวอักษรย่อ หลังสื่อมวลชนออกมาเปิดเผยนั้น อยู่ระหว่างการตรวจสอบเชิงลึกถึงความเกี่ยวข้องในขบวนการ ซึ่งหากบุคคลดังกล่าวเข้ามาให้ข้อมูลต่อเจ้าหน้าที่ก็จะกันเป็นพยานในคดี และเปิดโอกาสให้ชี้แจงข้อกล่าวหาได้” อธิบดีดีเอสไอกล่าว

ทีมข่าวอาชญากรรม    31 มีนาคม 2555
http://manager.co.th

6036
วันที่ 31 มีนาคม 2555   สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ร่วมกับสถาบันอิสรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย ได้จัดราชดำเนินเสวนาในหัวข้อ “ชำแหละยาซูโดร่องหน ใครต้องรับผิดชอบ?” โดยมี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นาย พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข และประธานคณะทำงานป้องกันปราบปราม ฟื้นฟูและเยียวยาด้านยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข และภก.ประพนธ์ อางตระกูล ผอ.กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นวิทยากร

นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กล่าวว่า ขณะนี้มีความชัดเจนว่ายาแก้หวัดที่ลักลอบออกจากระบบสาธารณสุขเพียง 17% ที่เหลือเป็นการลักลอบนำเข้าสูงถึง 83% โดยเฉพาะทางด่านสุวรรณภูมิ เนื่องจากมีหลายประเทศไม่ได้ควบคุมการส่งออกยานี้อย่างเข้มงวด โดยหิ้วเข้ามา แม้บริเวณด่านจะมีศุลกากรทำงานร่วมกับ อย. แต่ก็ยังมีปัญหาการทำงานกัน ดังนั้นเรียกร้องให้ทุกฝ่ายได้ร่วมกันแก้ไขปัญหาตรงนี้

นายธาริต กล่าวว่า ส่วนอักษรย่อผู้ที่เกี่ยวข้องและเปอร์เซ็นที่ปรากฎเป็นข่าว เป็นหนึ่งในข้อมูลสำคัญที่ได้รับจากนายพสิษฐ์  ดีเอสไอตั้งสมมุติฐาน 2 ข้อจากข้อความประมาณ 5 บรรทัด คือ 1.อาจเป็นไปได้ว่า จะมีการแบ่งปันยาและส่งมอบกันไป เพื่อนำไปสู่กระบวนการช็อปปิ้งยาและนำไปผลิตยาเสพติดโดยตรง และ 2.เป็น การแบ่งปันผลประโยชน์หรือคอมมิชชั่น ข้อมูลนี้มีนัยสำคัญแน่นอน แต่ยังไม่ได้ชี้ชัดว่าจะเป็นสมมติฐานใด และการเชี่ยมโยงเกี่ยวกับผู้ใหญ่ในกระทรวงสาธารณสุขและนักการเมืองทั้งในและ นอกกระทรวงสาธารณสุขจึงต้องตรวจสอบในเชิงลึก ส่วนตัวคิดว่า การสอบทุจริตทางวินัยหรือการสอบเรื่องความไม่ถูกในกระทรวงสาธารณสุข ต้องสอบในภาพรวมด้วย เพราะที่ผ่านมากระทรวงสอบแยกเป็นโรงพยาบาล ทำให้ไม่เชื่อมโยงไปยังผู้หลักผู้ใหญ่ กลายเป็นข้อจำกัดการสอบทั้งกระบวนการเพื่อขยายผล ตนเห็นว่า ควรจะมีการจะตั้งคณะกรรมการสอบสวนแบบรวมศูนย์ และดึงคนนอกเข้าไปร่วมด้วย เช่น การสอบที่อาจจะพัวพันไปถึงผู้ใหญ่ในบางกระทรวง อาจจะเชิญ อัยการสูงสุด ดีเอสไอ กรมบัญชีกลาง เข้าไปร่วมด้วย

“แก้ไข ปัญหายาหวัดตอนนี้เป็นการแก้เฉพาะส่วน แต่การแก้ทั้งระบบลักลอบยามีการแก้หรือยัง และคิดจะแก้หรือไม่ ส่วนใหญ่เป็นการแก้ปลายเหตุเอาคนทำผิดมาลงโทษที่ป้องปรามได้ระดับหนึ่ง ดังนั้นจึงต้องแก้ที่ระบบ คนที่รับผิดชอบระบบต้องร่วมกันปรับปรุง ทั้งศุลกากร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) และ อย. ส่วนปัญหาที่เกิดจากระบบสาธารณสุข ตั้งแต่ผู้บริหารลงไป ผู้ตรวจราชการ นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) และผู้อำนวยการโรงพยาบาล ลงไปถึงผู้ปฏิบัติก็ว่ากันไป” นายธาริต กล่าว และว่า กรณีหลักฐานรายชื่อและเบอร์โทรศัพท์ 5 บรรทัด ไม่ว่าจะสมมติฐานใดใน 2 ข้อ ก็ผิดอยู่ แต่ดีเอสไอจะทำได้เฉพาะคดีอาญา เมื่อถามว่า จะมีการเรียกผู้ที่มีชื่อทั้งหมดมาให้ข้อมูลหรือไม่ นายธาริต กล่าวว่า เบื้องต้นได้ตรวจสอบเชิงลึกแล้ว ตามชื่อ เบอร์โทรศัพท์ หลักฐานทางการเงิน จากนั้นจะเรียกมาสอบในฐานะพยานเพื่อดูว่ามีข้อแก้ตัวอย่างไร ก่อนที่จะแจ้งข้อกล่าวหา

ต่อ ข้อถามว่า ยาแก้หวัดที่หายไปจาก รพ.ดูเหมือนคนรับผิดอบมีเพียงเภสัชกรเท่านั้น นายธาริต กล่าวว่า กรณี ผอ.รพ.เราไม่ทิ้งประเด็นนี้ เพราะเป็นหัวหน้าส่วนราชการที่รับผิดชอบดูแล ดังนั้นต้องพิสูจน์ความรับผิดชอบต่อไป ดีเอสไอก็ต้องการปลาใหญ่ อาจจะไม่ได้หมายถึงแค่ ผอ.รพ. อาจจะไปถึงผู้ใหญ่กว่านั้นในกระทรวงสาธารณสุข เพราะชื่ออักษรย่อมันเชื่อมโยงไปถึงผู้ใหญ่ในกระทรวงตั้งแต่อดีตรัฐมนตรี ตามชื่อที่ตรวจสอบพบ ดีเอสไอก็ไม่อยากเห็นการดำเนินการที่ได้แต่ปลาซิว ปลาสร้อย  เพราะมันน่าจะมีกระบวนการ ไฟเขียว หรือเอื้ออำนวยให้กระทำผิด มิฉะนั้นคงไม่กล้าทำหลาย รพ. และหลายแห่ง ทั้งนี้อยากฝากผู้กระทำผิดว่า อย่าหนี ขอให้มาเป็นพยานให้ดีเอสไอ เมื่อถามว่าคิดว่าเภสัชกร รพ.อุดรธานียังมีชีวิตอยู่หรือไม่นายธาริต กล่าวว่า เชื่อว่ายังมีชีวิตอยู่

นายพสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข และประธานคณะทำงานป้องกันปราบปราม ฟื้นฟูและเยียวยาด้านยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ปัญหาที่เกิดขึ้นในกระทรวงสาธารณสุขเกิดจากบุคคล ไม่ได้เกิดจากระบบ และตัวบุคคลที่ก่อให้เกิดปัญหาเป็นระดับปฏิบัติการเป็นส่วนใหญ่ ส่วนกรณีที่นายธาริตเสนอให้มีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงทั้งหมด ไม่ใช่แยกสอบราย รพ.เพื่อจะได้เห็นภาพเชื่อมโยงกัน โดยดึงคนนอกเข้าไปร่วมด้วยนั้น ตนจะรับไปเสนอ รมว.สาธารณสุข เพราะอย่างที่บอกว่าการดำเนินการเอาผิดทางอาญายาก แต่การดำเนินการทางวินัยหรือปกครองจะง่ายกว่า

นายพสิษฐ์ กล่าวด้วยว่า ในวันจันทร์ที่ 2 เม.ย. คณะทำงานฯจะลงพื้นที่ รพ.เอกชน 2 แห่ง เนื่องจากมียาหายไปกว่า 9.2 แสน เม็ด นอกจากนี้ในสัปดาห์หน้าจะลงพื้นที่ภาคใต้ด้วย เนื่องจากได้รับรายงานจาก น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งดูแลพื้นที่ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้บางแห่งมีความน่าสงสัยเรื่องการใช้ยาเพราะ รพ.อยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัดแต่มีการสั่งซื้อยาดังกล่าวสูงมาก

ภก.ประพนธ์ อางตระกูล ผอ.กองควบคุมวัตถุเสพติด สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กล่าวว่า ในวันจันทร์ที่ 2 เม.ย. ทาง อย.จะมีการเสนอให้นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ลงนามประกาศยกระดับยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและ ประสาทประเภท2 และคาดว่าจะลงราชกิจจานุเบกษามีผลบังคับใช้ทันทีตั้งแต่วันที่ 2 เม.ย. เป็นต้นไป ทั้งนี้หลังจากที่ประกาศให้ยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมซูโดอีเฟดรีนเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาทแล้ว ในส่วนของคลินิกและ รพ.เอกชนจะต้องคืนยาที่อยู่ในสต็อกให้กับบริษัทยาภายใน 30 วัน แต่หากประสงค์ที่จะใช้ต่อจะต้องยื่นขอใบอนุญาตครอบครองวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิต ประสาท โดยในพื้นที่ กทม.สามารถยื่นขอได้ที่ อย.ส่วนต่างจังหวัดให้ยื่นได้ที่สำนักงานสาธารณสุขจังหวัด (สสจ.) ซึ่งจะได้รับใบอนุญาตภายใน 3 วัน และในส่วนของบริษัทยาจะต้องยุติการผลิตยกเว้นการขออนุญาตจากอย.ซึ่งที่ผ่าน มามีบริษัทยาที่ผลิตยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมซูโดอีเฟดรีนจำนวน 63 แห่ง

  นอกจากนี้จากการตรวจสอบสต็อกยายาแก้หวัดที่มีส่วนผสมซูโดอีเฟดรีน วัตถุดิบที่เหลืออยู่ อย.มีประมาณ 20 ตัน ในส่วนของบริษัทยาพบว่ายังเหลือประมาณ 66 ล้านเม็ด สำหรับใน รพ.ตอนนี้ยังตรวจสอบไม่เสร็จแต่คาดว่าจะเหลือประมาณ 20 ล้านเม็ด โดยทางอย.จะอนุญาตให้ใช้ยาดังกล่าวต่อไปได้อีก 1 ปี และหลังจากนั้นต้องทำลาย

มติชนออนไลน์   31 มีนาคม พ.ศ. 2555

6037
รมว.สธ.เผยความคืบหน้าสรุปกรณี 8 โรงพยาบาลรัฐ มีปัญหาเรื่องการสั่งซื้อยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน สั่งระงับซื้อพร้อมเดินหน้าลงโทษทางวินัยผู้ที่เกี่ยวข้อง ด้าน ผอ.รพ.ชลบุรีรีบแถลงยันไม่อยู่ในข่ายถูกตรวจสอบ ยันทำตามขั้นตอน...

เมื่อวันที่ 30 มี.ค. นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์หลังการประชุม อ.ก.พ. กระทรวงสาธารณสุข ว่าได้รายงานที่ประชุมฯ เกี่ยวกับความคืบหน้าของการดำเนินการ กรณียาซูโดอีเฟดรีน มีข้าราชการมีส่วนเกี่ยวข้อง และได้ดำเนินการทางวินัย ดังนี้ ด้านการตรวจสอบข้อมูลจากการตรวจสอบข้อมูลการสั่งซื้อยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนของโรงพยาบาลรัฐ พบว่า มีปัญหาจำนวน 8 แห่งคือ โรงพยาบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี โรงพยาบาลทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ โรงพยาบาลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ โรงพยาบาลฮอด จังหวัดเชียงใหม่ โรงพยาบาลดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ โรงพยาบาลภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ โรงพยาบาลหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ โรงพยาบาลเสริมงาม จังหวัดลำปาง

นายวิทยา กล่าวว่า การดำเนินการของกระทรวงสาธารณสุข มีคำสั่งระงับการสั่งซื้อและสั่งจ่ายยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนแล้ว และแต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวนสอบสวนทางวินัย ข้าราชการของโรงพยาบาลผู้ที่มีส่วนที่เกี่ยวข้องจำนวน 7 แห่ง และสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขดังนี้ กรณีโรงพยาบาลอุดรธานี จังหวัดอุดรธานี ผู้ว่าราชการจังหวัดอุดรธานีได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ นายสมชาย แซ่โค้ว ตำแหน่งเภสัชกรชำนาญการ และแจ้งความดำเนินคดีอาญาแล้ว ขณะนี้นายสมชาย แซ่โค้ว ได้ละทิ้งหน้าที่ราชการไปแล้ว และสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขได้ตั้งกรรมการสอบข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ด้วย

กรณีโรงพยาบาลทองแสนขัน จังหวัดอุตรดิตถ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดอุตรดิตถ์ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการ 1 ราย และแจ้งความดำเนินคดีอาญาแล้ว และกระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งให้ข้าราชการ 2 ราย ไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข กรณีโรงพยาบาลกมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ กระทรวงสาธารณสุขได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้ายแรงแก่ ข้าราชการ 2 ราย วินัยไม่ร้ายแรง 4 ราย แจ้งความดำเนินคดีอาญา และมีคำสั่งให้ ข้าราชการ 3 ราย ไปปฏิบัติราชการที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว กรณีโรงพยาบาลฮอด จังหวัดเชียงใหม่ กระทรวงสาธารณสุขได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอย่างร้ายแรงแก่ข้าราชการ 2 ราย และวินัยไม่ร้ายแรง 1 ราย และกระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งให้ ข้าราชการ 3 ราย ไปปฏิบัติราชการที่ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว

รมว.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า กรณีโรงพยาบาลดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนทางวินัยอย่างร้าย แก่ ข้าราชการ 1 ราย ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินการของคณะกรรมการสอบสวน และได้แจ้งความดำเนินคดีอาญาแล้ว กระทรวงสาธารณสุขได้มีคำสั่งให้ไปปฏิบัติราชการที่สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุขแล้ว กรณีโรงพยาบาลภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ ผู้อำนวยการโรงพยาบาล ได้แจ้งความต่อเจ้าพนักงานสถานีตำรวจภูธรภูสิงห์ ไว้แล้ว ขณะนี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของผู้ว่าราชการจังหวัด เพื่อดำเนินการทางวินัยต่อไป กรณีโรงพยาบาลหนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ ตรวจสอบหลักฐานการนำยาเข้าคลังและหลักฐานการเบิกจ่ายแล้ว ไม่พบความผิดปกติในปริมาณการใช้และไม่พบการสูญหาย และมียาบางส่วนเภสัชกร ของโรงพยาบาลหนองกี่ เป็นผู้สั่งซื้อให้ตนเองโดยสวมสิทธิ์สั่งซื้อในนามโรงพยาบาล เพื่อนำยาดังกล่าวไปจำหน่ายในร้านขายยาของตน ขณะนี้จังหวัดบุรีรัมย์กำลังดำเนินการสอบสวนทางวินัย และกรณีโรงพยาบาลเสริมงาม จังหวัดลำปาง ผู้ว่าราชการจังหวัดลำปาง ได้แต่งตั้งคณะกรรมการสืบสวน พบว่ามียอดสั่งซื้อยาจริงจำนวนหนึ่ง และมีอดีตเภสัชกร (ลาออกจากราชการไปก่อนหน้านี้แล้ว) เป็นผู้สั่งซื้อให้ตนเองโดยวิธีสวมสิทธิ์สั่งซื้อในนามโรงพยาบาลเสริมงาม และใช้เงินส่วนตัวจ่ายค่ายา แล้วได้นำยาดังกล่าวไปจำหน่ายในร้านขายยาของตนเอง

วันเดียวกัน นพ.ชาตรี ตันติยวรงค์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศูนย์ชลบุรี แถลงว่า ตามที่มีหนังสือพิมพ์เสนอข่าวมีชื่อโรงพยาบาล จ.ชลบุรี มียาซูโดอีเฟดรีน อยู่ในข่ายถูกตรวจสอบด้วยนั้น พอมีข่าวออกมาทำให้มีคนโทรศัพท์มาสอบถามจนสายแทบไหม้ รวมทั้งนายคมสัน เอกชัย ผู้ว่าราชการจังหวัดชลบุรีด้วย ดังนั้นวันนี้จึงขอชี้แจงเรื่องนี้ผ่านสื่อมวลชน ว่าทางโรงพยาบาลศูนย์ชลบุรีมีการคุมเข้มในการซื้อ การจ่าย และตอนนี้ยาซูโดอีเฟดรีนของเราเหลืออยู่ในสต๊อกประมาณ 800,000 เม็ด และไม่มีการจ่ายแต่ได้เก็บเอาไว้ ตามที่กระทรวงสาธารณสุขสั่งห้าม ซึ่งสามารถให้ตรวจสอบได้.

ไทยรัฐออนไลน์  1 เมษายน พ.ศ.2555

6038
ศรีสะเกษ - ดีเอสไอส่งพนักงานสอบสวนลงพื้นที่อำเภอภูสิงห์ ศรีสะเกษ รวบรวมหลักฐานเพิ่มเติมยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน หายไปจาก รพ. ภูสิงห์ 250,000 เม็ด
       
       วันนี้ (30 มี.ค.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ สภ.ภูสิงห์ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการ สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ได้เดินทางไปยังพื้นที่ อ.ภูสิงห์ จ.ศรีสะเกษ เพื่อเข้าพบพนักงานสอบสวน สภ.ภูสิงห์ ที่ทางโรงพยาบาลภูสิงหได้เข้าแจ้งความไว้ เพื่อรับสำนวนการสอบสวนกรณียาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีนหายไปจากโรงพยาบาลภูสิงห์กว่า 250,000 เม็ดนั้น
       
       ขณะนี้ทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ทาง จ.ศรีสะเกษ แต่งตั้งขึ้นอยู่ระหว่างการสอบสวน ในส่วนของสำนวนที่ทางโรงพยาบาลได้เข้าแจ้งความไว้เป็นหลักฐานแล้วนั้น ขณะนี้ ร.ต.อ.พิชิต เฉียบแหลม หัวหน้าพนักงานสอบสวน สภ.ภูสิงห์ เจ้าของคดีนี้ ได้เก็บสำนวน รวมทั้งข้อเท็จจริงจากผู้ที่เกี่ยวข้องเสร็จสิ้นแล้ว และกำลังรอนำเสนอต่อที่ประชุมของกรมสอบสวนคดีพิเศษในวันที่ 2 เม.ย. นี้ ซึ่ง สภ.ภูสิงห์จะได้ส่งพนักงานสอบสวนเข้าร่วมประชุมในครั้งนี้ด้วย
       
       นายอังศุเกติ์ วิสุทธิ์วัฒนศักดิ์ พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ ชำนาญการ สำนักคดีความมั่นคง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวว่า ในวันนี้ตนได้เดินทางมารับทราบเกี่ยวกับคดีที่เกิดขึ้น ซึ่งในเบื้องต้น ทาง สภ.ภูสิงห์ได้ดำเนินการไปบ้างแล้ว และได้ขอกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจาก สภ.ภูสิงห์ไปปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการสืบสวนสอบสวนคดีดังกล่าว เนื่องจากทางกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษแล้ว โดยจะได้มีการประชุมร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับคดีที่เกิดขึ้นในวันที่ 2 เม.ย.ที่จะถึงนี้ จากนั้นตนก็จะเดินทางไปรับทราบผลการทำงานของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่ทาง จ.ศรีสะเกษ มีคำสั่งแต่งตั้งขึ้นมาทำงานนี้ว่า การดำเนินงานมีอะไรคืบหน้าไปบ้างแล้ว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 มีนาคม 2555

6039
ทุกวันนี้เรามักได้ยินผู้ใหญ่บ่นกันหนาหูมากขึ้นเกี่ยวกับพฤติกรรมของเด็ก บ้างก็ตำหนิว่าเด็กยุคนี้เอาแต่ใจตัวเอง ไม่สนใจสังคมรอบข้าง ไม่ช่วยเหลืองานบ้าน ทักษะชีวิตแย่ เล่นแต่เกม เมื่อหันมามองในด้านของพ่อแม่กันบ้าง ปฏิเสธไม่ได้ว่า พ่อแม่ก็ได้รับเสียงตำหนิด้วยเช่นกัน จากการสร้างปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น การทอดทิ้งลูก ทารุณกรรม มีชู้ เสพยาเสพติด ติดการพนัน ฯลฯ
       
       บางที ปัญหาดังที่กล่าวข้างต้นอาจเกิดจากสิ่งเล็ก ๆ อย่างการขาดความใกล้ชิดสนิทสนมกันระหว่างพ่อแม่ลูกก็เป็นได้ วันนี้เราจึงรวบรวมข้อดีของการอยู่ใกล้ชิดกันในครอบครัวมาฝากท่านผู้อ่าน เผื่อว่าในวันหยุดสุดสัปดาห์นี้จะได้ลองหากิจกรรมดี ๆ ทำร่วมกัน และใช้เวลาสร้างความผูกพันระหว่างพ่อแม่ลูกค่ะ ซึ่งประโยชน์ทั้ง 5 ข้อจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยค่ะ
       
       ประโยชน์ข้อที่ 1 เพื่อความสำเร็จของลูก
       
       พ่อแม่ทุกคนต่างต้องการเห็นลูกประสบความสำเร็จในชีวิต ได้ทำงานที่รัก และมีความสุขความพึงพอใจในชีวิตความเป็นอยู่ การให้ความใกล้ชิดกับลูกช่วยเพิ่มโอกาสให้ลูกไปถึง "ความสำเร็จ" นั้นได้มากกว่าเด็กที่พ่อแม่ห่างเหิน อีกทั้งยังมีงานวิจัยหลายชิ้นที่ชี้ว่าการที่พ่อแม่มีความใกล้ชิดผูกพันกับลูกสามารถช่วยให้ลูกรู้จักใช้จ่ายเงินเมื่อโตขึ้นอีกด้วย
       
       ประโยชน์ข้อที่ 2 ใกล้ชิดกับลูกช่วยลดปัญหา
       
       เด็กที่พ่อแม่ดูแลใกล้ชิด มีความสนิทสนม ไว้วางใจ สามารถปรึกษาปัญหากับพ่อแม่ได้ตลอดเวลานั้น มักมีปัญหาในชีวิตน้อยกว่าเด็กที่พ่อแม่ทอดทิ้ง หรือไม่ใส่ใจ อีกทั้งยังช่วยลดความเสี่ยงที่ลูกจะมีพฤติกรรมก้าวร้าว ติดยาเสพติด หรือปฏิเสธสังคมได้อีกด้วย
       
       ประโยชน์ข้อที่ 3 ใกล้ชิดกับลูกช่วยฝึกกระบวนการคิด
       
       การพูดคุยกับลูกเป็นการฝึกกระบวนการคิดของเด็กได้ดีวิธีหนึ่ง ซึ่งใคร ๆ ทำก็คงไม่เหมือนพ่อแม่ทำ แต่ก็มีพ่อแม่บางส่วนไม่อยากชวนลูกคุย เพราะไม่ต้องการตอบคำถามของลูก เกรงว่าจะมีคำถามที่ตนเองตอบไม่ได้ เช่น คำถามเกี่ยวกับการเรียน แต่จริง ๆ แล้ว หากพ่อแม่ละทิ้งความกังวลในจุดนั้นเสีย กิจกรรมการพูดคุยกันระหว่างพ่อแม่ลูกก็จะมีประโยชน์กับเด็กมากกว่าค่ะ ยกตัวอย่างหัวข้อที่สามารถชวนลูกคุยได้เช่น การหยิบข่าวที่มีเด็กถูกลักพาตัวมาพูดคุยกับลูก รวมถึงตั้งคำถามว่าหากมีคนมาคุยกับลูก ชักชวนไปเล่นเกม กินขนม ลูกจะทำอย่างไร ฯลฯ ก็ได้เช่นกัน
       
       ประโยชน์ข้อที่ 4 ส่งต่อทักษะชีวิตจากพ่อแม่
       
       ไม่มีพ่อแม่คนไหนต้องการให้ลูกผิดพลาดซ้ำรอยตนเอง การถ่ายทอดประสบการณ์ บทเรียนที่พ่อแม่พบเจอมาผ่านการพูดคุยก็อาจสร้างภูมิคุ้มกันให้ลูก ๆ ได้ หรืออย่างน้อย หากลูกเจอเหตุการณ์เหมือนเช่นที่พ่อแม่เคยประสบมา พวกเขาอาจฉุกคิด และสามารถเอาตัวรอดได้
       
       ประโยชน์ข้อที่ 5 เป็นตัวอย่างให้ลูกเมื่อเขาต้องเป็นพ่อแม่ในอนาคต
       
       การที่ลูกได้รับความอบอุ่น และความใกล้ชิดจากพ่อแม่เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้จะฝังลงไปในส่วนลึกของจิตใจ และเมื่อเขาเป็นพ่อแม่ ก็มีแนวโน้มว่าเขาจะหยิบตัวอย่างดี ๆ ที่พ่อแม่เคยทำกับเขามาใช้เช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่คุณทำวันนี้ไม่เพียงแต่มีผลต่อลูก ๆ เท่านั้น มันอาจส่งผลยาวไปถึงรุ่นหลานของคุณเลยก็ว่าได้ค่ะ
       
       ปฏิเสธไม่ได้ว่า การเห็นคุณค่าในทุกวินาทีที่ยังมีชีวิตอยู่น่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในครอบครัวตระหนักร่วมกัน เพราะสุดท้ายแล้ว มนุษย์ทุกคนต้องจากกันในวันใดวันหนึ่ง หากเราใช้ชีวิตในทุกวันที่ทุกคนยังอยู่กันพร้อมหน้าให้เต็มที่ ทำดีต่อกันให้ถึงที่สุด อย่างน้อย เมื่อถึงวันที่ต้องลาจาก ภาพทุกภาพในความทรงจำของครอบครัวก็จะยังเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงหัวเราะให้ระลึกถึงนั่นเอง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    30 มีนาคม 2555

6040
เมื่อเอ่ยถึงการรับประทาน "รก" อวัยวะสำคัญที่ร่างกายผู้เป็นแม่สร้างขึ้นในระหว่างตั้งครรภ์ ทำหน้าที่ปกป้องคุ้มครองทารกน้อยในครรภ์ตลอด 9 เดือนอาจทำให้หลายคนเกิดความรู้สึกยากจะบรรยาย แต่ก็มีนักแสดงสาวนาม January Jones จากซีรี่ย์ Mad Men ออกมายอมรับว่า เธอเป็นคนหนึ่งที่รับประทานรกของตัวเอง และเธอเชื่อว่า ด้วยสารอาหาร และวิตามินที่มีในรถนั้นทำให้เธอสามารถฟื้นคืนพลังกลับไปทำงานละครต่อได้
       
       โดยเธอกล่าวว่า การรับประทานรกของตัวเองเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกลังเลใจอยู่บ้าง แต่เมื่อได้รับประทาน มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คิด พร้อมกันนั้นเธอยังเอ่ยปากเชิญชวนให้คุณแม่ท่านอื่น ๆ ได้ลองรับประทานกันด้วยเช่นกัน พร้อมระบุว่า สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเผ่าพันธุ์อื่น ๆ ต่างก็รับประทานรกกัน มีเพียงมนุษย์เผ่าพันธุ์เดียวที่ปฏิเสธ
       
       แม้ว่าการรับประทานรกจะยังไม่ได้รับการรับรองจาก FDA สหรัฐอเมริกา แต่ก็เริ่มมีรายงานว่า กระแสนิยมในการบริโภครกเริ่มปรากฏให้เห็นมากขึ้น โดยมีการนำผลการวิจัยที่ระบุว่า ในบางประเทศ หรือบางวัฒนธรรม การรับประทานรกเด็กแรกเกิดเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมาสร้างความน่าเชื่อถือร่วมด้วย
       
       โดยงานวิจัยนั้นอ้างว่า รกประกอบด้วยสารอาหารที่มีคุณค่า และสามารถป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด รวมถึงช่วยให้ร่างกายแม่หลังคลอดกลับคืนสู่สภาพเดิมได้รวดเร็วยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี ยังไม่มีหลักฐานที่แน่ชัดเกี่ยวกับประโยชน์ที่ร่างกายมนุษย์จะได้รับจากการบริโภครกมาประกอบแต่อย่างใด
       
       ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีบริษัทหัวใส จับธุรกิจเกี่ยวกับกระแสนิยมการบริโภครกเด็กขึ้นมาอย่างจริง ๆ จัง ๆ ด้วย ซึ่งบริษัทเหล่านี้ได้นำเสนอบริการแปรรูปรกหลังคลอดของบรรดาคุณแม่จากทางโรงพยาบาล โดยนำมาทำให้แห้ง จากนั้นก็เข้าสู่กระบวนการแพ็ก และส่งมาให้คุณแม่ภายใน 2 - 3 วัน นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า บางคนนำรกมาทำอาหารประเภทสตูว์ หรือลาซานญ่า โดยใช้รกแทนเนื้อสัตว์ด้วย
       
       อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญบางรายให้ความเห็นว่า แนวคิดของธุรกิจดังกล่าวอาจไม่เหมาะสมนัก โดยเฉพาะเมื่อธุรกิจแปรรูปรกนี้อวดอ้างสรรพคุณว่า การรับประทานรกสามารถช่วยป้องกันการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด
       
       ดร. Lauren F. Streicher แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์จาก Northwestern Medical School ให้ความเห็นว่า ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องบริโภครกของตัวเองเพราะคิดว่าสามารถยับยั้งการเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด หากเกิดอาการซึมเศร้าหลังคลอดควรไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษาจะเป็นประโยชน์ต่อตนเองมากกว่า
       
เรียบเรียงจากรอยเตอร์
ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 มีนาคม 2555

6041
 ฝากไว้ก่อนเถอะ...
       จำไว้นะ...
       
       คำพูดเหล่านี้มักเป็นคำพูดของคนช่างโกรธ ที่มักจะฝากความแค้นของตนเองเอาไว้ยามเจอเหตุการณ์ หรือบุคคลที่ไม่น่าพึงพอใจ ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อเจ้าของความโกรธแต่อย่างใด เนื่องจากมีงานวิจัยพบว่า ผู้ที่จดจำเรื่องราวไม่ดี ๆ ในอดีตได้อย่างแม่นยำนั้น ชีวิตมักจะเดินหน้าต่อไปได้ยาก
       
       เป็นงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยแกรนาดา ที่นักวิจัยได้ทำการประเมินผู้เข้าร่วมวิจัยจำนวน 50 คน แบ่งเป็นชาย 25 คนและหญิงอีก 25 คน อายุของผู้เข้าร่วมมีตั้งแต่ 20 - 70 ปี โดยแบ่งการทดสอบออกเป็น 5 มิติ ผลออกมาคือทัศนคติของคน ๆ นั้นต่ออดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตนเอง จากนั้นจะมีการจัดกลุ่มตามโปรไฟล์ และผู้เข้าร่วมวิจัยต้องตอบแบบสอบถามเกี่ยวกับคุณภาพชีวิตของตนเองทั้งในด้านจิตใจ และสุขภาพ
       
       จากการวิจัยพบว่า ด้านที่มีอิทธิพลต่อชีวิตสูงสุดต่อมนุษย์คือ อดีต มุมมองในแง่ลบที่มนุษย์มีต่ออดีตของตัวเอง มีความเชื่อมโยงกับสุขภาพของคน ๆ นั้นโดยตรง เนื่องจากคนที่มีทัศนคติในแง่ลบต่อตัวเองจากเหตุการณ์ในอดีตนั้นจะไร้ซึ่งพลังใจที่จะปรับตัวได้ยามที่ต้องเจอกับความยากลำบากในชีวิต
       
       นอกจากนั้น เขายังอาจมีโอกาสเกิดภาวะซึมเศร้า หรือมีพฤติกรรมที่มีปัญหาได้อีกด้วย
       
       ขณะที่กลุ่มคนที่มีความสมดุลในชีวิตคือกลุ่มคนที่สามารถมองหาเรื่องราวดี ๆ จากเหตุการณ์ในอดีตได้ พวกเขามักเป็นคนที่สามารถประสบความสำเร็จได้ในอนาคต และมีพลังมากมายสำหรับตัวเองในการทำสิ่งต่าง ๆ
       
       อย่างไรก็ดี คนที่มีเป้าหมายในชีวิต และมุ่งหน้าทำความฝันให้เป็นจริงมากเกินไปนั้นก็อาจไม่ดีสักเท่าไร เพราะคนเหล่านี้จะยกเป้าหมายของตนเองเหนือทุกสิ่ง รวมถึงการมองข้ามประสบการณ์ดี ๆ ในชีวิต เพื่อนดี ๆ ไปด้วย
       
เรียบเรียงจากเดลิเมล
ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 มีนาคม 2555

6042
 เมื่อดูตัวเลขการบริโภคยาในประเทศไทยแล้วพบว่ามีการเพิ่มขึ้นเป็น134,482 ล้านบาท คิดเป็นประมาณ 35% ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพในปี 2553 โดยเป็นยาที่ผลิตในประเทศมูลค่า 46,895.7 ล้านบาท นำเข้า 99,663.8 ล้านบาท และส่งออก 12,077.5 ล้านบาท มีสาเหตุมาจาก 1.การผูกขาดยาเนื่องจากการมีสิทธิบัตร 2.การป่วยเป็นโรคเรื้อรังมากขึ้น เช่น เบาหวาน หัวใจขาดเลือด มะเร็ง 3.การที่คนไทยเข้าถึงยามากขึ้นจากระบบหลักประกันสุขภาพ และ 4.การใช้ยาไม่เหมาะสมหรือเกินความจำเป็น
      
       โดยกลุ่มยาที่มีการใช้มากที่สุดคือ กลุ่มยาต้านการติดเชื้อหรือยาปฏิชีวนะมูลค่ากว่า 26,000 ล้านบาท กลุ่มยารักษาโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูงกว่า 21,000 ล้านบาท กลุ่มยารักษาโรคระบบทางเดินอาหาร กระเพาะอาหารและลำไส้กว่า 17,000 ล้านบาท กลุ่มยารักษาโรคมะเร็งกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งยารักษาโรคมะเร็งทั้งหมดนำเข้าจากต่างประเทศ และกลุ่มยาที่ใช้กับกล้ามเนื้อและกระดูกกว่า 12,000 ล้านบาท
      
       นอกจากนี้ กระทรวงสาธารณสุขยังเปิดเผยสถิติการผลิตและนำเข้ากลุ่มยาฆ่าเชื้อ ได้แก่ ยาปฏิชีวนะหรือยาต้านเชื้อแบคทีเรีย ยาต้านไวรัส ยาต้านเชื้อรา และยาฆ่าเชื้ออื่นๆ ระบุว่าตั้งแต่ปี 2543 ประเทศไทยผลิตและนำเข้ายากลุ่มนี้มากเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ ขณะที่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่เฝ้าระวังสถานการณ์การดื้อยาของเชื้อแบคทีเรียมานานกว่า 10 ปีพบว่า เชื้อแบคทีเรียที่มีการดื้อยาสูงขึ้น ได้แก่ เชื้อสเตรปโตค็อกคัส นิวโมเนีย (Streptococcus pneumoniae) ที่ทำให้เกิดโรคปวดบวมและเป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี เพราะมีการดื้อยาเพนนิซิลินเพิ่มขึ้นจาก 47% เป็น 64%
      
       ขณะที่ เชื้ออีโคไลที่ทำให้เกิดโรคทางเดินปัสสาวะอักเสบและการติดเชื้อในช่องท้อง ยังดื้อยาปฏิชีวนะกลุ่มที่ออกฤทธิ์กว้าง คือสามารถฆ่าเชื้อได้หลายชนิด เพิ่มจาก 19% ในปี 2542 เป็น52% ในปี 2548 และดื้อต่อยาในกลุ่มฟลูโอโรควิโนโลน (fluoroquinolone) ถึง60% ซึ่งเป็นยาปฏิชีวนะที่หาซื้อได้ง่าย จึงมีการใช้เกินความจำเป็นทั้งในคนและในสัตว์เลี้ยง ซึ่งปัญหาเชื้อโรคดื้อยา เกิดจากการใช้ยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น การเลือกใช้ยาที่ไม่เหมาะสมกับเชื้อแบคทีเรีย การควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาลไม่ดีพอ และการใช้ยาปฏิชีวนะในสัตว์ที่ไม่เหมาะสมนั่นเอง สถิติดังกล่าวบ่งบอกถึงแนวโน้มการสูญเสียทางเศรษฐกิจของประเทศไทยอย่างมาหาศาล
      
       อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันการต่อต้านการใช้ยาและแนวทางการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบันซึ่งมีส่วนทำให้มีการบริโภคยามากขึ้น รวมทั้ง การแพทย์ทางเลือกโดยเฉพาะแนวทางการใช้ธรรมชาติบำบัดเพื่อรักษาและป้องกันอาการป่วยและโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ กำลังเติบโตและได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เนื่องจากมีผลการพิสูจน์ชัดเจนจากทั้งผู้ป่วยจำนวนไม่น้อยในประเทศไทยและต่างประเทศยืนยันและสร้างความเชื่อมั่น ล่าสุด “ผู้จัดการ 360 องศารายสัปดาห์” รวบรวมข้อมูลและเรื่องราวของผู้มีชื่อเสียงที่ศึกษาและมีประสบการณ์เกี่ยวกับการนำปัสสาวะบำบัดมาใช้ ซึ่งที่ผ่านมามีข้อสงสัยอย่างมากในหมู่คนทั่วไปถึงประสิทธิผลที่ได้รับ

       คำยืนยัน - ประสบการณ์น่ารู้
      
       ไม่เพียงคนดังในเมืองไทย แต่ในต่างประเทศอดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย โมราจิ ดาซาย กับนาราช นเรนทร์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ดื่มน้ำปัสสาวะเป็นประจำ เพื่อบำรุงสุขภาพมานาน ส่งผลให้สุขภาพดีมาจนตลอดอายุขัย เมื่ออายุ 90ปีไม่เคยเจ็บป่วยด้วยโรคภัยใดๆ แม่แต่โรคหวัด กำลังกายดี สมองปกติ ไม่หลงลืม กระทั่งจนถึงอนิจกรรมเมื่ออายุ 99ปี
      
       อีกทั้ง ยังได้แนะนำให้ประชาชนดื่มตาม ในปีพ.ศ.2520 ขณะอายุได้ 81 ปี ได้ประกาศตนในที่สาธารณะว่า ท่านดื่มน้ำปัสสาวะทุกวัน แทบทุกเวลา รวมทั้งบรรดาญาติพี่น้องของท่านปฎิบัติตัวตามอีกทั้งยังได้สนับสนุนขบวนการรณรงค์ดื่มน้ำปัสสาวะรักษาโรค เพื่อให้สุขภาพแข็งแรงอีกด้วย
      
       ในการใช้ปัสสาวะบำบัดของ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ผู้ก่อตั้งและเจ้าของหนังสือพิมพ์ในเครือผู้จัดการ เริ่มทดลองดื่มน้ำปัสสาวะมาพักใหญ่แล้ว แต่หลังจากนั้นหยุดไปช่วงหนึ่ง แล้วจึงกลับมาดื่มใหม่เมื่อได้รับข้อมูลที่เป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์และมีตัวอย่างของคนจำนวนไม่น้อยที่หายป่วยจากโรคร้ายแรง เช่น มะเร็ง ขณะเดียวกัน การได้อ่านหนังสือเรื่อง “ยาพระพุทธเจ้า น้ำปัสสาวะเป็นยารักษาโรค” ที่เขียนโดย “นิดดา หงษ์วิวัฒน์” ทำให้ตัดสินใจทำอย่างอื่นเพิ่มเติม คือการปฎิบัติตัวด้วยการรับประทานอาหาร ซึ่งมีผลต่อรสชาติของปัสสาวะว่าร่างกายอยู่ในภาวะสมดุลหรือไม่ เช่น ถ้าเค็มมากแสดงว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับไต ถ้าหวานแปลว่ามีโอกาสเป็นเบาหวาน ถ้าจืดแปลว่าสุขภาพดี
      
       จากนั้นจึงใช้กลั้วคอ ก็รู้สึกว่าดี เพราะจากการสูบบุหรี่ทำให้มีอาการไอมาก แต่ในตอนนี้อาการอหายไป ต่อไปจึงนำมาล้างหน้า แล้วผิวนุ่มนวลขึ้นมาและกำลังใช้หมักผมอยู่ในปัจจุบัน ปรากฏว่าผมแน่นขึ้นดำขึ้น พร้อมทั้งเม็ดผดที่ศีรษะหายไปหมด ล่าสุด เมื่อรู้ว่าล้างตาได้ ก็เริ่มเอามาใช้เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา จากอาการน้ำตาไหลทุกวันไม่ทราบสาเหตุและตาพร่ามัวเมื่ออ่านหนังสือ แต่หลังจากล้างตาอาการน้ำตาไหลหายขาดและไม่มีอาการโฟกัสพร่ามัวอีกเลย ปัจจุบันจึงดื่มเช้า-เย็นเป็นอย่างน้อย ถ้าระหว่างวันสามารถดื่มได้จะดื่มด้วย
      
       นอกจากนี้ การใช้ธรรมชาติบำบัดโดยการล้างพิษด้วยตนเองที่ทำมาถึง 20 ปีแล้วคือ การทำซาวน่าแบบร้อนจัดและแช่ตัวด้วยน้ำเย็นจัดทุกวัน เพราะเป็นการขับสารพิษออกทางผิวหนัง ยังเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้การดื่มน้ำปัสสาวะได้ผลดี และด้วยความเชื่อในหลักการว่า เชื้อโรคปริมาณน้อยที่ออกจากร่างกายเมื่อเทียบกับเลือด เมื่อดื่มเข้าไปจะกระตุ้นให้เม็ดเลือดจาวทำงาน เพราะเป็นการกระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวทำงาน จากเดิมที่ไม่รู้จัก ซึ่งเมื่อเม็ดเลือดขาวทำงานและจัดการกับโรค จะทำให้รู้ตัวก่อนว่าเป็นโรคอะไร แทนที่จะปล่อยให้โรคลุกลาม จึงตัดสินใจดื่มปัสสาวะในตอนเช้าและกลางคืน แต่ดื่มตอนเช้ามากกว่าเพราะรู้สึกว่ารสชาติดี เนื่องจากดื่มน้ำมากก่อนนอน
      
       อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้กระตือรือร้นมากขึ้นกับการใช้ปัสสาวะในช่วงหลังนี้ เป็นเพราะได้เห็นตัวอย่างจากคนใกล้ตัว คือคุณพ่อของคนขับรถซึ่งป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ ซึ่งเมื่อพาไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลบอกว่าต้องผ่าเปิดหน้าท้องเพื่อให้สามารถขับถ่ายได้ ไม่เช่นนั้นจะไม่มีทางรักษาได้ถ้าฉีดยาฆ่าเชื้ออย่างเดียว และถ้าลังเลเพราะคิดจะใช้วิธีรักษากับแพทย์ทางเลือก จะไม่รักษาให้ และดูแคลนด้วยว่าถ้านำตัวกลับไปบ้านนอกจะขับถ่ายเองไม่ได้ แต่ปรากฏว่าในเวลาเพียงหนึ่งวันครึ่งเท่านั้นก็สามารถขับถ่ายได้เองซึ่งถือเป็นการเริ่มรักษาได้ ด้วยการหยุดรับประทานเนื้อสัตว์ทั้งหมด แล้วดื่มน้ำคลอโรฟิลด์ และวันนี้กลับมากรุงเทพฯ แล้ว แม้ว่าจะยังไม่หายจากการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ก็ตาม ซึ่งขั้นตอนต่อไปคือการดื่มปัสสาวะ และอีกตัวอย่างหนึ่งคือ มีพันธมิตรคนหนึ่งป่วยเป็นโรคเก๊าต์ ทานยาแผนปัจจุบันแล้วแต่ไม่หาย เมื่อหันมาดื่มปัสสาวะตามสูตรหมอเขียว (ใจเพชร กล้าจน) และปรับวิถีชีวิตด้วยทำให้หายได้
      
       “นิดดา หงษ์วิวัฒน์” อดีตนายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และจำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย และผู้แต่งหนังสือเรื่อง “ยาพระพุทธเจ้า น้ำปัสสาวะ เป็นยารักษาโรค” เล่าว่า ศึกษาเรื่องปัสสาวะมานานแล้ว จนกระทั่งได้ฟังการบรรยายโดยหมอเขียว “ใจเพชร กล้าจน” จึงเกิดความมั่นใจ และมีโอกาสเริ่มต้นด้วยการใช้รักษาอาการเหงือกอักเสบด้วยการอมปัสสาวะของตัวเองอย่างต่อเนื่อง และทาบริเวณที่บวม จากนั้น จึงดื่มด้วยวิธีที่ศึกษามาแล้วพบว่าได้ผลดีมาก
      
       หลังจากนั้น จึงใช้เหมือนกับเป็นตู้ยาสามัญประจำบ้านประจำตัว และยังเผยแพร่ให้คนข้างตัวนำไปใช้ในหลายเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสามีคือ ดร.ทวีทอง หงษ์วิวัฒน์ อดีตนักวิชาการด้านสังคมศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุข เช่น เป็นยาปฏิชีวนะ ใช้ราดแผนห้ามเลือดและป้องกันเชื้อโรคแพร่เชื้อ หรือรักษากลากเกลื้อนให้น้องชาย แม้กระทั่งสุนัขที่บ้านซึ่งเป็นแผลถูกสุนัขอื่นกัด และถูกตีหัวแตก จนถึงการใช้เป็นเครื่องสำอางบำรุงผิว บำรุงผม และเล็บอีกด้วย ทุกวันนี้จึงเป็นผู้หนึ่งที่เป็นวิทยากรบรรยายให้ความรู้และประสบการณ์ในเรื่องนี้อย่างแพร่หลาย
      
       “สมณะโพธิรักษ์” ผู้ก่อตั้งอาศรมสันติอโศก ซึ่งเคร่งครัดในการปฎิบัติธรรมตามหลักคำสอนของพระพุทธเจ้า กล่าวสั้นๆ เกี่ยวกับการใช้ปัสสาวะบำบัดหรือน้ำมูตรว่า ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร จึงไม่ได้ใช้รักษาอะไร แต่ดื่มประจำ หรือเวลาคันตาใช้หยอดตาบ้างเท่านั้น
      
       อย่างไรก็ตาม “ใจเพชร กล้าจน” หรือหมอเขียว นักวิชาการสาธารณสุข กลุ่มงานเวชกรรมสังคม โรงพยาบาลอำนาจเจริญ นักบำบัดสุขภาพทางเลือก และครูฝึกแพทย์แผนไทย สถาบันบุญนิยม และหัวหน้าฐานงานสุขภาพบุญนิยม สวนป่านาบุญดอนตาล(ศูนย์เรียนรู้สุขภาพพึ่งตนตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง) จังหวัดมุกดาหาร กล่าวว่าสมณะโพธิรักษ์สอนเขาว่า น้ำปัสสาวะเป็นน้ำที่สะอาดมากเพราะกรองจากไต ซึ่งไตเป็นเครื่องกรองชั้นดี ไม่มีเครื่องกรองชนิดใดที่สามารถกรองได้อย่างละเอียดยิ่งไปกว่าไต และการฝึกดื่ม/ฝึกใช้น้ำปัสสาวะให้เป็นประโยชน์ จนเป็นปกติสบาย เป็นการปฏิบัติธรรมอย่างหนึ่ง เพื่อละล้างจิตที่ทุกข์จากความชิงชัง รังเกียจ ขยะแขยง ไม่ชอบ ผลัก ในน้ำปัสสาวะ เพราะถ้าเราชิงชังรังเกียจไม่ชอบ เมื่อน้ำปัสสาวะสัมผัสเราเราก็ทุกข์ใจ แต่ถ้าเราไม่ได้ชิงชังรังเกียจ เมื่อน้ำปัสสาวะสัมผัสเราเราก็ไม่ทุกข์ใจ แถมได้ยาสร้างภูมิต้านทาน สร้างพลังชีวิตด้วย
      
       สมณะโพธิรักษ์แข็งแรงมาก ปัจจุบัน(พ.ศ.๒๕๕๔)ท่านอายุย่างเข้า ๗๘ ปีแล้ว แต่ยังสามารถทำงานและมีอิริยบถคล่องแคล่ว เหมือนคนอายุ ๕๐ ปี ผลการตรวจสภาพร่างกายล่าสุดด้วยเครื่องมือทันสมัยที่โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญบอกว่า สภาพหัวใจแข็งแรงเท่ากันกับคนอายุ ๓๐ ปี สมองมีสภาพเท่ากันกับคนอายุ ๔๐ ปี ท่านเล่าเคล็ดของการปฏิบัติที่ทำให้แข็งแรงดังกล่าว ให้ฟังว่า ท่านฉันอาหารไม่มีเนื้อสัตว์ ฉันอาหารรสจืด ฉันอาหารวันละ ๑ มื้อ เคี้ยวอาหารละเอียด ฉันแค่พอดีอิ่มสบาย ปฏิบัติใจไม่ให้มีไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะเผา บริหารกายด้วยการเดินเร็วสลับกับโยคะ (วันหนึ่งเดินเร็ว อีกวันหนึ่งก็โยคะสลับกัน) ปรับสมดุลด้วยหลัก ๘ อ.เพื่อสุขภาพที่ดีของสถาบันบุญนิยม ได้แก่ อิทธบาท ๔ อาหารดี อารมณ์ดี อากาศดี ออกกำลังกายและอิริยบถ เอนกาย เอาพิษภัยออก อาชีพที่สัมมาและเหมาะสม และฉันน้ำปัสสาวะในตอนเช้าและเย็นเป็นปกติทุกวัน

       หมอแผนใหม่
       แพทย์ทางเลือกยอมรับ

      
       “นพ.บรรจบ ชุณหสวัสดิกุล” แพทย์ที่มีความรู้การแพทย์แผนปัจจุบันและแพทย์ทางเลือก ผู้ก่อตั้งศูนย์สุขภาพธรรมชาติบำบัด “บัลวี” กล่าวถึงเรื่องปัสสาวะบำบัดซึ่งมีการโต้เถียงกันอย่างหนักในประเทศไทยเมื่อประมาณ 5 ปีก่อน เนื่องจากมีแพทย์แผนไทยคนหนึ่งสอนให้ชาวบ้านใช้สมุนไพรดองปัสสาวะดื่ม ซึ่งโฆษกกระทรวงสาธารณสุขในขณะนั้นออกมาแถลงข่าวกับสื่อมวลชนว่าการทำเช่นนั้นเป็นเรื่องไม่ถูกต้องไม่สมควรทำ ให้เลิกทำ เพื่อเป็นการแสดงความเห็นคัดค้าน แต่ในขณะนั้น มีการประกาศพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติรับรองภูมิปัญญาพื้นบ้าน
      
       โดยส่วนตัวพิจารณาเห็นว่าการที่โฆษกกระทรวงฯ ทำเช่นนี้ซึ่งเป็นการต่อต้านภูมิปัญญาพื้นบ้านเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องมากกว่า จึงเป็นแรงบันดาลใจในการริเริ่มศึกษาเรื่องปัสสาวะบำบัด ในตอนนั้นเริ่มต้นศึกษาด้วยการเข้าไปในอินเทอร์เน็ตหาข้อมูล พบว่ามีมากมายที่พูดว่าปัสสาสะบำบัด (Urine Therapy) มีอยู่ในศาสตร์การแพทย์พื้นบ้าน รวมทั้ง ทุกศาสนาระบุถึงการดื่มปัสสาวะเช่นกัน รวมทั้ง การประชุมนานาชาติที่ว่าด้วยเรื่องนี้ที่ผ่านมา 4 ครั้งแล้ว ครั้งที่ 1 อินเดียซึ่งไม่น่าแปลกใจเพราะมีโยคีทำในเรื่องนี้เป็นเรื่องธรรมดา ครั้งที่ 2 เยอรมนีซึ่งเป็นประเทศที่มีความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ครั้งที่ 3 บราซิล ครั้งที่ส 4 ญี่ปุ่นและเกาหลีเป็นเจ้าภาพร่วมกัน ซึ่งเนื้อหาหลักการประชุมพบว่า การที่บอกว่าปัสสาวะเป็นของสกปรกควรจะเข้าใจใหม่เพราะไตมีหน้าที่ปรับสมดุลร่างกายเท่านั้น เช่น ถ้าดื่มน้ำมากจะมีการขับออกมาเพื่อทิ้งไป ถ้ากินโปรตีนมากร่างกายจะย่อยเนื้อสัตว์ออกมาเป็นยูเรีย แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นของสกปรก แต่เป็นการปรับสมดุลของร่างกาย
      
       ในความเป็นจริงปัสสาวะนอกจากมีสารยูเรีย มีอินซูลินซึ่งช่วยรักษาเบาหวาน อินเตอร์เฟอรอนซึ่งช่วยกระตุ้นภูมิต้านทาน รวมทั้ง ยูโรไคเนสที่ใช้ในการผ่าตัดสำหรับผู้ที่มีเส้นเลือดหัวใจหรือเส้นเลือดสมองตีบตัน เพราะช่วยละลายลิ่มเลือด ซึ่งมีบริษัทยารายใหญ่ของโลกทำเครื่องมือที่สามารถสกัดสารนี้จากปัสสาวะ แล้วนำเครื่องมือนี้ไปติดตั้งที่ส้วมสาธารณะในอเมริกาโดยคนอเมริกันไม่รู้ว่าตนเองกำลังเป็นแหล่งวัตถุดิบเพื่อผลิตยา จนบริษัทนำไปผลิตเป็นยาวางขายทั่วโลก ดังนั้น ใครที่รอดจากการผ่าตัดดังกล่าวหลังปี ค.ศ. 1947 เท่ากับว่า ได้รับน้ำปัสสาวะของคนอเมริกันเข้าไปในร่างกายโดยไม่รู้ตัว
      
       นอกจากนี้ ยังมีฮอร์โมนต่างๆ ในปัสสาวะที่ถูกนำไปสกัดเป็นยา เช่น บริษัทของอิตาลีที่สกัดปัสสาวะของผู้หญิงโปรตุเกสและอาร์เจนติน่ามาผลิตเป็นฮอร์โมนเสริมที่ชื่อ Primarin สำหรับผู้หญิงที่เข้าสู่วัยทอง การใช้ปัสสาวะมีอยู่แล้วแต่กลับมีการต่อต้านกันมากสำหรับคนที่ไม่รู้ ซึ่งนี่คือความจริงที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังธุรกิจ
      
       หลังจากศึกษาเรื่องนี้มากขึ้นทำให้รู้สึกทึ่ง ในตอนนั้นจึงแถลงข่าวผ่านสื่อมวลชนเพื่อบอกกับสังคมให้รับรู้ แต่ก่อนที่จะบอกในวงกว้าง เพื่อให้มั่นใจมากขึ้นจึงทดลองดื่มด้วยตนเองตามหลักการที่มีการแนะนำกันมา แต่เนื่องจากไม่ได้เจ็บป่วย จึงน่าจะเป็นเหมือนการได้ส่งเสริมสุขภาพ แต่มีจุดที่น่าสนใจข้อหนึ่งคือตามปกติจะมีเชื้อราที่เท้า แต่เมื่อได้ดื่มปัสสาวะ เชื้อราดังกล่าวก็หายไป
      
       การดื่มตอนดึกก่อนนอนเพราะเป็นการส่งสัญญาณบอกทำให้เกิดการปรับตัว ตอนเช้าจึงมีสารที่เป็นประดยชน์ต่อการรักษา ถ้าเปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์ตอนกลางคืนเท่ากับการดาวน์โหลด ขณะที่ ตอนเช้าเปรียบเหมือนการอัพโหลด โดยหลักการเหมือนกับการฉีดเซรุ่มซึ่งได้มาจากการนำพิษไปฉีดที่ม้าทีละน้อย ทำให้ม้าสร้างสารที่ใช้รักษาตัวเองขึ้นมา ดังนั้น จึงเหมือนกับ “น้อยรักษามาก” เหมือนการบอกเหตุกับร่างกายเพื่อทำให้ร่างกายสร้างสารขึ้นมารักษาตนเอง
      
       โดยส่วนตัวตามปกติจะดื่มวันละ 2 ครั้งคือตอนเช้าและตอนกลางคืน และมีอยู่ครั้งหนึ่งเคยใช้ทาผิว รู้สึกเหมือนเป็นโลชั่นบำรุงผิว วิธีใช้คือให้แห้งเองซึ่งเร็วมากและไม่มีกลิ่นเหม็น แต่ไม่ได้ใช้เป็นประจำเพราะเห็นว่าผิวเป็นปกติดีอยู่แล้ว และในทัศนะส่วนตัวการดูแลรักษาสุขภาพที่ดีไม่ใช่การปฎิบัติเพียงเรื่องใดเรื่องเดียวโดยไม่สนใจเรื่องอื่น
      
       ดังนั้น ปัสสาวะบำบัดจึงเป็นเพียงส่วนหนึ่ง เพราะจริงๆ แล้วเชื่อในหลัก 3 ประการคือ อาหาร การบริหารกาย และการบริหารจิต ในส่วนของอาหารกินอยู่อย่างไทย และไม่ได้กินมังสะวิรัติเพราะถือว่าการกินตามบรรพบุรุษไทยหรือตามพื้นถิ่นเป็นเรื่องที่ดีอยู่แล้ว เช่น กินข้าวกล้อง หมู ไก่ ปลาน้ำพริก พืชผักต่างๆ เพราะมีการพิสูจน์มาเป็นพันเป็นหมื่นปีว่าการกินเช่นนี้ทำให้ดำรงชีวิตอยู่และมีลูกหลานอยู่ต่อมาได้ ซึ่งหากจะพิสูจน์ตามหลักการแพทย์แผนใหม่จะพบว่าอาหารเหล่านั้นมีสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย รวมทั้ง ไม่กินตามกรุ๊ปเลือดเพราะเป็นองค์ความรู้ที่สั้นมากเพิ่งเกิดมาไม่นาน อยู่ๆ มีการคิดขึ้นมา
      
       ส่วนการอดอาหารล้างพิษซึ่งเป็นวัตรปฏิบัติของพระสงฆ์ โดยส่วนตัวทำเป็นระยะๆ เช่น 15 วันทำหนึ่งครั้ง และมีการฝึกชี่กง ว่ายน้ำเพื่อออกกำลังกาย ปัสสาวะบำบัดเท่าที่ติดตามดูเหมือนกันเป็นการกระตุ้นกลไกต่างๆ ในร่างกายให้ปรับสมดุลตนเอง
      
       ขณะที่ “นายแพทย์เฉก ธนะสิริ” ผู้ก่อตั้งมูลนิธิการแพทย์ไทยเดิมและชมรมอยู่ 100 ปี ชีวีเป็นสุขกล่าวถึงเรื่องนี้ว่าถ้าเชื่อก็ไม่เสียหายอะไร เพราะบางคนเชื่อว่าดื่มปัสสาวะแล้วดีก็ไม่เห็นเสียหายอะไร หรือถ้าทำให้อาการของโรคที่เป็นดีขึ้นก็ดื่มได้ไม่เสียหาย แต่บางคนบอกว่าไม่จำเป็นเพราะมีเหตุผลของตนเองว่าเป็นของเสียที่มาจากการรับประทานอาหารจึงไม่ใช้ เพราะเคยไปเป็นวิทยากรการประชุมเรื่องปัสสาวะบำบัดและให้ความเห็นแบบกลางๆ โดยส่วนตัวเคยชิมเท่านั้น แต่ไม่คิดจะทดลองใช้เพราะไม่มีเหตุผลจะไปใช้
      
       เคล็ด (ไม่)ลับดื่มฉี่พิชิตโรค
       “เบาหวาน”หายได้ภายในปีครึ่ง

      
       3 ผู้เชี่ยวชาญที่ศึกษาและมีประสบการณ์ตรงจากการใช้ประโยชน์น้ำปัสสาวะ “หมอเขียว -นิดดา- ชญาบุญ”เผยเคล็ดลับการใช้ประโยชน์จากน้ำปัสสาวะเพื่อพิชิตสารพัดโรคตั้งแต่ศรีษะจรดปลายเท้า อีกทั้งยังสามารถใช้ทำดีท็อกซ์ล้างลำไส้ได้เป็นอย่างดี หากนำไปผสมกับ “ถ่านหุงต้ม”กลายเป็นยาขับพิษ และหากประยุกต์ร่วมกับธรรมชาติบำบัดสามารถรักษาโรคเบาหวานหายได้ภายใน1ปีครึ่ง
      
       ประเดิมคนแรก หมอเขียว -ใจเพชร กล้าจน ผู้เชี่ยวชาญด้านการใช้ประโยชน์น้ำปัสสาวะมานานหลายปี เขาแนะนำถึงเทคนิคใช้น้ำปัสสาวะให้เกิดประโยชน์ต่อร่างกายและบำบัด รักษาโรคว่า ปัสสาวะที่ดีที่สุด ที่แสดงว่าเราปฏิบัติตัวได้สมดุล คือ มีรสจืดเหมือนน้ำหรือหอมเหมือนชา ไม่มีกลิ่นฉุน ปัสสาวะที่แสดงว่าเราปฏิบัติตัวไม่สมดุล คือ มีรสจัดหรือมีกลิ่นฉุน
      
       กรณีน้ำปัสสาวะรสจัดหรือมีกลิ่นฉุน เวลาจะใช้ดื่ม หรือหยอดตาหยอดหู ควรเจือจางในน้ำสะอาดให้เหลือรสแค่ปะแล่มๆหรือกลิ่นน้อยลง ก่อนนำมาใช้ ปริมาณการดื่มที่พอดี คือ ดื่มในปริมาณที่ร่างกายรู้สึกสบาย อย่างไรก็ตาม หากใช้ดื่มตอนที่รู้สึกเหนื่อย อ่อนเพลีย หิว หรือตอนที่รู้สึกไม่สบายต่างๆ พบว่า ช่วยให้ร่างกายมีพลังชีวิต และช่วยทุเลาอาการไม่สบายต่างๆได้ดี โดยใช้ภาชนะที่สะอาดรองน้ำปัสสาวะในตอนเช้า เย็น
      
       กรณีมีแผลสด แผลเรื้อรัง แผลอักเสบ(ปวดบวมแดงร้อน) แผลน้ำกัดเท้า แผลหนามหรือเสี้ยนทิ่มตำ ฝี หนอง ผื่นคัน หากใช้น้ำปัสสาวะทาหรือล้าง พบว่าช่วยบรรเทาอาการปวด ลดอาการอักเสบ ลดผื่นคัน ช่วยสมานแผล และช่วยซ่อมแซมฟื้นฟูเนื้อเยื่อได้ดีมาก
      
       นอกจากนี้ หากมีอาการไม่สบายตา ล้างมือให้สะอาด นั่งเงยหน้าหรือนอนหงาย ใช้มือจุ่มลงไปในน้ำปัสสาวะ แล้วมาแตะที่หัวตา จากนั้นลืมตา เอาน้ำปัสสาวะไปล้างตา แก้อาการไม่สบายนัยน์ตา ช่วยให้ตาสะอาด และช่วยถนอมลูกตา หรือ หากปวดฟัน เหงือกอักเสบ มีแผลในช่องปาก การอมน้ำปัสสาวะไว้นานๆ แล้วกลืนเข้าไปหรือบ้วนทิ้ง ช่วยทุเลาอาการดังกล่าวได้ดี
      
       ขณะเดียวกัน หากต้องการดีท็อกซ์ก็สามารถใช้ปัสสาวะสวนล้างลำไส้ใหญ่สามารถใช้ปัสสาวะลดอาการไม่สบาย โดยหมอเขียวและสมาชิกเครือข่ายบอกว่า ให้ใช้น้ำปัสสาวะ ๑ ส่วน ผสมน้ำเปล่า ๑ ส่วน ใส่ขวดดีท็อกซ์(แยกกันกับชุดสวนล้างลำไส้ใหญ่) แล้วสวนล้างช่องคลอด มีผลทำให้อาการไม่สบายส่วนใหญ่ลดลงภายใน ๑ วัน สามารถลดอาการไม่สบายหรือทำให้รู้สึกสบายตัวได้ดีมาก ผู้ป่วยหลายท่านที่มีปัญหาในช่องคลอด เช่น ตกขาว คัน ปวด แสบ ออกร้อน และอื่นๆได้
      
       ไม่เพียงเท่านี้ ยังสามารถใช้น้ำปัสสาวะแทนน้ำยาสระผม ขจัดรังแคแก้คันศีรษะได้ดี โดยขณะอาบน้ำชโลมน้ำปัสสาวะให้เปียกชุ่มทั่วศีรษะหมักผมเอาไว้ พออาบน้ำเสร็จก็สระล้างออกโดยไม่ต้องใช้น้ำยาสระผม หรือบางท่านอาจใช้คู่กับน้ำยาสระผมก็ได้ บางท่านใช้น้ำปัสสาวะแทนสบู่ พบว่าทำความสะอาดและเพิ่มภูมิต้านทานในร่างกายได้ดี
      
       แนะเทคนิคฉี่ไม่มีกลิ่นฉุน
      
       นอกจากวิธีการดื่มน้ำปัสสาวะดังกล่าวแล้ว ยังสามารถนำไปผสมกับผงถ่าน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาเฉพาะโรคได้อีกด้วย จากการถ่ายทอดประสบการณ์ของผู้เชี่ยวชาญ คนที่สอง-นิดดา หงษ์วิวัฒน์ ผู้ศึกษาและมีประสบการณ์โดยตรงในการดื่มน้ำปัสสาวะและธรรมชาติบำบัดแบบองค์รวม และเจ้าของผลงานเขียนหนังสือ “ยาพระพุทธเจ้า น้ำปัสสาวะ เป็นยารักษาโรค” บอกด้วยว่า ได้ดื่มน้ำปัสสาวะเพื่อบำรุงร่างกายและรักษาอาการบกพร่องทางร่างกาย คือ นอนหลับยาก ไอเรื้อรัง โดยดื่มน้ำปัสสาวะตอนเช้าหลังจากตื่นนอนแล้ว 1 แก้ว
      
       อย่างไรก็ตาม มีข้อแม้ว่า ถ้าเช้าวันนั้นน้ำปัสสาวะใส ไม่มีรสเค็มหรือรสอื่นๆก็จะดื่มทันทีเลย แต่ถ้ามีสีเข้ม มีรสเค็มก็จะผสมน้ำสะอาดให้เจือจางเสียก่อน จึงค่อยดื่ม เนื่องจากน้ำปัสสาวะหลังจากตื่นนอนมีฮอร์โมนเมลาโทนินเพิ่มเติมจากสารอื่นๆ
      
       สำหรับเทคนิค ทำให้น้ำปัสสาวะมีรสจืดสีจางไม่มีกลิ่นฉุน นิดดาแนะนำว่า เมื่อตื่นนอนตอนเช้าให้เข้าห้องน้ำปัสสาวะน้ำแรกทิ้งไปก่อน จากนั้นก็ค่อยๆดื่มน้ำแบบช้าๆอมอยู่ในปากสักระยะ เพื่อคลายความเย็น และให้มีอุณหภูมิเท่ากับร่างกายแล้วค่อยๆกลืนน้ำจะไหลลื่นสบายคอ
      
       เนื่องจากเป็นน้ำที่ย่อยแล้วและมีการปรับโมเลกุลน้ำให้ละเอียดขึ้น โดยดื่มสัก 3-4 แก้ว ถึง 5 แก้ว แล้วแต่ความพร้อมแต่ละคนสักครู่ใหญ่ 10-20 นาที จะรู้สึกปวดปัสสาวะและอุจจาระไปพร้อมๆกัน โดยให้ขับปัสสาวะรองขึ้นมาก่อนแล้วจึงค่อยถ่ายอุจจาระ วิธีการดังกล่าวจะช่วยทำให้ได้น้ำปัสสาวะใสสะอาด รสชาติดี ไม่มีกลิ่นฉุน และยังช่วยรักษาอาการท้องผูกเป็นยารักษาระบายอีกด้วย
      
       อย่างไรก็ตาม น้ำปัสสาวะยังมีสรรพคุณขับพิษทั้งหลายที่ซ่อนอยู่ในอวัยวะต่างๆอย่างได้ผล เมื่อนำเอาไปผสมผงถ่านที่หุงต้มตามบ้านหรือบด ตำจนละเอียด ในอัตราส่วน 1ช้อนชากับน้ำปัสสาวะ 1แก้วพร้อมเขย่า 20-30 ครั้ง ทิ้งไว้ให้ผงถ่านตกตะกอนแล้วดื่มน้ำที่ได้จะช่วยขับพิษจาก ท้องร่วงรุนแรงเป็นบิด ไอเสมหะ เป็นไข้เรื้อรัง ปวดหัวเรื้อรัง จากประสบการณ์ได้นำสูตรนี้ไปให้ลูกชายดื่ม ผลลัพธ์คือ ตลอดระยะเวลา 2 เดือนร่างกายขับพิษออกมาเป็นน้ำเหลืองไหลย้อยไปตามอวัยยวะทั้งพุง รักแร้ และหนังหัว หลังจากนั้นอาการดังกล่าวหายไป
      
       สูตรประยุกต์ร่วมธรรมชาติบำบัด
      
       นอกจากการใช้ประโยชน์ดื่มน้ำปัสสาวะโดยตรงแล้ว ยังสามารถปฎิบัติตามแนวธรรมชาติบำบัดเพื่อรักษาโรคในร่างกายควบคู่กันไป จากประสบการณ์โดยตรงของผู้มีประสบการณ์ฯ คนที่สาม เจ๊กอบ-ชญาบุญ เพชรพรหม เล่าให้ฟังว่า เดิมนั้นตนเองเป็นโรคหลายโรค ได้แก่ โรคเนิ้องอกรังไข่ ไทรอยด์เป็นพิษ ไต และโรคผิวหนังฝ้า แต่หลังจากได้เรียนรู้การดื่มน้ำปัสสาวะและแนวทางธรรมชาติบำบัดตามสูตรของหมอเขียวและดีท็อกซ์ตามคำแนะนำของสันติอโศก ขวัญดิน สิงห์คำเป็นประจำวันและทำเป็นประจำเดือนพบว่า ขณะนี้โรคต่างๆมีอาการทุเลาและดีขึ้นตามลำดับ
      
       พร้อมทั้ง แนะนำว่า ในชีวิตประจำวัน ชญาบุญจะดื่มน้ำปัสสาวะของตนเองทุกวันและทุกครั้งที่มีการปัสสาวะ โดยการดื่มน้ำปัสสาวะนั้นได้ปฏิบัติเป็นกิจประจำวันพร้อมกับการจัดตารางและรับประทานอาหารตรงเวลา โดยทุกวันหลังตื่นนอนจะดื่มน้ำใบสะเดาที่ต้มเป็นน้ำชาสวนพิษทุกเช้าและเย็น เพื่อทำให้ร่างกายภายในสะอาด
      
       หลังจากนั้นประมาณมื้อเช้าตั้งแต่เวลา 07-00-09.00 น.รับประทานกล้วยน้ำหว้า 2 ลูกพร้อมน้ำดื่มใส่มะนาว 1แก้ว หลังจากนั้นมื้อเที่ยง รับประทานอาหารด้วยข้าวกล้อง ปลา ผักที่ทำเอง ไม่ใส่ผงชูรส งดรับประทานเนื้อสัตว์ หมู ไก่ และเนื้อโดยเด็ดขาด และมื้อเย็น รับประทานอาหารตามเมนูปกติเช่นเดียวกันกับมื้อเที่ยงเวลา 15.00-18.00น. ระหว่างมื้อก็จะดื่มน้ำปัสสาวะตามที่ร่างกายขับออกมาทุกครั้ง
      
       “การที่ไม่กินเนื้อสัตว์ใหญ่ รับประทานอาหารผัก ปลา และข้าวกล้อง และทำดีท็อกซ์ทุกวันตามสูตรหมอเขียวและสูตรขวัญดิน ทำให้ปัสสาวะขาว และมีอินซูลินธรรมชาติ สำหรับวิธีนี้คนที่เป็นโรคเบาหวานสามารถหายจากโรคได้เมื่อปฎิบัติไปได้ 1.5ปี”
              
       “หมอเขียว”ใจเพชร กล้าจน เจ้าตำรับกินปัสสาวะรักษาโรคร้าย ผสมผสานการดูแลสุขภาพแนวเศรษฐกิจพอเพียง ตามวิถีพุทธ หวังควบคุมป้องกัน-บำบัด-บรรเทาโรค และฟื้นฟูสุขภาพในกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง
      
มีต่อ

6043
 สธ.ส่งแพทย์ป้ายแดง 634 คน ดูแลสุขภาพชาวชนบท เริ่มปฏิบัติงาน 1 เมษายนนี้ ปฐมนิเทศแพทย์ทั้งที่จบจากระบบปกติและโครงการผลิตแพทย์เพิ่มฯ ทันตแพทย์ เภสัชกรจบใหม่ ที่จ.นครนายก 1 - 2 เมษายน เผยแพทย์จบใหม่ปีนี้ เรียนดีเยี่ยมระดับเกียรตินิยมถึงร้อยละ 26
       
       วันนี้ (31 มีนาคม) ที่โรงแรมริชมอนด์ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วยนพ.สมชัย นิจพานิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานพิธีมอบสัมฤทธิบัตร แพทย์ที่สำเร็จการศึกษาโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท รุ่นที่ 12 จำนวน 634 คน โดยแพทย์ดังกล่าวจะเริ่มปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชน สังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ ตั้งแต่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไป โดยปฏิบัติงานในโรงพยาบาลชุมชนในภาคกลาง 95 คน ภาคเหนือ 211 คน ตะวันออกเฉียงเหนือ 220 คน และใต้ 108 คน ในจำนวนนี้ปฏิบัติงานใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ได้แก่ ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส 24 คน
       
       นพ.ไพจิตร์กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุข ได้ดำเนินการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนแพทย์ โดยเฉพาะการกระจายแพทย์ในชนบท โดยร่วมมือกับทบวงมหาวิทยาลัย จัดโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท เป็นกรณีพิเศษ นอกเหนือจากการผลิตแพทย์ในระบบปกติ เริ่มตั้งแต่ปี 2538 เป็นต้นมา ตามมติคณะรัฐมนตรี และขยายโครงการฯอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันมีทั้งหมด 5 โครงการ เป้าหมายการผลิตรวมทั้งหมด 11,495 คน จนถึงขณะนี้ สามารถผลิตแพทย์จากโครงการฯ ไปดูแลประชาชนในชนบทรวมที่จบปีนี้ 12 รุ่น จำนวน 3,219 คน
       
       นพ.ไพจิตร์กล่าวต่อว่า ในการกระจายแพทย์ลงไปประจำโรงพยาบาลชุมชนสังกัดกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศ จะมีคณะกรรมการพิจารณาจัดสรรไปปฏิบัติงานในจังหวัดต่างๆ โดยให้แพทย์เลือกลงพื้นที่ตามความสมัครใจ หากเกินจากโควตาที่กำหนดจะใช้วิธีจับฉลาก โดยในวันที่ 1 - 2 เมษายน 2555 นี้ จะจัดปฐมนิเทศแพทย์ทั้งที่จบจากระบบปกติและโครงการผลิตแพทย์เพิ่มฯ ทันตแพทย์ เภสัชกรจบใหม่ ที่จ.นครนายก ซึ่งตนจะเดินทางไปมอบนโยบายการทำงาน ในวันที่ 1 เมษายน 2555 ด้วย
       
       ด้านนพ.สมชัย นิจพานิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า แพทย์ที่จบใหม่ในปีนี้ 634 คน มีผลการเรียนดีเยี่ยมระดับเกียรตินิยมถึงร้อยละ 26 ประกอบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 จำนวน 52 คน เกียรตินิยมอันดับ 2 จำนวน 112 คน ในการคัดเลือกนักเรียนเข้าศึกษาในโครงการผลิตแพทย์เพิ่มฯ จะคัดเลือกผู้ที่มีผลการเรียนดี เข้าเรียน 6 ปี ตามหลักสูตรมาตรฐานของคณะแพทย์ เมื่อจบแล้วจะกลับไปทำงานในภูมิลำเนาที่รับทุนเป็นเวลา 3ปี ขณะนี้มีมหาวิทยาลัยให้ความร่วมมือในการผลิต 13 แห่ง ได้แก่ ขอนแก่น จุฬาลงกรณ์ เชียงใหม่ ธรรมศาสตร์ นเรศวร มหิดล สงขลานครินทร์ เทคโนโลยีสุรนารี นเรศวร มหาสารคาม วลัยลักษณ์ บูรพา อุบลราชธานี และนราธิวาสราชนครินทร์ โดยมหาวิทยาลัยจัดการเรียนการสอนภาคทฤษฎีในชั้นปีที่ 1-3 และในชั้นปีที่ 4-6 จัดการเรียนการสอนภาคปฏิบัติในโรงพยาบาลศูนย์ของกระทรวงสาธารณสุข 34 แห่ง ตั้งแต่ปีการศึกษา 2538-2554 รับนักเรียนเข้าเรียนแล้ว 17 รุ่น จำนวน 8,017 คน สำเร็จการศึกษาไปปฏิบัติงานในพื้นที่แล้ว 11 รุ่น รวม 2,585 คน โดยอยู่ในภาคใต้ 365 คน กลาง 534 คน เหนือ 906 คน และตะวันออกเฉียงเหนือ 780 คน
       
       ทั้งนี้ 5 โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท ได้แก่ 1.โครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท พ.ศ.2538-2549 จำนวน 3,000 คน 2.โครงการเร่งรัดการผลิตแพทย์ของโครงการผลิตแพทย์เพื่อชาวชนบท พ.ศ.2547-2556 จำนวน 3,807 คน 3.โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐด้านสาธารณสุข พ.ศ.2549-2552 จำนวน 2,798 คน 4.โครงการผลิตและพัฒนาศักยภาพแพทย์และบุคลากรด้านสาธารณสุข พ.ศ.2553-2555 จำนวน 1,620 คน และ 5.โครงการผลิตแพทย์เพื่อ 3 จังหวัดชายแดนใต้ พ.ศ.2548-2556 จำนวน 270 คน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 มีนาคม 2555

6044
 "วิทยา" เดินหน้าปรับโฉมหน้าบริการของรพ.สต. 9,750 แห่ง ทั่วประเทศ เป็นศูนย์สุขภาพใกล้บ้าน ใกล้ใจ มีบริการควบคู่ทั้งการแพทย์แผนปัจจุบัน และแผนไทย ตรวจรักษาผู้ป่วยโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ภายในปี 2556 เริ่มในปีนี้ 1,000 แห่ง โดยติดตั้งระบบวิดีโอออนไลน์ ให้ผู้ป่วยได้พบแพทย์เฉพาะทาง ไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาลใหญ่ ขณะนี้พบหลายแห่งใช้ได้ผลดี
   
       วันนี้ (31 มีนาคม) ที่โรงแรมวรบุรีอโยธยา คอนเวนชั่น รีสอร์ท จ.พระนครศรีอยุธยา นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ประชุมชี้แจง และมอบนโยบายการพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือรพ.สต. และศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองหรือ ศสม. เพื่อยกระดับความเข้มแข็งของระบบบริการขั้นปฐมภูมิของกระทรวงสาธารณสุข แก่นายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด สาธารณสุขอำเภอ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลทุกระดับ ผู้แทนโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลหรือรพ.สต. และศูนย์สุขภาพชุมชนเมืองหรือศสม.ใน 29 จังหวัดภาคกลางรวมกว่า 1,000 คน เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในการพัฒนาคุณภาพบริการแก่ประชาชนในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ช่วงทศวรรษที่ 2 ให้มีสถานพยาบาลใกล้บ้านใกล้ใจ ให้เป็นรูปธรรม ประชาชนสัมผัสบริการได้จริง ภายใน 6 เดือนในปีนี้
       
       นายวิทยากล่าวว่า ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เร่งพัฒนาคุณภาพระบบบริการสุขภาพในระดับปฐมภูมิ คือรพ.สต. ที่มี 9,750 แห่ง ทั่วประเทศ และศสม.อีก 228 แห่ง ซึ่งเป็นหน่วยบริการในสังกัดที่ไม่มีเตียงรับผู้ป่วยนอนรักษา ตั้งอยู่ในเขตชนบท และชุมชนในเขตเมือง เพื่อให้สถานบริการเหล่านี้มีความเข้มแข็ง มีศักยภาพในการตรวจรักษาผู้ป่วยทั่วไป และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง 2 โรคคือเบาหวาน และความดันโลหิตสูง โดยจะเน้นหนักการดูแลส่งเสริมสุขภาพแก่ประชาชน เพื่อลดจำนวนผู้เจ็บป่วย ลดความแออัดผู้ป่วยในโรงพยาบาลใหญ่ให้เป็นผลสำเร็จภายในปี 2556 โดยในปี 2555นี้ มีเป้าหมายพัฒนารพ.สต.ขนาดใหญ่ 1,000 แห่ง
       
       ในการพัฒนาดังกล่าว จะมีการเพิ่มบุคลากรทั้งแพทย์ พยาบาล ทันตาภิบาล เพิ่มแพทย์แผนไทยให้บริการตรวจรักษาด้วยการแพทย์แผนไทยและส่งเสริมการใช้ยาสมุนไพร โดยเจ้าหน้าที่เหล่านี้จะเป็นหมอประจำทุกครัวเรือน และมีแพทย์ที่ปรึกษาประจำรพ.สต. 1,000 แหง และได้ให้รพ.สต.ทุกแห่งติดตั้งสไกป์ ( Skype) ซึ่งเป็นระบบวิดีโอออนไลน์ ใช้เงินลงทุนต่ำมาก เชื่อมโยงระบบกับโรงพยาบาลแม่ข่าย เพื่อสามารถปรึกษาและสนทนากับแพทย์เฉพาะทางในโรงพยาบาลใหญ่ ในรายที่มีปัญหาซับซ้อนแพทย์สามารถตรวจวินิจฉัยอาการผู้ป่วยได้ โดยไม่ต้องเดินทางไปตรวจที่โรงพยาบาลใหญ่ จากการตรวจเยี่ยมรพ.สต.หลายแห่งที่จ.นครปฐม สมุทรสงคราม ราชบุรี และพระนครศรีอยุธยา พบว่าได้ผลดี ประชาชนพึงพอใจมาก การเสริมบริการด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารนี้ จะทำให้สามารถบรรเทาปัญหาขาดแคลนแพทย์ได้
       
       ทั้งนี้ตั้งเป้าในปี 2555 มุ่งหวังจะลดจำนวนผู้ป่วยโรคเรื้อรังไปใช้บริการที่โรงพยาบาลใหญ่ให้ได้ร้อยละ 50 ของที่เป็นอยู่ในขณะนี้ มั่นใจว่าภายในปี 2556 จะสามารถดูแลผู้ป่วยกลุ่มนี้ได้ 100 เปอร์เซ็นต์ และเพิ่มอัตราการใช้บริการของประชาชนให้ได้ร้อยละ 60 และดูแลเยี่ยมบ้านประชาชนได้ร้อยละ 80 ส่วนผู้ป่วยทั้งโรคทั่วไปหรือโรคเรื้อรังที่ป่วยรุนแรงหรือมีอาการแทรกซ้อน จะมีระบบส่งตัวไปรักษาที่โรงพยาบาล


ASTVผู้จัดการออนไลน์    31 มีนาคม 2555

6045
ระทรวงสาธารณสุขรณรงค์ 77 จังหวัด ล้างส้วมรับสงกรานต์ ประสานปั๊มน้ำมันกว่า 500 แห่ง ยกเครื่องสุขา พร้อมรับประชาชนกลับบ้านเนื่องในวันปีใหม่ไทย...

นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยภายหลังเป็นประธานแถลงข่าวรณรงค์ “ล้างส้วมพร้อมกัน รับสงกรานต์” ร่วมกับ นายวิโรจน์ เตรียมพงศ์พันธ์ รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) นายไกรรพ เหลืองอุทัย ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด นายสันติ อิ่มใจจิตต์ ทูตส้วม นางฐานิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารแห่งประเทศไทย และนายวัน อยู่บำรุง ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม ณ สถานีรถไฟกรุงเทพ (หัวลำโพง) ว่า ผลจากการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนจำนวน 1,000 คน ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑล เมื่อปี 2553 เกี่ยวกับส้วมสาธารณะที่มีให้บริการในสถานที่ต่างๆ อาทิ แหล่งท่องเที่ยว สถานีขนส่งทางบกและทางอากาศ ปั๊มน้ำมัน ตลาดสด โรงพยาบาล สถานที่ราชการ สวนสาธารณะ และห้างสรรพสินค้า เป็นต้น พบว่าปัจจัยในการตัดสินใจเลือกส้วมสาธารณะที่จะไปใช้บริการ คือ ความสะอาดของส้วม สูงถึงร้อยละ 86.3 สอดคล้องกับความต้องการของประชาชนที่ต้องการให้มีการปรับปรุงส้วมสาธารณะ เรื่องกลิ่นเหม็นและความสะอาดมากที่สุดร้อยละ 76.5

ทั้งนี้ ร้อยละ 97.4 ของประชาชนเห็นว่าควรมีการปรับปรุงส้วมสาธารณะและปั๊มน้ำมันเป็นสถานที่ที่ต้องการให้ปรับปรุงมากที่สุด ซึ่งตลอดปี 2554 ที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขได้เร่งพัฒนาส้วมสาธารณะให้ได้มาตรฐาน HAS คือ สะอาด (Healthy) เพียงพอ (Accessibility) และปลอดภัย (Safety) โดยเฉพาะส้วมในปั๊มน้ำมัน กว่า 500 แห่ง บน 8 เส้นทางหลัก ได้แก่ ทางหลวงหมายเลข 1 เส้นทาง กรุงเทพฯ–เชียงราย ทางหลวงหมายเลข 2 เส้นทางสระบุรี–หนองคายและอุบลราชธานี ทางหลวงหมายเลข 23 เส้นทาง ขอนแก่น–อุบลราชธานี ทางหลวงหมายเลข 226 เส้นทางนครราชสีมา–อุบลราชธานี ทางหลวงหมายเลข 3 เส้นทาง กรุงเทพฯ–ตราด ทางหลวงหมายเลข 4 เส้นทางนครปฐม–นราธิวาส ทางหลวงเอเชีย เส้นทางพระนครศรีอยุธยา–เชียงใหม่ และทางหลวงเอเชียพระรามที่ 2 กรุงเทพฯ–ราชบุรี ซึ่งขณะนี้ทุกแห่งผ่านเกณฑ์มาตรฐาน HAS สะอาด เพียงพอ ปลอดภัยแล้ว

รมช.สาธารณสุข กล่าวต่อไปว่า เพื่อให้ทุกสถานบริการสาธารณะได้เตรียมความพร้อมและตื่นตัวในเรื่องความสะอาด ปลอดภัย รองรับประชาชนที่คาดว่าจะใช้บริการส้วมสาธารณะเป็นจำนวนมากในช่วงเทศกาลสงกรานต์ กระทรวงสาธารณสุขจึงได้รณรงค์ให้ทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศ ล้างส้วมพร้อมกันรับสงกรานต์ระหว่างวันที่ 1-7 เม.ย.นี้ เพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคในช่วงหน้าร้อน อาทิ โรคติดต่อทางอาหารและน้ำ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโรคอุจจาระร่วงที่มีอุบัติการณ์การเกิดโรคสูง จึงต้องทำความสะอาดเป็นพิเศษในจุดที่ต้องสัมผัสบ่อยๆ ได้แก่ ที่จับสายฉีดน้ำชำระ ที่รองนั่งส้วมแบบนั่งราบ ที่กดชักโครกของส้วม ที่กดโถปัสสาวะ กลอนประตู หรือลูกบิดและก๊อกน้ำที่อ่างล้างมือ เพราะอาจเป็นแหล่งปนเปื้อนเชื้อโรคได้

สำหรับประชาชนและนักท่องเที่ยวผู้ใช้บริการ ควรตระหนักและเห็นความสำคัญต่อพฤติกรรมการใช้ส้วมสาธารณะอย่างถูกต้อง โดยไม่ขึ้นไปเหยียบบนโถส้วมแบบนั่งราบ ไม่ทิ้งวัสดุอื่นนอกจากกระดาษชำระลงโถส้วม ราดน้ำหรือกดชักโครกทุกครั้งหลังการใช้ส้วมและล้างมือทุกครั้งหลังการใช้ส้วม เพื่อเป็นการช่วยกันดูแลและรักษาความสะอาดแก่สถานบริการ

“ทั้งนี้ ในส่วนการจัดบริการส้วมสาธารณะ กระทรวงสาธารณสุขได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจกับบริษัทผู้ค้าน้ำมันรายใหญ่ของประเทศจำนวน 7 บริษัท เพื่อปรับปรุงห้องส้วมในปั๊มน้ำมันให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน HAS ของกรมอนามัย และได้รับความร่วมมือจากบริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด ในการนำข้อมูลส้วมปั๊มน้ำมันที่ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน ลงบนแผนที่ทางหลวงประเทศไทย และแผนที่ดิจิตอล (GPS navigator) เรียบร้อยแล้วจำนวน 490 แห่ง ซึ่งได้รับการตอบรับจากประชาชนผู้ใช้บริการเป็นอย่างมาก รวมถึงการจัดทำบันทึกความเข้าใจร่วมกันระหว่าง รฟท. พัฒนาส้วมที่สถานีให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานมาตั้งแต่ปี 2551 เพื่อให้ส้วมสถานีรถไฟได้มาตรฐาน HAS ส่งผลให้ขณะนี้มีส้วมสถานีรถไฟผ่านเกณฑ์มาตรฐานแล้วทั้งสิ้น 174 สถานี จาก 442 สถานี โดยทาง รฟท. ได้ตั้งเป้าพัฒนาส้วมสถานีให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐาน HAS เพิ่มขึ้นปีละ 50 สถานี รวมถึงจัดโครงการ SMART Train พัฒนาและยกระดับการให้บริการขบวนรถรวม 3 เส้นทาง คือ เส้นทางสายเหนือ สายตะวันออกเฉียงเหนือ และสายใต้ พร้อมปรับปรุงส้วมในรถนอนชั้น 1 ปรับอากาศ จำนวน 18 คัน ให้ได้มาตรฐานตามหลักเกณฑ์ที่กระทรวงสาธารณสุขกำหนด” นพ.สุรวิทย์ กล่าว

นพ.สุรวิทย์ กล่าวอีกว่า ส้วมสาธารณะที่ผ่านการประเมินมาตรฐาน HAS นั้น นอกจากจะได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนผู้ใช้บริการแล้ว ยังสามารถใช้ส้วมเป็นจุดขาย เช่น ปั๊มน้ำมันสามารถส่งเสริมการตลาดของตนเอง โดยมีการโฆษณาห้องน้ำสะอาด เป็นสิ่งจูงใจต่อผู้ใช้บริการ เพราะเห็นว่ามีส้วมดีแล้วประชาชนก็จะกลับมาใช้บริการอีก และยังสามารถทำให้เพิ่มรายได้จากการขายสูงขึ้นร้อยละ 20.

ไทยรัฐออนไลน์  31 มีค 2555

หน้า: 1 ... 401 402 [403] 404 405 ... 535