แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 399 400 [401] 402 403 ... 537
6001
ปัจจุบันพ่อแม่จำนวนมากต้องทุกข์ใจจากการมีลูกป่วยเป็นโรคภูมิแพ้ มีสถิติที่น่าตกใจ เปิดเผยว่า 25% ของประชากรเด็กทั่วโลกป่วยเป็นภูมิแพ้ และมีอัตราสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่เมืองไทยในช่วงปี 2553 ข้อมูลจำนวนเด็กอายุ 0-5 ปี พบว่ามีประมาณ 1.8 ล้านคนกำลังป่วยด้วยโรคนี้ แต่ตัวเลขอีกฝั่งที่สูงจนต้องปาดเหงื่อคือ ต้นทุนการรักษาพยาบาลที่เกิดขึ้นโดยตรงจากโรคภูมิแพ้พุ่งสูงถึง 27,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 5% ของรายจ่ายด้านสุขภาพโดยรวมของประเทศตามรายงานของกระทรวงสาธารณสุข

บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด ได้จัดสัมมนาเชิงวิชาการสำหรับสื่อมวลชนเรื่อง "กันไว้ดีกว่าแก้ ภาระโรคภูมิแพ้ขจัดได้" เปิดเผยผลวิจัยภาระค่าใช้จ่ายเป็นครั้งแรกของไทย พร้อมเสนอแนวทางการป้องกันโรคภูมิแพ้ เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นได้

รศ.พ.ญ.จรุงจิตร์ งามไพบูลย์ หัวหน้าหน่วยโรคภูมิแพ้และวิทยาภูมิคุ้มกัน ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เจ้าของงานวิจัยเรื่อง "ต้นทุนการรักษาโดยตรงของโรคภูมิแพ้ในเด็กแรกเกิดถึง 5 ปี" ระบุว่า โรคภูมิแพ้ถือว่าเป็นโรคฮิตมากที่สุดในเด็ก และมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงมากต่อปี

"ยารักษาภาวะโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่มี

เป้าหมายเพื่อควบคุมอาการและป้องกันการเป็นซ้ำ จึงมีความจำเป็นต้องใช้ยาอย่างต่อเนื่องในระยะยาว ถ้ายังไม่สามารถจัดการกับต้นเหตุที่ทำให้เกิดอาการได้ จากการศึกษาของเราชี้ให้เห็นว่า ผลลัพธ์จากการใช้ยาเป็นองค์ประกอบที่ใหญ่ที่สุดของต้นทุนการรักษาโดยตรงคิดเป็นราว 46% ส่งผลให้ต้นทุนค่ารักษาสูงขึ้น"

โรคภูมิแพ้ที่ศึกษาประกอบไปด้วย การแพ้นมวัว หวัดเรื้อรัง โรคหอบหืด และโรคผื่นแพ้ผิวหนัง ขณะที่เด็กแพ้นมวัวมีค่าใช้จ่ายสูงที่สุดอยู่ที่ 64,838 บาทต่อคนต่อปี หรือคิดเป็น 24% ของรายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือน

ส่วนโรคหวัดเรื้อรังมีค่าใช้จ่าย 12,669 บาท โรคหอบหืด 9,633 บาท และโรคผื่นแพ้ผิวหนัง 5,432 บาท

ผลการศึกษาในต่างประเทศส่วนใหญ่ พบว่าโรคภูมิแพ้เกิดขึ้นเป็นกระบวนการ เริ่มต้นด้วยอาการแพ้อาหาร มักจะแสดงออกทางผิวหนังเป็นหลัก มีผดผื่นตามผิวหนัง แม้โตขึ้นอาจหายได้ แต่เด็กกลุ่มนี้กลับมีโอกาสเสี่ยงที่จะพัฒนาเป็นโรคภูมิแพ้อากาศหรืออาจรุนแรงถึงขั้นเป็นหอบหืดได้ นี่ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยโดยเฉพาะถ้าไม่รีบรักษาตั้งแต่เล็ก

ความหวังดีที่ทำร้ายลูกน้อยเกิดจากช่วงที่คุณแม่ตั้งครรภ์คิดว่าการโหมบำรุงด้วยนมวัวแล้วจะมีผลดีต่อสุขภาพลูกรักในครรภ์ แต่แม่ที่ตั้งใจดื่มนมวัวมากเกินไปกลับทำให้ลูกเสี่ยงเป็น "โรคแพ้นมวัว" หลังคลอด

อาจารย์หมอจรุงจิตร์ให้เหตุผลว่า "วัฒนธรรมคนไทยไม่ได้ถูกปลูกฝังให้ดื่มนมแทนน้ำเหมือนกับฝรั่งที่ดื่มนมมากเป็นปกติ แต่เมื่อคุณแม่ไทยตั้งครรภ์ก็จะหันมาหักโหมดื่มนมวัวบำรุงสุขภาพเป็นปริมาณมากเกินปกติวิสัย ย่อมส่งผลกระตุ้นให้เกิดภูมิแพ้ในเด็กตั้งแต่อยู่ในท้องได้อย่างไม่ตั้งใจ"

แนวทางการป้องกันโรคภูมิแพ้ตั้งแต่เริ่มตั้งครรภ์คือ คุณแม่ไม่ควรตั้งใจดื่มนมวัวมากเกินไป หากแม่ต้องการเสริมแคลเซียม คุณหมอแนะนำให้รับประทานแคลเซียมเม็ดแทน พร้อมกับรับประทานนมไปตามปกติ

ส่วนช่วงหลังคลอดสิ่งที่ดีที่สุดคือ การให้นมแม่ติดต่อกันอย่างน้อย 4-6 เดือนแรกของชีวิต เนื่องจากนมแม่เป็นสารอาหารที่ดีที่สุดสำหรับทารก ทั้งยังประกอบไปด้วยจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่ดี และยังช่วยลดการสัมผัสกับโปรตีนแปลกปลอมจากนมวัว เรียกได้ว่านมแม่มีประโยชน์ต่อการเติบโตของเด็กในระยะยาวชนิดนมวัวเทียบไม่ติด

อย่างไรก็ตาม คุณแม่ก็ควรเลือกกินอาหารให้หลากหลายแบบทางสายกลาง อย่าจำเพาะเจาะจงกินอย่างใดอย่างหนึ่งต่อเนื่อง ส่วนคุณแม่ที่ไม่สามารถให้ลูกดื่มนมแม่ได้ และในกรณีเด็กที่มีความเสี่ยงเป็นโรคภูมิแพ้สูง (มีประวัติครอบครัวที่เป็นโรคภูมิแพ้) คุณหมอแนะให้ในช่วง 4 เดือนแรกควรเลือกให้นมสูตรพิเศษแบบสูตรไฮโปอัลเลอร์เจนิก (H.A.) ที่มี

โปรตีนเวย์ 100% ผ่านการย่อยโดยโปรตีนบางส่วนให้โมเลกุลเล็กลง โดยผลการวิจัยของ GINI จากประเทศเยอรมนียืนยันว่า นมสูตรนี้ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดภูมิแพ้แก่ทารกที่มีประวัติภูมิแพ้ในครอบครัวได้ในระยะยาว

แน่นอนว่าหัวอกของพ่อแม่ทุกคนไม่อยากเห็นลูกรักต้องมาเจ็บป่วย เพราะไม่เพียงดึงเงินออกจากกระเป๋าสตางค์แบบเลี่ยงไม่ได้แล้ว ยังสร้างความทุกข์ใจทุกครั้งยามเห็นลูกต้องทรมาน

ประชาชาติธุรกิจ  9 เมษายน พ.ศ. 2555

6002
 กรมควบคุมโรค เอาจริง สั่ง! ห้ามขายเหล้า เบียร์ช่วง 11.00-14.00 น.และ 17.00-24.00 น.พร้อมเตือนประชาชนระวัง 4 โรคสำคัญ ช่วงสงกรานต์ จมน้ำ-ลมแดด-ท้องเสีย-ตาแดง แนะกินอยู่ถูกสุขลักษณะ
       
       ดร.นพ.พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า เพื่อเป็นการคุมเข้มเรื่องปัญหาจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั้น ทางกรมฯได้ใช้มาตรการห้ามจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วงเวลา 11.00-14.00 น.และ 17.00-24.00 น.ระหว่างวันที่ 12-18 เม.ย. 2555 หากผู้ใดฝ่าฝืนจะมีความผิดตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน หรือปรับไม่เกิน 1 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งในช่วงสงกรานต์จะมีเจ้าหน้าที่คอยตรวจตราอย่างเข้มงวด หากพบผู้กระทำผิดจะดำเนินการจับ ปรับและขังจริง และขอย้ำว่า ในปั๊มน้ำมัน สถานศึกษา และสถานที่สาธารณะ ห้ามไม่ให้มีการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด ไม่เฉพาะช่วงสงกรานต์เท่านั้น อีกทั้งห้ามขายให้เด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี เนื่องจากในปี 2554 พบว่า เกิดผลกระทบจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์อย่างชัดเจน โดยพบว่า ร้อยละ 47 ของผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์ เกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้วขับ
       
       ดร.นพ.พรเทพ กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของโรคที่พึงเฝ้าระวังช่วงเทศกาลสงกรานต์อีกด้วย โดยกรมฯ อยากฝากเตือน 4 โรค ได้แก่

1.จมน้ำ โดยเฉพาะในกลุ่มเด็ก ซึ่งปัจจุบันมีสถิติเสียชีวิตเฉลี่ยวันละ 6 ราย ดังนั้น พ่อแม่ไม่ควรปล่อยให้ลูกไปเล่นน้ำตามแหล่งน้ำตามธรรมชาติ เช่น ห้วย หนอง คลอง บึง หรือ น้ำตก โดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล แม้ว่าเด็กจะว่ายน้ำเป็น เพราะช่วงเทศกาลสงกรานต์จะมีอากาศที่ค่อนข้างร้อน เด็กจะแช่น้ำนาน 2-3 ชั่วโมง อาจเป็นตะคริวจนจมน้ำเสียชีวิตได้ นอกจากนี้ แหล่งท่องเที่ยวที่เปิดให้เด็กเล่นน้ำได้ ควรมีการจัดเตรียมอุปกรณ์ช่วยชีวิต เช่น เสื้อชูชีพ หรือ แกลลอนผูกเชือกไว้กับเสาหลักบนฝั่ง เพื่อให้ง่ายต่อการดึงเด็กเข้าฝั่งเมื่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น และควรมีคนดูแลทุกจุดที่มีเด็กลงเล่นน้ำ คอยทำหน้าที่ในการช่วยเหลือเด็กหากจมน้ำ ไม่ควรปล่อยให้เด็กช่วยเหลือกันเอง อาจจะเกิดการเสียชีวิตหมู่

2.โรคลมแดด อากาศที่ร้อนมากอาจส่งผลให้ประชาชนป่วยด้วยโรคลมแดด จึงควรดื่มน้ำสะอาดมากๆ อย่างน้อย 8 แก้ว เมื่อต้องออกแดด ควรสวมหมวก หรือกางร่ม เป็นการป้องกันไม่ให้สัมผัสแดดโดยตรง และหากพบผู้ป่วยโรคลมแดด ให้ช่วยเหลือด้วยการคลายเสื้อผ้า เช็ดดด้วยน้ำเย็น ภายใน 1 ชั่วโมงอากาศไม่ดีขึ้นให้รีบนำตัวส่งโรงพยาบาล
       
3.โรคอาหารเป็นพิษ ช่วงสงกรานต์อาจมีการทำอาหารจำนวนมากเลี้ยงญาติที่กลับไปเยี่ยมบ้าน แต่ควรระวังไม่ให้อาหารบูด ในช่วงอากาศร้อนมากเช่นนี้ อาหารที่ทำทิ้งไว้เกิน 2-3 ชั่วโมงมีโอกาสที่จะบูดได้ เพราะฉะนั้นก่อนการรับประทานอาหาร ควรสังเกตอาหารว่าบูดหรือไม่ และแม้จะมีการบูดเพียงเล็กน้อยก็ไม่ควรนำมารับประทาน เนื่องจากจะส่งผลให้เกิดการท้องเสียได้
       
และโรคที่ 4 ตาแดง อาจเกิดขึ้นได้จากการที่นำน้ำไม่สะอาด หรือน้ำจากคลอง คู บึง มาใช้เล่นสาดน้ำ หากเข้าตาอาจทำให้ตาแดงได้ หรือเข้าปากจะทำให้ท้องเสีย น้ำที่ใช้เล่นสงกรานต์จึงควรเป็นน้ำประปา หรือน้ำจากแหล่งน้ำที่สะอาด ส่วนแป้งที่จะใช้ในการทากันและกัน ก็ควรเป็นแป้งที่มียี่ห้อผู้ผลิตและระบุแหล่งผลิต อย่างน้อยมั่นใจได้ว่าได้มีการผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อโรคแล้ว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 เมษายน 2555

6003
 สธ.พบ กลุ่มสมุนไพรบำรุงกำลัง-แก้ปวดเมื่อย ถูกขโมยมากที่สุด สธ.เร่งเข็นนโยบายคุ้มครองพื้นที่อนุรักษ์
       
       นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบแผนจัดการเพื่อคุ้มครองสมุนไพรในพื้นที่เขตอนุรักษ์ตามที่กระทรวงสาธารณสุข เสนอเพิ่มอีก 8 แห่ง เพื่ออนุรักษ์สมุนไพรที่ขึ้นตามธรรมชาติ เนื่องจากมีผลสำรวจ พบว่า มีสมุนไพรไทย 12 ชนิด ที่อยู่ในพื้นที่เขตอนุรักษ์ 8 แห่งนี้ อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ เพราะถูกขโมย หรือตัดไปขาย โดยไม่ได้ทำการส่งเสริมอนุรักษ์ให้ถูกต้อง สมุนไพรถูกขโมยมากที่สุด คือกลุ่มสมุนไพรบำรุงกำลัง มี 9 ชนิด ได้แก่
1.เถาวัลย์เปรียง
2.กำลังวัวเถลิง
3.ฮ่อสะพายควาย
4.กำลังเสือโคร่ง
5.แส้ม้าทะลาย
6.พญารากดำ
7.เนระพูสี
8.เจตมูลเพลิงแดง
9.สบู่เลือด

กลุ่มสมุนไพรแก้ปวดเมื่อยและบำรุงกำลัง 2 ชนิด ได้แก่
1. จันทน์ขาว และ
2.จันทน์แดง และ

กลุ่มสมุนไพรเข้ายาตำรับแก้ไข้ 1 ชนิด คือ สมอทุกชนิด ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก เนื่องจากสมุนไพรแต่ละชนิด ล้วนสำคัญต่อการพัฒนายาในการรักษาโรคในอนาคต และไม่ให้มีผลกระทบต่อนโยบายการส่งเสริมการใช้สมุนไพร การพัฒนายาไทย ซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล โดยสมุนไพรต่างๆ สามารถส่งเสริมและผลิตยาเพื่อทดแทนยาแผนปัจจุบัน ลดการนำเข้ายาจากต่างประเทศได้ รวมทั้งยังสามารถนำมาผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สุขภาพด้านอื่นๆ เช่น เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เป็นต้น จึงมอบให้กรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยฯ ดำเนินการเร่งอนุรักษ์คุ้มครองสมุนไพรที่ใกล้สูญพันธุ์ เช่น การปลูกทดแทน การสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับประชาชน เพื่อให้เกิดความร่วมมือป้องกันไม่ให้สมุนไพรดังกล่าวสูญพันธุ์ไปจากประเทศไทย และสามารถใช้การต่อไปได้ถึงอนาคต
       
       นพ.สุพรรณ ศรีธรรมมา อธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่เขตอนุรักษ์ที่ประกาศเป็นเขตคุ้มครองสมุนไพร 8 แห่ง ได้แก่ 1.พื้นที่ป่าริมพรมและป่าภูกระแต เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาเขียว อ.เกษตรสมบูรณ์ จ.ชัยภูมิ 2.พื้นที่ป่ากุดตะวัน อุทยานแห่งชาติทับลาน จ.ปราจีนบุรี 3.พื้นที่ป่าชุมชนตำบลแม่ทราย อ.ร้องกวาง จ.แพร่ 4.พื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่าดูนลำพัน จ.มหาสารคาม 5.พื้นที่อุทยานแห่งชาติภูสวนทราย จ.เลย 6.พื้นที่อุทยานแห่งชาติดอยขุนตาล จ.ลำปาง 7.พื้นที่อุทยานแห่งชาติรามคำแหง จ.สุโขทัย 8.พื้นที่อุทยานแห่งชาติภูสระดอกบัว จ.อำนาจเจริญ โดยพื้นที่ดังกล่าวต่อไปนี้จะเป็นเขตอนุรักษ์สมุนไพร ซึ่งตาม พ.ร.บ.คุ้มครองและส่งเสริมภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทย พ.ศ.2542 มาตรา 63 ห้ามมิให้ผู้ใดยึดถือ ครอบครอง ตัด โค่น แผ้วถาง เผา ทำลาย ต้นไม้ พฤกษชาติอื่น หรือทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ หรือระบบนิเวศตามธรรมชาติ ผู้ใดฝ่าฝืนจะมีความผิดตามกฎหมายที่กำกับดูแลพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งอยู่ในความดูแลของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม
       
       ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 เป็นต้นมา กระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำแผนคุ้มครองสมุนไพรไปแล้ว 12 แห่ง คือ 1.พื้นที่เขตอนุรักษ์ภูผากูด จ.มุกดาหาร 2.พื้นที่ป่าชุมชนบ้านหัวทุ่ง เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเชียงดาว จ.เชียงใหม่ 3.พื้นที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าซับลังกา จ.ลพบุรี 4.พื้นที่เขตอุทยานแห่งชาติ ภูจอง-นายอย จ.อุบลราชธานี และ 5.พื้นที่ป่าเขาสลัดได อุทยานแห่งชาติทับลาน จ.นครราชสีมา 6.พื้นที่เขตห้ามล่าสัตว์ป่า อุทยานสมเด็จพระศรีนครินทร์ จ.กาญจนบุรี 7.พื้นที่อุทยานแห่งชาติแม่วงก์ จ.กำแพงเพชร 8.พื้นที่อุทยานแห่งชาติภูลังกา จ.นครพนม 9.พื้นที่อุทยานแห่งชาติทุ่งแสลงหลวง จ.พิษณุโลก 10.พื้นที่อุทยานแห่งชาติทะเลบัน จ.สตูล 11.พื้นที่อุทยานแห่งชาติปางสีดา จ.สระแก้ว 12.พื้นที่อุทยานแห่งชาตินายูง-น้ำโสม จ.อุดรธานี รวมจนถึงขณะนี้มีพื้นที่เขตอนุรักษ์สมุนไพร 20 แห่ง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 เมษายน 2555

6004
สธ.ประเมินผลบริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน 5 วันแรก 1-5 เม.ย พบนิยามบริการ “ฉุกเฉิน” ผ่านฉลุย แพทย์ประจำ รพ.ประเมินอาการได้ ขณะสิทธิข้าราชการฯ ส่อวุ่น รพ.แรกรับยังมึน! รักษาอาการทุเลา แล้วไม่รู้ส่งต่อ รพ.ต้นสังกัดได้ที่ใด เตรียมประเมินผลรอบ 3 เดือน ก่อนสรุปผลและแก้ปัญหา
       
       นพ.สมชัย นิจพานิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงความคืบหน้ากรณีการบริการฉุกเฉินทุกสิทธิ ซึ่งรัฐบาลประกาศใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย.2555 ว่า ตนได้รายงานผลการประเมินการบริการดังกล่าวในรอบ 5 วันแรก ต่อ นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัด สธ.เมื่อวันที่ 5 เม.ย.2555 โดยภาพรวมนั้น การบริการของหน่วยบริการในสังกัด สธ.เป็นไปอย่างเรียบร้อย โดยเฉพาะในเรื่องการบริการตามนิยามเจ็บป่วยฉุกเฉิน ซึ่งทุกพื้นที่มีแพทย์ในโรงพยาบาลที่แรกรับสามารถประเมินอาการของผู้ป่วยได้ ส่วนนี้ถือว่ามีการชี้แจงที่สามารถทำความเข้าใจได้ดี แต่ในส่วนของปัญหาอื่นที่อาจเกี่ยวข้อง คงต้องให้ รพ.ที่ร่วมบริการเป็นผู้ชี้แจง อย่างไรก็ตามปัญหาเบื้องต้นที่ยังมีอยู่ในขณะนี้หลังจากที่ บริการไปได้ 5 วันแรก พบว่า ยังมีเรื่องของความเข้าใจคลาดเคลื่อนในการบริการผู้ป่วยสิทธิสวัสดิการิข้าราชการ (ขรก.) ซึ่งแต่เดิมก่อนที่จะมีบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินฯ ทุกสิทธิ กรมบัญชีกลาง ผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลของ ขรก.จะระบุในเงื่อนไขการบริการ ว่า ขรก.ที่เจ็บป่วยฉุกเฉินต้องสำรองเงินจ่ายก่อน หากเข้ารับบริการใน รพ.ที่ไม่ใช่เครือข่ายร่วม แต่หลังจากวันที่ 1 เม.ย.2555 ยังพบว่า มี รพ.บางแห่งเรียกเก็บเงินสำรองจ่าย ซึ่งตามหลักเกกณฑ์การบริการเจ็บป่วยฉุกเฉินระบบใหม่ที่รัฐบาลประกาศนั้น ทุก 3 กองทุน คือ ประกันสังคม หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า และ สวัสดิการ ขรก.ทำความเข้าใจกันแล้ว ซึ่งส่วนนี้จะมีปัญหาประมาณ 2-3 วันแรก แต่ช่วงระยะหลัง สธ.ได้ให้เจ้าหน้าที่ชี้แจงไปแล้ว หน่วยบริการก็รับทราบในเงื่อนได้ดี
       
       “หากจะกล่าวไปแล้ว สิทธิการบริการกรณีเจ็บป่วยฉุกเฉินนี้ สิทธิ ขรก.เป็นสิทธิเดียวที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเรื่องเรียกเก็บค่าใช้จ่าย เพราะเป็นสิทธิเดียวที่สามารถรับบริการสาธารณสุข ได้ทุกแห่งในสถานบริการของรัฐ แต่หากใช้บริการนอกเครือข่ายก็ต้องสำรองจ่ายก่อน ส่วน 2 สิทธิ์ที่เหลือ คือ สิทธิหลักประกันสุขภาพและประกันสังคม นั้นไม่จำเป็นต้องสำรองจ่ายอยู่แล้วในกรณีฉุกเฉิน” นพ.สมชัย กล่าว
       
       รองปลัด สธ.กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ ปัญหาที่ยังคงพบประปราย ได้แก่ ปัญหาเรื่องการส่งต่อหลังจากอาการเจ็บป่วยฉุกเฉินทุเลา ซึ่งขณะนี้ พบว่า การบริการผู้ป่วยสิทธิข้าราชการ รพ.ที่แรกรับบริการผู้ป่วยฉุกเฉินยังไม่สามารถตัดสินใจได้ว่า เมื่อจะส่งต่อผู้ป่วยอาการทุเลาแล้วจะส่งต่อไปให้หน่วยบริการใด เนื่องจากสิทธิข้าราชการ สามารถเข้ารับบริการได้ใน รพ.รัฐทุกสังกัด ซึ่งปัญหานี้ไม่ได้เป็นปัญหาที่เพิ่งเกิดขึ้นหลังบริการเจ็บป่วยฉุกเฉิน 1 เม.ย.แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมานานแล้ว ตัวอย่างเช่น รพ.A รับนาย ก.สิทธิข้าราชการ กรณีเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจขาดเลือด หน้า รพ.เอกชน B แล้วเข้ารับบริการใน รพ.เอกชน B ตามสิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉินแล้วจนอาการทุเลา รพ.เอกชน B ก็ต้องส่งต่อไปยัง รพ.ต้นสังกัดเพื่อรักษาต่อ เนื่องจากโรคหัวใจขาดเลือดเนโรคที่ต้องรักษาต่อเนื่อง รพ.เอกชน B จึงจำเป็นต้องหาทางส่ง ซึ่งเหล่านี้แพทย์ก็ยังตัดสินใจไม่ถูกว่าจะเลือกส่งต่อไปที่ใด ซึ่งส่วนนี้ คงจะต้องเร่งรัดหาทางออกกรณีดังกล่าวต่อไป อย่างไรก็ตาม สธ.จะมีการประเมินครั้งใหญ่อีกครั้งหลังจากบริการครบ 3 เดือน โดยเฉพาะการบริการในพื้นที่ กทม.ที่มีหน่วยบริการมากถึง 5 ส่วน ได้แก่ หน่วยบริการสังกัดกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) หน่วยบริการสังกัด กทม.หน่วยบริการสังกัด โรงเรียนแพทย์ หน่วยบริการเอกชน และหน่วยบริการเหล่าทัพ
       
       “อย่างไรก็ตาม ศูนย์ประสานงานการบริการฉุกเฉินทุกสิทธิ รวดเร็ว ปลอดภัยไร้รอยต่อ  เพื่อติดตามการให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินของสถานบริการในสังกัดกว่า 800 แห่งทั่วประเทศ ก็ยังคงเปิดให้บริการต่อไป โดยมีสายด่วน 0-2590-1994 มี 10 คู่สาย โทรสาร 0-2590-1993 และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เปิดสายด่วน 1330 ด้วย หากประชาชนเจ็บป่วยฉุกเฉินสามารถ โทร.แจ้ง หน่วยกู้ชีพฉุกเฉินฟรีทั่วประเทศ ทางหมายเลข 1669 ตลอด 24 ชั่วโมง” รองปลัด สธ.กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    9 เมษายน 2555

6005
บศพทารกเพศชาย อายุครรภ์ประมาณ 5 เดือน ถูกทิ้งในชักโครก รพ.เชียงรายฯ เผยยังไม่ทราบแน่ชัด เป็นอุบัติเหตุหรือทำแท้ง เตรียมตัวสอบประวัติคนไข้เพื่อติดตามมาสอบสวน …

เมื่อเวลา 14.15 น. วันที่ 9 เม.ย.  พ.ต.ท.สุรพงษ์ บุญยืน พงส.สภ.เมืองเชียงราย ได้รับแจ้งจากเจ้าหน้าที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ว่า พบศพทารกอยู่ในห้องน้ำชั่วคราว บริเวณหน้าตึกแผนกผู้ป่วยนอก ติดรั้วริมถนนพยาบาล เขตเทศบาลนครเชียงราย จึงรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ และพร้อมด้วยแพทย์นิติเวชรุดไปตรวจสอบ ที่เกิดเหตุเป็นห้องน้ำหญิง เบอร์ 1 พบศพทารกนอนคว่ำหน้าอยู่ในโถชักโครก จึงช่วยกันนำร่างออกมาตรวจสอบที่หน้าตึก โดยมีชาวบ้านและญาติคนไข้มามุงดูจำนวนมาก

จากการสอบปากคำ น.ส.คำมั่น ใส่ตุ้ย อยู่บ้านเลขที่ 176 หมู่ 1 ต.เทิดไท อ.แม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย ผู้พบศพเป็นคนแรก ทราบว่า ขณะพาสามีมาตรวจรักษาที่ รพ.เชียงรายประชานุเคราะห์ ตนก็เกิดปวดท้องขึ้นกะทันหัน จึงเดินไปเข้าห้องน้ำหญิงชั่วคราว เบอร์ 1 พอเข้าไปก็ได้กลิ่นเหม็นเหมือนของเน่า แต่ไม่ได้สนใจอะไร เพราะคิดว่าเป็นเรื่องปกติของห้องน้ำสาธารณะ แต่พอทำธุระเสร็จ ขณะเปิดฝาที่รองนั่งชักโครกให้กว้างออก เพื่อราดน้ำทำความสะอาด ก็เห็นศพทารกอยู่ในชักโครก ด้วยความตกใจตนจึงรีบวิ่งออกมาแจ้งเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลให้มาตรวจสอบ

ด้าน พ.ต.ท.สุรพงษ์ บุญยืน พงส.สภ.เมืองเชียงราย เปิดเผยว่า จากการชันสูตรศพของนิติเวชประจำ รพ.ศูนย์เชียงราย พบว่าศพทารกดังกล่าวเป็นเพศชาย และคาดว่าอยู่ในครรภ์มารดามาแล้วกว่า 5 เดือน แต่สภาพร่างกายเกิดเน่าเปื่อยอย่างมาก และยังพบรกสายสะดือของเด็กที่ขาดแล้ว สันนิษฐานว่าศพดังกล่าวถูกทิ้งอยู่ในชักโครกมาแล้วประมาณ 2-3 วัน แต่ก็ยังไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นเจตนาทำแท้งของมารดา หรือเป็นอุบัติเหตุ ต้องรอการผ่าชันสูตรปอดศพเด็กว่ามีอากาศออกซิเจนหรือไม่ ถ้ามีอากาศก็แสดงว่าทารกได้เกิดมาแล้ว จึงนำมาโยนศพทิ้ง หรือหากไม่มีอากาศก็อาจเป็นอุบัติเหตุ จะต้องรอปลการชันสูตรศพอย่างละเอียดอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม เบื้องต้นเจ้าหน้าที่จะเช็กประวัติคนไข้ที่ตั้งครรภ์ และเข้ามารักษาที่โรงพยาบาลดังกล่าว เพื่อติดตามหามารดาของทารกมาสอบสวนดำเนินคดีต่อไป.

ไทยรัฐออนไลน์  9 เมย 2555

6006
 “มาเล่นในใจฉันเต้นแบบนี้ ฉันว่าเธอก็มีอาการใช่ไหม
       ใจมันเต้น มันเต้น เป็นจังหวะรัก แล้วเธอล่ะ อ่ะ เต้นจังหวะยังไง” หลายคนอาจเคยได้ยินเสียงร้องเพลงนี้อย่างมีความสุขแบบอินสุดๆ ดังลอดมาจากห้องน้ำ แข่งกับเสียงซู่ ซู่ของฝักบัว
       
       40 เปอร์เซ็นต์ของชาย และหญิงเอเชีย ชอบร้องเพลงขณะอาบน้ำ
       
       การร้องเพลงในห้องน้ำ นอกจากทำให้มีความสุข ช่วยลดเครียดได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังมีส่วนช่วยให้พูดภาษาไทยได้ชัดขึ้น
       
       คุณนิรุทติ์ อมรคณารัตน์ นักกิจกรรมบำบัด โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท (แผนกผู้สูงอายุ) กล่าวว่า “การพูดภาษาไทยให้ถูกต้องเป็นเรื่องสำคัญ พิธีกร, นักร้อง, นักแสดง, คุณครู, ประชาสัมพันธ์ ฯลฯ เป็นอาชีพที่จำเป็นต้องพูดภาษาไทยให้ถูกต้อง การร้องเพลงในห้องน้ำมีส่วนช่วยให้พูดภาษาไทยได้ชัดขึ้น รวมถึงมีส่วนช่วยในการบำบัดผู้ป่วยกลุ่มที่มีปัญหาปลายประสาทอักเสบอย่างที่เป็นข่าวของดาราสาวชื่อดังที่เกิดขึ้นจากการพักผ่อนน้อย, รวมถึงผู้ป่วยอัมพาต อัมพฤกษ์”

ร้องเพลงในห้องน้ำช่วยให้พูดภาษาไทยชัดเจนขึ้น

       “คนส่วนใหญ่ชอบร้องเพลงในห้องน้ำ เพราะมักรู้สึกว่าร้องแล้วเสียงเพราะ กังวาน เนื่องจากห้องน้ำมีขนาดเล็ก และเป็นห้องแบบปิดปูด้วยกระเบื้อง ลักษณะการสะท้อนของเสียงที่พุ่งออกไปถูกกระจาย และสะท้อนไปมาในห้องน้ำ ทำให้เกิดเสียงสะท้อนกลับ แบบก้องกังวาน รวมถึงไม่มีใครอยู่รอบข้าง ทำให้รู้สึกว่าไม่โดนจับผิด ผ่อนคลายได้เต็มที่ จึงปล่อยเสียงได้อย่างเต็มที่ น้ำหนักเสียงจึงดีกว่าการร้องโดยปกติ”
       
       “การร้องเพลงยังช่วยให้พูดได้ชัดขึ้น เพราะคอหอย ลิ้น ริมฝีปาก กล่องเสียง ฯลฯ ได้ทำงานขณะที่หูได้ฟังไปด้วย ทำให้เกิดการออกกำลังกายเสียง และควบคุมส่วนต่างๆ ที่ใช้ในการพูดและช่วยให้เคยชินกับการควบคุม ทั้งการควบคุมลม การหายใจ การเว้นวรรค และจังหวะ”
       
       “วิธีที่ดีในการร้องเพลงเพื่อช่วยให้พูดภาษาไทยได้ชัดขึ้น คือ การร้องเพลงตามแบบนักร้องที่ร้องเพลง และออกเสียงภาษาไทยได้ชัดเจน เช่น อุเทน พรหมมินทร์ (เท่ห์), ธนพร แวกประยูร (ปาน), ฝน ธนสุนทร ฯลฯ หรือ ธงไชย แมคอินไตย เพลงไปเที่ยวกัน, สุกฤษฎิ์ วิเศษแก้ว (บี้ เดอะสตาร์) เพลงจังหวะหัวใจ, วิชญาณี เปียกลิ่น (แก้ม เดอะสตาร์) เพลง แค่คำคำเดียว, นภัทร อินทร์ใจเอื้อ (กัน เดอะสตาร์) เพลงหวังดีประสงค์รัก, เพื่อจะเลียนเสียงที่มักพูดกันไม่ถูกต้อง
       
       โดยปกติแล้วการฝึกพูดจะต้องมีครูฝึก หรือผู้บำบัด การร้องเพลงในห้องน้ำ จึงเป็นการใช้เสียงสะท้อนกลับจากผนัง และหูของเราทำหน้าที่แทน ซึ่งข้อดีของวิธีนี้คือผู้ที่พูดไม่ชัดปกติแล้วจะอาย และกลัวที่จะถูกล้อ หรือถูกทัก ทำให้ไม่กล้าพูดเต็มเสียง แต่ถ้าร้องเพลง หรือฝึกพูดในห้องน้ำก็จะช่วยแก้ไขเรื่องดังกล่าวได้
       
       ส่วนเวลาที่ใช้ในการฝึกก็มีความสำคัญ ถ้าเป็นช่วงเช้าร่างกายจะมีความพร้อม เพราะทุกส่วนของร่างกายก็สดชื่น, แข็งแรงพร้อมสำหรับการฝึก คุณภาพเสียงน่าจะดีกว่า จะทำให้มีกำลังใจในการฝึกร้องออกเสียงมากกว่า

       สำหรับสาวๆ ที่ถูกเพื่อนๆ ล้อว่า “ติดไมค์” อาจต้องเปลี่ยนมาซ้อมร้องในห้องน้ำกันบ้างแล้ว คุณนิรุทติ์ ยังกล่าวต่อว่า “การร้องเพลง ยังเป็นการฝึกการควบคุมอวัยวะที่ใช้ในการพูดเพื่อช่วยให้พูดได้ชัดขึ้น
       
       * อวัยวะที่ผลิตลม เช่น ปอด กล้ามเนื้อกระบังลม ในปอดมีกล้ามเนื้อซี่โครง และกล้ามเนื้อกระบังลมออกมา ซึ่งควบคุมทั้งความแรง ความเร็ว และจังหวะ
       
       * อวัยวะที่ทำให้เกิดเสียง เวลาพูดจะมีการสั่นสะเทือนบริเวณสายเสียงที่อยู่ภายในกล่องเสียง (ใกล้ลูกกระเดือก) การสั่นน้อยทำให้เกิดเสียงแหบ และการสั่นมากทำให้เกิดเสียงสูง
       
       * อวัยวะที่ใช้ในการเปล่งเสียงพูด เช่น เพดานแข็ง อ่อน ปุ่มเหงือก ลิ้น ฟัน ริมฝีปาก การควบคุมอวัยวะเหล่านี้ทำให้เกิดเสียงที่แตกต่างกันไป
       
       * อวัยวะที่ทำให้เกิดความก้องของเสียง ซึ่งเป็นโพรงต่างๆ เช่น โพรงจมูก ช่องคอ ช่องจมูก
       
       * สมอง และเส้นประสาทที่ใช้สั่งงาน และควบคุมเพื่อให้เกิดความสัมพันธ์กันของกลุ่มอวัยวะทั้งหมด
       
       * หู ช่วยให้ได้ยินเสียงต้นแบบ เพื่อให้เลียนเสียงได้
       
       แต่ถ้าเป็นการพูดไม่ชัดจากความเจ็บป่วย เช่น มีปัญหาเรื่องการควบคุมลิ้น, กระพุ้งแก้ม, ริมฝีปาก, ลิ้นไก่ ฯลฯ คุณนิรุทติ์ แนะนำว่า ควรต้องพบแพทย์ด้านอายุรกรรมสมองเพื่อค้นหาสาเหตุ เช่น เกิดที่ก้านสมอง ที่ไปควบคุมการทำงานส่วนไหน, เปลือกสมอง, การติดเชื้อไวรัสบางตัว, การได้รับสารพิษ ฯลฯ และเข้าพบนักกิจกรรมบำบัดเพื่อทำการบำบัด อาจต้องเข้ารับการบำบัดด้วยการฝึกการพูด การปรับการทำงานของ ลิ้น ขากรรไกร ปาก กล่องเสียง ปอด และอื่นๆ เพื่อให้พูดได้ชัดขึ้น


ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 เมษายน 2555

6007
 “ยังไม่ทันทำอะไร ก็หมดเวลาไป 1 วันแล้ว...” ประโยคนี้มักได้ยินจากใครหลายๆ คน โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ดูเหมือนว่าเวลา 24 ชั่วโมง ใน 1 วัน จะไม่เพียงพอต่อการทำกิจกรรมต่างๆ ให้ครบตามที่ใจต้องการ ด้วยรูปแบบการใช้ชีวิตที่เร่งรีบ สภาพแวดล้อมที่มีการแข่งขันสูง ภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ทุกอย่างต้องแข่งขันกับเวลาจนเกิดเป็นความกดดัน และความเครียด ทำให้หลายคนลืมที่จะดูแลรักษาสุขภาพของตัวเอง แม้แต่เรื่องง่ายๆ อย่างเช่น การทานอาหารให้ตรงเวลา และให้ครบ 3 มื้อ แต่ก็คงไม่แปลกถ้าคนรุ่นใหม่เหล่านี้จะให้เหตุผลเป็นเสียงเดียวกันว่า “ก็มันไม่มีเวลาจริงๆ” และสิ่งที่ตามมา ก็คือ ปัญหาด้านสุขภาพ และหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่มักเกิดจากพฤติกรรมเหล่านี้ ก็คือ อาการของโรคระบบทางเดินอาหารนั่นเอง
   
       นายแพทย์ สุริยา กีรติชนานนท์ อายุรแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคระบบทางเดินอาหารและตับ ให้ความรู้เกี่ยวกับสาเหตุและอาการต่างๆ ของโรคระบบทางเดินอาหาร ว่า อาการของโรคระบบทางเดินอาหารที่เกิดขึ้นกับคนส่วนใหญ่ คือ อาการอึดอัด แน่นท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ บริเวณลิ้นปี่ หรือเหนือสะดือ โดยอาการเหล่านี้ทางการแพทย์ใช้คำแทนว่า อาการ Dyspepsia (ดิสเป๊ปเซีย) จากการสำรวจข้อมูลประชากรจำนวน 23,676 คน ใน 5 ประเทศของยุโรป พบว่า กลุ่มตัวอย่างมีอาการเหล่านี้ถึงร้อยละ 32% (7,576 คน) ในประเทศสหรัฐอเมริกา พบร้อยละ 25 และสำหรับประเทศไทยนั้น มีข้อมูลจากสมาคมโรคทางเดินอาหารแห่งประเทศไทย ว่า คนไทยได้ประสบกับอาการนี้ถึงร้อยละ 20-25 และเป็นอาการที่พบบ่อยเป็นอันดับหนึ่งในคลินิกทางเดินอาหาร โดยพบได้ทุกช่วงอายุตั้งแต่วัยรุ่นจนถึงผู้สูงอายุ ช่วงที่พบบ่อยมาก คือ อายุตั้งแต่ 40-45 ปีขึ้นไป เนื่องจากเป็นอาการที่เกิดจากระบบการย่อยอาหารที่เสื่อมลงตามวัย
       
       “อาการดิสเป๊ปเซีย เป็นอาการที่เกิดในกระเพาะอาหาร ลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งสามารถแบ่งกลุ่มโรคออกเป็น 2 ชนิด คือ กลุ่มผู้ป่วยที่มีพยาธิสภาพชัดเจนในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น หรือศัพท์ทางการแพทย์ เรียกว่า organic dyspepsia (ออแกนิก ดิสเป๊ปเซีย) เช่น กระเพาะอาหารอักเสบรุนแรง มีแผล มีเชื้อโรคซ่อนอยู่ เนื้องอกในกระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กส่วนต้น และอีกชนิดหนึ่ง คือ กลุ่มผู้ป่วยที่ตรวจไม่พบโรคดังกล่าวด้วยวิธีส่องกล้องตรวจทางเดินอาหารส่วนบน หรือ Functional dyspepsia - FD (ฟังชันนอล ดิสเป๊ปเซีย-เอฟดี) โดยอาการชนิดนี้ เกิดจากการที่กระเพาะอาหาร หรือลำไส้เล็กทำหน้าที่ผิดปกติไปจากเดิม ซี่งพบเป็นส่วนมากในผู้ป่วยที่มีอาการดิสเป๊ปเซีย จากข้อมูลสำรวจผู้ป่วยที่มีอาการดิสเป็บเซียในประเทศไทยจำนวน 1,100 ราย พบว่าร้อยละ 60-90 ของผู้ป่วยที่มีอาการดิสเป็บเซีย มีอาการอยู่ในกลุ่มที่สองนี้ ซึ่งปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการเหล่านี้ มีหลายปัจจัยด้วยกัน อาทิ กระเพาะบีบตัวไม่ได้ บีบตัวช้า กระเพาะไวต่ออาหารบางชนิด เช่น อาหารรสจัด สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลให้การย่อยอาหารในกระเพาะอาหาร และการเคลื่อนตัวของอาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กเป็นไปด้วยความลำบาก เกิดการสะสมของฟองอากาศ หรือแก๊สในกระเพาะอาหารและลำไส้ ทำให้อึดอัด แน่นท้อง ท้องอืดท้องเฟ้อครับ” นายแพทย์ สุริยา กล่าว

ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
       นอกจากนี้ ในปัจจุบันอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ เกิดขึ้นในกลุ่มคนวัยทำงาน และกลุ่มคนวัยเรียนเพิ่มมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด อันเนื่องมาจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป โดยเฉพาะปัจจัยเรื่องความเครียด พฤติกรรมการรับประทานอาหารไม่เป็นเวลา หรือรับประทานอาหารด้วยความเร่งรีบ เคี้ยวไม่ละเอียด ตลอดจนปัจจัยอื่นๆ อาทิ แอลกอฮอล์ บุหรี่ กาแฟ น้ำอัดลม อาหารไขมันสูง ทานอาหารอิ่มแล้วนอนในทันที ทานอิ่มเกินไป หรือแม้แต่พูดคุยขณะรับประทานอาหาร เพราะเป็นการกลืนอากาศเข้าไปพร้อมอาหาร จนส่งผลให้เกิดอาการต่างๆ เหล่านี้ขึ้นซึ่งเป็นปัญหาที่น่าวิตกในการดำเนินชีวิตและการดูแลสุขภาพ
       
       นายแพทย์ สุริยา อธิบายด้วยว่า อาการในกลุ่ม ‘ฟังชันนอล ดิสเป๊ปเซีย’ นั้นไม่เป็นอันตรายต่อชีวิต แต่จะรบกวนคุณภาพชีวิตได้ ซึ่งผู้ที่มีอาการ จำเป็นต้องปรับพฤติกรรมบางอย่าง เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นที่ทำให้เกิดอาการนี้ ควบคู่ไปกับการรับประทานยารักษาอาการ ซึ่งยารักษาอาการในกลุ่ม ‘ฟังชันนอล ดิสเป๊ปเซีย’ มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน อาทิ ยาลดแก๊ส หรือฟองอากาศที่อยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้ ที่มีตัวยา ‘ไซเมทิโคน (Simethicone)’ ซึ่งจะช่วยลดแรงตึงผิวของฟองอากาศ หรือแก๊สในทางเดินอาหาร ทำให้ฟองอากาศเล็กๆ รวมตัวกันง่าย และถูกขับออกจากร่างกายทางปากหรือทางทวารหนักได้ดีขึ้น โดยที่ตัวยาจะไม่ถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย และไม่มีปฏิกิริยาต่อยาอื่นๆ ที่ทานร่วมกัน อย่างเช่น ยาลดกรด ที่กระตุ้นการบีบตัวกระเพาะอาหาร เป็นต้น
       
       “ปัจจุบันอาการท้องอืดนั้น เกิดขึ้นได้ในทุกเพศทุกวัย ทั้งนี้ ทุกคนควรรู้จักการดูแลรักษาสุขภาพ ตลอดจนการป้องกันตนเอง เพื่อให้ห่างไกลจากอาการเหล่านี้ ด้วยวิธีง่ายๆ เช่น รับประทานอาหารให้ตรงเวลา เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ไม่รับประทานอิ่มจนเกินไป ไม่พูดคุยขณะรับประทานอาหาร หลังจากรับประทานอาหารก็ไม่ควรนอนทันที และควรรักษาสมดุลการทำงานไม่ให้ตนเองตกอยู่ในภาวะเครียด พร้อมออกกำลังกายและพักผ่อนอย่างพอดี เหมือนกับประโยคที่ว่า “สุขภาพที่ดีมีได้ด้วยตัวเราเอง” มาสร้างสมดุลให้กับชีวิตกันดีกว่า” นายแพทย์สุริยา กล่าวทิ้งท้าย


ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 เมษายน 2555

6008
 มะเร็งปากมดลูก เป็นต้นเหตุการเสียชีวิตอันดับ 2 ของผู้หญิงไทยปีละกว่า 5,000 ราย ป่วยรายใหม่เพิ่มปีละ 10,000 ราย สธ.เตรียมเสนอฉีดวัคซีนป้องกัน เข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี เพื่อประกาศเป็นนโยบายใหม่ของชาติ ในการควบคุมป้องกันโรคระยะยาว เบื้องต้นใช้งบลงทุน 600 ล้านบาท โดยฉีดให้เด็กหญิงชั้น ป. 6 ทุกคน คนละ 3 เข็ม มีผลป้องกันโรคมะเร็งชนิดนี้ได้ตลอดชีวิต มั่นใจเป็นการลงทุนคุ้มค่า เพราะถูกกว่าค่ารักษา 17 เท่าตัว คาดภายใน 5-10 ปี จำนวนผู้ป่วยจะลดลงร้อยละ 70
       
       วันนี้ (7 เม.ย.) นายแพทย์ สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ภายหลังตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ และโรงพยาบาลนครราชสีมา หรือโรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา แห่งที่2 จังหวัดนครราชสีมา ว่า ขณะนี้มีความเป็นห่วงสุขภาพของหญิงไทย เนื่องจากในแต่ละปี มีผู้หญิงเสียชีวิตจากมะเร็งปากมดลูกประมาณ 5,216 ราย มากเป็นอันดับ 2 รองจากมะเร็งเต้านม ส่วนใหญ่ประมาณร้อยละ 60 พบในกลุ่มอายุ 15-59 ปี และพบผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกรายใหม่เพิ่มปีละประมาณ 10,000 ราย ในขณะที่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ปัญหานี้ลดลงอย่างชัดเจน แต่ในประเทศที่กำลังพัฒนา ยังพบโรคนี้เป็นสาเหตุการป่วยและการเสียชีวิตที่สำคัญของผู้หญิง องค์การอนามัยโลกรายงานทั่วโลกมีผู้หญิงเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปากมดลูกปีละ 275,000 ราย สาเหตุของมะเร็งชนิดนี้ ร้อยละ 80 เกิดมาจากเชื้อไวรัสที่มีชื่อว่าเอชพีวี (HPV: Human Papilloma virus) ที่ติดจากการมีเพศสัมพันธ์
       
       ที่ผ่านมา อัตราการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกครอบคลุม ผู้หญิงที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปที่มีประมาณ 10 ล้านคนได้ร้อยละ 70 ทำให้การควบคุมป้องกันโรคมะเร็งปากมดลูกของไทย ยังได้ผลดีไม่เท่าที่ควร เนื่องจากส่วนหนึ่งเกิดจากประเพณีความเชื่อ และความเขินอายของผู้หญิง จึงไม่กล้าพบแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่ ดังนั้นกระทรวงสาธารณสุขมีแนวคิดจะนำวัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวี (HPV: Human Papilloma vaccine) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ทางการแพทย์ นำมาฉีดป้องกันในเด็กหญิงไทยอายุ 12 ปีที่กำลังเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (ป.6) และยังไม่มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งทั่วประเทศมีปีละประมาณ 400,000 คน ฉีดคนละ 3 เข็ม จะป้องกันได้โรคมะเร็งปากมดลูกได้ตลอดชีวิต ซึ่งจะลดการเกิดโรคมะเร็งปากมดลูกรายใหม่ และลดการเสียชีวิตในระยะยาวอย่างได้ผล ขณะนี้มีหลายประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น อังกฤษ อเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ปานามา รวมถึงประเทศมาเลเซียด้วย ได้บรรจุการฉีดวัคซีนดังกล่าวเป็นนโยบายวัคซีนแห่งชาติ และฉีดให้เด็กหญิงอายุ 12-13 ปีทุกคน พบว่า ได้ผลดี ทำให้โรคลดลงอย่างชัดเจน

   
ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต
       นายแพทย์ สุรวิทย์ กล่าวต่อว่า ขณะนี้ได้ให้กรมอนามัยจัดทำโครงการดังกล่าว เบื้องต้นคาดว่า จะใช้งบประมาณ 600 ล้านบาท เฉลี่ยรายละ 1,500 บาท จะนำเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเร็วๆนี้ เพื่อกำหนดเป็นนโยบายใหม่ของชาติ ซึ่งจะเป็นการพลิกโฉมระบบการประกันสุขภาพของประเทศไทย และเป็นการลงทุนที่คุ้มค่ากว่า เพราะหากป่วยเป็นโรคมะเร็งปากมดลูก 1 ราย จะต้องใช้เวลารักษาติดต่อกัน 4-5 ปี ค่ารักษาประมาณ 1 ล้านบาทต่อราย โดยหากมีผู้ป่วย 10,000 ราย จะต้องใช้งบรักษามากถึง 10,000 ล้านบาท และบางรายอาจไม่ได้ผล เพราะรักษาเมื่อเซลล์มะเร็งลุกลามแล้ว แต่หากลงทุนโดยฉีดวัคซีนป้องกัน จะถูกกว่ากันถึง 17 เท่าตัว
       
       ทั้งนี้ แนวคิดการฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกนี้ ได้รับการสนับสนุนจาก 6 องค์กรวิชาชีพทางการแพทย์ ได้แก่ ราชวิทยาลัยสูตินรีแพทย์แห่งประเทศไทย ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย สมาคมมะเร็งนรีเวชไทย สมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย สมาคมโรคติดเชื้อแห่งประเทศไทย และสมาคมอนามัยเจริญพันธุ์ (ไทย) อย่างไรก็ตาม วัคซีนดังกล่าวขณะนี้ราคาประมาณเข็มละ 1,000 บาท แต่หากใช้ในปริมาณมาก ราคาน่าจะจะถูกลงเข็มละประมาณ 500 บาท
       
       นายแพทย์ สุรวิทย์ กล่าวต่ออีกว่า อัตราการเกิดมะเร็งปากมดลูกในผู้หญิงไทยจะพบมากที่สุดในอายุ 40-45 ปี หลังจากติดเชื้อไวรัสเอชพีวี จะใช้เวลาก่อโรคมะเร็งอย่างค่อยเป็นค่อยไปประมาณ 10-15 ปี และปัจจุบันนี้อายุการมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกของหญิงไทยน้อยลงเรื่อยๆ ความเสี่ยงการติดเชื้อไวรัสชนิดนี้จะสูง โดยวัคซีนที่จะนำมาฉีดป้องกันไวรัสมะเร็งปากมดลูกในไทยครั้งนี้จะป้องกันได้ 2 สายพันธุ์คือสายพันธุ์ที่ 16 และ 18 ซึ่งเป็นไวรัสที่พบเป็นต้นเหตุมะเร็งปากมดลูกหญิงไทยมากถึงร้อยละ 70 ของมะเร็งปากมดลูกที่พบทั้งหมด โดยในระยะแรกจะทำควบคู่กับการตรวจคัดกรองหามะเร็งปากมดลูกในกลุ่มหญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป ด้วยวิธีแปปสเมียร์ (Pap smear) และวีไอเอ ซึ่งยังมีความจำเป็น ทำให้ได้ผลคุ้มค่าขึ้น เพราะเป็นวิธีที่จะตรวจพบความผิดปกติได้รวดเร็วและให้การรักษาเร็วก่อนที่เซลล์มะเร็งจะลุกลาม โอกาสหายขาดจะมีสูงขึ้น มั่นใจว่า ภายใน 5-10 ปีข้างหน้า เราจะสามารถลดปัญหาโรคมะเร็งปากมดลูกได้ร้อยละ 70 นายแพทย์สุรวิทย์ กล่าว

ASTVผู้จัดการออนไลน์    7 เมษายน 2555

6009
สธ.สุ่มตรวจอาหารปี 54 ยังพบสารปนเปื้อน “บอแรกซ์ ร้อยละ 0.09 สารฟอกขาว ร้อยละ 0.01 สารกันรา ร้อยละ 0.25, ยาฆ่าแมลง ร้อยละ 1.59 และ โพลาร์ 3.67 ชี้ แม้จะลดน้อยลง ต้องไม่ทิ้ง โครงการอาหารปลอดภัยเพื่อสุขภาพ
       
       นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า ปี 2555 สธ.มีนโยบายเรื่องการคุ้มครองผู้บริโภคด้านอาหารปลอดภัย เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานตามนโยบายรัฐบาล และแผนพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ในช่วงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 พ.ศ.2555-2559 โดยจะขับเคลื่อนการดำเนินงานลงสู่ระดับปฏิบัติทุกภาคส่วน ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ซึ่งเน้นการดำเนินงานเชิงบูรณาการตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ถึงปลายน้ำ ทำให้เกิดการบริหารจัดการตลอดทั้งห่วงโซ่อาหาร เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรง และนำพาสังคมไทยไปสู่สังคมการบริโภคอาหารที่ปลอดภัย รวมทั้งเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ โดยกระทรวงสาธารณสุข ได้บูรณาการทุกภาคส่วน รวมทั้งหน่วยงานในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ได้แก่ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมอนามัย กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อสร้างกระแสการตื่นตัวด้านความปลอดภัยอาหารอย่างต่อเนื่องและทั่วถึง
       
       รมช.สธ.กล่าวต่อว่า โครงการอาหารปลอดภัย จะดำเนินการตรวจสอบสารปนเปื้อน ได้แก่ สารบอแรกซ์ สารกันรา สารฟอกขาว สารฟอร์มาลิน ยาฆ่าแมลง และ สารโพล่าร์ ในอาหาร 3 ประเภท ได้แก่ อาหารสด อาหารแปรรูป และอาหารปรุงสำเร็จ และจากการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง พบว่า การปนเปื้อนสารพิษในอาหารมีแนวโน้มลดลง โดยการสุ่มตรวจสารปนเปื้อนในอาหาร ตลาด ร้านอาหาร และแผงลอยจำหน่ายอาหารทั่วประเทศ พบว่า ในปี 2554 อาหารมีการปนเปื้อนสารบอแรกซ์ สารฟอกขาว สารกันรา ยาฆ่าแมลง และน้ำมันทอดซ้ำ ลดลงจากปี 2553 โดย ปี 2553 พบสารบอแรกซ์ ร้อยละ 0.52 สารฟอกขาว ร้อยละ 0.52 สารกันรา ร้อยละ 0.72 ยาฆ่าแมลง ร้อยละ 2.97 และ สารโพลาร์ ร้อยละ 14.32 ส่วนปี 2554 ตรวจพบบอแรกซ์ ร้อยละ 0.09 สารฟอกขาว ร้อยละ 0.01 สารกันรา ร้อยละ 0.25, ยาฆ่าแมลง ร้อยละ 1.59 และ โพลาร์ 3.67
       
       นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวว่า ในส่วนของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์จะดำเนินการตรวจสอบสารปนเปื้อนในอาหารโดยใช้ชุดทดสอบอย่างง่ายของกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ สำหรับในกรณีที่ผลการทดสอบตัวอย่างโดยชุดทดสอบไม่ชัดเจน จะทำการตรวจวิเคราะห์ในห้องปฏิบัติการเพื่อยืนยันผลอีกครั้ง ผู้ประกอบการที่มีผลผ่านเกณฑ์ติดต่อกัน 3 ครั้ง โดยการตรวจแต่ละครั้งห่างกัน 1 เดือน จะได้รับมอบป้ายทองอาหารปลอดภัย (Food Safety) พร้อมใบประกาศนียบัตร ทั้งนี้ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จะดำเนินการสุ่มตรวจติดตามอีกครั้ง หลังจากได้รับเครื่องหมายรับรองแล้ว 6 เดือน หากพบว่าอาหารที่ได้เครื่องหมายรับรองแล้ว มีความเสี่ยงอันตรายต่อสุขภาพจะดำเนินการแจ้งให้ผู้รับเครื่องหมายรับรองทราบ เพื่อแก้ไขข้อบกพร่อง ถ้าพบกระทำผิดเป็นครั้งที่ 2 จะพักใบรับรองทันที เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้บริโภคอีกด้วย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    8 เมษายน 2555

6010
ในยุคที่ความเร่งรีบเป็นตัวกำหนดเวลา วัฒนธรรมอาหารถูกครอบงำด้วยอาหารจานด่วน (Fast Food) และได้เข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตของครอบครัวคนเมืองมากขึ้น แต่การจะเลือกรับประทานอาหารเหล่านี้ จำเป็นต้องดูถึงคุณค่า และประโยชน์ที่ร่างกายควรจะได้รับด้วย วันนี้เรามีแนวทางในการเลือกรับประทานอาหารจานด่วนในชั่วโมงเร่งรีบมาฝากกัน ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลยครับ
       
       นายแพทย์กฤษดา ศิรามพุช ผู้อำนวยการศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ อาหารไทยได้รับการโหวตให้เป็นสุดยอดอาหารของโลกที่ได้รับความนิยมคือ ผัดซีอิ๊ว ก๋วยเตี๋ยวเรือ ซึ่งอาหารเหล่านี้ล้วนเป็นอาหารจานด่วนที่คนไทยนิยมรับประทานกันมาก และด้วยสภาพสังคมที่มีแต่ความเร่งรีบ การกิน การอยู่ไม่เหมือนแต่ก่อน ขอแนะนำอาหารจานด่วนที่เหมาะสมกับครอบครัวในยุคเร่งรีบ 10 อย่างดังต่อไปนี้
       
       1. ผัดซีอิ๊ว อาหารยอดนิยมของโลกที่มีตัวช่วยสุขภาพอยู่ครบทั้ง 5 หมู่ใน 1 จาน รับประทานในราคาประมาณ 35 บาท ได้ทั้งวิตามินป้องกันมะเร็งจากยอดคะน้า ได้โอเมก้าสามจากน้ำปลาดี มีไบโอตินจากไข่ที่ผัดกวนลงไป และยังได้โปรตีนย่อยง่ายจากไข่ขาวและเนื้อหมู อีกทั้งคาร์โบไฮเดรตให้พลังงานจากเส้นและซีอิ๊วที่เหยาะลงไปให้หอมด้วย

       2. ก๋วยจั๊บ มีประโยชน์อยู่ที่น้ำพะโล้ที่มากด้วยสมุนไพรอย่าง "โป๊ยกั๊ก" หรือจันทน์แปดกลีบที่มีฤทธิ์ช่วยฆ่าเชื้อป้องกันโรค นอกจากนั้น ในเต้าหู้ทอดยังให้แคลเซียมและเพ็พไทด์ที่เป็นโปรตีนย่อยง่าย อีกทั้งได้พลังงานจากเส้นก๋วยจั๊บที่หนึบนุ่มอีกด้วย

       3. ก๋วยเตี๋ยว ไม่เกี่ยวกับเส้นเล็กใหญ่หรือก๋วยเตี๋ยวเรือ ถ้าทานแบบสุกก็จะปลอดภัย โดยคุณค่าทางอาหารร่างกายจะได้ "คอลลาเจน" จากน้ำต้มกระดูกที่เคี่ยวกันนาน ท่านที่ทานผักเก่งอย่างผักบุ้ง ถั่วงอกและผักชี ต้นหอมก็จะได้ "ไฟเบอร์" และ "อัลลิซิน (Allicin)" ที่กินแล้วช่วยลดไขมันในเลือดได้

       4. ข้าวราดแกง มีสารพัดแกงแต่พระเอกยืนพื้นคือข้าว ขอให้เลือกข้าวกล้องหรือข้าวแดงสลับกันบางมื้อบ้างก็ได้ครับ จะได้ไม่ต้องรับแป้งเพียว ๆ จากข้าวขาวอย่างเดียว ส่วนแกงถ้าเลี่ยงแบบที่มีไขมันมากอย่างกระเทียมเจียว น้ำมันพืช และของทอดก็จะดีมาก ถ้ามื้อนี้มีแกงกะทิหรือไข่เจียวแล้วก็อาจเพิ่มปลาทูเข้าไปอีกสักตัวด้วย

       5. ผัดกะเพราไก่ไข่ดาว ถ้าให้ดีต้องมีพริกน้ำปลาด้วย กะเพราช่วยในเรื่องลดไขมันและบำรุงลำไส้ ส่วนเนื้อไก่มีไขมันน้อยจัดเป็นเนื้อสุขภาพย่อยง่ายดี ส่วนพริกเผ็ด ๆ ก็ให้แคปไซซินที่ช่วยแก้อาการภูมิแพ้ และท้ายสุดคือไข่ดาวที่มีประโยชน์ช่วยให้วิตามินที่ดูดซึมในไขมันเข้าไปในร่างกายได้ดีขึ้น

       6. ข้าวผัด ในข้าวผัดมีน้ำมันที่ใช้ผัดช่วยดึง "ไลโคปีน (Lycopene)" จากมะเขือเทศเข้าสู่ผิว ใครที่ชอบผัดใส่ผักอย่างหอมใหญ่หรือคะน้าก็จะยิ่งได้วิตามินที่ช่วยลดไขมันในเลือดได้ การกินข้าวผัดให้ดีควรจะกินตอนร้อน เพราะความลับคือเมื่อผ่านการปรุงแล้วไลโคปีนจะออกมามากขึ้น

       7. ข้าวมันไก่ จานเดียวครบ 5 หมู่ เรียกว่าจานเดียวอยู่ แต่ถ้าจะให้ดีควรกินกับเครื่องเคียงด้วย นั่นคือ "น้ำซุปโครงไก่ใส่ฟัก" ที่มีกรดอะมิโน "ซิสเทอีน (Cysteine)" ช่วยป้องกันหวัด ไล่เสมหะ อีกทั้ง "ขิง" ที่ใส่มาในน้ำจิ้มช่วยไล่ไขมันจากไก่ได้ การกินข้าวมันได้โปรตีน วิตามินอีและกรดไขมันดี ๆ จากไก่อีกด้วย

       8. น้ำพริกปลาทู อาหารจานนี้อยู่คู่คนไทยมานาน การกินน้ำพริกให้ดีต้องมีปลาทูทอดด้วย เพราะมันจะช่วยจับกับวิตามินเอจากพริกและกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่มีในกะปิ อีกทั้งในปลาทูยังมีซูเปอร์วิตามินชื่อ "แอสตาแซนทิน(Astaxanthin)" ด้วย

       9. ผัดไท ในผัดไทมีวิตามินอยู่มาก หลัก ๆ เลยก็คือวิตามินอีกับเอ เพราะอยู่ในน้ำมันที่ใช้ผัดและถั่วลิสงคั่ว ส่วนเอมีมากในใบผักเขียวที่ใส่ ขอให้อย่าทิ้งคือ "หัวปลี" กับ "ถั่วงอก" ที่ให้วิตามินบีกับ "กาบา(GABA)" ช่วยบำรุงสมอง

       10. ข้าวเหนียวหมูปิ้ง มีเทคนิคกินให้ได้ประโยชน์ด้วยคือ เลือกหมูปิ้งมันน้อยแต่กินตอนร้อนจะนุ่มไม่แพ้กัน ส่วนข้าวเหนียวให้เป็นข้าวเหนียวดำ หรือข้าวเหนียวขาวก็ได้แต่ไม่หนักข้าวมากเกินไป เพราะในข้าวเหนียวดำมี "โอพีซี(OPCs)" เป็นซูเปอร์วิตามินอยู่

       อย่างไรก็ดี ทั้ง 10 อาหารจานด่วนในข้างต้น ควรพิจารณาถึงร้าน และแหล่งขายที่สะอาด รวมไปถึงการปรุงที่ไม่เน้นเค็ม หรือหวานมากจนเกินไปด้วย เพราะอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวตามมาได้


ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 เมษายน 2555

6011
 เป็นความจริงที่ว่าผู้หญิงทุกคนอยากสวย และดูดี น่าเสียดายที่ผู้หญิงอ้วนบางรายแม้จะพยายามทำให้ตัวเองดูดีในสายตาคนอื่นด้วยการลดน้ำหนักตัวลงได้แล้ว แต่สุดท้าย พวกเธอก็ไม่สามารถเพิ่มความเชื่อมั่นให้ตัวเองได้อยู่ดี
       
       ในประเทศสหรัฐอเมริกา ประเทศที่มีประชากรป่วยด้วยโรคอ้วนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ได้มีการศึกษากลุ่มผู้หญิงวัยรุ่นที่มีน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐานเกี่ยวกับความเชื่อมั่นในตัวเอง และพบว่า แม้จะสามารถลดน้ำหนักตัวลงได้ รวมถึงมีค่าดัชนีมวลกายที่ลดลงแล้วก็ตาม แต่ผู้หญิงที่เคยอ้วนกลุ่มนี้ก็ยังคงขาดความเชื่อมั่นในตัวเอง
       
       "โดยปกติแล้ว สาววัยรุ่นที่มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์มาตรฐานเหล่านี้ จะมีความมั่นใจในตัวเองต่ำกว่าเพื่อน ๆ ที่มีรูปร่างปกติ" ผู้ช่วยศาสตราจารย์ Sarah Mustillo สาขาสังคมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยเปอร์ดู สหรัฐอเมริกา เจ้าของผลการศึกษาชิ้นนี้กล่าว
       
       โดยทีมวิจัยพบว่า แม้จะมีน้ำหนักลดลง แต่คนที่เคยอ้วนมาก่อน ก็จะมีทัศนคติในแง่ลบเกี่ยวกับรูปร่างของตัวเองอยู่ดี อย่างไรนั้น ทางทีมวิจัยได้ "หมายเหตุ" เอาไว้ด้วยว่า การที่พวกเธอมีทัศนคติแย่ ๆ กับตัวเองนั้นอาจมาจากเหตุผลอื่น ๆ ร่วมด้วย ยกตัวอย่างเช่น พวกเธอเคยมีบาดแผลในใจมาตั้งแต่เด็ก ๆ หรือเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้พวกเธอมีความเชื่อมั่นในตนเองต่ำมาตั้งแต่ต้น
       
       "ดังนั้น การให้ความช่วยเหลือทางด้านจิตใจกับผู้หญิงอ้วนระหว่างลดน้ำหนักเป็นสิ่งที่ควรทำ เพราะจะช่วยสร้างความมั่นใจ รวมถึงสร้างทัศนคติเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของตนเองได้ดีขึ้น" เจ้าของงานวิจัยชิ้นนี้กล่าว
       
เรียบเรียงจากเฮลท์เดย์นิวส์
ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 เมษายน 2555

6012
       จากกรณีที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ออกประกาศกระทรวงให้ยาสูตรผสมซูโดอีเฟดรีน เป็นวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 โดยให้สถานพยาบาลและร้านขายยาที่ไม่มีใบอนุญาตให้มีไว้ในครอบครองจัดส่งยาตำรับที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนผสมคืนให้กับผู้ผลิตหรือผู้นำเข้า ภายในวันที่ 3 พ.ค.2555 รวมถึงออกประกาศฯ เรื่อง กำหนดปริมาณการมีไว้ในครอบครองหรือใช้ประโยชน์ซึ่งวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 1 หรือประเภท 2 พ.ศ.2555 ซึ่งมีโทษทั้งปรับและจำคุกนั้น
       
       ผศ.ภญ.สำลี ใจดี ประธานมูลนิธิเภสัชศาสตร์เพื่อสังคม ในฐานะตัวแทนวิชาชีพเภสัชกร กล่าวถึงปัญหานี้อย่างตรงไปตรงมา ว่า ประเด็นที่น่าสนใจขณะนี้ คือ ผู้บริโภคจะใช้ยาอะไรแทน ซูโดฯ หลังจากที่ถูกเพิ่มเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท ประเภทที่ 2 และเป็นยาเสพติดให้โทษ ซึ่งโดยส่วนตัวมองว่า ยาดังกล่าวสำคัญน้อยมาก ดังนั้นไม่มีก็ไม่เสียหาย ไม่ว่าจะเป็นยาเดี่ยว หรือยาผสม
       
       “แน่นอนว่า อาจมีกลุ่มแพทย์ กังวลว่า มีกลุ่มผู้ป่วยที่ติดยาซูโดฯ คือ กินแล้วดีขึ้นและไม่ได้รับยาก็ไม่หาย ส่วนนี้เชื่อว่า แพทย์ทราบดีว่า ซูโดฯ แค่บรรเทาอาการภูมิแพ้และลดอาการอักเสบเท่านั้น แต่สิ่งที่อยากให้ประชาชนเข้าใจ คือ ยาซูโดฯ เป็นแค่สินค้าเชิงธุรกิจผลิตเพื่อขาย หลายบริษัทจึงมักจะโฆษณาอยู่บ่อยๆ ดังนั้นไม่จำเป็นต้องผูกติด เพราะหากบ้านเราไม่ใช้ บริษัทก็ผลิตขายไม่ได้ และอย่างแรกที่อยากให้ประชาชนเข้าใจ คือ หวัดนั้นสามารถหายได้โดยไม่ต้องพึ่งพายา หรือจะใช้ยาเฟนิลเอฟริ และยาสมุนไพรอย่างฟ้าทลายโจร แบบไทยก็ได้ เพราะประเทศใหญ่ อย่างสหรัฐอเมริกา ก็ไม่มีการใช้ยานี้แล้ว รวมทั้งกุมารแพทย์ในประเทศไทยเองก็แทบจะไม่ใช้ยาซูโดฯ เช่นกัน เนื่องจากพบว่าบางคนอาจแพ้” ผศ.ภญ.สำลี อธิบาย
   
       ในระหว่างที่คดีลักลอบยาซูโดฯอยู่ระหว่างการสืบสวน สอบสวนต้นตอการทุจริต หลายคนเกิดคามกังวลว่า กระบวนการคุมเข้ม เพื่อตัดปัญหาการนำไปใช้เป็นสารตั้งต้นของการผลิตยาเสพติด ผู้ป่วยหลายคนมักห่วงว่าจะไม่มียาใช้และกระทบต่อสุขภาพนั้น
       
       นพ.ประภัสสร เจียมบุญศรี รองอธิบดีกรมพัฒนาการแพทย์แผนไทย และการแพทย์ทางเลือก กล่าวเสริมว่า หากผู้ป่วยไข้หวัดรายใดไม่ต้องการพึ่งยา และยอมรับและเข้าใจการรักษาแทบทางเลือก สามารถดูแลตัวเองด้วยหลักการง่ายๆ อาทิ การลดอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล และไซนัสอักเสบ ด้วยศาสตร์การกดจุดที่จุดฝังเข็ม ในจุดต่างๆ ได้แก่ 1. จุดอิ้นถาง คือ ตำแหน่งที่อยู่ตรงจุดกึ่งกลางระหว่างหัวคิ้วทั้ง 2 ข้าง 2.จุดอิ๋งเซียง มี 2 ข้าง คือ การนวดพื้นที่อยู่ในร่องข้างจมูก ระดับเดียวกับกึ่งกลางปีกจมูก โดยใช้นิ้วหัวแม่มือกดตรงจุดฝังเข็มดังกล่าว นับ 1-5 วินาที แล้วปล่อย กดซ้ำอีก 3-5 ครั้ง สามารถทำได้บ่อยๆ หรือวันละ 3 เวลา เป็นอย่างน้อย
       
       นอกจากนี้ ยังมีทางเลือกในการบรรเทาอาการหวัดด้วย สมุนไพรบรรเทาหวัดคัดจมูก และแก้น้ำมูกไหลได้อย่างดี เริ่มต้นจาก

1.กระเทียม ควรปรุงอาหารด้วยกระเทียมจะช่วยลดอาการคัดจมูก หรือกินกระเทียมสดๆ ครั้งละ 7 กลีบ พร้อมมื้ออาหารทุกวัน

2. หอมเล็ก นำหอมเล็ก 1 หัว ปอกเปลือกกินพร้อมอาหารเป็นประจำทุกวัน จะช่วยป้องกันหวัดและบรรเทาอาหารคัดจมูกได้ หรือถ้ายังไม่หาย ใช้หอมเล็ก 4-5 หัว ทุบพอแตกต้มกับน้ำ 1 ลิตร รอเดือดยกลง เทน้ำในชามใบใหญ่ จึงก้มหน้าลงให้ห่างชามพอประมาณ ใช้ผ้าขนหนูคลุมศีรษะและชามไว้ สูดไอระเหยเข้าทางจมูกประมาณ 5-10 นาที จะรู้สึกโล่งจมูก นอกจากนี้ ยังใช้หอมเล็กต้มน้ำอาบแก้คัดจมูกได้เช่นกัน โดยนำหอมเล็ก 3 หัว ทุบพอแตก ใบมะขาม 1 กำมือ และเปลือกส้มโอประมาณครึ่งลูก ต้มกับน้ำ 3 ลิตร พอเดือดยกลง รอจนอุ่น จึงอาบแทนน้ำเปล่า ด้วยสรรพคุณทางยาของสมุนไพรเหล่านี้จึงช่วยบรรเทาหวัดและลดน้ำมูก
       
3.ขิง นำขิงแก่ 1 แง่ง หั่นเป็นแว่นบางๆ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร ประมาณ 5 นาที เสร็จแล้วตัก ขิงออก ดื่มขณะยังอุ่นๆ ครั้งละ 1 แก้ว ช่วงเช้า กลางวัน และเย็ย จะช่วยลดน้ำมูกได้ 4 ตะไคร้ ใช้ตะไคร้ 3-4 ต้น บุบให้แตก ต้มกับน้ำ 1 ลิตร จนเดือด ยกลง รินเฉพาะน้ำจิบบ่อยๆ ตลอดวัน ช่วยแก้อาการน้ำมูกไหลจากหวัดได้เช่นกัน
       
       แต่หากต้องการรักษาตัวจากแพทย์แผนไทย ซึ่งขณะนี้มีกระจายอยู่ตามโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต) บางส่วนแล้ว ประชาชนสามารถเข้ารับยาสมุนไพรที่ถูกบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติ เช่น ยาประสะเปราะใหญ่ที่ ใช้รักษาอาการหวัดในเด็ก หรือยาปราบชมพูทวีปที่ใช้รักษาหวัดในผู้ใหญ่ เพื่อบรรเทาอาการคัดจมูก และภูมิแพ้ ซึ่งในรายละเอียดแพทย์ที่สั่งจ่ายยาจะอธิบายให้ทราบ เพราะยาสมุนไพรตามบัญชียาหลักต้องสั่งจ่ายโดยแพทย์แผนไทยฯ เท่านั้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    6 เมษายน 2555

6013
นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ ผู้เป็นความหวังให้แก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งได้กลับมีชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยการอุทิศแรงกาย แรงใจ และสละเวลาตลอดชีวิตของการทำงานเพื่อค้นหาสูตรยาสมุนไพรที่จะมาพิชิตโรคร้าย แม้ว่าตอนนี้วัยจะล่วงเลยมาถึง 90 ปีแล้ว แต่ก็ยังรับปรึกษาปัญหาโรคมะเร็งอยู่มิได้ขาด เพื่อแลกกับการต่อลมหายใจให้กับผู้คนนับร้อยนับพันชีวิต จนได้รับการขนานนามว่า “หมอเทวดา”
       
       กิตติศัพท์ “หมอเทวดา”
       “หมอเทวดา” ชื่อที่ชาวบ้านต่างพากันเรียกขาน ด้วยกิตติศัพท์ที่สามารถรักษาโรคมะเร็งร้ายให้หายได้ ด้วยวีธีการรักษาแบบผสมผสาน ระหว่างยาสมุนไพรที่ทดลองศึกษามานาน ควบคู่กับยาแผนปัจจุบัน จนมีผู้ป่วยหลายรายหายป่วย และบางรายอาการดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ใจ       
       
       จากการบอกเล่าของผู้ป่วยที่มาทำการรักษา จากคนหนึ่งไปยังอีกคนหนึ่ง ไม่นานชื่อเสียงของ “หมอเทวดา” แห่งสิงห์บุรีก็เป็นที่รู้จักไปทั่วทุกหนระแหง         
       
       “อย่าเรียกตนว่าเป็นหมอเทวดาเลย เพราะตนเป็นเพียงแค่ หมอธรรมดา เท่านั้น” แม้ว่า นพ.สมหมาย จะปฏิเสธชื่อ “หมอเทวดา” ที่ชาวบ้านขนานนามให้ แต่นั่นไม่ได้สำคัญเท่ากับการเป็นที่ยอมรับด้วยแรงศรัทธาของผู้คนถึงความตั้งใจในการรักษาเพื่อผู้ป่วยมะเร็งอย่างแท้จริง         
       
       หมอสมหมาย มีความสามารถวินิจฉัยและวิธีการรักษาโรคมะเร็งมานานกว่า 30 ปี โดยเริ่มทดลองใช้สมุนไพรรักษาโรคมะเร็งมาตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2512 จนประสบความสำเร็จในปี พ.ศ. 2520 และได้ลาออกจากราชการมาเพื่อรักษามะเร็งโดยเฉพาะ
       
       “สมุนไพร” รักษามะเร็งรอด!
       เกือบครึ่งศตวรรษแล้ว...ที่หมอผู้เสียสละได้อุทิศตนเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยโรคมะเร็งให้พบทางรอดอีกครั้ง
       
       ตามประวัติพื้นเพเดิมของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ เป็นคนจังหวัดสิงห์บุรี สำเร็จการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก่อนจะเข้าศึกษาต่อทางการแพทย์ที่ศิริราช และทำงานในร้านขายยาเพื่อส่งเสียตัวเองเรียนจนกระทั่งสำเร็จการศึกษาในปี พ.ศ. 2494       
       
       หลังสำเร็จการศึกษาได้เข้าทำงานประจำแผนกศัลยกรรมที่โรงพยาบาลศิริราช และสนใจเรื่องการรักษามะเร็งเนื่องจากการรักษาโรคอื่นทางศัลยกรรมสามารถรักษาให้หายได้ง่าย แต่การรักษามะเร็งไม่ว่าจะผ่าตัดหรือฉายแสง สามารถทำได้ยาก จึงเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดค้นหายาสมุนไพร มาช่วยในการรักษามะเร็ง       
       
       ด้วยจิตสำนึกอยู่เสมอว่า “ในโลกนี้ธรรมชาติทำให้เกิดโรค ธรรมชาติก็ต้องมีตัวยาแก้โรคให้ด้วย”
       
       หมอสมหมายได้ทำการค้นคว้าวิจัยการแพทย์ทางเลือกอย่างสมุนไพร จึงทำให้เกิดเส้นทางใหม่ที่เรียกว่า “การแพทย์ทางร่วม” ในการรักษามะเร็ง หลังจากย้ายไปสร้างความเจริญให้กับโรงพยาบาลตำรวจ แล้วลาออกเพื่อไปเป็นหมอที่บ้านเกิด คือ โรงพยาบาลสิงห์บุรี ด้วยเหตุผลสั้นๆ ว่า “ที่นี่ผมได้ทำงานที่ตั้งใจ พร้อมได้อยู่ดูแลคุณแม่ไปพร้อมๆ กัน”
               
       คลีนิคหมอสมหมาย จึงเกิดขึ้น ณ บ้านไม้หลังใหญ่ ข้างตลาดปลาสด จังหวัดสิงห์บุรี ซึ่งเป็นที่รู้จักดีของชาวบ้านละแวกนั้น รวมทั้งคนต่างจังหวัดที่เข้ามารับการรักษาตามคำร่ำลือถึงกิตติศัพท์ “หมอเทวดา” จากที่เคยเปิดการรักษาโรคทั่วไป ได้ถูกปรับปรุงให้เป็นสถานที่สำหรับรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอย่างจริงจัง...ท่ามกลางความหวังของผู้เข้าทำการรักษาจำนวนมาก
       
       ความหวังของผู้ป่วยนับพันชีวิต
       ราวๆ 05.00 นาฬิกา ผู้ป่วยจากทั่วสารทิศต่างเดินทางมาเพื่อรอลงชื่อเข้ารับการรักษา บางรายมารอคลีนิกเปิดตั้งแต่ตี 2 ทันใดที่ประตูเปิดคลื่นผู้ป่วยนับร้อยต่างกรูเข้าไปเพื่อรอรับการรักษา ด้วยใบหน้าอย่างมีความหวังถึงผลการรักษาที่ดีขึ้น
               
       การรักษาผ่านไปคนแล้วคนเล่า จากประสบการณ์การรักษาทั้งผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งระยะเบื้องต้นซึ่งพอรักษาเยียวยาให้หายขาดได้ และผู้ป่วยระยะสุดท้ายที่ทำได้เพียงแค่ยืดเวลาชีวิตออกไป แม้เป็นความหวังที่ริบหรี่ แต่ก็ทำให้ผู้ป่วยมีกำลังใจขึ้นมาได้บ้าง และนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ แม้ว่าข้อความบนบอร์ดกระดานจะรายงานคิวที่ยาวเหยียดมากเท่าใดก็ตาม       
       
       ในทุกวันผู้ป่วยมีแต่จะเพิ่มมากขึ้นร่วมๆ 100 กว่าคน ซึ่งเป็นผลมาจากสื่อที่เผยแพร่ออกไป ทั้งหนังสือพิมพ์ และโทรทัศน์ ต่างประโคมข่าวไปทั่วทุกหนแห่ง แต่หมอสมหมายยังยืนยันเช่นเดิมว่า “จะตรวจทุกคน ไม่ต้องกลัวมาเสียเที่ยว” กว่าผู้ป่วยจะหมด เข็มนาฬิกาก็บอกเวลาเที่ยงคืนพอดี ถือเป็นอันจบภารกิจการทำหน้าที่ “หมอ” ของวันจรดคืน         
       
       ทุกวันนี้หมอสมหมาย ยังคงทุ่มเทกำลังเพื่อรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งอยู่อย่างสม่ำเสมอ โดยตั้งใจไว้ว่าจะเกษียณตัวเองเมื่ออายุ 90 ปี เพื่อพักผ่อนในบั้นปลายชีวิต แต่อย่างไรก็ตามยังคงรับปรึกษาปัญหาโรคมะเร็งต่อไป       
       
       “ปกติตามธรรมชาติใบไม้จะร่วงปีละ 1 ครั้ง เมื่อข้าพเจ้าอายุครบ 90 ปี ข้าพเจ้าจะเลิกรักษาโรคมะเร็งแล้วใบไม้จะร่วงตลอดทั้งปี”       
       
       มะเร็งคือโรคร้ายที่คร่าชีวิตของมนุษย์ราวใบไม้ร่วงทุกปี มีคนเสียชีวิตจากมะเร็งเป็นจำนวนมาก จัดเป็นโรคที่คร่าชีวิตอันดับต้นๆ ของไทย นพ.สมหมาย ได้นิยามมะเร็งร้ายไว้อย่างเห็นภาพชัดเจนว่า
       
       มะเร็ง คือ โรคร้ายที่ย่องเข้ามา “ขโมย” ทุกอย่างจากชีวิตเราไป โดยไม่ทันระวังตัวเหมือนกับที่คนไข้ทุกคนต้องประสบ
               
       โรคมะเร็ง คือ “ผู้ร้าย” ซึ่งร้ายที่สุด และมันจะหนีตำรวจสุดฤทธิ์ แม้การแพทย์จะให้ทำการเคมีบำบัดก็ไม่สามารถทำให้หายขาดได้
               
       และเป็นเซลล์ร้ายที่เหมือนกับเศษ “ขี้ผง” ที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายภายในอวัยวะของคน กวาดยังไงก็ไม่มีวันหมด วันนึงมันก็จะสะสมและเกาะแน่นขึ้นกว่าเดิม
               
       ด้วยสาเหตุนี้การแพทย์ทางร่วมของหมอสมหมายจึงสามารถชลอใบไม้ร่วงในแต่ละปี เปรียบได้กับการช่วยชีวิตคนให้พ้นจากความเจ็บป่วย จนกลับไปใช้ชีวิตได้ดังเดิมอีกครั้งนับร้อยนับพันชีวิต
       
       สูตรยาไม่ตายไปพร้อมกับผม
       “ผมยกสูตรยานี้ให้องค์การเภสัชฯ ไปแล้ว แทนที่สูตรยาจะตายไปกับผม แต่ไม่แล้ว สมุนไพรนี้จะยังอยู่ จะมีคนรับไปต่อยอดจากผมอีกที” นายแพทย์สมหมายกล่าวอย่างดีใจ ที่สูตรยาเหล่านี้องค์การเภสัชกรรมได้นำไปผลิตและจำหน่ายให้คนไทย
               
       โดยสูตรยาสมุนไพร 8 อย่าง ของหมอสมหมาย ประกอบด้วย พุทธรักษา ไฟเดือนห้า ปีกไก่ดำ พญายอ เหงือกปลาหมอ แพงพวย และข้าวเย็นเหนือ ข้าวเย็นใต้
               
       สำหรับค่ารักษาพยาบาลที่ผ่านมานั้น หากเป็นการรักษาในโรงพยาบาลมีชื่อทั่วไป ค่ารักษาคงไม่น้อยกว่าหลักหมื่นหรือหลักแสน แต่สำหรับหมอสมหมาย ได้กล่าวติดตลกไว้ว่า “ใครนั่งรถเบนซ์มา ก็แพงหน่อย ใครไม่มีตังค์มา ก็ให้ฟรี!”
               
       ก่อนจะขยายความเสริมว่า “รักษามาเกือบ 40 ปี มีพอกินพอใช้ แต่สิ่งที่ได้มากกว่านั้น มันอยู่ที่ใจ ได้น้ำใจ ได้ทางความรู้สึก แค่นั้นพอแล้ว”
               
       ไม่ใช่เฉพาะคนไทยที่มาทำการรักษากับหมอสมหมาย แม้แต่ชาวต่างชาติจากทั่วทุกมุมโลกที่ได้ยินชื่อเสียงในการรักษาโรคมะเร็งให้หายได้ ต่างก็ข้ามน้ำข้ามทะเลมาให้รักษาด้วยความหวังที่จะได้กลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างปกติสุข
       
       “ถึงแม้นไม่ทำดีในแดนดิน จะถวิลถึงสวรรค์นั้นอย่าหมาย
       ถ้าแม้นไม่มีน้ำใจในอุรา ท่านจะหาน้ำใจจากใครได้” คติประจำใจของ นพ.สมหมาย ทองประเสริฐ
       
       สามารถติดตามอ่านชีวประวัติ “นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ หมอเทวดา ผู้รักษามะเร็งด้วยสมุนไพร” ได้แล้ววันนี้ในฉบับการ์ตูน วางแผงจำหน่ายที่ บีทูเอส, ซีเอ็ดบุ๊คเซ็นเตอร์, ร้านนายอินทร์, บุ๊คสไมล์ และบุ๊คเฟรนด์ หรือสั่งซื้อได้ทาง Call Center 0-2633-5353
       
       อนึ่ง นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ จะมาที่บูท "ASTVผู้จัดการ" (M01 โซน ซี 1) ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เพื่อเปิดตัวหนังสือ"นายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ หมอเทวดา ผู้รักษามะเร็งด้วยสมุนไพร" ฉบับการ์ตูน พร้อมพูดคุยกับผู้อ่านและแจกลายเซ็น ในวันนี้ (6เม.ย.) ตั้งแต่เวลา 13.30 น.เป็นต้นไป

ประวัติของนายแพทย์สมหมาย ทองประเสริฐ
       พ.ศ. 2464 เกิดเมื่อวันอังคารที่ 27 ธันวาคม 2464
       พ.ศ. 2487-2488 สำเร็จการศึกษาจากคณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       พ.ศ. 2488-2489 เป็นอาจารย์คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
       พ.ศ. 2490-2493 สำเร็จการศึกษาการแพทยศาสตร์บัณฑิต ศิริราชพยาบาล
       พ.ศ. 2494-2495 เป็นแพทย์ประจำอยู่ที่สถานเสาวภา
       พ.ศ. 2495-2497 เป็นแพทย์แผนกศัลยกรรมโรงพยาบาลศิริราช
       พ.ศ. 2499-2517 เป็นผู้ก่อตั้งโรงพยาบาลสิงห์บุรี และเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลสิงห์บุรี
       พ.ศ. 2518-2520 เป็นแพทย์ใหญ่สาธารณสุขจังหวัดสิงห์บุรี
       พ.ศ. 2521 ได้ทำการศึกษาวิจัย เริ่มใช้ยาสมุนไพรในการรักษาโรคมะเร็ง โดยใช้แพทย์แผนปัจจุบันร่วมกับสมุนไพร
       พ.ศ. 2542 มอบสูตรยาให้กับองค์การเภสัชกรรมโดยร่วมงานกับ ดร.กฤษณา ไกรสินธุ์ ผู้ได้รับรางวัลแม็กไซไซ
       พ.ศ. 2552 ประสบความสำเร็จในการคิดค้นเป็นสูตรยาตำรับแรกของเมืองไทยที่เป็นที่ยอมรับในการรักษาโรคมะเร็งในปัจจุบัน
       ปัจจุบันยังคงเปิดคลีนิครักษาโรคมะเร็งอยู่ที่จังหวัดสิงห์บุรี โดยอุทิศแรงกาย แรงใจ และเวลาเพื่อผู้ป่วยโรคมะเร็ง

ASTVผู้จัดการรายวัน    6 เมษายน 2555

6014
สาธารณสุขตรัง เพิ่งตื่นสั่งตรวจสอบ "ยาซูโดอีเฟดรีน" สารตั้งต้นในการผลิตสารเสพติดภายใน รพ.ศูนย์ตรัง พบยังมีอยู่กว่า 2 แสนเม็ด และชนิดน้ำอีก 450 ขวด หลังถูกยกระดับให้เป็นการควบคุมยาพิเศษ และได้ถูกยกเลิกระงับการจ่ายยาชนิดนี้...

เมื่อเวลา 15.30 น. วันที่ 5 เม.ย. ที่ห้องประชุม รพ.ศูนย์ตรัง นพ.วิฑูรย์ เหลืองดิลก นายแพทย์สาธารณสุข จ.ตรัง เปิดแถลงข่าวกรณีการตรวจสอบยาซูโดอีเฟดรีน หรือยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟดรีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นในการผลิตสารเสพติดภายใน รพ.ศูนย์ตรังว่า ขณะนี้ยาชนิดดังกล่าวถูกยกระดับให้เป็นการควบคุมยาพิเศษ และได้ถูกยกเลิกระงับการจ่ายยาชนิดนี้ ตั้งแต่วันที่ 19 ธ.ค.-2 เม.ย.2555 ที่ผ่านมา

จากการตรวจสอบ พบว่า ขณะนี้ภายในโรงพยาบาลมีตัวยาซูโดอีเฟดรีน เหลืออยู่ประมาณ 2 แสนเม็ด และชนิดน้ำอีก 450 ขวด ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ฯได้สุ่มตรวจสอบตามโรงพยาบาลต่างๆ ร้านขายยาทั่ว จ.ตรัง พบตัวยาชนิดนี้แค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น จากทั้งหมด 137 ร้าน และสั่งเด็ดขาดห้ามจำหน่ายยาชนิดนี้แล้ว.

ไทยรัฐออนไลน์  6 เมย 2555

6015
สอบแล้ว “รพ.สยามราษฎร์” หลังมีชื่อสั่งซื้อซูโดฯ สูตรเดี่ยว-สูตรผสมรวมกันกว่า 4 แสนเม็ด พบโดนอดีต จนท.จัดซื้อแอบอ้างชื่อสั่งยา สุดแสบปลอมแบบฟอร์ม-ลายเซ็น แถมทำเอกสารแจ้งสาธารณสุขจังหวัดเสร็จสรรพ โฆษกคณะทำงานฯ แจงพบที่จอมทองด้วย 2 คลินิกสั่งซูโดฯ ที่ละ 3 แสน ด้านดีเอสไอยันต้องตามต่อยาที่สั่งหายไปไหน-ใครมีเอี่ยว
       
       วันนี้ (5 เม.ย.) เจ้าหน้าที่จากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) คณะกรรมการอาหารและยา และคณะทำงานป้องกันและปราบปราม ฟื้นฟู เยียวยาสารตั้งต้นยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข นำโดยว่าที่ ร.ต.ธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ผู้ช่วยเลขานุการและโฆษกประจำคณะ เดินทางมายังโรงพยาบาลสยามราษฎร์ เชียงใหม่ ถ.เชียงใหม่-ลำปาง ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่ เพื่อตรวจสอบกรณีการสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนสูตรเดี่ยวจำนวนถึง 210,000 เม็ดของทางโรงพยาบาล
       
       การเข้าตรวจสอบในวันนี้ คณะทำงานส่วนหนึ่งได้เข้าประชุมหารือกับผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องของโรงพยาบาล เนื่องจากทางโรงพยาบาลปฏิเสธว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการสั่งซื้อยาจำนวนมากดังกล่าว ขณะที่คณะทำงานอีกส่วนหนึ่งได้ทำการตรวจสอบการรับและจ่ายยาของห้องยา รวมทั้งตรวจสอบสต๊อกยาของโรงพยาบาลอีกด้วย
       
       ภายหลังการประชุม คณะทำงานชุดดังกล่าวได้แถลงข่าวต่อสื่อมวลชน โดย ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตเปิดเผยว่า การเข้าตรวจสอบของคณะทำงานในวันนี้ สืบเนื่องจากได้พบความผิดปกติในการสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนสูตรเดี่ยวของทางโรงพยาบาลสยามราษฎร์ เชียงใหม่ ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 210,000 เม็ด
       
       ผลการตรวจสอบพบว่า แม้โรงพยาบาลมีใบอนุญาตและสามารถสั่งซื้อหรือแจกจ่ายยาดังกล่าวได้โดยไม่ผิดกฎหมาย แต่ปรากฏว่ายาจำนวนดังกล่าวที่ถูกสั่งซื้อและมีตัวเลขจากโรงงานผู้ผลิตไปยัง อย.นั้น กลับไม่ได้เข้าสู่ระบบของโรงพยาบาลแต่อย่างใด
       
       ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตกล่าวต่อไปว่า โรงพยาบาลได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวว่า ไม่ทราบเรื่องการสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนสูตรเดี่ยวเลย และจากการตรวจสอบพบว่าการสั่งซื้อยาดังกล่าวเกิดขึ้นจากการปลอมแปลงเอกสาร โดยมีเจ้าหน้าที่ฝ่ายจัดซื้อคนหนึ่งได้แอบอ้างชื่อของโรงพยาบาลในการสั่งซื้อ
       
       ทั้งนี้ นายแพทย์สินธิป พัฒนคูหา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลได้ชี้แจงคณะทำงานแล้วว่าไม่ทราบเรื่องและไม่ได้ลงนามในเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด รวมทั้งยังได้มีการลงโทษเจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้ทำเอกสารดังกล่าว โดยย้ายให้ไปรับผิดชอบในตำแหน่งอื่น และแจ้งความในข้อหาปลอมแปลงเอกสารแล้ว
       
       ขณะที่ปริมาณการสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนสูตรผสมของโรงพยาบาลสยามราษฎร์ เชียงใหม่นั้น ว่าที่ ร.ต.ธนกฤตระบุว่าพบความผิดปกติด้วยเช่นกัน โดยจากการตรวจสอบพบว่าโรงพยาบาลมียอดการสั่งซื้อยาประเภทดังกล่าวในปี 2554 จำนวน 226,250 เม็ด แต่ทางโรงพยาบาลระบุว่าได้สั่งซื้อยาเข้าสู่ระบบของโรงพยาบาลเพียง 20,000 เม็ดเท่านั้น ทำให้มียาที่หายไปจำนวนถึง 206,250 เม็ด
       
       จากการตรวจสอบจึงพบว่าเป็นการปลอมแปลงเอกสารทั้งในส่วนของใบสั่งซื้อและรายงานการครอบครองซูโดอีเฟดรีนที่ส่งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ โดยที่ทางโรงพยาบาลไม่ทราบเรื่องแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดเชียงใหม่ก็ได้แจ้งความดำเนินคดีต่อเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวแล้วเช่นกัน
       
       ผู้ช่วยเลขานุการและโฆษกประจำคณะทำงานฯ กล่าวเพิ่มเติมด้วยว่า ในวันเดียวกันนี้คณะทำงานอีกส่วนหนึ่งได้เดินทางไปยัง อ.จอมทองเพื่อตรวจสอบคลินิก 2 แห่ง ได้แก่ โอภาสคลินิกและสัมพันธ์คลินิก หลังจากตรวจสอบพบว่าคลินิกทั้ง 2 แห่งมีการสั่งซื้อยาซูโดอีเฟดรีนสูตรผสมสูงถึงแห่งละ 300,000 เม็ด ซึ่งเป็นตัวเลขที่สูงผิดปกติ โดยจะสอบสวนว่ามีการสั่งซื้อยาจำนวนมากเช่นนี้มาได้อย่างไร และยาดังกล่าวถูกนำไปใช้อย่างไรบ้าง ก่อนที่จะรวบรวมข้อมูลที่ได้ทั้งหมดเพื่อนำไปพิจารณาดำเนินการต่อไป
       
       ส่วน การดำเนินการในขั้นตอนต่อจากนี้ นายทวีวัฒน์ สุรสิทธิ์ รักษาการพนักงานสอบสวนคดีพิเศษชำนาญการพิเศษ กล่าวว่า กรมสอบสวนคดีพิเศษจะได้ทำการสืบสวนต่อไปว่านอกเหนือจากพนักงานที่เป็นผู้กระทำผิดในกรณีดังกล่าวแล้ว ยังมีบุคคลอื่นร่วมกระทำผิดด้วยหรือไม่ รวมทั้งจะติดตามว่ามีความเชื่อมโยงอย่างไรบ้างกับเหตุการณ์ที่มียาหายไปจากโรงพยาบาลในหลายพื้นที่ จากการตรวจสอบในขณะนี้พบว่ามีแนวโน้มที่จะมีความเชื่อมโยงกัน แต่ยังอยู่ในขั้นตอนของการสอบสวนซึ่งไม่สามารถลงรายละเอียดได้ เนื่องจากอาจส่งผลต่อรูปคดี


ASTVผู้จัดการออนไลน์    5 เมษายน 2555

หน้า: 1 ... 399 400 [401] 402 403 ... 537