5956
This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to. 5956
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ปลัดกระทรวง สธ. แจ้งยกเลิกการระงับใช้/ซื้อยาสูตรที่มีซูโดอีเฟดรีนเป็นส่วนประกอบ« เมื่อ: 14 เมษายน 2012, 23:45:55 »5957
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / เรียนหนักเกิ๊น... อาตี๋อาหมวยก่อหวอด "เผาหนังสือ" ประท้วงระบบการศึกษาจีน« เมื่อ: 14 เมษายน 2012, 17:07:27 »
นักเรียนชาวจีน ถือเป็นเยาวชนชาติหนึ่งซึ่งมีภาระเล่าเรียนหนักที่สุดในโลก นอกจากจะต้องเรียนหนังสือ 7 วันต่อสัปดาห์แล้ว พวกเขาและเธอยังมีเวลาหยุดพักจากการเรียนเพียง "สองสัปดาห์" ต่อปีเท่านั้น
กระทั่งนำไปสู่การเผาตำราเรียนประท้วงในโรงเรียนแห่งหนึ่ง นักเรียนแดนมังกรต้องเผชิญหน้ากับการสอบจำนวนมากแต่การสอบที่สำคัญที่สุด ก็คือ การสอบเข้ามหาวิทยาลัย ซึ่งเรียกว่า "เกาเข่า" จากสถานการณ์ดังกล่าว โรงเรียนมัธยมศึกษาทั้งหลายจึงจัดคอร์สเรียนพิเศษเพื่อช่วยให้นักเรียนของตนเองสามารถลงสนามสอบเกาเข่าอย่างมั่นใจแต่นั่นก็เป็นการช่วยเหลือที่ต้องแลกกับ "ค่าเล่าเรียนเพิ่มเติม" อย่างไรก็ตาม บรรดาพ่อแม่ต่างยินดีที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนในหลักสูตรพิเศษแทนลูกๆ โดยหวังว่าเงินที่เสียไป จะช่วยให้ทายาทของตนมีโอกาสทางการศึกษาเหนือกว่าคนอื่น แม้ทางการจะสั่งห้ามมิให้โรงเรียนต่างๆ จัดคอร์สเรียนพิเศษเพิ่มเติมในช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และช่วงวันหยุดยาว แต่โรงเรียนส่วนใหญ่กลับเพิกเฉย เนื่องจากการสอนเสริมคือแหล่งรายได้สำคัญของสถานศึกษาเหล่านี้ อาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในมณฑลหูหนานซึ่งนักเรียนเพิ่งก่อเหตุเผาหนังสือประท้วง กล่าวว่า "มันไม่ใช่เรื่องปิดลับที่ว่าทุกโรงเรียนมีหลักสูตรสอนพิเศษ เพราะถ้าพวกเขาไม่ทำอย่างนั้น ก็จะได้รับการบ่นว่าจากเหล่าผู้ปกครอง" เว็บไซต์ข่าวในจีนประเมินว่า พ่อแม่ผู้ปกครองต้องจ่ายเงินราว 1,000 หยวน (ประมาณ 5,000 บาท) ต่อเทอม สำหรับค่าเรียนพิเศษของลูกๆ และต้องจ่ายอีก 1,000 หยวน สำหรับค่าหนังสือเตรียมสอบ ซึ่งโรงเรียนจะเป็นผู้จำหน่ายให้เช่นกัน "จาง" คือนักเรียนของโรงเรียนมัธยมในหมู่บ้านเซียงถาน มณฑลหูหนาน ซึ่งร่วมก่อเหตุเผาหนังสือเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ซึ่งเกิดเหตุไฟฟ้าดับในโรงเรียนตอน 6 โมงเย็น อันเป็นช่วงเวลาหยุดพักของนักเรียนพอดี แต่ในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา ซึ่งเป็นเวลาเริ่มต้นของชั้นเรียนภาคค่ำ (ที่จะดำเนินไปจนถึง 4 ทุ่ม) ไฟฟ้าก็ยังไม่ติด บรรดานักเรียนจึงสอบถามว่าพวกตนจะสามารถกลับบ้านได้หรือยัง ขณะที่คุณครูและเจ้าหน้าที่กลับปฏิเสธไม่ให้เด็กๆ ออกจากโรงเรียน ส่งผลให้นักเรียนจำนวนมากหงุดหงิดอารมณ์เสีย พวกเขาจัดแจงฉีกทำลายตำราเรียน จุดไฟเผาและขว้างมันทิ้งลงมาจากชั้นบนของอาคารเรียน ขณะที่บางคนถึงกับจุดไฟเผาเครื่องแบบนักเรียน แล้วเขวี้ยงทิ้งลงไปในบ่อน้ำตรงลานส่วนกลางของโรงเรียน "มันเรี่ยราดไปด้วยเศษซากปรักหักพัง โรงเรียนมีสภาพเสียหายอย่างย่อยยับ บรรดาครูๆ พยายามจะหยุดยั้งพฤติกรรมของพวกเรา แต่ก็ไม่สามารถทำได้ เพราะนักเรียนทุกคนล้วนมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด" "จาง"บอกว่าเหตุการณ์ไฟดับเป็นจุดเริ่มต้นของความชุลมุนวุ่นวายทั้งหมด "ตารางเรียนของเรามันหนักเกินไป กระทั่งเราไม่มีเวลาที่จะแก้ไขให้สิ่งที่เกิดขึ้นกลับคืนสู่สภาพปกติ เหนือสิ่งอื่นใด โรงเรียนยังรีดเงินจำนวนมากจากพวกเราเพื่อนำมาใช้เปิดชั้นเรียนพิเศษพวกนี้" "จาง" และเพื่อนๆ รู้สึกดีใจที่สถานีโทรทัศน์ซีซีทีวี ได้นำเรื่องราวของพวกเขาไปกล่าวถึง หลังเกิดกรณีเผาตำราเรียนที่เซียงถาน หลักสูตรเรียนพิเศษทุกชั้นของโรงเรียนดังกล่าวก็ถูกสั่งระงับ จากคำชี้แจงของผู้บริหารโรงเรียน ตารางเรียนในวันอาทิตย์จะถูกยกเลิก แต่จะมีการเรียนการสอนในภาคค่ำต่อไป "เราจ่ายเงินไปแล้ว 1,800 หยวน (ประมาณ 9,000 บาท) สำหรับครึ่งทางแรกของคอร์สเรียนพิเศษ แต่โรงเรียนได้ตกลงว่าจะลดค่าใช้จ่ายในส่วนที่เหลือลง จาก 1,300 หยวน (6,500 บาท) เป็น 126 หยวน (630 บาท)" "เราเคยมีเวลาพักผ่อนเพียงแค่ในช่วงครึ่งเช้าของวันอาทิตย์ พวกเราเหนื่อยมาก เราไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากนอนหลับในเวลาดังกล่าว ส่วนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์และวันหยุดยาวก็ถูกนำไปใช้ในชั้นเรียนเพื่อเตรียมสอบ เรารู้สึกอิจฉาเพื่อนนักเรียนในโรงเรียนอื่นๆ ซึ่งสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในช่วงปิดภาคการศึกษา แน่นอนว่าชั้นเรียนพิเศษนั้นเกิดขึ้นในทุกโรงเรียน แต่โรงเรียนของเราก็ไปไกลเกินกว่านั้น ตลอดทั้งปีก่อน เรามีเวลาพักผ่อนเพียงแค่ 12 วัน ในช่วงปิดเทอมภาคฤดูร้อน" ขณะที่ "หลิว" นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาในมณฑลหูเป่ย กล่าวว่า ในโรงเรียนของเธอ สภาพการเรียนการสอนนั้นย่ำแย่ยิ่งกว่าโรงเรียนที่มณฑลหูหนาน ซึ่งมีการเผาหนังสือประท้วงเสียอีก "ชั้นเรียนของเราเริ่มต้นในเวลา 6 โมงครึ่ง ตอนเช้า และไปสิ้นสุดตอนเวลา 4 ทุ่ม เราแทบไม่มีเวลานอนเลยด้วยซ้ำ เราไม่เคยมีวันหยุดแม้แต่วันเดียวตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นักเรียนประจำบางส่วนไม่ได้กลับบ้านของตนเองนานนับเดือน เราไม่ได้รับอนุญาตให้มีโทรศัพท์มือถือ และถ้าพบว่ามีนักเรียนคนไหนครอบครองมัน ครูจะยึดและทำลายทิ้งทันที ส่วนชั้นเรียนพิเศษและเอกสารประกอบการสอนน่ะ มันเป็นแค่วิธีการหารายได้ของโรงเรียนเท่านั้นเอง" (ที่มา http://observers.france24.com) มติชนออนไลน์ 14 เมษายน พ.ศ. 2555 5958
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ปลัดสธ.แฉมือมืดโทรป่วนสายด่วนกู้ชีพกว่า 100 สาย อุบัติเหตุปีนี้แรงขึ้น« เมื่อ: 14 เมษายน 2012, 17:05:43 »
ปลัดสธ.เผยมือมืด โทรก่อกวนสายด่วนกู้ชีพที่รพ.สระบุรี กว่า 100 สาย ชี้อุบัติเหตุปีนี้รุนแรงขึ้น เหตุจากเหล้าเกือบร้อยละ40 เร่งกวดขันการจำหน่ายเหล้าในที่ห้าม และกวดขันดื่มไม่ขับ
วันนี้( 14 เม.ย.) นายแพทย์ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ตรวจเยี่ยมโรงพยาบาลสระบุรี ติดตามความพร้อมรองรับอุบัติเหตุช่วงเทศกาลสงกรานต์ และการบริการผู้ป่วยฉุกเฉินร่วม 3 กองทุน นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวว่า กระทรวงสาธารณสุขเป็นหน่วยงานหนึ่งที่ร่วมกับรัฐบาลในการรณรงค์ลดอุบัติเหตุช่วงสงกรานต์ หน้าที่หลัก 2 เรื่องคือ ความพร้อมด้านการรักษาของโรงพยาบาล ทั้งบุคลากร คลังเลือด อ๊อกซิเจน และเตียงรองรับผู้ป่วย เช่นที่ รพ.สระบุรี สำรองเตียงว่างในห้องไอซียู 3 เตียง เตียงทั่วไปอีก 100 เตียง บุคลากรเต็มที่ เรื่องที่ 2 ที่ต้องเร่งดำเนินการได้แก่ การตรวจจับแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการห้ามขายสุราให้แก่เด็กอายุต่ำกว่า 20 ปี ห้ามขายในสถานที่ห้ามเช่นปั๊มน้ำมัน ห้ามขายนอกเวลาที่กำหนด และห้ามดื่มระหว่างขับ จากการมาตรวจเยี่ยมพบว่าผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตประมาณร้อยละ 40 เกี่ยวข้องกับแอลกอฮอล์ ชี้ชัดว่าแอลกอฮอล์เป็นสาเหตุสำคัญทำให้เกิดอุบัติเหตุ ส่วนเรื่องการบูรณาการร่วมของ 3 กองทุน ในการรับผู้ป่วยฉุกเฉิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของ3 กองทุนตามนโยบายรัฐบาล ให้ประชาชนทุกคนได้รับสิทธิ์ขั้นพื้นฐานด้านการแพทย์และสาธารณสุขที่เท่าเทียมกัน ซึ่งเริ่มก่อนวันสงกรานต์ โดยผู้ป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิตสามารถเข้ารักษาที่ รพ.ที่ใกล้ที่สุด รพ.ทุกแห่งทั้งรัฐและเอกชนจะรับดูแลให้ โดยไม่ถามสิทธิ์ และจัดการเรื่องค่าใช้จ่ายกันเอง ประชาชนไม่ต้องเสียเงิน เมื่อผู้ป่วยปลอดภัยก็จะส่งรพ.ต้นสังกัดตามสิทธิ์ ตลอดช่วงสงกรานต์นี้ยังไม่พบปัญหา ภาพประกอบข่าวจากอินเทอร์เน็ต สำหรับจังหวัดสระบุรี มีรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตช่วงเทศกาลสงกรานต์ระหว่างวันที่ 11-13 เมษายน 2555 จากโรงพยาบาล 17 แห่งในจังหวัดสระบุรี มีผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทั้งหมด193 ราย อาการหนักต้องนอนรักษาในโรงพยาบาลและส่งรักษาต่อ 50 ราย เสียชีวิต 9 ราย โดยเสียชีวิดที่จุดเกิดเหตุ 8 ราย ส่วนใหญ่เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ไม่สวมหมวกนิรภัย และเมาสุรา โรงพยาบาลที่มีรายงานการบาดเจ็บและเสียชีวิตมากที่สุดคือหนองแค รองลงมาคือสระบุรี พระพุทธบาทและแก่งคอย ที่รพ.สระบุรี มีผู้บาดเจ็บเข้ารับการรักษาทั้งหมด 38 ราย ในวันนี้มีผู้บาดเจ็บยังนอนพักรักษา 12 ราย โดยร้อยละ 50 บาดเจ็บที่ศีรษะ ที่เหลือกระดูกแขนขาหัก ผู้บาดเจ็บ เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ร้อยละ 89 ไม่สวมหมวกนิรภัยร้อยละ 53 และเมาสุรา ร้อยละ 32 นายแพทย์ไพจิตร์ กล่าวต่อว่า เรื่องที่น่าห่วงขณะนี้ ได้รับรายงานจากเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์สั่งการกู้ชีพรพ.สระบุรีว่า มีประชาชนโทรก่อกวนทางสายด่วน 1669 บ่อยมาก ตลอด 3 วัน พบกว่า 100 สาย เวรละประมาณ10 สาย บางคนโทร 6 ครั้ง ส่วนใหญ่เป็นเด็ก และโทรจากตู้สาธารณะ และโทรศัพท์เคลื่อนที่ในระบบเติมเงิน มีโทรแจ้งเหตุหลอกเจ้าหน้าที่ 5 ครั้ง พบมากที่ ต.ทับกวาง อ.แก่งคอย การโทรลักษณะนี้ถือว่า เป็นการรบกวนการปฏิบัติงานของทีมแพทย์กูชีพ ทำให้ผู้บาดเจ็บหรือป่วยฉุกเฉินที่ต้องการความช่วยเหลือจริง ขาดโอกาส และอาจถึงแก่ชีวิต จึงขอวิงวอนประชาชนให้สายด่วน 1669 เพื่อประโยชน์ด้านการแพทย์จริงๆ และขอความร่วมมือผู้ปกครองกวดขันลูกหลานในเรื่องนี้ด้วย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 เมษายน 2555 5959
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / “กิตติรัตน์” ชี้แจงข่าว “รบ.” เลื่อนปรับเงินเดือน ขรก. ไปในปี 57 ไม่เป็นความจริง« เมื่อ: 14 เมษายน 2012, 00:03:47 »
“กิตติรัตน์” แจงข่าวมติ ครม. เลื่อนปรับเงินเดือน ขรก. ออกไปในปี 57 มีความเข้าใจคลาดเคลื่อน ย้ำการปรับโครงสร้างเงินเดือนในรอบนี้ เพื่อให้คนอายุงานนาน รวมถึงวุฒิ ป.โท-ป.เอก ได้รับประโยชน์ เพราะวุฒิ ป.ตรี ปรับไปแล้ว เมื่อวันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา
นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงกระแสข่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 (วานนี้) โดยยอมรับว่า ได้มีการพิจารณาโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการจริง แต่ไม่ได้เลื่อนการปรับเงินเดือนออกไปเป็นปี 2557 เพราะเงินเดือนข้าราชการแรกเข้าทำงาน 15,000 บาทต่อเดือน ได้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2555 ที่ผ่านมาแล้ว แต่ในครั้งนี้ เป็นการปรับโครงสร้างเงินเดือนของผู้จบปริญญาตรี ซึ่งทำงานมานานแล้ว รวมถึงระดับปริญญาโท ปริญญาเอก เพื่อให้เงินเดือนมีความสอดคล้องกัน สำหรับเหตุผลที่ไม่ได้ปรับเพิ่มพร้อมกัน รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ชี้แจงว่า เนื่องจากมีปัญหาการจัดสรรงบประมาณที่ยังไม่เพียงพอ เพราะต้องจัดสรรงบประมาณไปใช้แก้ปัญหาด้านอื่นด้วย แต่ยืนยันว่าในเร็วๆ นี้ ข้าราชการในทุกระดับทั้งระดับผู้บริหารจะปรับโครงสร้างให้มีความสอดคล้องกัน ทั้งนี้ หากข้าราชการมีการปรับเงินเดือนพร้อมๆ กันทั้งหมด ทั้งข้าราชการเข้าใหม่ และข้าราชการที่ทำงานอยู่แล้ว รัฐบาลจะต้องใช้งบประมาณถึงประมาณ 50,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นภาระต่องบประมาณมากเกินไป ดังนั้น จึงต้องทยอยปรับเงินเดือนให้แก่ข้าราชการแต่ละกลุ่ม เพื่อดูแลบริหารงบประมาณให้เหมาะสม ด้านนายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า การปรับโครงสร้างเงินเดือนข้าราชการ ตามข้อเสนอของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ในปี 2555 ผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี จะได้รับเงินเดือนเดิมพร้อมเงินเพิ่มค่าครองชีพ จากนั้นในปี 2556 อัตราเงินเดือนจะปรับเพิ่มขึ้นแล้วทำการปรับลดเงินเพิ่มค่าครองชีพ จากนั้นในปี 2557 ข้าราชการจะได้รับเงินเดือนเต็มอัตรา โดยไม่มีเงินเพิ่มค่าครองชีพ ส่วนการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากเหตุก่อการร้ายในจังหวัดภาคใต้ ทั้งจังหวัดยะลา และสงขลา หากบ้านเรือนที่โดนระเบิดได้รับความเสียหายทั้ง หลังรัฐบาลจะจ่ายชดเชยสร้างบ้านให้ทั้งหลังเหมือนเดิม แต่หากได้รับความเสียหายบางส่วน รัฐบาลจะชดเชยตามมูลค่าทรัพย์สินที่ได้รับความเสียหาย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 11 เมษายน 2555 5960
ห้องพักผ่อนรวม (Common Room) / ไทยติดกลุ่ม ปท.ยอดสุภาพกับนักท่องเที่ยว “ฝรั่งเศส-รัสเซีย-อังกฤษ” สุดบู่« เมื่อ: 14 เมษายน 2012, 00:00:39 »
ซีเอ็นเอ็นโกเผยแพร่ผลสำรวจเว็บไซต์ท่องเที่ยวในสกอตแลนด์ เผยนักท่องเที่ยวยุโรป อเมริกาเหนือ ออสซี่ ยี้ “คนฝรั่งเศส-รัสเซีย-อังกฤษ-เยอรมัน-จีน” ชี้ติดอันดับหยาบคายที่สุด ขณะที่คนไทยติดท็อป 5 สุภาพที่สุดเหนือญี่ปุ่น
วันนี้ (13 เม.ย.) เว็บไซต์ ซีเอ็นเอ็นโก (cnngo.com) ได้เผยแพร่รายงานการสำรวจของเว็บไซต์ท่องเที่ยว สกายสแกนเนอร์ (Skyscanner) ของสหราชอาณาจักร ที่สอบถามความเห็นของนักท่องเที่ยวว่า “ประเทศใดในโลกที่หยาบคายกับนักท่องเที่ยวมากที่สุด” โดยมีตัวเลือกให้นักท่องเที่ยวเลือกจำนวน 33 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย (ไม่นับรวมประเทศอื่นๆ อีกหนึ่งตัวเลือก) ผลการสำรวจความเห็นนักท่องเที่ยวมากกว่า 1,200 คนในยุโรป อเมริกาเหนือและออสเตรเลีย โดยโพลออนไลน์ของสกายสแกนเนอร์ปรากฏว่า “ฝรั่งเศส” เป็นประเทศที่ถูกโหวตว่าหยาบคายมากที่สุดในโลก โดยกวาดคะแนนไปเกือบเกือบร้อยละ 20 ของคะแนนทั้งหมด เจ้าหน้าที่ของสกายสแกนเนอร์ ผู้ดำเนินการสำรวจกล่าวกับเว็บไซต์อินเตอร์เนชันแนล บิสซิเนส ไทมส์ว่า ชาวฝรั่งเศสขึ้นชื่ออยู่แล้วว่าไร้มารยาทและหยาบคาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพบเจอนักท่องเที่ยวต่างชาติ ขณะเดียวกันประเทศที่ถูกจัดว่ามี “ชื่อเสีย” ในการต้อนรับนักท่องเที่ยวอันดับรองๆ ลงไปก็คือ อันดับ 2 รัสเซีย ที่ได้คะแนนโหวตร้อยละ 16.6, อันดับ 3 สหราชอาณาจักร (ร้อยละ 10.4), อันดับ 4 เยอรมนี (ร้อยละ 9.93) และประเทศอื่นๆ ที่ไม่อยู่ในรายชื่อให้เลือกตามมาในอันดับที่ 5 ขณะที่ประเทศจีนตามมาในอันดับที่ 6 (ร้อยละ 4.3) ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่ได้คะแนนโหวตมากที่สุดในกลุ่มประเทศในทวีปเอเชีย ลอเรนซ์ โล (หลู เฮ่าเหยียน) ผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรมและมารยาทสังคมในจีนวิเคราะห์ว่า ปัญหาใหญ่ 2 ประการของคนในประเทศต่างๆ ที่ถูกจัดว่าหยาบคายกับนักท่องเที่ยวก็คืออุปสรรคด้านภาษา และความแตกต่างทางวัฒนธรรม “ชาวฝรั่งเศสค่อนข้างอนุรักษ์ภาษาของตนเองมาก ดังนั้นลูกค้าที่สื่อสารด้วยภาษาฝรั่งเศสหรือภาษาอื่นๆ จะสามารถประสบพบปฏิกิริยาที่แตกต่างกันจากชาวฝรั่งเศส” โลกล่าว ขณะที่ผู้จัดการด้านการตลาดของสกายสแกนเนอร์กล่าวเสริมว่า ความแตกต่างทางวัฒนธรรมก็มีผลมาก ยกตัวอย่างเช่น “มารยาทการต่อแถว” ซึ่งเป็นมาตรฐานทางสังคมในตะวันตกนั้นเป็นสิ่งที่สังคมจีนกลับมิได้ถูกบังคับใช้อย่างเคร่งครัด ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นสิ่งที่อาจกระทบความรู้สึกของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการ ยังตรวจสอบพบว่าในผลการสำรวจของสกายสแกนเนอร์นั้น ประเทศไทยได้รับการโหวตจากนักท่องเที่ยวว่าเป็น 1 ใน 5 ของประเทศที่หยาบคายกับนักท่องเที่ยวน้อยที่สุดด้วย โดยติดอันดับ 31 จาก 34 อันดับ ซึ่งถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งของชาวไทย ในฐานะเจ้าของประเทศ สำหรับ 10 อันดับแรกของประเทศที่หยาบคายมากที่สุดจากผลการสำรวจของสกายสแกนเนอร์มีดังนี้ 1. ฝรั่งเศส 2. รัสเซีย 3. สหราชอาณาจักร 4. เยอรมนี 5. ประเทศอื่นๆ 6. จีน 7. สหรัฐอเมริกา 8. สเปน 9. อิตาลี 10. โปแลนด์ 10 อันดับประเทศที่หยาบคายน้อยที่สุด 25. ญี่ปุ่น 26. เดนมาร์ก 27. แคนาดา 28. นิวซีแลนด์ 29. อินโดนีเซีย 30. โปรตุเกส 31. ไทย 32. ฟิลิปปินส์ 33. แถบแคริบเบียน 34. บราซิล ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 เมษายน 2555 5961
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / “วิทยา” ชูลดโรค เพิ่มสุขเป็นของขวัญให้ผู้สูงอายุ« เมื่อ: 13 เมษายน 2012, 23:55:38 »
“วิทยา” ชูนโยบายลดโรค เพิ่มสุข เป็นของขวัญผู้สูงอายุไทยกว่า 8 ล้านคน ให้โรงพยาบาลทุกแห่งใช้อารยะสถาปัตย์ สะดวก สะอาด ปลอดภัย ให้เจ้าหน้าที่สำรวจ ตรวจสุขภาพผู้สูงอายุทุกชุมชน หมู่บ้าน จัดรถพยาบาลฉุกเฉินรับตัวถึงบ้าน ในอีก 1-2 ปี เตรียมผุดคลินิกเดย์แคร์ต้นแบบ บูรณาการแพทย์ 3 แผนดูแล และการดูแลผู้สูงอายุในคอนโด บ้านจัดสรร สังคมเมือง
นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข(รมว.สธ.) ให้สัมภาษณ์ว่า เนื่องในวันผู้สูงอายุแห่งชาติ ซึ่งตรงกับวันที่ 13 เมษายน ทุกปี ซึ่งจากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ในปี 2554 ระเทศไทยมีผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป จำนวน 8 ล้านกว่าคน จากประชากรประมาณ 64 ล้านคน อายุขัยเฉลี่ยผู้ชายไทย 69.4 ปี ผู้หญิงเฉลี่ย 81.9 ปี ผู้ชายอายุสั้นกว่าผู้หญิงเนื่องจากมีพฤติกรรมเสี่ยงสูงกว่าทั้งเรื่องอุบัติเหตุจราจร การสูบบุหรี่ ดื่มสุรา โดยในปี 2553 จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ ทั่วประเทศมีผู้ที่อายุเกิน 100 ปี หรือเรียกว่า ศตวรรษิกชน จำนวน 14,493 คน เป็นหญิง 8,474 คน ชาย 6,019 คน นายวิทยา กล่าวว่า รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีและกระทรวงสาธารณสุขให้ความสำคัญแก่ผู้สูงอายุไทย ซึ่งเป็นร่มโพธิ์ ร่มไทรของครอบครัว โดยมีนโยบายลดโรค เพิ่มสุข ให้ผู้สูงอายุ ซึ่งที่ผ่านมาพบว่าผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่าร้อยละ50 จะมีโรคประจำตัวอย่างน้อย 1 โรค เช่น เบาหวาน ในปีนี้กระทรวงสาธารณสุขได้เพิ่มบริการพิเศษ มอบเป็นของขวัญแก่ผู้สูงอายุทุกคน โดยให้โรงพยาบาลในสังกัดทุกระดับทั่วประเทศกว่า 10,000 แห่ง ปรับปรุงโครงสร้างสถานที่ให้เป็นแบบอารยะสถาปัตย์ เช่น ทางลาด ห้องส้วม ที่จอดรถ ให้สะดวก สะอาด และปลอดภัย โดยให้ใช้ส้วมชนิดนั่งแทนส้วมนั่งยอง ซึ่งจะสบายกว่า เนื่องจากผู้สูงอายุประมาณร้อยละ 20 มีปัญหาข้อเข่าเสื่อม และให้ทุกจุดบริการในโรงพยาบาล เช่น ห้องบัตร ห้องตรวจโรค ห้องยา ให้บริการทางด่วน แก่ผู้ที่อายุ 70 ปีขึ้นไป ไม่ต้องเข้าคิว หรือบริการ 70 ปีไม่มีคิว เพื่อให้ผู้สูงอายุได้รับบริการอย่างรวดเร็ว และให้จัดหน่วยบริการพิเศษในโรงพยาบาล เช่น บริการให้คำปรึกษา บริการตรวจประเมินสุขภาพของผู้สูงอายุ เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 เป็นต้นไป ส่วนในชุมชน หมู่บ้านทั่วประเทศ ให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุข ออกสำรวจ ตรวจคัดกรองสุขภาพกายและสุขภาพจิตผู้สูงอายุทุกคน ประเมินตามความสามารถในการทำกิจวัตรประจำวันขั้นพื้นฐาน เช่นการเดิน การอาบน้ำ การรับประทานอาหาร และประเมินสุขภาพจิต โดยเฉพาะภาวะซึมเศร้า ว้าเหว่ และประเมินภาวะสมองเสื่อม เพื่อจัดกลุ่มดูแลอย่างเหมาะสม หากเป็นผู้สูงอายุที่ช่วยเหลือตัวเองได้น้อยหรือไม่ได้เลย จะจัดหน่วยเยี่ยมบ้านดูแลต่อเนื่อง หากผู้สูงอายุเจ็บป่วยจำเป็นต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาล จะจัดรถพยาบาลไปรับส่งถึงบ้าน นายวิทยา กล่าวต่อว่า ในอีก 1-2 ปีนี้ ได้วางแผนการบริการผู้สูงอายุอีก 3 เรื่อง เพื่อให้ผู้สูงอายุไทยมีสุขภาพแข็งแรงให้นานที่สุด และนอนโรงพยาบาลให้ช้าที่สุด ดังนี้ 1.ให้กรมอนามัย พัฒนารูปแบบบริการส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันปัญหาที่มักเกิดกับผู้สูงอายุ เช่นข้อเข่าเสื่อม หลังงอ 2.ให้กรมการแพทย์ พัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุที่เจ็บป่วยในภาคกลางวัน หรือที่เรียกว่าเดย์ แคร์ (Day Care Center) ในโรงพยาบาล ให้เหมาะกับสภาพสังคมไทย โดยบูรณาการการรักษาฟื้นฟูด้วยการแพทย์แผนปัจจุบัน การแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก ขยายผลในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ซึ่งจะเป็นศูนย์ฝึกอบรมลูกหลานในการดูแลผู้สูงอายุด้วย เพิ่มบริการประเมินสุขภาพผู้สูงอายุอย่างครบวงจร เช่นประเมินการหกล้ม สายตา สมองเสื่อม และส่งรักษาที่โรงพยาบาลเฉพาะทาง 3. คือการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุในเขตเมือง ซึ่งแนวโน้มจะมีมากขึ้นตามการเปลี่ยนแปลงสภาพสังคมไทย ในสภาพสังคมเมืองผู้สูงอายุส่วนใหญ่จะอยู่โดดเดี่ยว ตามคอนโดมิเนียม บ้านจัดสรร บางคนอยู่คนเดียว ขาดลูกหลานดูแล แตกต่างจากสังคมชนบท เป็นจุดที่ต้องเร่งดำเนินการ ได้มอบให้กรมการแพทย์ พัฒนาโดยนำเทคโนโลยีการสื่อสารมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการดูแลผู้สูงอายุ เช่นโทรศัพท์มือถือ อินเตอร์เน็ตหรือระบบเทเลเมดดิซีน( Telemedicine) ทั้งเรื่องการให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ การติดตามการรักษา ทางด้านนายแพทย์นันทศักดิ์ ธรรมานวัตร์ ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์ผู้สูงอายุ กรมการแพทย์ กล่าวว่า สุขภาพของผู้สูงอายุขณะนี้น่าเป็นห่วง จากการประเมินพบว่า ผู้ที่ที่ไปใช้บริการตรวจรักษาที่แผนกผู้ป่วยนอก โรงพยาบาล เป็นผู้สูงอายุร้อยละ 60-70 ผลการสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อพ.ศ.2551-2552 โดยสถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข พบว่าผู้สูงอายุป่วยเป็นโรคเรื้อรัง ที่พบบ่อยคือโรคความดันโลหิตสูงร้อยละ 48 โรคเบาหวานร้อยละ 16 และอ้วนลงพุงร้อยละ 36 ส่วนกลุ่มโรคที่เกิดจากความเสื่อมของอวัยวะ ตัวเลขที่น่าตกใจมากพบว่า ผู้สูงอายุไทยเป็นโรคข้อเสื่อมค่อนข้างสูงเฉลี่ยร้อยละ19 คาดประมาณว่าขณะนี้ผู้สูงอายุไทย กำลังเชิญโรคข้อเสื่อม ทำให้มีอาการปวดข้อ ข้อบวมอย่างเรื้อรัง ประมาณ 1 ล้าน 4 แสนกว่าคน พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเกือบ 2 เท่าตัว พบผู้สูงอายุมีภาวะสมองเสื่อมร้อยละ12 หรือประมาณ 880,000 คน ส่วนใหญ่พบในเขตชนบทมากกว่าในเมือง ส่วนปัญหาสายตา พบเป็นต้อกระจกร้อยละ 21 ในด้านการบดเคี้ยว พบว่าผู้สูงอายุทั้งชายและหญิงร้อยละ 53 เหลือฟันในปากน้อยกว่า 20 ซี่ โดย 1 ใน 5 ใส่ฟันปลอม มากที่สุด คือผู้สูงอายุในกทม. ต่ำที่สุดคือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ขณะนี้คาดว่า จะมีผู้สูงอายุที่สุขภาพไม่ดี ช่วยเหลือเองไม่ได้เลย ต้องพึ่งคนอื่นดูแล 100 เปอร์เซ็นต์ ประมาณ 80,000 คน มีผู้สูงอายุที่ป่วยและพอช่วยเหลือตนเองได้ หรือเรียกว่ากลุ่มอยู่ติดบ้านประมาณร้อยละ 20 หรือประมาณ 1.6 ล้านคน ที่เหลืออีกประมาณร้อยละ 80 เป็นผู้สูงอายุที่สุขภาพแข็งแรง ช่วยตัวเองได้ดี ซึ่งกลุ่มนี้รวมถึงผู้ที่เป็นโรคเรื้อรังประจำตัวด้วย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 เมษายน 2555 5962
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / สรุป'รพ.ราชวิถี'ศูนย์ส่งต่อป่วยฉุกเฉิน« เมื่อ: 13 เมษายน 2012, 23:48:24 »
สาธารณสุข * "สธ." ถกเครียด รพ.นอก กทม. เคลียร์ปัญหาเตียงเต็ม รองรับผู้ป่วยฉุกเฉินจาก 3 กองทุน สรุปให้ รพ.ราชวิถีเป็นศูนย์การส่งต่อและกระจายผู้ป่วย เผย 15 วันมีผู้ป่วยฉุกเฉิน 3 กองทุนเข้ารับบริการ รพ.นอกสังกัด 300 คน
เมื่อวันที่12 เมษายน 2555 เวลา 11.00 น. นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังการประชุมเพื่อวางแนวทางการส่งต่อผู้ป่วย 3 กองทุน ภายหลังจากที่มีการรวมบริหารจัดการผู้ป่วยฉุกเฉินว่า หลังจากที่ได้มีการเดินระบบจัดการบริหารร่วม 3 กองทุน ในการดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ซึ่งได้เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2555 จนถึงขณะนี้เป็นเวลาเกือบครึ่งเดือนแล้ว จากการประเมินผลในภาพรวมของระบบ พบว่าประชาชนต่างรู้สึกพอใจกับระบบนี้ เพราะเป็นระบบที่ดูแลในส่วนวิกฤติที่ส่งผลต่อชีวิตและความพิการ ประชาชนจึงเป็นผู้รับประโยชน์จากระบบอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะในส่วนข้าราชการ แต่ทั้งนี้จำเป็นที่ทาง สธ.ต้องประเมินและดูว่ามีปัญหาอะไรบ้างที่ต้องแก้ไขเพิ่มเติม เพื่อทำให้ระบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น นพ.ไพจิตร์กล่าวต่อว่า ในช่วง 15 วันที่ผ่านมา ถ้าไม่นับรวมผู้ป่วยในระบบฉุกเฉินตามปกติ จะมีผู้ป่วยฉุกเฉินที่ใช้บริการในสถานพยาบาลนอกระบบ 300-400 รายทั่วประเทศ ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนไม่มาก แต่ในช่วงการรักษาภายหลังจากที่ผู้ป่วยมีอาการคงที่แล้ว ทางโรงพยาบาลเอกชนต่างต้องการที่จะส่งต่อผู้ป่วยกลับไปยัง รพ.ตามสิทธิ์รักษาพยาบาลของแต่ละคนที่ยังพบว่ามีปัญหาอยู่ จึงต้องมีการจัดระบบการรองรับส่งต่อให้ดีขึ้น วันนี้ (12 เม.ย.55) จึงได้เชิญตัวแทน รพ.ในสังกัด สธ.ทั้งที่อยู่ใน กทม. ปริมณฑล และจังหวัดโดยรอบมาหารือ เพื่อจัดวางระบบให้มีความพร้อมมากขึ้น "เราจะใช้วิธีการเดียวกันกับช่วงที่เกิดน้ำท่วมคือ จากรอบนอกส่งเข้าข้างในคือ รพ.ราชวิถี หากที่นี่รับไม่ได้ก็จะส่งออกไปยัง รพ.รอบนอกอื่นๆในรัศมี 50 กิโลเมตร และรัศมี 100 กิโลเมตร" นพ.ไพจิตร์กล่าว ด้าน นพ.สมชัย นิจพาณิช รองปลัด สธ. กล่าวว่า ขณะนี้มีการนำเสนอปัญหามาว่าในกรณีที่ผู้ป่วยฉุกเฉินรักษาจนอาการทุเลาลงแล้วจะส่งต่อกันอย่างไร จึงต้องมีการจัดทำระบบเพื่อให้มีเตียงเพียงพอรับผู้ป่วยในอนาคต โดยเฉพาะในส่วนพื้นที่ กทม. ซึ่งเป็นพื้นที่มีปัญหาค่อนข้างมาก จึงกำหนดให้ รพ.สังกัดกรมการแพทย์เป็นศูนย์กลางการส่งต่อก่อน โดย รพ.ราชวิถีเป็นศูนย์กลาง และรอบนอกมี รพ.เลิดสิน รพ.นพรัตน์ และสถานบันสุขภาพเด็กแห่งชาติมหาราชินี จากนั้นจึงกระจายผู้ป่วยไปยัง รพ.รอบปริมณฑล อย่าง รพ.สมุทรปราการ รพ.อยุธยา รพ.ปทุมธานี รพ.พระนั่งเกล้า รพ.สมุทรสาคร และ รพ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งหากไม่มีเตียงว่างพอก็จะมี รพ.ชลบุรี รพ.สระบุรี รพ.นครปฐม และ รพ.ราชบุรี อย่างไรก็ตาม ในส่วนที่ผ่านมามี รพ.เอกชนที่ส่งต่อผู้ป่วยเพียง 10-20 รายเท่านั้น ยังไม่มากและรองรับได้ แต่เราจำเป็นต้องจัดระบบเพื่อเตรียมความพร้อมไว้ก่อน. ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 13 เมษายน 2555 5963
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ระดมสมองห้องปฏิบัติการ รพ.ทั่วประเทศ ถอดบทเรียน-พัฒนาระบบบริการ-รับมือภัย« เมื่อ: 13 เมษายน 2012, 23:46:55 »
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ จัดประชุมผู้ปฏิบัตงานห้องปฏิบัติการชันสูตรสาธารณสุข รพศ./รพท. รพช. รพ.สต.และหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั่วประเทศเพื่อพัฒนาระบบคุณภาพห้องปฏิบัติการและสร้างความมั่นใจให้กับผู้รับบริการและประชาชน ทั้งในภาวะปกติและสถานการณ์ภัยพิบัติ พร้อมมอบเกียรติบัตรแก่หน่วยงานที่สนับสนุนอุปกรณ์ เครื่องมือน้ำยา ตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการและความร่วมมือด้านระบบบริการ ด้านการแพทย์และสาธารณสุขในช่วงอุทกภัย ปี 2554
นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ "โครงการฟื้นฟูความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ห้องปฏิบัติการชันสูตรสาธารณสุข เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติและพัฒนาระบบเครือข่ายบริการสุขภาพ" ว่า เมื่อปี 2554 ที่ผ่านมาประเทศไทยได้เกิดสถานการณ์อุทกภัยในหลายจังหวัด ก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิตทรัพย์สินของประชาชนและกระทบต่อระบบบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุข โดยมีโรงพยาบาลได้รับความเสียหายทั้งหมด 561 แห่งเป็นโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป (รพศ/รพท) 16 แห่ง โรงพยาบาลชุมชน (รพช.) 70 แห่ง และที่เหลืออีก 468 แห่ง เป็นโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และโรงพยาบาลสังกัดกรมต่างๆ และสังกัด กทม. 11 แห่ง มีมูลค่าความเสียหายประมาณ 340 ล้านบาท ทำให้ไม่สามารถให้บริการได้อย่างอมีประสิทธิภาพ รวมทั้งห้องปฏิบัติการชันสูตรสาธารณสุข ซึ่งเป็นหน่วยบริการตรวจวิเคราะห์สิ่งส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวต่ออีกว่า จากปัญหาดังกล่าวกระทรวงสาธารณสุขโดย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่สำคัญในการส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนาเครือข่ายห้องปฏิบัติการชันสูตรสาธารณสุขของโรงพยาบาลในเขตสาธารณสุขทั่วประเทศ จึงได้ทำโครงการฟื้นฟูความรู้และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ห้องปฏิกบัติกการชันสูตรสาธารณสุข เพื่อรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติและพัฒนาระบบเครือข่ายบริการสุขภาพ ขึ้น เพื่อสร้างความเชื่อมั่นห้องปฏิบัติการและส่งเสริมการพัฒนาเครือข่ายห้องปฏิบัติการชันสูตรสาธารณสุขของโรงพยาบาลในเขตสาธารณสุขทั่วประเทศให้สามารถให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อสร้างหลักประกันในการให้บริการทางห้องปฏิบัติการแก่ผู้รับบริการและประชาชนทั้งในภาวะปกติและเตรียมพร้อมรองรับสถานการณ์ภัยพิบัติที่อาจเกิดขึ้นอีก ซึ่งต้องอาศัยความร่วมมือเป็นเครือข่ายการให้บริการและการพัฒนาทุกระดับ ตั้งแต่ระดับตำบล จังหวัด เขตสาธารณสุข และระดับประเทศให้สอดคล้องกับแผนพัฒนาระบบบริการสุขภาพ (Service Plan) ของกระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบันและอนาคต นายแพทย์บุญชัย สมบูรณ์สุข อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับการประชุมเชิงปฏิบัติการในครั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งสิ้น 500 คน ประกอบด้วย ผู้ปฏิบัติงานห้องปฏิบัติการของโรงพยาบาล รพศ/รพท. รพช รพ.สต.โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร มหาวิทยาลัยกรมวิทยาซาวตร์การแพทย์ และหน่วยงานบรรเทาความเสี่ยงอันเนื่องมาจากสารเคมี สารชีวภาพและวัตถุกัมมันรังสี และหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยจะมีการอภิปรายแนวคิด แลกเปลี่ยนประสบการณ์และถอดบทเรียนที่ประสบ ภัยพิบัติพร้อมทั้งแนวคิดในการฟื้นฟูของห้องปฏิบัติการชันสูตรสาธารณสุขให้มีคุณภาพและมาตรฐาน จัดให้มีการระดมสมอง และแนวคิด เกณฑ์พัฒนาระบบเครือข่ายบริการสุขภาพ เพื่อใช้เป็นเกณฑ์การดำเนินงานสำหรับห้องปฏิบัติการในโรงพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุข ให้มีระบบคุณภาพในห้องปฏิบัติการอย่างเหมาะสม และสร้างความมั่นใจแก่ผู้รับบริการในพื้นที่ โดยร่วมคิด ร่วมทำจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับงานบริการชันสูตรสาธารณสุขและเชื่อมโยงเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายบริการสุขภาพที่มีคุณภาพและมาตรฐาน ทั้งในสถานการณ์ปกติและสถานการณ์ภัยพิบัติ พร้อมกันนี้ได้จัดพิธีมอบเกียรติบัตรให้แก่หน่วยงานที่สนับสนุนอุปกรณ์เครื่องมือ น้ำยา ตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการและความร่วมมือด้านระบบบริการด้านการแพทย์และสาธารณสุขในช่วงอุทกภัย ปี 2554 จำนวน 11 หน่วยงาน ประกอบด้วย สภากาชาดไทย ลาโบราทอลี่ แมเนจเม้นท์ คอร์ป จำกัด บริษัท กรุงเทพ อาร์ไอเอ แล็บ จำกัด บริษัท กรุงเทพ ไพยาธิ แลป จำกัด บริษัทเนชั่นแนล เฮลท์แคร์ ซิสเท็มส์ จำกัด บริษัทโรช ไดแอกโนสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริท กิบไทย จำกัด บริษัท PCL Holding จำกัด บริษัทเมดิทอป จำกัด และบริษัท E for L international จำกัด ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 13 เมษายน 2555 5964
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / หมายเรียก'11ผอ.รพ.'สอบพันซูโด« เมื่อ: 13 เมษายน 2012, 23:44:14 »
ดีเอสไอออกหมายเรียก 11 ผอ.โรงพยาบาลสอบปากคำ คดียาแก้หวัดสูตรซูโดฯ รั่วไหลรวมกว่า 11 ล้านเม็ด พร้อมเชิญปลัดกระทรวงสาธารณสุขแจงข้อมูลการใช้ยา 18 เม.ย.นี้ เตรียมงัด 4 กม.เกี่ยวข้องรอฟันคนผิด
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) วันที่ 12 เม.ย. นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ พร้อมด้วยนายสรรเสริญ ปาลวัฒน์วิไชย รองอธิบดีดีเอสไอ พ.ต.ท.พงศ์อินทร์ อินทรขาว ผบ. สำนักคดีความมั่นคง ประชุมร่วมกับพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อตรวจสอบข้อกฎหมายและพยานหลักฐานในการพิจารณาออกหมาย เรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องในคดีการรั่วไหลของยาแก้หวัดสูตรซูโดอีเฟ ดรีนจากโรงพยาบาลเข้าให้ปากคำ นายธาริตแถลงว่า ที่ประชุมร่วมได้ตั้งสมมุติฐานการกระทำความผิดในคดีนี้ เป็นลักษณะขบวนการ หรือตัวการร่วม ซึ่งจะค้นหาความจริงออกมา หากใครที่เกี่ยวข้องก็จะดำเนินคดีในฐานะตัวการร่วม ถ้าไม่ใช่จะแยกดำเนินคดีเฉพาะรายและเฉพาะเรื่องโดยข้อกฎหมายในการดำเนินคดีจะใช้กฎหมายหลักทั้ง พ.ร.บ.ยา พ.ร.บ.วัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ประมวลกฎหมายอาญา และ พ.ร.บ.มาตรการปราบปรามผู้กระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ร.บ.ยาเสพติด "ประเด็นสำคัญในที่ประ ชุมได้วางแผนว่า จะมีการสอบใคร อย่างไร ในเรื่องอะไรและนัดหมายในการสอบสวน โดยบางส่วน จะเริ่มทำงานกันในวันที่ 13 เม.ย. ส่วนกำหนดการสอบสวนจะเริ่ม จากในวันที่ 18 เม.ย. ดีเอสไอจะเชิญผู้บริหารสูงสุดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ที่มีหน้าที่ใน การควบคุมโรงพยาบาลของรัฐทุกแห่ง กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ ที่ควบคุมกำกับดูแลโรงพยาบาลเอกชนทุกแห่ง และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) หน่วยงานสำคัญในการกำกับดูแลควบ คุมยาแก้หวัด เข้าให้ข้อมูลในฐานะ พยาน ในเวลา 10.00 น. เพื่อสอบถามเรื่องมาตรฐานวิชาชีพของการใช้ยาแก้หวัด" นายธาริตกล่าว อธิบดีดีเอสไอกล่าวว่า นอกจากนี้ที่ประชุมมีมติตัดสินใจออกหมายเรียกผู้อำนวยการโรงพยาบาล 11 แห่ง ทั้งของรัฐและเอกชนมาสอบสวน ในวันที่ 19-20 เม.ย. เวลา 10.00 น. โดยผู้อำนวยการทั้ง 11 แห่ง จะต้องมาให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการ ถึงความรับผิดชอบของตัวเองในฐานะผู้อำนวยการโรงพยาบาล ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดของหน่วยงานว่า รู้เห็นเกี่ยวข้องกับการลักลอบเรื่องยาซูโดอีเฟดรีนทั้งสูตรเดี่ยวหรือสูตรผสมออกไปจากระบบอย่างไรหรือไม่ มีระเบียบข้อบังคับเรื่องนี้อย่างไรเกี่ยวข้องหรือไม่เกี่ยวข้องอย่างไร พร้อมแสดงหลักฐานยืนยันอย่างชัดเจน ทั้งนี้ ผู้อำนวยการโรงพยา บาลทั้ง 11 แห่งที่ถูกออกหมายเรียก ประกอบด้วย 1.รพ.ศูนย์อุดร จังหวัดอุดรธานี 2.รพ.ดอยหล่อ จังหวัดเชียงใหม่ 3.รพ.ทองเสนขันธ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ 4.รพ.นวมินทร์ 1 กทม. 5.คลินิกสุพรชัย จังหวัดลพบุรี 6.รพ.สยามราษฎร์ จังหวัดเชียงใหม่ (เอกชน) 7.รพ.ฮอด จังหวัดเชียงใหม่ 8.รพ.หนองกี่ จังหวัดบุรีรัมย์ 9.รพ.ภูสิงห์ จังหวัดศรีสะเกษ 10.รพ.กมลาไสย จังหวัดกาฬสินธุ์ และ 11.สัมพันธ์คลินิก จังหวัดเชียงใหม่ โดยโรงพยาบาลทั้งหมดมียาแก้หวัดสูตรซูโดฯ รั่วไหลรวมกว่า 11 ล้านเม็ด วันเดียวกัน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า คณะกรรมการสอบสวนกลางของ สธ. สรุปผลสอบข้าราชการที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับปัญหาการเบิกจ่ายยาแก้หวัดสูตรผสมซูโดอีเฟดรีนเบื้องต้น มี ผอ.รพ. 3 แห่งที่มีปัญหาการเบิกจ่ายยา มีความผิดทางวินัยไม่ร้ายแรง โดยจะต้องย้าย ผอ.ทั้ง 3 แห่งมาที่ส่วนกลางและสอบสวนวินัยไม่ร้ายแรง. ไทยโพสต์ -- ศุกร์ที่ 13 เมษายน 2555 5965
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / สธ.ลุยยกระดับแผงลอยอาหาร 1.3 แสนแห่งรับสงกรานต์« เมื่อ: 13 เมษายน 2012, 23:42:03 »
สธ.ลุยยกมาตรฐานร้านอาหาร แผงลอยกว่า 130,000 ร้านทั่วไทย รับเทศกาลมหาสงกรานต์ ชูนโยบายดูแลตั้งแต่แหล่งผลิต กระบวนการผลิตจนถึงโต๊ะอาหาร ...
เมื่อวันที่ 8 เม.ย. นพ.สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รมช.สาธารณสุข เปิดเผยว่า เทศกาลสงกรานต์ถือเป็นวันขึ้นปีใหม่ของคนไทย และวันหยุดนักขัตฤกษ์ที่สำคัญ ประชาชนส่วนใหญ่จึงเดินทางกลับบ้านเพื่อไปเยี่ยมครอบครัว นอกจากนี้ ยังเป็นเทศกาลการจัดเลี้ยงต่างๆ ทำให้ร้านอาหาร ตลาดสดและแผงลอยมีความคึกคักเป็นพิเศษ กระทรวงสาธารณสุขจึงมีมาตรการคุมเข้มตลาดสด ร้านอาหาร แผงลอย ซึ่งเป็นสถานที่ปรุงประกอบและจำหน่ายอาหารสำหรับประชาชน ให้มีคุณภาพมาตรฐานปราศจากการปนเปื้อนของสารพิษตกค้าง ซึ่งเป็นการดูแลตั้งแต่แหล่งผลิต กระบวนการผลิตจนถึงโต๊ะอาหาร (FROM FARM TO TABLE) สำหรับการดำเนินงานล่าสุด มีตลาดสดทั่วประเทศจำนวน 1,533 แห่ง ผ่านเกณฑ์มาตรฐานตลาดสด น่าซื้อ จำนวน 1,302 แห่ง แบ่งเป็นระดับดี จำนวน 1,074 แห่ง และระดับดีมากจำนวน 228 แห่ง คิดเป็นภาพรวมทั้งหมดร้อยละ 84.93 สำหรับร้านอาหารและแผงลอยทั่วประเทศมีทั้งหมด 139,144 แห่ง ผ่านเกณฑ์มาตรฐานร้านอาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean Food Good Taste) จำนวน 119,955 แห่ง คิดเป็นร้อยละ 86.21 ซึ่งตลาดสด ร้านอาหาร และแผงลอยที่ยังไม่ผ่านเกณฑ์มาตรฐานนั้น กระทรวงสาธารณสุขได้มอบให้กรมอนามัยดำเนินการตรวจสอบและพัฒนาให้ได้คุณภาพมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคอย่างต่อเนื่อง รมช.สาธารณสุข กล่าวต่อว่า ผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญกับความสะอาดของร้านค้า ตลาดสด และแผงลอย โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งเน้น 3 จุดสำคัญ ได้แก่ พื้น เขียง แผง เพราะเป็นจุดเสี่ยงกับการปนเปื้อนและสัมผัสกับอาหารมากที่สุด ซึ่งสามารถเป็นสื่อนำเชื้อโรคให้เข้าสู่ร่างกายได้ การล้างตลาดที่ถูกหลักสุขาภิบาลมี 2 ขั้นตอนสำคัญ คือ ขั้นที่ 1 การล้างด้วยน้ำและผงซักฟอก เพื่อกำจัดคราบสกปรก แล้วฆ่าเชื้อด้วยคลอรีนบริเวณบนแผง หรือพื้นทางเดิน หากมีคราบไขมันจับให้ใช้น้ำผสมโซดาไฟราดลงบนพื้น หรือแผงทิ้งไว้นาน 15-30 นาที และใช้แปรงลวดถูเพื่อช่วยในการขจัดคราบไขมัน และขั้นที่ 2 การฆ่าเชื้อโรค โดยใช้น้ำผสมผงปูนคลอรีนใส่ลงในฝักบัวรดน้ำและรดบริเวณแผง เขียง ทางเดิน ทางระบายน้ำให้ทั่ว จากนั้นปล่อยทิ้งไว้เพื่อให้คลอรีนฆ่าเชื้อโรคและกำจัดกลิ่น สำหรับบริเวณที่มีกลิ่นคาวให้ใช้หัวน้ำส้มสายชูผสมน้ำให้เจือจางราดบริเวณที่มีกลิ่นคาว ส่วนบริเวณห้องน้ำ ห้องส้วม อ่างล้างมือ ที่ปัสสาวะและก๊อกน้ำสาธารณะที่ใช้ในตลาดต้องทำความสะอาด โดยใช้น้ำยาทำความสะอาดหรือผงซักฟอกช่วยและล้างด้วยน้ำสะอาด ทั้งนี้ ผู้ที่นำวัตถุดิบมาประกอบอาหารก่อนปรุงอาหาร ควรมีการล้างวัตถุดิบทุกครั้ง โดยเฉพาะผัก ซึ่งอาจมีการปนเปื้อนคราบดินต้องล้างด้วยน้ำสะอาด 2-3 ครั้ง ส่วนผักบางชนิด เช่น คะน้า กะหล่ำ ถั่วฝักยาว หากมีคราบขาวจับที่กาบใบ หรือฝักมากเกินไปให้ล้างน้ำหลายๆ ครั้ง หรือแช่น้ำปูนใสนาน 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาดก่อนจะนำไปปรุงประกอบอาหาร ควรรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่เสมอ และใช้ช้อนกลางทุกครั้งในการรับประทานอาหารร่วมกัน หากรับประทานอาหารนอกบ้านควรเลือกร้านอาหารผ่านการรับรองคุณภาพมาตรฐานร้าน อาหารสะอาด รสชาติอร่อย (Clean food good taste) และอย่าลืมล้างมือทุกครั้งก่อนและหลังรับประทานอาหารเสมอ. ไทยรัฐออนไลน์ 13 เมย 2555 5966
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / ป่วยฉุกเฉินรักษาฟรีไร้ปัญหา« เมื่อ: 13 เมษายน 2012, 23:41:06 »
นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงการจัดบริการผู้ป่วยฉุกเฉิน เพื่อลดความเหลื่อมล้ำของสิทธิประโยชน์ทั้ง 3 กองทุนสุขภาพ ซึ่งเริ่มใช้พร้อมกันในโรงพยาบาลทั่วประเทศทั้งรัฐและเอกชนเมื่อวันที่ 1 เม.ย.ว่า การให้บริการผู้ป่วยฉุกเฉินในวันแรกไม่พบปัญหาใด เพราะประชาชนมีความเข้าใจในการใช้บริการ และหน่วยให้บริการส่วนใหญ่ก็เข้าใจหลักการ คือ ให้การรักษาโดยไม่ทวงถามสิทธิและไม่ต้องจ่ายเงิน แต่จะมีปัญหาและสอบถามบ้างในส่วนของข้าราชการ เพราะก่อนหน้านี้ ไม่สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเอกชนได้ แต่ขณะนี้สามารถเข้ารับการรักษาได้หากเจ็บป่วยฉุกเฉินวิกฤติหรือเร่งด่วน ทั้งนี้ สธ.จะประเมินผลบริการรอบแรกในวันที่ 5 เม.ย เพื่อพัฒนาปรับปรุงระบบให้เกิดความคล่องตัว
นพ.ไพจิตร์กล่าวอีกว่า สำหรับการให้บริการ สธ.ได้บริหารจัดการ เป็น 4 ขั้นตอน คือ การจัดเตรียมห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล แพทย์ผู้รักษา สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ และศูนย์ประสานงานของ สธ. โดยจัดแพทย์เวชศาสตร์ฉุกเฉินเพื่อรอรับให้คำปรึกษา ทั้งนี้ ผู้ป่วยที่ใช้บริการห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลในสังกัด สธ.ทั่วประเทศ ร้อยละ 30 เป็นผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ และร้อยละ 70 เป็นผู้ป่วยฉุกเฉินด้านอายุรกรรมที่ทำให้เกิดการป่วยกะทันหัน. ไทยรัฐออนไลน์ 13 เมย 2555 5967
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / สธ.สั่งเตรียมพร้อมแพทย์-ยา รับผู้บาดเจ็บช่วงสงกรานต์« เมื่อ: 13 เมษายน 2012, 23:39:28 »
กระทรวงสาธารณสุข สั่งเตรียมพร้อมแพทย์-พยาบาล สำรองยา ดูแลผู้บาดเจ็บช่วงเทศกาลสงกรานต์ ป่วยฉุกเฉิน เข้าได้ทุกโรงพยาบาล ไม่ถูกถามสิทธิ์ รักษาทุกที่ ทั่วถึงทุกคน...
เมื่อวันที่ 12 เม.ย. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข ให้สัมภาษณ์การเตรียมความพร้อมให้การดูแลผู้บาดเจ็บในช่วงเทศกาลสงกรานต์ว่า รัฐบาลได้มีนโยบายในการป้องกันอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลสงกรานต์ เน้น 4 เรื่อง คือ 1.ไม่ให้ขับรถเร็ว 2.ให้สวมหมวกนิรภัย 3.คาดเข็มขัดนิรภัย และ 4.ไม่ดื่มสุรา ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขได้มีหนังสือสั่งการกำชับให้โรงพยาบาลทุกแห่งเตรียมความพร้อมดูแลช่วยเหลือผู้บาดเจ็บในเรื่องบุคลากร ทั้งแพทย์ พยาบาล ต้องอยู่เวรเต็มที่ 24 ชั่วโมง สำรองออกซิเจน เลือด และเตียงผู้ป่วย รวมทั้งออกไปตั้งหน่วยบริการร่วมกับจังหวัดในการดูแลประชาชนที่เดินทาง โดยเฉพาะในช่วงต้นและช่วงปลายเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งประชาชนเดินทางเป็นจำนวนมาก ได้สั่งการไปตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว ขณะนี้โรงพยาบาลทุกแห่งมีความพร้อม 100 เปอร์เซ็นต์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้โรงพยาบาลทุกแห่งได้เตรียมสำรองเตียงไว้ เช่น อาจจะเตรียมไว้ 5-10 เตียง ส่วนระบบการส่งต่อ จะมีศูนย์ส่งต่อที่โรงพยาบาลราชวิถี และกระทรวงสาธารณสุข ได้มีการเตรียมระบบการส่งต่อระหว่างโรงพยาบาลใน กทม. ปริมณฑล และต่างจังหวัด เพื่อสนองนโยบายของรัฐบาลในกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินถึงแก่ชีวิต ไม่ถูกถามสิทธิ์ รักษาทุกที่ ทั่วถึงทุกคน ซึ่งกระทรวงสาธารณสุขได้มีนโยบายร่วมกับ 3 กองทุน ให้ผู้ป่วยฉุกเฉินสามารถเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชน เพราะเป็นช่วงวิกฤติในช่วงเวลาสั้นๆ ส่งผลถึงเรื่องชีวิตและความพิการได้ ประชาชนจะได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการยิ่งได้รับประโยชน์มาก ขณะนี้ส่วนใหญ่ปัญหาที่พบคือ ประชาชนไม่เข้าใจคำว่าป่วยหนัก สำหรับโรงพยาบาลเอกชน เมื่อผู้ป่วยอาการคงที่ต้องส่งผู้ป่วยกลับไปโรงพยาบาลตามที่ผู้ป่วยมีสิทธิ์ในแต่ละกองทุน. ไทยรัฐออนไลน์ 13 เมย 2555 5968
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / กำชับทุกรพ.รับมืออุบัติเหตุ 24 ชม.เน้น 4 ถนนสายหลัก« เมื่อ: 13 เมษายน 2012, 23:36:30 »
รมว.สาธารณสุข กำชับทุกโรงพยาบาลพร้อมรับมืออุบัติเหตุ 24 ชม. โดยเฉพาะ 4 ถนนสายหลัก เอเซีย มิตรภาพ พหลโยธินและสุขุมวิท แนะคนขับรถง่วงอย่าฝืนขับเด็ดขาด...
เมื่อวันที่ 12 เม.ย. นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ว่า เทศกาลสงกรานต์ปี 2555 นี้ ซึ่งมีวันหยุดต่อเนื่อง 4 วัน ประชาชนจะออกเดินทางทั้งไปท่องเที่ยวและกลับภูมิลำเนาจำนวนมาก ทำให้มีอุบัติเหตุสูงกว่าช่วงปกติประมาณ 2 เท่าตัว ได้กำชับให้โรงพยาบาลในถนนสายหลัก ได้แก่ เอเซีย มิตรภาพ พหลโยธินและสุขุมวิท เตรียมทีมแพทย์ฉุกเฉินบริการตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากจะมีปริมาณรถมากกว่าปกติ โดยเพิ่มแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอุบัติเหตุทุกสาขา เสริมกับทีมแพทย์ทั่วไป เตรียมห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ห้องไอซียู เพิ่มเตียงรับผู้ป่วยขึ้นอีก 3 เท่าตัว สำรองคลังเลือดทุกกรุ๊ปประมาณ 3 เท่าตัว รวมถึงดูแลระบบการส่งต่อผู้ป่วย ทั้งโรงพยาบาลรัฐ/เอกชนให้มีประสิทธิภาพด้วย โดยประชาชนโทร.แจ้งขอความช่วยเหลือที่สายด่วน 1669 มีทั้งหมด 500 คู่สาย ตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งประชาชนจะได้รับบริการด้วยมาตรฐาน 3 เร็ว 2 ดี นายวิทยา กล่าวว่า ในวันที่ 12 เมษายนนี้ ประชาชนจะเริ่มทยอยเดินทางไปเที่ยวฉลองในเทศกาลสงกรานต์ในต่างจังหวัด ขอย้ำเตือนก่อนเดินทาง ขอให้เตรียมตัวล่วงหน้า โดยงดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเดินทาง 1 วัน และพักผ่อนให้เต็มที่อย่างน้อย 8 ชั่วโมง ห้ามกินยาที่ทำให้เกิดอาการง่วง เช่น ยาแก้แพ้ ลดน้ำมูก ยาแก้ไอ ยาคลายเครียด คลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น ขณะขับรถขออย่าประมาทและอย่าขับรถเร็ว คาดเข็มขัดนิรภัย/สวมหมวกนิรภัยทุกครั้ง และเมื่อดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แล้ว ห้ามขับรถอย่างเด็ดขาด เพราะระดับแอลกอฮอล์ในเลือด แม้จะต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดคือ 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ก็ตาม จะมีผลต่อการตัดสินใจช้ากว่าปกติ 2 เท่าตัว ด้าน นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ข้อมูลจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ช่วงเทศกาลสงกรานต์ปี 2554 ระบุว่า สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุดคือ เมาสุราพบร้อยละ 39 โดยมีพฤติกรรมเสี่ยงของผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจากการไม่สวมหมวกนิรภัยร้อยละ 33 พาหนะที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุเป็นรถจักรยานยนต์ถึงร้อยละ 81 ส่วนใหญ่ร้อยละ 58 เกิดในถนนสายตรง ส่วนถนนในหมู่บ้านพบร้อยละ 35 และบนทางหลวงพบร้อยละ 33 ทั้งนี้ ความปลอดภัยในชีวิตของผู้โดยสารรถ ขึ้นอยู่กับคนขับ หากมีอาการง่วง อย่าฝืนขับเด็ดขาดจะเสี่ยงต่อการหลับใน ขอให้จอดรถในที่ปลอดภัยเพื่องีบหลับ หรือสลับให้คนอื่นขับแทน ซึ่งผลของการง่วงนอน จะทำให้ประสาทสัมผัสทุกอย่างช้าลง การตัดสินใจผิดพลาด สมองสั่งการกล้ามเนื้อช้าลง เมื่อเกิดเหตุการณ์คับขันจึงแตะเบรกได้ช้ากว่าปกติ เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การหลับในเพียง 4 วินาที ก็อาจทำให้บาดเจ็บ เสียชีวิตได้ โดยหากรถวิ่งเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง และคนขับอยู่ในอาการหลับใน รถจะวิ่งต่อไปอีก 100 เมตร โดยที่ไม่มีคนควบคุมรถ หากชนกับสิ่งขีดขวาง ความรุนแรงของการพุ่งชน จะเทียบได้กับการตกตึกสูงถึง 10 ชั้น. ไทยรัฐออนไลน์ 13 เมย 2555 5969
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / สสส.-ก.พลังงาน จัดบริการจุดพักรถ แถมโปรแกรมนวดผ่อนคลายตามปั๊ม« เมื่อ: 12 เมษายน 2012, 21:59:45 »
สงกรานต์นี้คึกคัก สสส.จับมือ ก.พลังงาน รณรงค์ขับขี่ปลอดภัย กวดขันไม่ขาย-ไม่ดื่มสุรา พร้อมจัดบริการจุดพักรถ “ปั๊มปลอดภัย” ที่ปั๊ม ปตท.กว่า 180 แห่งทั่วประเทศ บริการนวดผ่อนคลาย แนะคนพร้อม-รถพร้อม ตรวจเช็กร่างกาย สภาพรถให้ดี เตือน!!! ขับรถทางไกล ควรพักทุก 2 ชั่วโมง หรือทุก 150 กม.หาก ง่วง เพลีย อย่าฝืนขับ
วันที่ 12 เมษายน ที่สถานีบริการน้ำมัน ปตท.สาขาสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (สุขุมวิท 64) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมกับ กระทรวงพลังงาน สำนักงานเครือข่ายลดอุบัติเหตุ มูลนิธิส่งเสริมอาชีพคนตาบอด มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทย มูลนิธิเพื่อเด็กพิการ และสถานีบริการน้ำมัน เชื้อเพลิงในเครือ ปตท.จัดโครงการรณรงค์ “ปั๊มปลอดภัย สงกรานต์ 2555” ภายใต้โครงการ “7 วัน 77 จังหวัด สงกรานต์ปลอดภัย” เพื่อรณรงค์ลดการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และลดอุบัติเหตุขณะเดินทางช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยมี นายวีระพล จิรประดิษฐกุล อธิบดีกรมธุรกิจพลังงาน กระทรวงพลังงาน เป็นประธานในพิธี พร้อมตรวจความพร้อมของจุดพักรถ และแจกสื่อรณรงค์สงกรานต์ปลอดภัย โดย นายวีระพล กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลสงกรานต์มีความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าช่วงเวลาปกติถึง 2 เท่า เห็นได้จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ปี 2554 มีอุบัติเหตุเกิดขึ้น 3,215 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 271 ราย บาดเจ็บ 3,476 ราย สาเหตุสำคัญ 4 อันดับแรก คือ ดื่มแล้วขับ ขับรถเร็วเกินกำหนด ไม่สวมหมวกนิรภัย และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ในเทศกาลสงกรานต์ ปี 2555 นี้ กระทรวงพลังงาน มีนโยบายให้ปั๊มน้ำมันทุกแห่งปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด คือ ไม่มีการจำหน่ายสุรา หรือดื่มสุราในสถานีบริการเชื้อเพลิงทุกแห่ง โดยได้รับความร่วมมือจาก ปตท.เอสโซ่ ปิโตรนาส คาลเท็กซ์ และ บางจาก ซึ่งขณะนี้มีสถานีบริการเชื้อเพลิง 4,000 แห่งทั่วประเทศ ร่วมรณรงค์เทศกาลสงกรานต์โดยเริ่มต้นจาก 7 วัน 77 จังหวัด สงกรานต์ปลอดภัย เพื่อนำสู่ “365 วันปลอดภัย” ทุกพื้นที่ “ปีนี้มีความพิเศษ คือ กระทรวงพลังงาน ร่วมกับ ปตท.จัดบริการ “ปั๊มปลอดภัย” กว่า 180 แห่งทั่วประเทศ ร่วมในโครงการ “สงกรานต์ปลอดภัย” เพื่อให้บริการแก่ผู้ใช้รถใช้ถนน ที่เหนื่อยล้าจากการขับรถ สามารถแวะพักผ่อน โดยปั๊มปลอดภัยจะติดไฟส่องสว่าง พร้อมจัดพื้นที่พักผ่อน บริการน้ำดื่ม ห้องน้ำสะอาดไว้บริการ และในปั๊มใหญ่ 4 แห่ง คือ สาขาสวัสดิการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สาขาบางปะอิน สาขาสระบุรี และ สาขานครชัยศรี จะจัดบริการนวดผ่อนคลายจากหมอนวดผู้พิการทางสายตา เพื่อบริการแก่ผู้ใช้รถใช้ถนนในการเดินทางกลับภูมิลำเนาได้อย่างปลอดภัย” นายวีระพล กล่าว ทพ.กฤษดา เรืองอารีย์รัชต์ ผู้จัดการ สสส.กล่าวว่า สสส.มีความห่วงใยผู้ใช้รถใช้ถนน โดยเฉพาะผู้ขับขี่รถยนต์ที่ต้องเดินทางไกล ขับขี่ต่อเนื่องเป็นเวลานานหลายชั่วโมง เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุ ผู้ขับขี่รถจะต้องเตรียมความพร้อมร่างกายก่อนการเดินทางให้ดี คือ 1.พักผ่อนให้เพียงพอ 2.ดูแลสุขภาพ 3.เตรียมยาประจำตัวและของใช้จำเป็น 4.งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และ 5.มีวินัยจราจร นอกจากนี้ ยังต้องตรวจเช็กความพร้อมของยานพาหนะ โดยทำได้ดังนี้ 1.ตรวจสอบสภาพรถให้พร้อม 2.อย่าลืมตรวจสภาพยางอะไหล่ 3.เตรียมอุปกรณ์สำคัญติดรถ เช่น สายพ่วงแบตเตอรี่ สายลากจูง และแม่แรง ฯลฯ ทั้งนี้ หากต้องขับรถทางไกล ควรหยุดพักเป็นระยะทุก 2 ชั่วโมง หรือทุก 150 กิโลเมตร เพื่อให้ทั้งคนและรถได้พัก หากรู้สึกเหนื่อยเพลีย ง่วง อย่าฝืนขับต่อไป ควรหยุดแวะพักที่ “ปั๊มปลอดภัย” มีบริการทั่วประเทศ ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 เมษายน 2555 5970
ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ / สปสช.โว 4 ปี จัดซื้อยา-เวชภัณฑ์จากระบบ VMI ประหยัดงบได้ 1.2 หมื่นล้านบาท« เมื่อ: 12 เมษายน 2012, 21:57:32 »
สปสช.เผยผลการดำเนินงานจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ร่วมด้วยระบบ VMI กับ อภ.ปี 51-55 พบ 4 ปี ช่วยประหยัดงบประมาณประเทศชาติได้ถึง 12,000 ล้านบาท
นพ.ประทีป ธนกิจเจิรญ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า หลังจากที่ สปสช.ได้ร่วมมือกับ องค์การเภสัชกรรม ตามนโยบายของรัฐบาลให้ดำเนินการจัดซื้อยาและเวชภัณฑ์ร่วม เพื่อพัฒนาการบริหารยาและเวชภัณฑ์ โดยระบบ VMI (Vendor Managed Inventory) นั้น พบว่า ผลการดำเนินงานตั้งแต่ปี 2551-มกราคม 2555 สามารถประหยัดงบประมาณค่าใช้จ่ายของประเทศได้ถึง 12,499 ล้านบาท และมีผลต่อเนื่องในการเพิ่มการเข้าถึงบริการให้แก่ประชาชนด้วย โดยมีรายละเอียดดังนี้ 1.หมวดอุปกรณ์และอวัยวะเทียมประหยัดได้ ประหยัดได้ 1,639 ล้านบาท ได้แก่ เลนส์แก้วตามเทียมชนิดพับได้ จากราคา 4,000 บาท จัดซื้อได้ 2,800 บาท, เลนส์แก้วตาเทียมชนิดพับไม่ได้ จาก 4,000 บาท จัดซื้อได้ 700 บาท, สายสวนเพื่อการขยายหลอดเลือดหัวใจด้วยบอลลูน จาก 20,000 บาท จัดซื้อได้ 10,000 บาท, สายสวนเพื่อการขยายหลอดเลือดโคโรนารีด้วยขดลวด จาก 30,000 บาท จัดซื้อได้ 5,600 บาท และสายสวนเพื่อการขยายหลอดเลือดโคโรนารีด้วยขดลวดเคลือบยา จาก 85,000 บาท จัดซื้อได้ 17,600 บาท 2.หมวดยา ประหยัดได้ 7,451 ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นยาที่ทำ CL ประหยัดได้ 6,092 ล้านบาท เช่น ยาโดซีแท็กเซล สำหรับรักษามะเร็งเต้านม จาก 28,355 บาท เมื่อทำ CL เหลือ 1,757 บาท, ยาโคลพิโดเกรล สำหรับรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดหัวใจ จากเม็ดละ 72.53 บาท เหลือ 0.928 บาท, ยาต้านไวรัสโลพินาเวียร์/ริโทรนาเวียร์ จาก 74 บาท เหลือ 13 บาท ขณะที่ยาที่ไม่ได้ทำ CL ประหยัดได้ 1,359 ล้านบาท เช่น ยาต้านไวรัสเออาร์วี จาก 22,412 บาท เหลือ 19,742 บาท, กลุ่มบัญชียา จ.2 จากการต่อรองราคายาจาก 135,251 บาท เหลือ 95,915 บาท เป็นต้น 3.หมวดผู้ป่วยไตวาย ประหยัดได้ 3,409 ล้านบาท ได้แก่ ยาอิริโธรโพรอิทิน (Erythropoietin) กระตุ้นการสร้างเม็ดเลือด จาก 671 บาท เหลือ 229 บาท, น้ำยาล้างไตทางช่องท้อง จาก 200 บาท เหลือ 105 บาท รองเลขาธิการ สปสช.กล่าวต่อว่า ราคาที่ลดลงจากการสั่งซื้อในปริมาณมาก และการลดต้นทุนจากเทคโนโลยีการบริหารจัดการพัสดุในระบบ VMI ซึ่งเข้าไปช่วยบริหารจัดการคลังยาและเวชภัณฑ์ของลูกค้าให้มีคลังยาและเวชภัณฑ์ที่เหมาะสม โดยการนำยาไปเติมเต็มให้เมื่อถึงจุดกำหนด การบริหารจัดการระบบนี้จะทำให้ รพ.ลดปริมาณการสำรอง และมียาใช้เพียงพอตลอดเวลา ได้รับยาที่ผลิตใหม่ ลดการสูญเสียจากการทำลายยาที่รพ.ส่งคืนยาที่หมดอายุ สามารถขยายจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับบริการได้มากขึ้น เนื่องจากมีการบริหารคลังยาที่มีประสิทธิภาพ โดยใช้งบประมาณเท่าเดิม ประเทศชาติลดการสูญเสียทรัพยากรจากการทำลายยาหมดอายุ รักษาสภาพแวดล้อม อันเนื่องจากมีการทำลายยาหมดอายุลดลง ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 เมษายน 2555 |