มาตรา 44บัญญัติไว้ว่าให้สำนักงานจัดให้มีการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการแล้วประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบ เพื่อดำเนินการลงทะเบียนเลือกเป็นหน่วยบริการประจำของตนตามมาตรา 6
การขึ้นทะเบียนหน่วยบริการและเครือข่ายหน่วยบริการ รวมทั้งวิธีการประชาสัมพันธ์ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขตามที่คณะกรรมการกำหนด
ส่วนการขึ้นทะเบียนหน่วยบริการนั้น คณะกรรมการก็สามารถกำหนดได้เอง ว่า จะให้ประชาชนไปที่หน่วยบริการไหนก็ได้ จะเปลี่ยนหน่วยบริการปีละกี่ครั้งก็ได้ เพื่อให้ประชาชนได้รับความสะดวกสบาย (ไปโรงพยาบาลไหนก็ได้ตามใจชอบ จะไปโรงพยาบาลปีละกี่ครั้งก็ได้ตามใจชอบ จะจ่ายเงินค่าบริการหรือไม่ก็ได้ตามใจชอบ) ซึ่งเป็นผลให้เกิดความลำบากในการทำงานของหน่วยบริการในการที่จะติดตามผลการรักษาของผู้ป่วย และอาจทำให้ผู้ป่วยเบิกยาไปใช้ซ้ำซ้อนกัน (ถือว่าไม่ได้ยึดหลักการแห่งความประหยัดและถูกต้อง)
การอ้างกฎหมายคือพระราชบัญญัติหลักประกันสุขภาพพ.ศ. 2545นี้ อาจทำให้ผู้อ่านเข้าใจยากหรือยากต่อการทำความเข้าใจอยู่บ้าง
แต่ผู้เขียน(ซึ่งก็ไม่ใช่นักกฎหมาย) ก็ต้องไปอ่านและพยายามทำความเข้าใจ เพื่อเอามาอ้างอิงในการวิพากษ์การทำงานของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพ และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ(สปสช.) ทั้งนี้ เพื่อแสดงว่าผู้เขียนมิได้มีอคติกับการดำเนินงานของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือสปสช.แต่ผู้เขียนได้วิพากษ์วิจารณ์ตามความเป็นจริงที่ได้เกิดขึ้นและกำลังดำเนินอยู่ ประกอบด้วยข้อกฎหมายและข้อเท็จจริง (Fact)
2.หลักคุณธรรม จะเห็นได้ว่า คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ได้ยึดหลักคุณธรรม ยกตัวอย่างเช่น กำหนดรายการยาให้ผุ้ป่วยเพียงบางชนิดเท่านั้น จนอาจทำให้ผู้ป่วยตายไปโยยังไม่สมควรตาย เช่น การบังคับให้ผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้ายทุกคน ต้องล้างไตทางหน้าท้องเป็นวิธีแรก ไม่เช่นนั้นต้องจ่ายเงินเอง ทำให้ผู้ป่วยที่ยอมรับการรักษาในโครงการนี้ มีอัตราตายสูงถึง 40 % และในบางศูนย์ก็มีอัตราตายถึง 100% แสดงว่าคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่ได้ยึดหลักคุณธรรมลึความถูกต้องในการกำหนดหลักเกณฑ์รักษาผู้ป่วยไตวายระยะสุดท้าย
3.หลักความโปร่งใส คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ยึดหลักความโปร่งใส ตรงไปตรงมา แต่ปกปิดและบิดเบือนข้อเท็จจริง โยการบอกประชาชนว่ารักษาทุกโรค” แต่ไม่ได้บอกความจริงทั้งหมดว่า บางโรคก็ไม่ให้ยาตามที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญต้องการให้ยาที่เหมาะสมที่สุด แต่กำหนดกฎเกณฑ์บังคับให้พทย์ใช้ยาเพียงบางอย่างเท่านั้น หรือสปสช.จัดซื้อยาที่ไม่มีคุณภาพมาตรฐาน ทำให้ผู้ป่วยไม่หายจากการเจ็บป่วยเนื่องจากเชื้อโรคดื้อยา (ดังที่กล่าวแล้วในตอนที่ 6)
ผู้เขียนขอยกตัวอย่างเปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆก็คือ สปสช.และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้โฆษณาประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบว่า ให้เงินแก่โรงพยาบาลไปจัดอาหารโธจีนไว้เลี้ยงประชาชน ให้ประชาชนไปกินอาหารชั้นยอดได้ที่ทุกโรงพยาบาลทั่วประเทศ แต่สปสช.จ่ายเงินให้โรงพยาบาลไม่เพียงพอที่จะไปซื้ออาหารชั้นยอดแบบโต๊ะจีนได้ โรงพยาบาลได้รับเงินแค่ไปซื้ออาหารข้างถนนที่มีฝุ่นละออก มลภาวะ ปนเปื้อนริมถนน ประชาชนไปเห็นก็ไม่พอใจ แต่ความหิวทำให้ต้องกินอาหารเหล่านั้น แต่กินแล้วก็เกิดท้องร่วงท้องเดิน ประชาชนก็ต้องด่าโรงพยาบาล เพราะประชาชนเชื่อตามที่สปสช.ให้ข้อมูลว่า “สั่งให้จัดโต๊ะจีน ไม่ใช่ให้จัดน้ำพริก/ข้าวแกงข้างถนนแบบที่โรงพยาบาลจัด” และโรงพยาบาลจะชี้แจงอย่างไร ประชาชนก็ไม่ยอมรับฟังและไม่ยอมเข้าใจ
4.หลักความมีส่วนร่วม คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ยอมรับฟังความคิดเห็นจากผู้ที่ต้องทำงานให้บริการสาธารณสุขแก่ประชาชนในระบบ 30 บาทเลย ทั้งไม่ยอมจัดการประชุมเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากผู้ให้บริการตามที่มีบัญญัติไว้ในกฎหมาย และยังไม่รับฟังจากรายงานของหน่วยบริการ และยัง “บิดเบือนข้อมูลของหน่วยบริการอีก” ว่า ไม่ได้ขาดเงิน แต่มีเงินบำรุงเหลือเยอะ และทำบัญชีไม่ได้มาตรฐานเหมือนบัญชีของร้านโชห่วย ฯลฯ การที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ยอมจัดประชุมเพื่อรับฟังความเห็นของผู้ให้ผู้ให้บริการและผู้รับบริการนอกจากจะผิดหลักนิติธรรม(ผิดกฎหมาย ใช้อำนาจตามอำเภอใจ)แล้วยังไม่ยึดหลักการมีส่วนร่วม และยังทำให้การบริการในระบบหลักประกันสุภาพไม่สามารถพัฒนามีคุณภาพมาตรฐานเพื่อความปลอดภัยของประชาชนอีกด้วย
แต่เงินที่สปสช.จ่ายให้แก่โรงพยาบาลหรือหน่วยบริการนั้นมันไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายจริงที่หน่วยบริการต้องจ่ายไปในการ “ให้บริการสาธารณสุข” ทำให้หน่วยบริการสาธารณสุขประสบปัญหาในการจัดหา ยา วัคซีน เวชภัณฑ์และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ทั้งนี้เนื่องจากคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่ได้จัดประชุมรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยบริการเพื่อกำหนด “ค่าใช้จ่าย”สำหรับหน่วยบริการให้เหมาะสมเพียงพอ
แต่แทนที่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจะไม่ยอมจัดประชุมรับฟังความคิดเห็นดังกล่าวแล้ว คณะกรรมการหลักฯและสปสช.ยังไม่ฟังเสียงสะท้อนจากหน่วยบริการที่ได้ปรากฏในสื่อมวลชนอย่างต่อเนื่องว่า หน่วยบริการยังมีเงินเหลือเฟือโดยการอ้างว่า “โรงพยาบาลมีเงินบำรุงเพิ่มขึ้น” และกล่าวหาว่าโรงพยาบาลจ่ายเงินตอบแทนบุคลากรมากขึ้นจึงทำให้เงินไม่พอ อ้างว่าระบบบัญชีโรงพยาบาลเชื่อถือไม่ได้ เหมือนบัญชีร้านโชห่วยบ้าง และไม่ประหยัดในการซื้อยาและเครื่องมือแพทย์บ้าง
ซึ่งโดยข้อกล่าวหาเรื่องการซื้อยาและอุปกรณ์ที่สปสช.กล่าวหาว่าโรงพยาบาลไม่ประหยัดนี้ ทำให้สปสช. “รวบอำนาจการซื้อยา อุปกรณ์ทางการแพทย์ วัคซีน และเวชภัณฑ์อื่นๆ “ มาทำเอง ซึ่งไม่ถูกต้องตามพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯ เพราะไม่ได้มีบทบัญญัติในพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติในมาตราใดๆเลยที่ให้สปสช.จัดซื้อเอง สปสช.มีหน้าที่ “จ่ายค่าบริการสาธารณสุขให้แก่หน่วยบริการเท่านั้น” แต่สปสช.ก็รวบอำนาจมาดำเนินการเอง เพราะมีเงินอยู่ในมือ และอ้างว่าสปสช.จัดซื้อประหยัดเงินงบประมาณไปถึง 4 พันล้านบาท
แต่สปสช.ก็จัดซื้อยา และเครื่องมือแพทย์ที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน เช่นการซื้อเล็นส์แก้วตาเทียม การซื้อสเต็นท์ (Stent) ที่ใช้รักษาผู้ป่วยเส้นเลือดหัวใจตีบ ที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่าไม่เหมาะสมและไม่ได้มาตรฐาน และเสียไปโดยไม่ได้ใช้อีกเป็นจำนวนมาก
รวมทั้งสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ก็ชี้ว่าสปสช.ได้ผลประโยชน์ตอบแทนโดยมิชอบจากองค์การเภสัชกรรม ที่จัดซื้อโดยผ่านองค์การเภสัชกรรม และซื้อยาขององค์การเภสัชกรรมอีกด้วย
ซึ่งผลการตรวจสอบบสปสช.ของสตง.นี้ได้เป็นข่าวแพร่หลายในสื่อมวลชนทั่วไป แต่คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ที่มีหน้าที่ตามม.19 ให้คณะกรรมการมีหน้าที่ควบคุมดูแลสำนักงานให้ดำเนินกิจการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ทุกเรื่อง รวมทั้งการควบคุมดำเนินงานและการบริหารงานทั่วไป ตลอดจนออกระเบียบ ข้อบังคับ ประกาศ หรือข้อกำหนดเกี่ยวกับการบริหารงานทั่วไป การบริหารบุคคล งบประมาณ การเงินและทรัพย์สิน การติดตามประเมินผล และการดำเนินอื่นของสำนักงาน
ซึ่งน่าจะถือว่า คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 19 นี้มานานแล้ว นับว่าผิดหลักนิติธรรมอีกด้วย
5.หลักความรับผิดชอบ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติไม่เคยออกมารับผิดชอบในสิ่งที่ตนกำหนดขอบเขตการรักษา มีแต่โฆษณาว่ารักษาทุกโรค ทั้งๆที่ความจริงมิได้เป็นเช่นนั้น เช่นการให้ยารักษามะเร็ง ก็กำหนดให้ใช้เพียงยาก. หรือข. แต่ยาค.หรือง.ที่มีประสิทธิภาพในการรักษาดีกว่า ทันสมัย และรักษาหาย คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพห่งชาติก็ไม่อนุญาตให้แพทย์ใช้รักษาผู้ป่วย เนื่องจากราคาสูงเกินไป สปสช.ไม่สามารถจ่ายให้ได้ แต่ถึงแม้ประชาชนจะยอมจ่ายเงินเอง สวปสช.ก็”บังคับให้โรงพยาบาลเอาเงินไปคืนให้ผู้ป่วย” และผู้ป่วยก็ไม่ได้รับยาจากโรงพยาบาล(เพราะโรงพยาบาลไม่มีเงินซื้อยา) และประชาชนก็ไปซื้อยาเองไม่ได้ เพราะเป็นยาควบคุมเฉพาะที่มีจำหน่ายในโรงพยาบาลเท่านั้น ทำให้ประชาชนขาดโอกาสในการรักษาและถูกละเมิดสิทธฺในการ “รับบริการสาธารณสุขที่มีมาตรฐาน”
เปรียบเทียบให้เข้าใจง่ายๆก็คือ รัฐบาลบอกให้ประชาชนเดินทางฟรีโดยไม่ต้องจ่ายเงิน แต่ให้เกินทางด้วยรถเมล์ร้อนเท่านั้น ใครจะไปรถปรับอากาศ หรือเครื่องบิน ก็ไม่ไห้ไป เพราะรัฐบาลไม่มีเงินจ่าย แต่ก็ไม่ยอมให้ประชาชนจ่ายเงินเองด้วย โดยไม่บอกให้ประชาชนทราบว่า แท้ที่จริงแล้วยังมีวิธีการเดินทางที่สะดวก สบาย และรวดเร็วกว่าเดินทางด้วยรถเมล์ร้อน ทำให้ประชาชนไม่สามารถเลือกการเดินทางได้
แสดงถึงความไม่สุจริต ไม่โปร่งใส และไม่รับผิดชอบการกระทำของตนเอง และละเมิดสิทธิประชาชน
6.หลักความถูกต้อง จะเห็นได้ว่าคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ได้ยึดหลักความถูกต้องในการบริหารงาน กล่าวคือคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาตินอกจากจะไม่มีความรู้ความเข้าใจในการบริการสาธารณสุขแล้ว ยังไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้ให้บริการซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในการรักษา แต่ใช้ “อำนาจในการถือสิทธิ์ที่มีเงินในมือ” กำหนดว่าจะรักษาผู้ป่วยตามโครงการพิเศษ (ที่เรียกว่า Vertical program หรือโครงการรักษาโรคเฉพาะ) และจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติมให้หน่วยบริการที่ร่วมรักษาผู้ป่วยในโครงการนั้นๆ ทำให้เงินงบประมาณที่ควรจะต้องจัดสรรให้แก่หน่วยบริการอื่นๆลดลงจนไม่เพียงพอที่จะจัดบริการที่มีคุณภาพมาตรฐานแก่ประชาชนได้
นอกจากนี้ คณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังไม่ดำเนินการสอบสวนลงโทษเลขาธิการสปสช. ที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินชี้ว่าบริหารสำนักงานและบริหารกองทุนผิดพลาดถึง 7 ประเด็น
และคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ยังมีคำสั่งให้เลขาธิการสปสช.มีอำนาจสั่งจ่ายเงินงบประมาณได้เองถึงครั้งละ 1,000 ล้านบาท โดยนำไปใช้ในการซื้อยาและเวชภัณฑ์ ทั้งๆที่ไม่ได้มีการกำหนดไว้ในพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพฯว่าให้สปสช.มีหน้าที่ซื้อยาและเวชภํณฑ์ นับเป็นการทำผิดกฎหมายอีกด้วย และคณะกรรมการหลักประกันฯยังไม่ตรวจสอบเลขาธิการสปสช.ที่เอาเงินกองทุนไปซื้อยาแล้วได้ผลประโยชน์ตอบแทน เอามาใช้จ่ายโดยมิชอบ ตามที่สตง.ชี้มูล
โดยสรุป บทความนี้ชี้ให้เห็นว่า การบริหารงานในการให้บริการสาธารณะด้านสาธารณสุขตามพ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติโดยคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ไม่ได้ยึดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี ไม่ยึดหลักนิติธรรม คุณธรรม ไม่มีความโปร่งใสตรงไปตรงมา ไม่ยึดหลักความถูกต้องความประหยัดและ ความรับผิดชอบ ทั้งๆที่มีหน้าที่บริหารกองทุนที่มาจากงบประมาณภาษีอากรของประชาชน ที่จะต้องยึดหลักธรรมาภิบาลเพื่อให้เกิดผลงานที่เหมาะสม เพื่อให้มีความปลอดภัยต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตของประชาชนจนทำให้เกิดมหันตภัยแก่สุขภาพ ความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตชองประชาชนดังกล่าวแล้ว
จึงสมควรที่ผู้บริหาร ประชาชน และผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ต้องรีบดำเนินการเพื่อยุติปัญหาการขาดหลักธรรมาภิบาลในการบริหารกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ของคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสปสช.โดยด่วน ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความปลอดภัยแก่ประชาชนในระบบ 30 บาทโดยทั่วถึงกัน
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.)
18 ก.ย. 55
เอกสารอ้างอิง
(1)
http://www.ocn.ubu.ac.th/service/luktam.pdf หลักธรรมาภิบาล
(2) พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545
(3) การสาธารณสุขไทยกับอุปสรรคทางกฎหมาย โดยนายสุกฤษฎิ์ กิติศรีวรพันธุ์ นบ. ป.บัณฑิตกฎหมายมหาชน ทนายความ จากหนังสือวารสารอาชีวเวชศาสตร์และสิ่งแวดล้อม ปีที่21 ฉบับที่ 4 ตุลาคม-ธันวาคม 2554 หน้า 20-22
(4) รายงานสถานการณ์เงินหน่วยบริการสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข จัดทำโดยกลุ่มประกันสุขภาพ แผนพัฒนาการคลังและเศรษฐกิจสุขภาพ สำนักงานปลัดกระทรวงสาธารณสุข ISBN 978-616-11-0439-9