งานวิจัยที่จัดทำโดยบริษัท มินเตล
พบว่า ผู้หญิงมากกว่าครึ่งกังวลกับปริมาณขนบนร่างกายตนเอง ซึ่งผู้ตอบแบบสอบถามผู้หญิงมากกว่า 2,000 คน ระบุให้การมีปริมาณขนมากผิดปกติ เป็นเรื่องน่ากังวลอันดับสองรองจากน้ำหนักตัว จนโดยเฉลี่ยแล้วผู้หญิง 1 ใน 10 มีปัญหาเรื่องขนตามร่างกาย
ดร.รีนา เดวิสัน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคต่อมไร้ท่อ จากโรงพยาบาลมหาวิทยาลัยวิปส์ครอส กรุงลอนดอน กล่าวว่า ปัญหาขนเยอะตามร่างกายมีสาเหตุหลักมาจากเชื้อชาติ และพันธุกรรมครอบครัวเป็นหลัก
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยอื่นๆ เช่น การกินอาหารไม่ถูกสุขลักษณะ หรือผลข้างเคียงจากยาบางชนิด รวมถึงอาการแทรกซ้อนของโรคบางอย่าง ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงมีปริมาณขนบนร่างกายเยอะผิดปกติได้
สาเหตุแรกสุดก็คือ การรับประทานขนมหวาน ที่มีส่วนประกอบเป็นน้ำตาลและคาร์โบไฮเดรตบริสุทธิ์มากเกินไป ไม่ว่าจะเป็นคุกกี้หรือเค้กก็ตาม เนื่องจากอาหารจำพวกนี้ส่งผลให้ร่างกายมีปริมาณน้ำตาลในเลือดสูง และอาจทำให้เกิดอาการร่างกายต้านอินซูลินได้
ดร.เดวิสันอธิบายว่า ตามปกติแล้วร่างกายมนุษย์ผลิตสารอินซูลินเพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด และหากร่างกายเราเกิดอาการต่อต้านอินซูลิน ก็จะทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลไม่มีประสิทธิภาพ จนร่างกายต้องผลิตอินซูลินเพิ่มเพื่อควบคุมน้ำตาล
"ปัญหาอยู่ที่ หากระดับสารอินซูลินในร่างกายมีสูงเกินไป ก็จะกระตุ้นให้รังไข่ผลิตฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน ซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศชาย นำไปสู่การมีปริมาณขนบนร่างกายมากขึ้น" มาริลิน เกลวิล ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพและโภชนาการผู้หญิง กล่าว
อีกสาเหตุหนึ่งมาจากโรคถุงน้ำรังไข่ชนิดหลายถุง (พีซีโอเอส) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากรังไข่ทำงานผิดปกติ เนื่องจากมีถุงซีสต์ห่อหุ้มชนิดหลายถุง (พีซีโอเอส) ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากรังไข่ทำงานผิดปกติ เนื่องจากมีถุงซีสต์ห่อหุ้มอยู่รอบรังไข่ และพบในผู้หญิงโดยเฉลี่ย 10-15% โรคนี้จะทำให้รังไข่ไม่สามารถตกไข่ได้ตามฤดูกาล ส่งผลให้ประจำเดือนไม่มา พร้อมกับทำให้มีลูกยากและเกิดสิวผิดวัย
นอกจากนี้ โรคพีซีโอเอสยังมีอาการแทรกซ้อนทำให้ผู้หญิงมีขนเยอะผิดปกติ เนื่องจากร่างกายจะผิดฮอร์โมนเพศชาย แอนโดรเจน สูงกว่าระดับปกติ ซึ่งจะกระตุ้นรูขุมขนให้ผลิตขนมากขึ้น
ดร.เดวิสันกล่าวว่า อาการแทรกซ้อนที่เกิดมาจากฮอร์โมนผิดปกติ มักจะทำให้เกิดขนขึ้นบนคาง ริมฝีปากบน ข้างใบหู หน้าอก และโคนขาด้านใน อีกทั้งขนที่ขึ้นส่วนใหญ่จะดำและหนา เนื่องจากรูขุมขนในบริเวณดังกล่าวอ่อนไหวต่อฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
ผู้ป่วยที่มีอาการผิวหนังจำพวกผิวหนังอักเสบเพราะภูมิแพ้ หรือเป็นโรคสะเก็ดเงิน ก็จะมีขนเยอะขึ้นเป็นอาการข้างเคียงเช่นกัน เนื่องจากโรคเหล่านี้ทำให้เลือดสูบฉีดในบริเวณที่เป็นโรค และเร่งการเจริญเติบโตของขนมากกว่าปกติ
ส่วนอีกสาเหตุหนึ่งมาจากผลข้างเคียงของการใช้ยา ดร.เดวิสันกล่าวว่า กรณีที่คนมักไม่ทันสังเกตก็คือ การสัมผัสร่างกายคู่รักที่ใช้ยากระตุ้นฮอร์โมนเพศชาย ซึ่งเธอชี้ว่าตัวยาเหล่านี้สามารถส่งผ่านถึงกันได้ผ่านการสัมผัส โดยเฉพาะบนใบหน้า
แครอล มิคาเอลิเดส แพทย์หนังศีรษะ ประจำคลินิกฟิลิป คิงส์ลี กรุงลอนดอน กล่าวว่า ยาอีกชนิดที่มีผลข้างเคียงเช่นกัน คือ ยาลดอาการยาอีกชนิดที่มีผลข้างเคียงเช่นกัน คือ ยาลดอาการผมร่วงประเภทรับประทาน ซึ่งอาจทำให้เกิด ขนบนบริเวณอื่นของร่างกายแทนได้ เพราะจะเพิ่มความดันเลือดของร่างกายให้สูงขึ้นกว่าปกติ
ดร.เดวิสันยังกล่าวอีกว่า ผู้ป่วยโรค อะนอเร็กเซียยังมีแนวโน้มที่จะมีขนบนร่างกายเยอะผิดปกติ แต่ขณะนี้วงการแพทย์ยังไม่สามารถยืนยันความเชื่อมโยงระหว่างกันได้ และไม่มีความเกี่ยวข้องกับความผิดปกติของฮอร์โมนแต่อย่างใดนอกจากนี้ ผลข้างเคียงจากสารสเตียรอยด์ เช่น การใช้ยาแก้แพ้ หรือยารักษาอาการหอบหืด เนื่องจากเป็นยาที่สังเคราะห์ขึ้นจากฮอร์โมนคอร์ติซอล ที่แม้ร่างกายจะผลิตเองตามธรรมชาติ การรับประทานต่อเนื่องติดต่อกัน 4-6 เดือน อาจทำให้เกิดผลข้างเคียง ทั้งมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น หน้าบวม และมีขนขึ้นตามร่างกาย ซึ่งโดยมากมักเกิดกับผู้ที่รับประทานยาที่มีสารประกอบประเภทสเตียรอยด์
ยิ่งไปกว่านั้น ผู้หญิงที่เข้าสู่วัยหมดรอบเดือนก็อาจมีปริมาณขนเพิ่มขึ้น เนื่องจากร่างกายหยุดผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจน ทำให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรน
เจน ทำให้ฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนในร่างกายมีความเด่นชัดแทน
อีกทั้งการรักษาอาการวัยหมดประจำเดือน ด้วยการเข้ารับการบำบัดระดับฮอร์โมน (เอชอาร์ที) ก็อาจยิ่งทำให้มีขนมากขึ้นกว่าเดิม หากการบำบัดใช้สารโปรเจสเตอโรนประเภทเทสโทสเตอโรน
ส่วนวิธีการกำจัดขนที่ไม่ต้องการ แครอล มิคาเอลิเดส เตือนว่า การกำจัดขนด้วยวิธีโกนและถอน นอกจากจะไม่แก้ปัญหาแล้ว ความเชื่อที่ว่าขนที่งอกออกมาอีกครั้งจะดกหนากว่าเดิมยังไม่เป็นจริง เนื่องจากขนที่ถูกกำจัดด้วยวิธีนี้อาจเกิดขดงอ และงอกฝังใต้ผิวหนังได้
ดร.เดวิสันแนะนำว่า วิธีการกำจัดขนที่ดีที่สุดคือการใช้เลเซอร์ แต่เนื่องด้วยราคาแพง และหากสาเหตุที่ทำให้เกิดขนปริมาณมากยังไม่ถูกแก้ ก็เป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์ เพราะไม่ใช่การแก้ไขที่ถาวร "หากปัญหามาจากระดับฮอร์โมน เราควรเข้ารับการรักษาก่อน ไม่เช่นนั้นแม้กำจัดขนได้ มันก็จะงอกกลับมาอีก".
ไทยโพสต์ 21 ธันวาคม 2554