3. ศาลจังหวัดพัทยา พิพากษาจำคุก อริสมันต์ พร้อม 12 แกนนำแดง 4 ปี ไม่รอลงอาญา คดีบุก รร.รอยัล คลิฟฯ ล้มการประชุมอาเซียน!
เมื่อวันที่ 5 มี.ค. ที่ศาลจังหวัดพัทยา จ.ชลบุรี ศาลได้อ่านคำพิพากษาคดีที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หรือคนเสื้อแดง ได้รวมตัวกันประท้วงและบุกโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา ซึ่งใช้เป็นสถานที่จัดการประชุมสุดยอดอาเซียนกับประเทศคู่เจรจา ที่ประเทศไทยได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเมื่อวันที่ 11 เม.ย.2552 โดยมีนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช.เป็นแกนนำในการชุมนุม
ทั้งนี้ นายอริสมันต์กับพวกรวม 15 คน จากจำเลยทั้งหมด 18 คน ได้เดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยศาลตัดสินจำคุกจำเลย 13 คน คนละ 4 ปี ไม่รอลงอาญา ข้อหาชุมนุมเกิน 10 คนขึ้นไป และ พ.ร.บ.จราจร ดำเนินการปรับ 200 บาท สำหรับจำเลยทั้ง 13 คน ประกอบด้วย 1.นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง 2.นายนิสิต สินธุไพร 3.นายพายัพ ปั้นเกตุ 4.นายวรชัย เหมะ 5.นายวันชนะ เกิดดี 6.นายพิเชฐ สุขจินดาทอง 7.นายศักดา นพสิทธิ์ 8. พ.ต.ท.ไวพจน์ อาภรณ์รัตน์ 9.นายนพพร นามเชียงใต้ 10.นายสำเริง ประจำเรือ 11.นายสมยศ พรมมา 12.นพ.วัลลภ ยังตรง 13.นายสิงห์ทอง บัวชุม นอกจากนี้ศาลได้ยกฟ้องจำเลย 2 คน คือ นายธงชัย ศักดิ์มังกร และ พ.ต.อ.สมพล รัฐบาล และสั่งพักคดี 3 คน คือ พ.ต.ท.เสงี่ยม สำราญรัตน์ ,นายสุรชัย แซ่ด่าน และ น.ส.อรวรรณ ไม่ทราบนามสกุล
ด้านนายคารม พลพรกลาง ทีมทนายความแกนนำคนเสื้อแดง เผยหลังยื่นขอประกันตัวแกนนำทั้ง 13 คนว่า ศาลชั้นต้นยังไม่อนุญาต โดยให้เป็นอำนาจของศาลอุทธรณ์ภาค 2 จ.ชลบุรีเป็นผู้พิจารณา โดยศาลเรียกหลักทรัพย์ในการขอปล่อยตัวชั่วคราวคนละ 670,000 บาท ซึ่งศาลอาจจะเพิ่มหลักทรัพย์หรือเท่าเดิมก็ได้ ขึ้นอยู่กับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ทั้งนี้ หลังศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว แกนนำคนเสื้อแดงทั้ง 13 คน ได้ถูกนำตัวไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษหนองปลาไหล จ.ชลบุรี
วันต่อมา(6 มี.ค.) ทนายความ นปช. เผยว่า ศาลอุทธรณ์ ภาค 2 มีคำสั่งออกมาแล้วให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยทั้ง 13 คน โดยตีราคาประกันคนละ 8 แสนบาท โดยไม่มีเงื่อนไขในการปล่อยตัว แต่ยังติดปัญหาที่วงเงินของจำเลยที่วางไว้กับศาลจังหวัดพัทยายังไม่เพียงพอในการทำสัญญาประกัน จึงต้องหาหลักทรัพย์เพิ่ม จำเลยทั้ง 13 คน จึงยังไม่ได้รับการปล่อยตัว ส่วนนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง 1 ในจำเลย ที่แม้จะวางหลักทรัพย์ไว้สูงถึง 2 ล้านบาท ก็ยังไม่ได้รับการปล่อยตัวเช่นกัน เนื่องจากต้องทำสัญญาประกันใหม่ ดังนั้น วันจันทร์ที่ 9 มี.ค. ทีมทนายความจะหาหลักทรัพย์เพิ่ม เพื่อมาวางต่อศาล ก่อนทำสัญญาประกัน
4. ภาครัฐ-ปชช.ถกปมสัมปทานปิโตรเลียมนัดแรก 2 ฝ่ายเห็นพ้องแก้ กม.3 ฉบับ ส่วนการบริหารจัดการปิโตรเลียม รอคุยครั้งหน้า!
ความคืบหน้าเกี่ยวกับการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 หลังที่ประชุมร่วม คสช.และ ครม.ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เป็นประธานเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ได้ข้อยุติว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการร่วมระหว่างภาครัฐและภาคประชาชนเพื่อหารือเรื่องแก้กฎหมายให้เป็นประโยชน์ต่อประเทศมากที่สุดก่อนแล้วค่อยเปิดสัมปทาน
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 6 มี.ค. ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุมนัดแรกระหว่างภาคประชาชนและภาครัฐ โดยตัวแทนภาคประชาชน นำโดย น.ต.ประสงค์ สุ่นสิริ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ,น.ส.รสนา โตสิตระกูล สปช. ,นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ อดีตโฆษกกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ขณะที่ภาครัฐ นำโดย นางบุญบันดาล ยุวนะศิริ รองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติ ซึ่งมาแทนอธิบดีกรมเชื้อเพลิงฯ เนื่องจากติดภารกิจที่ต่างประเทศ ,นายจำเริญ ยุติธรรมสกุล รองปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี
ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า รัฐบาลต้องการให้การประชุมนี้เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างกัน เพื่อร่วมกันเสนอนโยบายพลังงานที่ยั่งยืนของประเทศ โดยจะมีการนำผลการหารือไปประมวลและมอบหมายให้กระทรวงพลังงานเป็นผู้พิจารณา เพื่อประกอบเป็นนโยบายด้านพลังงานและเสนอนายกรัฐมนตรีต่อไป
ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลังหารือประมาณ 2 ชั่วโมง ที่ประชุมได้สรุปประเด็นการหารือ โดยข้อเสนอของภาคประชาชนเป็นการสานต่อจากมติที่ประชุมเมื่อวันที่ 20 ก.พ.ที่ผ่านมา คือ การทบทวนการจัดสรรทรัพยากรปิโตรเลียม ทบทวนโครงสร้างราคาก๊าซและน้ำมันสำเร็จรูป ทบทวนนโยบายเรื่องกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง และแก้ปัญหาผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนการแก้ไขกฎหมาย มีรายงานว่า ทั้งสองฝ่ายเห็นว่า จำเป็นต้องแก้ พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 , พ.ร.บ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 , กฎหมายเกี่ยวกับพลังงานและผลประโยชน์ทับซ้อน ส่วนการบริหารจัดการทรัพยากรปิโตรเลียม และผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สิทธิมนุษยชน และสุขภาวะอนามัยชุมชน ทั้งสองฝ่ายเห็นว่าจำเป็นต้องให้ภาคประชาชนและภาครัฐนั่งคุยกันเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุด โดยภาคประชาชนเสนอให้มีการพูดคุยในประเด็นต่อไปนี้ 1. เรื่องการจ้างสำรวจ จ้างผลิต และแบ่งปันผลผลิตเพิ่มเติมจากเงื่อนไขเดิมตาม พ.ร.บ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 2. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน และสิทธิของชุมชน 3. การบริหารจัดการแปลงสัมปทานที่จะหมดอายุในปี 2565 แปลงสัมปทานข้างเคียงแปลงสัมปทานเดิม และแปลงสัมปทานที่มีการคืนให้ภาครัฐแล้ว 4.พื้นที่ทับซ้อนทางทะเลในอ่าวไทย ระหว่างไทยและกัมพูชา
นอกจากนี้ภาคประชาชนยังขอให้มีการตั้งคณะทำงาน 3 คณะ แต่ละคณะมีองค์ประกอบฝ่ายละไม่เกิน 10 คน โดยตัวแทนเครือข่ายประชาชนปฏิรูปพลังงานไทย(คปพ.) 10 คน จะทำหน้าที่เป็นคณะผู้ประสานงาน ที่มาจากตัวแทนของอนุกรรมการที่ขอจัดตั้งขึ้นทั้ง 3 ฝ่าย เพื่อเข้าหารือถึงการตั้งคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการ ที่ปรึกษา คณะทำงานร่วมภาครัฐและประชาชน ในการเดินหน้าปฏิรูปพลังงานไทยเพื่อคนไทย
ด้าน น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ หัวหน้าตัวแทนภาคประชาชน พูดถึงบรรยากาศในการประชุมว่า เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ทุกฝ่ายพยายามช่วยกันหาข้อสรุปและทางออกร่วมกัน และเชื่อมั่นว่า ข้อสรุปที่ได้ จะถูกนำเสนอถึงนายกรัฐมนตรีโดยเร็ว ซึ่งหากนายกรัฐมนตรีมีความเห็นอย่างไร จะมีการแจ้งกลับมายังภาคประชาชนอีกครั้ง
ขณะที่นางบุญบันดาล ยุวนะศิริ รองอธิบดีกรมเชื้อเพลิงพลังงาน กล่าวว่า ตนจะรับข้อสรุปไปเสนอนายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน และนายอารีพงษ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงพลังงาน ให้รับทราบว่าจะต้องดำเนินการต่อไปอย่างไรบ้าง
5. กองปราบฯ เตรียมหอบสำนวนคดี สจล. 8 พันหน้าส่งฟ้อง 14 ผู้ต้องหา 9 มี.ค. ด้าน บอย ปกรณ์ ส่งมอบรถหรูลัมโบร์กินีให้ ปปง.แล้ว!
ความคืบหน้าคดียักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) กว่า 1,500 ล้านบาท เมื่อวันที่ 6 มี.ค. พ.ต.อ.ณษ เศวตเลขรอง ผู้บังคับการปราบปราม ได้เรียกประชุมคณะพนักงานสอบสวนเพื่อตรวจสอบความเรียบร้อยของสำนวนคดี และให้พนักงานสอบสวนในคดีร่วมลงชื่อ ก่อนสรุปสำนวนส่งฟ้องต่ออัยการศาลจังหวัดมีนบุรีภายในวันที่ 9 มี.ค.นี้ พ.ต.อ.ณษ เผยว่า สำนวนคดีมีอยู่ทั้งหมด 24 แฟ้ม หนากว่า 8,000 หน้า ทางพนักงานสอบสวนมีความมั่นใจว่า สำนวนคดีมีความแน่นหนามากพอที่จะดำเนินคดีผู้ต้องหาทั้งหมดได้
สำหรับผู้ต้องหาที่พนักงานสอบสวนพิจารณาสั่งฟ้องมีทั้งหมด 14 ราย ประกอบด้วย นายทรงกลด ศรีประสงค์ ,น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ ,นายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์ ,นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการ ,นางสมบัติ โสประดิษฐ์ ,น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์ ,นางระดม มัทธุจัด ,นายภาดา บัวขาว ,นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ,นายสมพงษ์ สหพรอุดมการ ,นายธวัชชัย ยิ้มเจริญ ,ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา ,นายศรุต ราชบุรี และ ผศ.ดร.สรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ โดยมีผู้ต้องหา 3 คนที่ยังหลบหนีอยู่ คือ นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด หลบหนีอยู่ต่างประเทศ ส่วนนายสมพงษ์ สหพรอุดมการ และนายธวัชชัย ยิ้มเจริญ ตำรวจเชื่อว่าหลบหนีอยู่ในประเทศ
ส่วนกรณีที่ ศ.ดร.ถวิล พึ่งมา 1 ในผู้ต้องหาคดีนี้ เข้าร้องทุกข์ต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน โดยระบุว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการสอบสวนดำเนินคดีของพนักงานสอบสวน เนื่องจากยังมีอดีตอธิการบดีที่ดำรงตำแหน่งทั้งก่อนและหลังจากตนที่เกี่ยวข้องกับคดีด้วยนั้น พ.ต.อ.กรไชย คล้ายคลึง รองผู้บังคับการปราบปราม ยืนยันว่า พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการตามขั้นตอนครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว หากทาง ศ.ดร.ถวิล พบว่า ยังมีผู้กระทำความผิด ก็ขอให้นำหลักฐานมายืนยัน ตำรวจยินดีจะดำเนินการให้ แต่อย่ากล่าวอ้างลอยๆ หรือทำตามคำแนะนำของทนายความเพื่อแก้เกี้ยวเท่านั้น
ส่วนความคืบหน้าการยึดอายัดทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิดในคดียักยอกเงิน สจล. ซึ่งมีรถหรูลัมโบร์กินีที่นายปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ หรือ บอย นักแสดงชื่อดัง ซื้อต่อจากนายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด ผู้ต้องหาในคดีนี้ ในราคา 13 ล้านบาทด้วยนั้น เมื่อวันที่ 5 มี.ค. พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.) เผยว่า นายปกรณ์ ได้นำรถคันดังกล่าวมาส่งมอบให้ ปปง.แล้ว ตามที่คณะกรรมการธุรกรรมได้มีคำสั่งยึด เนื่องจากเป็นทรัพย์สินที่นายกิตติศักดิ์นำเงินจากการลักทรัพย์ สจล.ไปซื้อไว้แล้วนำมาขายต่อ
พ.ต.อ.สีหนาท ยังชี้แจงด้วยว่า นายปกรณ์เป็นผู้ซื้อรถต่อจากนายกิตติศักดิ์ คณะกรรมการธุรกรรมจึงมีมติให้ยึดรถ แต่ไม่ดำเนินคดีนายปกรณ์ เนื่องจากเป็นการซื้อทรัพย์โดยไม่รู้ข้อเท็จจริงว่าเป็นทรัพย์ที่ได้จากการกระทำความผิด สำหรับรถคันดังกล่าวขณะนี้เก็บรักษาไว้ที่ ปปง. และยังไม่ได้รับการติดต่อจากนายปกรณ์ ว่าจะนำเงินมาวางเพื่อนำรถกลับไปใช้หรือไม่
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 มีนาคม 2558