หลายท่านอาจจะยังไม่ทราบว่า กฎกระทรวงกำหนด หลักเกณฑ์และวิธีการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุข ที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิต หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย พ.ศ.2553 ได้มีการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 127 ตอนที่ 65 ก วันที่ 22 ตุลาคม 2553
โดยที่ข้อที่ 1 ของกฎกระทรวงดังกล่าว ระบุว่า กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับเมื่อพ้นกำหนดสองร้อยสิบวัน นับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป อันหมายความว่า กฎหมายฉบับนี้จะยังไม่ใช้บังคับจนกว่าจะครบ 210 วัน นับจากวันที่ 22 ต.ค.53
สาระสำคัญของกฎกระทรวงฉบับนี้ น่าจะอยู่ที่เรื่องของหนังสือแสดงเจตนาล่วงหน้า ในเรื่อง 1.ไม่ประสงค์จะรับบริการสา ธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือ 2.เพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วย
เหตุผลในการประกาศใช้กฎกระทรวงฉบับนี้ คือ โดยที่มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 บัญญัติให้บุคคลมีสิทธิ์ทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขที่เป็นไปเพียงเพื่อยืดการตายในวาระสุดท้ายของชีวิตตน หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยได้ โดยการดำเนินการตามหนังสือแสดงเจตนาดังกล่าว ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่กำหนดในกฎกระทรวง จึงจำเป็นต้องออกกฎกระทรวงนี้
ถ้าดูจากเหตุผลในการประกาศใช้กฎหมายฉบับนี้คงทำให้เข้าใจได้ว่า กฎหมายสุขภาพแห่งชาติ ให้สิทธิ์บุคคลในการทำหนังสือแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับบริการสาธารณสุขเพื่อยืดเวลาการตาย หรือเพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยก็ตามที มันก็หมายถึง การให้ผู้ป่วยเต็มใจทำหนังสืออนุญาตให้แพทย์ยุติการรักษาในลักษณะยืดเวลาการตาย หรือปฏิเสธการรับบริการด้วยตนเอง เพื่อยุติการทรมานจากการเจ็บป่วยนั่นเอง
ณ เวลานี้แล้ว แม้บางท่านบางคนอาจจะไม่สบายใจหรือไม่เห็นด้วยกับวิธีการดำเนินการตามกฎกระทรวงฉบับนี้ ก็คงทำอะไรไม่ได้มากเพราะกฎหมายได้มีการประกาศใช้แล้ว เพียงแต่รอเวลาในการบังคับใช้ แต่สิ่งหนึ่งที่เป็นปัญหาคาใจ ซึ่งผู้ที่เกี่ยวข้องสามารถดำเนินการได้ก็คือ การดำเนินการตามกฎหมายที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมาย และการถือเจตนาของบุคคลที่ได้ทำหนังสือแสดงเจตนาโดยปราศจากแรงบีบคั้น จะสามารถทำได้จริงมากน้อยเพียงใด
ความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้สำหรับสังคมไทยก็คือ ปัญหาคาใจในการรับบริการสาธารณสุขของบ้านเรา มาจากปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล กับปัญหาในเรื่องคุณภาพของการบริการ สองปัญหานี้นั้นน่าจะถือว่าเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับบริการสาธารณสุขในบ้านเรา
ดังที่จะเห็นได้ว่า ปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ก็ได้เคยเป็นวาระในการหาเสียงเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ดังเช่น กรณีโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค หรือแม้จะเป็นโครงการของรัฐบาลปัจจุบัน ที่บอกว่า 30 บาทก็ไม่ต้องจ่าย ก็ล้วนแล้วแต่เป็นนโยบายที่ใช้ชูโรงหาเสียง ในประเด็นเรื่องรายจ่ายของพี่น้องประชาชนจากการรับบริการสาธารณสุขทั้งสิ้น
แต่ความจริงที่มิอาจปฏิเสธได้ก็คือ แม้ชาวบ้านพี่น้องประชาชนทั้งหลายจะไม่ต้องจ่ายเงิน เวลาไปรับบริการสาธารณสุขจากโรงพยาบาลของรัฐ ในกรณีของผู้ที่ใช้บัตรทอง แต่คุณภาพในการให้บริการ ที่เริ่มต้นตั้งแต่การรอรับบัตรคิวในโรงพยาบาล เพื่อที่จะได้รับการรักษาจากแพทย์ ซึ่งต้องรอคอยเป็นระยะเวลายาวนาน รวมถึงอัธยาศัยใจคอจากบุคลากรทางการแพทย์สายสนับสนุน ทั้งจากพยาบาลหรือผู้ช่วยพยาบาล แม้ปัจจุบันจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนบ้าง แต่ก็ยังเชื่อว่าไม่สามารถตอบโจทย์การรักษาพยาบาลที่ดีที่สุดแก่ประชาชนได้
จากจำนวนพี่น้องประชาชนที่เข้ารับบริการสาธารณสุขที่มีมากขึ้นทุกวัน ทำให้เตียงนอนในโรงพยาบาลของรัฐหลายแห่งไม่เพียงพอต่อการรองรับผู้ป่วย ทำให้การขอเตียงนอนในโรงพยาบาลของรัฐ สำหรับประชาชนธรรมดาที่ไม่มีเส้นสาย อาจดูเป็นเรื่องที่ลำบากยากเย็น การดูแลรักษาแบบประคับประคองในห้องพยาบาล ICU ของโรงพยาบาลรัฐบางแห่งก็มีให้เห็นกันมาตั้งนานแล้ว เด็กบางคนป่วยแค่โรคไส้ติ่งอักเสบยังถึงขั้นเสียชีวิตเลย ด้วยเพราะต้องรอให้แพทย์ พยาบาล ที่มีงานล้นมือมาดูอาการ
ในส่วนนิยาม ความหมายในกฎหมายฉบับนี้เอง ก็อาจทำให้เกิดปัญหาคาใจอยู่ได้เหมือนกัน อาทิ คำว่า การทรมานจากการเจ็บป่วย อันหมายความว่า "ความทุกข์ทรมานทางกายหรือทางจิตใจของผู้ทำหนังสือแสดงเจตนา อันเกิดจากการบาดเจ็บหรือจากโรคที่ไม่อาจรักษาให้หายได้" นิยามนี้มันหมายถึงอะไร อย่างโรคบางอย่างที่คนรวยเป็น เช่น โรคเบาหวาน หรือโรคความดันโลหิตสูง หรือโรคมะเร็ง ถ้าคนรวยที่มีฐานะได้รับบริการสาธารณสุขที่มีคุณภาพ เขาก็อาจมีชีวิตที่ยืดยาวไปได้อีกซักระยะหนึ่ง จนกว่าจะสู้โรคภัยไม่ไหวและจากโลกนี้ไปเอง
แต่คนจนล่ะครับ คนมีเงินน้อย หรือคนที่ฐานะปานกลาง ที่เป็นมนุษย์เงินเดือน โอกาสที่จะได้รับบริการสาธารณสุขที่ดีจากโรงพยาบาลเอกชนเฉกเช่นคนมีฐานะ คงมีน้อยหรือแทบไม่มีโอกาสเอาเสียเลย ความทุกข์ทรมานทางจิตใจอันมาจากสภาพบีบคั้นทางเศรษฐกิจ อาจจะเป็นตัวเร่งชั้นดีที่ทำให้ผู้ป่วยยอมตายจากโลกนี้ไป ดีกว่าอยู่เป็นภาระให้กับบุคคลในครอบครัว ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้นจริง หนังสือแสดงเจตนาตามกฎกระทรวงนี้ ก็คงไม่ต่างอะไรกับหนังสือขอลาตายที่ทำได้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยที่แพทย์ พยาบาลไม่ต้องคิดมากหรือไม่สบายใจ หรือต้องรู้สึกขัดแย้งกับมโนธรรม หรือจิตใต้สำนึกแห่งหลักปฏิบัติโดยทั่วไปที่แพทย์พยาบาลจะต้องช่วยชีวิตผู้ป่วยให้ถึงที่สุด
เรื่องนี้จึงอาจกลับกลายเป็นเรื่องทำนองว่า "คนไข้อยากตายเอง ไม่ใช่ความผิดหมอที่ไม่รักษา" จริงอยู่แม้ในอีกแง่มุมหนึ่ง อาจเคยมีกรณีที่นักร้องลูกทุ่งชื่อดังที่ป่วยเป็นมะเร็งตับขอใช้สิทธิ์ตาย โดยได้แสดงความประสงค์กับคนในครอบครัวและแพทย์ว่า ไม่ต้องการใส่ท่อช่วยหายใจ การปั๊มหัวใจ หรือใช้เครื่องกระตุ้นหัวใจ หรืออื่นใด ซึ่งกรณีเช่นนี้หากเป็นความประสงค์ของผู้ป่วยเอง ก็คงเป็นสิทธิ์ของผู้ป่วยที่ต้องเลือกตัดสินใจด้วยตัวของตัวเอง ซึ่งหากมีกฎหมายลักษณะเช่นนี้รองรับ ก็จะทำให้แพทย์ พยาบาล สบายใจมากขึ้น
จริงอยู่ แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 35 จะระบุว่า บุคคลย่อมมีสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกาย แต่ในขณะเดียวกัน มาตรา 51 ก็ระบุว่า "บุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขที่เหมาะสมและได้มาตรฐาน..." ซึ่งถ้าตราบใดการรับบริการสาธารณสุขจากรัฐ ยังมีปัญหาในเรื่องงบประมาณต่อหัวที่โรงพยาบาลจะได้รับ ย่อมส่งผลต่อคุณภาพการรักษาพยาบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะเป็นการรักษาพยาบาลตามเงินที่ได้รับ แล้วอย่างนี้บุคคลจะย่อมมีสิทธิ์เสมอกันในการรับบริการสาธารณสุขได้อย่างไร ถ้าตราบใดที่ยังมีปัญหาเรื่องเงิน มีตัวตั้งอยู่ในระบบการรักษาพยาบาล
ฉะนั้น ทางเลือกของผู้ป่วยในลักษณะเช่นนี้ จึงไม่อยากมองว่าเป็นเรื่องความก้าวหน้าในกฎหมายไทยแต่อย่างใด ถ้าตราบใดประเทศไทยยังมีปัญหาในเรื่องการขอรับบริการสาธารณสุข ที่เอาเงินเป็นตัวตั้งแล้วคุณภาพการรักษาถึงจะตามมา ทางเลือกที่ต้องการจากไปอย่างสงบและตามธรรมชาติเช่นนี้ ควรจะต้องใช้อย่างจำกัด และควรใช้เฉพาะผู้ป่วยที่ได้เข้ารับการรักษาพยาบาลมาซักระยะหนึ่ง โดยที่แพทย์ พยาบาล ได้ช่วยอย่างเต็มที่ โดยการสนับสนุนงบประมาณจากภาครัฐ แต่ถ้าไม่ไหวแล้วจริงๆ ทางเลือกนี้ก็คงอาจเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ที่ให้ผู้ป่วยหรือญาติได้มีสิทธิ์เลือกใช้
ท้ายสุดนี้ หลังจากกฎหมายฉบับนี้มีผลใช้บังคับแล้ว ภาพที่น่ากลัวสยดสยองก็คือ หากมีผู้ป่วยอาการโคม่าเข้ารับการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลรัฐ คงจะไม่ปรากฏภาพการยื่นหนังสือแสดงเจตนาให้ญาติลงนามไว้ก่อนเข้ารับการรักษานะครับ แม้จะอธิบายด้วยเหตุผลร้อยแปดอย่างใด บุคลากรทางการแพทย์ก็ไม่ควรเข้าไปอำนวยความสะดวก หรือจัดแจงให้เองดังเช่นที่เขียนเปิดช่องไว้ในกฎหมาย เพราะมันจะทำให้เกิดปัญหาคาใจเปล่าๆ ให้ความรู้ผู้ป่วยและญาติของผู้ป่วยทางสื่อต่างๆ ก่อน และให้เขาคิดเองเถอะครับ เพราะชีวิตที่จะบอกให้เขาเลือกตายมันเป็นของผู้ป่วยนะครับ.
ไทยโพสต์ 8 พฤษภาคม 2554