แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - story

หน้า: 1 ... 383 384 [385] 386 387 ... 535
5761
1. ศาล รธน.มีมติ 7 ต่อ 1 ให้ “จตุพร” พ้น ส.ส. เหตุขาดคุณสมบัติลงสมัครรับเลือกตั้ง ด้าน ปชป. เล็งยื่นยุบ “เพื่อไทย”!

       เมื่อวันที่ 18 พ.ค. องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ได้อ่านคำวินิจฉัยกรณีประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ว่าสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106(4) ประกอบมาตรา 101(3) หรือไม่ เนื่องจากนายจตุพรไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.เมื่อวันที่ 3 ก.ค.2554 เพราะอยู่ระหว่างถูกคุมขังโดยหมายของศาล
       
       ทั้งนี้ นายจตุพร พร้อมด้วยแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) หลายคนได้เดินทางมาฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีกลุ่มคนเสื้อแดงเดินทางมาให้กำลังใจกว่า 100 คน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนอ่านคำวินิจฉัย นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ได้แจ้งว่า การวินิจฉัยครั้งนี้ นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ขอถอนตัวจากองค์คณะ เนื่องจากภรรยาของนายจรัญมีคดีพิพาทกับนายจตุพร ซึ่งศาลอนุญาตให้นายจรัญถอนตัว ส่งผลให้องค์คณะเหลือเพียง 8 คน
       
       จากนั้นองค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัยสรุปว่า นายจตุพรถูกคุมขังโดยหมายของศาลในคดีอาญา กรณีร่วมกันชุมนุมฝ่าฝืนข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.2554 และไม่ได้รับอนุญาตจากศาลอาญาให้ปล่อยตัวชั่วคราว นายจตุพรจึงไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ส.ส.ในวันที่ 3 ก.ค.2554 ทั้งนี้ องค์คณะฯ เห็นว่า การที่นายจตุพรไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง จัดว่าอยู่ในข่ายเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 100(3) คือถูกคุมขังโดยหมายของศาลหรือคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย
       
       นอกจากนี้การที่นายจตุพรถูกคุมขังตั้งแต่ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะส่งรายชื่อนายจตุพรลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.ในระบบบัญชีรายชื่อ ย่อมส่งผลให้นายจตุพรขาดจากความเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 101(3) ระบุว่า ผู้มีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งได้ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งไม่น้อยกว่า 90 วันจนถึงวันเลือกตั้ง ดังนั้นเมื่อความเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยของนายจตุพรสิ้นสุดลง เพราะถูกคุมขังโดยหมายของศาล จึงทำให้นายจตุพรขาดคุณสมบัติที่จะลงสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งส่งผลให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายจตุพรสิ้นสุดลงด้วยตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106(4) ด้วยเหตุนี้ องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จึงได้มีมติ 7 ต่อ 1 ให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของนายจตุพรสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106(4) ประกอบมาตรา 101(3) นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัย
       
       สำหรับตุลาการเสียงข้างน้อย 1 เสียงที่เห็นว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายจตุพรไม่สิ้นสุดลง ก็คือ นายชัช ชลวร โดยเห็นว่า การสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส.ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ไม่สามารถนำกฎหมายอื่นที่มีศักดิ์ต่ำกว่ามาพิจารณาได้ อีกทั้งเมื่อ กกต.ประกาศผลการเลือกตั้งไปแล้ว ถือว่า กกต.ไม่มีอำนาจวินิจฉัยชี้ขาดคุณสมบัติของนายจตุพรแล้ว
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่า คนเสื้อแดงที่มาให้กำลังใจนายจตุพร ไม่พอใจ ต่างพากันส่งเสียงโห่ร้องและตะโกนด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ ขณะที่นายจตุพรน้ำตาคลอเบ้า พร้อมกับบอกว่า วันนี้ตนต้องเก็บความรู้สึกที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม และยอมรับในชะตากรรมของตัวเอง ทั้งนี้ นายจตุพร ได้แถลงข่าวเปิดใจในเวลาต่อมา โดยพูดทำนองตำหนิ กกต.และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วย “ผมได้ทำใจมาตั้งแต่ต้น ถ้าพี่น้องจำความกันได้ว่า ในวันที่ กกต.มีมติแขวนผม ซึ่ง กกต.ชุดเดียวกันนี้ เป็น กกต.ชุดที่รับรองผมเป็นคนสุดท้าย แล้วก็แขวนผมเป็นคนแรก และก็เป็น กกต.ชุดเดียวกับที่รับรองว่าผมมีคุณสมบัติถูกต้องในการเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้ง เมื่อ กกต.มีมติที่จะแขวนผม แล้วส่งเรื่องไปยังประธานรัฐสภา เพื่อให้ประธานรัฐสภาส่งเรื่องต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ ผมเนี่ยตอบชะตากรรมผมได้ทันทีว่า ในศาลรัฐธรรมนูญนั้น มีผู้พิพากษาองค์คณะอยู่ 9 คน ได้เกลียดผมถึง 10 คน”
       
       ทั้งนี้ หลังตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 1 ให้นายจตุพรพ้นจากการเป็น ส.ส. เพราะเข้าข่ายเป็นบุคคลต้องห้ามลงสมัครรับเลือกตั้ง เนื่องจากขาดจากการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย จากการถูกคุมขังโดยหมายของศาล ปรากฏว่า นายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ได้ออกมาชี้ว่า การที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้รับรองว่านายจตุพรเป็นสมาชิกของพรรคเพื่อไทย จึงถือว่าเป็นการรับรองเท็จ เข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา และพรรคเพื่อไทยได้ประโยชน์ เพราะนายจตุพรได้เป็น ส.ส. ดังนั้นเมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นนี้ พรรคเพื่อไทยก็อาจถูกยุบพรรคได้ เพราะให้การรับรองนายจตุพรเป็นเท็จ และว่า ขณะนี้ทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์กำลังพิจารณาคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญอย่างเป็นทางการอีกครั้ง จากนั้นจะยื่นต่อ กกต.เพื่อยุบพรรคเพื่อไทยเป็นครั้งที่ 3
       
       ขณะที่นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเตือนนายจตุพรว่า หากขึ้นเวทีปราศรัยของคนเสื้อแดงในงานรำลึก 2 ปีเหตุการณ์สลายการชุมนุมที่แยกราชประสงค์ในวันที่ 19 พ.ค.ระวังจะถูกถอนประกัน เพราะผิดเงื่อนไขการประกันตัวในคดีก่อการร้าย ที่ศาลสั่งห้ามเข้าร่วมชุมนุมหรือปลุกระดมทางการเมือง
       
       2. สภาถกแก้ รธน.วาระ 2 จบแล้ว -5 มิ.ย.ลงมติวาระ 3 ด้าน ปชป. เตรียมยื่นผู้ตรวจการฯ ตีความ!

       เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ได้มีการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 2 ต่อเป็นวันที่ 15 โดยก่อนประชุม กรรมาธิการ(กมธ.) เสียงข้างน้อยได้สงวนคำแปรญัตติโดยขอเพิ่มมาตรา 291/18 ถึง 291/26 จากร่างของ กมธ.ที่มีมาตราย่อยเพียงแค่ 291/17 เท่านั้น
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า มาตราที่ กมธ.เสียงข้างน้อยเสนอให้เพิ่มขึ้นมา มีประเด็นที่น่าสนใจ ได้แก่ มาตรา 291/18 ซึ่งเสนอให้การจัดทำร่างรัฐธรรมนูญของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) ต้องไม่มีผลกระทบต่อองค์กรอิสระและองค์กรตามรัฐธรรมนูญที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ 2550 และการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ของ ส.ส.ร. ต้องไม่จัดทำในลักษณะให้มีผลย้อนหลังไปลบล้างข้อกล่าวหาหรือลบล้างความผิดใดใด ที่องค์กรตุลาการหรือองค์กรที่มีอำนาจตามกฎหมายได้ลงมติแล้วว่า บุคคลหรือคณะบุคคลนั้นมีความผิดตามการสืบสวนสอบสวนทุกๆ ข้อกล่าวหา หรือกล่าวโทษ หรือได้มีการตัดสินคดีไปแล้ว
       
       อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ประชุมมีการลงมติข้อเสนอดังกล่าว ปรากฏว่า เสียงส่วนใหญ่ 448 ต่อ 99 เห็นด้วยกับร่างเดิมของ กมธ.ให้มีแค่มาตรา 291/17 เท่านั้น จากนั้นที่ประชุมได้พิจารณามาตรา 5 ต่อ ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำหนดกรอบเวลาการได้มาซึ่ง ส.ส.ร.ตามมาตรา 291/5 และ 291/6 ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับตั้งแต่วันที่รัฐธรรมนูญนี้ใช้บังคับ ซึ่งหลังจากอภิปรายแล้วเสร็จ ที่ประชุมได้ลงมติ โดยเสียงส่วนใหญ่ 340 ต่อ 101 เห็นด้วยให้คงถ้อยคำตามร่างเดิมของ กมธ.
       
       หลังจากนั้น นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา แจ้งที่ประชุมว่า การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 2 ได้เสร็จสิ้นแล้ว ซึ่งตามรัฐธรรมนูญกำหนดให้ลงมติวาระ 3 หลังจากลงมติวาระ 2 แล้วไม่น้อยกว่า 15 วัน โดยตอนแรกนายสมศักดิ์นัดลงมติวาระ 3 ในวันที่ 1 มิ.ย. แต่นายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล เสนอว่า ขอหารือวิป 3 ฝ่าย(วิปรัฐบาล-วิปฝ่ายค้าน-วิปวุฒิสภา)ก่อนว่าควรลงมติวาระ 3 ในวันใด เพราะวันที่ 30-31 พ.ค. รัฐบาลจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเศรษฐกิจโลก ครั้งที่ 2 ส่วนวันที่ 1 มิ.ย.เป็นวันศุกร์ จะมี ส.ว.บางส่วนติดภารกิจ ทั้งนี้ หลังวิป 3 ฝ่ายหารือแล้ว ได้ข้อสรุปว่า จะลงมติวาระ 3 ในวันที่ 5 มิ.ย.
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า พรรคประชาธิปัตย์ค่อนข้างเป็นห่วงกระบวนการได้มาซึ่ง ส.ส.ร.และการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานวิปฝ่ายค้าน แถลง ว่า พรรคฯ ห่วงว่าการร่างรัฐธรรมนูญจะมีการล็อกสเปก รับใบสั่งรัฐบาลใน 5 ประเด็น คือ 1.การเลือก ส.ส.ร. 22 คน ที่ให้อำนาจประธานรัฐสภา ซึ่งเป็นคนของรัฐบาลเป็นคนกำหนดองค์กรที่จะเสนอคนเข้ามาเป็น ส.ส.ร. และยังให้ ส.ส.-ส.ว.เลือก ส.ส.ร.ได้คนละ 22 คน ทำให้รัฐบาลสามารถบล็อกโหวตได้ 2.การให้ประธานรัฐสภาเป็นผู้วินิจฉัยร่างรัฐธรรมนูญ แทนที่จะให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้วินิจฉัย
       
       3.หลัง ส.ส.ร.ยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่แล้วเสร็จ แทนที่จะส่งให้รัฐสภา กลับนำไปออกเสียงประชามติ ทำให้ถูกวิจารณ์ว่าเป็นไปตามใบสั่งได้ 4.กมธ.เสียงข้างมากไม่กล้ากำหนดห้าม ส.ส.ร.เขียนรัฐธรรมนูญเปิดทางให้ล้มคดีที่องค์กรอิสระและศาลได้วินิจฉัยไปแล้ว 5.ไม่กำหนดห้าม ส.ส.ร.ดำรงตำแหน่งทางการเมือง 5 ปีหลังรัฐธรรมนูญใหม่บังคับใช้ ซึ่งอาจทำให้ถูกมองว่าเป็นการต่างตอบแทนให้ ส.ส.ร.ยอมเขียนรัฐธรรมนูญตามใบสั่งได้
       
       ด้านนายวิรัตน์ กัลยาศิริ ส.ส.สงขลา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า สัปดาห์หน้า พรรคฯ จะยื่นคำร้องต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน เพื่อให้วินิจฉัยว่ากระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ขัดต่อกฎหมายหรือไม่ เพราะมีหลายส่วนส่อว่าขัด เช่น มาตรา 291 เดิมกำหนดให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้เพียงมาตรา ไม่ใช่จัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับแบบนี้ และว่า หลังการลงมติวาระ 3 ผ่าน พรรคประชาธิปัตย์จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความกระบวนการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยว่าขัดต่อกฎหมายหรือไม่
       
       3. ศาล ปค. พิพากษาให้ กทม.จ่ายเงินชดเชยเหยื่อซานติก้า ผับ 5 ราย หลังละเลยไม่ควบคุมสถานบริการ!

       เมื่อวันที่ 18 พ.ค. ศาลปกครองกลาง ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่ผู้เสียหายจากเหตุเพลิงไหม้ซานติก้า ผับ ย่านเอกมัย กทม.เมื่อวันที่ 1 ม.ค. 2552 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก โดยญาติผู้เสียชีวิต 5 รายได้ฟ้องต่อศาลปกครองให้กรุงเทพมหานคร(กทม.) จ่ายค่าชดเชย ฐานละเลยไม่ควบคุมดูแลสถานบริการซานติก้า ผับ เป็นเหตุให้เกิดเพลิงไหม้
       
       ทั้งนี้ ศาลฯ ได้พิพากษาให้ กทม.จ่ายเงินค่าสินไหมทดแทนแก่ญาติผู้เสียชีวิตทั้ง 5 ราย ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด ประกอบด้วย 1.ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายประเสริฐ คุ้มผล บิดาของ น.ส.ภัชรีย์ คุ้มผล ผู้เสียชีวิต จำนวน 212,000 บาท 2.ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นายหนูสิน แสนเมืองชิน บิดาของนายปุณณรัตน์ แสนเมืองชิน ผู้เสียชีวิต จำนวน 139,600 บาท 3.ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นางวรรณา ขำคง มารดาของ น.ส.วัลยา ขำคง ผู้เสียชีวิต จำนวน 140,000 บาท 4.ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นางแปลก บัวมาก มารดาของ น.ส.พรรณทิพา บัวมาก ผู้เสียชีวิต จำนวน 140,000 บาท และ 5.ให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่นางมณี หวังทวีวงศ์ มารดาของนายทรงพล หวังทวีวงศ์ ผู้เสียชีวิต จำนวน 164,000 บาท
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ตุลาการเจ้าของสำนวนคดี ได้ชี้แจงต่อทนายและญาติผู้เสียหายที่มาฟังคำพิพากษาด้วยว่า กรณีนี้ทาง กทม.รับผิดฐานละเลยต่อหน้าที่ ไม่ได้รับผิดฐานผู้ละเมิดโดยตรง ซึ่งตุลาการผู้แถลงคดีมีความเห็นว่า กทม.ไม่ต้องชดเชยค่าสินไหม แต่องค์คณะฯ เห็นว่า กทม.มีส่วนต้องรับผิดในลักษณะการเฉลี่ยค่าเสียหายด้วย ซึ่งศาลเคยใช้หลักการเดียวกันนี้กับคดีอื่นมาแล้ว เช่น คดีสารโคบอลต์รั่ว ,คดีห้วยคลิตี้ที่มีสารพิษเจือปนในแหล่งน้ำสาธารณะ
       
       ตุลาการเจ้าของสำนวนคดี ยังประเมินด้วยว่า “คดีนี้อาจถึงศาลปกครองสูงสุด เพราะมีแนวโน้มที่ทาง กทม.อาจยื่นอุทธรณ์ เพราะไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นกรณีตัวอย่างที่ กทม.ต้องยอมรับต่อไป ไม่ว่ากรณีเหตุที่เกิดจากไฟไหม้ คนตกท่อ หรือถนนชำรุดเสียหาย”
       
       ด้านนายหนูสิน แสนเมืองชิน อาชีพชาวนา อยู่ที่ จ.ปราจีนบุรี บิดาของนายปุณณรัตน์ แสนเมืองชิน ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์เพลิงไหม้ซานติก้า ผับ เผย ว่า พอใจกับคำพิพากษาของศาลปกครอง อยากให้ทุกอย่างจบสิ้นไปและสบายใจกันทุกฝ่าย ส่วนตัวไม่คิดอุทธรณ์ และหวังว่าต่อไปภาครัฐจะมีส่วนร่วมรับผิดชอบ อย่าให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้อีก หากสถานบริการใดจะเปิดกิจการ ขอให้เจ้าหน้าที่ออกระเบียบและตรวจสอบสถานที่ให้เรียบร้อยก่อน
       
       4. ล่าตัว “พ.ต.อ.-ส.ต.อ.” ปล้นรถขนเงินแบงก์กสิกรฯ ด้าน ตร.สั่งออกจากราชการ พร้อมฟันวินัย-อาญา!

       ความคืบหน้ากรณีคนร้ายใช้รถปิคอัพยี่ห้ออีซูซุ สีบรอนซ์เงิน ทะบียน ศธ 6097 กรุงเทพมหานคร เป็นพาหนะ ก่อเหตุใช้อาวุธปืนอาก้ายิงถล่มและปล้นรถขนเงินของธนาคารกสิกรไทย บริเวณถนนสุขาภิบาล 1 ทางเข้าตลาดอินทร์บุรี จ.สิงห์บุรีเมื่อวันที่ 26 มี.ค. เป็นเหตุให้นายธเนศ วรยาโณ พนักงานขนเงินธนาคารกสิกรไทย ถูกยิงเข้าที่ขาขวา 1 นัด อาการสาหัส ส่วนคนร้ายได้เงินไป 4.1 ล้านบาท ก่อนขับรถไล่ยิงรถขนเงินที่ขับหลบหนีเพื่อลงมือซ้ำ แต่ไม่สำเร็จนั้น
       
       ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 พ.ค. ตำรวจกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 สามารถจับกุมผู้ต้องหาในคดีดังกล่าวได้ 1 ราย คือ นายคมกริช กล้าณรงค์ หลังก่อเหตุร่วมกับพวกรวม 7 คน โดยมีนายตำรวจยศ “พ.ต.อ.” ซึ่งเป็นผู้กำกับสถานีตำรวจภูธรแห่งหนึ่งทางภาคเหนือรวมอยู่ด้วย จากนั้นพนักงานสอบสวนได้นำตัวนายคมกริชไปขอศาลฝากขังพร้อมค้านการประกันตัว ซึ่งศาลพิเคราะห์แล้วไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากคดีมีอัตราโทษสูง และเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี
       
       ซึ่งต่อมา ตำรวจสามารถจับกุมผู้ร่วมขบวนการได้อีก 2 ราย คือ นายนิรุธ เพชรรัตน์ และนายพรชัย พูลเกษม โดยนายนิรุธเป็นผู้ใช้ปืนอาก้ายิงถล่มรถขนเงิน ส่วนนายพรชัยใช้ปืนขนาด .38 ยิง ทั้งนี้มีรายงานว่า ทั้งสองคนเป็นลูกน้องของนักการเมืองระดับชาติ และรับสารภาพว่า เคยรับงานยิงผู้รับเหมาก่อสร้างใน อ.พยุหคีรี จ.นครสวรรค์
       
       สำหรับ พ.ต.อ.ที่ร่วมขบวนการปล้นรถขนเงินครั้งนี้ มีรายงานว่า วันเกิดเหตุ ได้ขับรถเก๋งยี่ห้อนิสสัน เซฟีโร่ สีดำ ทำหน้าที่คุ้มกันให้กลุ่มคนร้ายร่วมกับ ส.ต.อ.คนหนึ่ง สังกัดกองบังคับการในจังหวัดภาคเหนือ รวมทั้งยังเป็นผู้คอยวางแผนให้กลุ่มคนร้ายลงมือก่อเหตุด้วย ซึ่งตำรวจ สภ.อินทร์บุรีได้ออกหมายจับตำรวจทั้งสองแล้ว รวมทั้งออกหมายจับผู้ต้องหาอีก 2 คน คือ นายมนต์ธร หาวัน ชาว อ.ลานสัก จ.อุทัยธานี และนายศิวัช วารี ชาว อ.ทัพทัน จ.อุทัยธานี
       
       ทั้งนี้ มีรายงานว่า ตำรวจยศ พ.ต.อ.ดังกล่าวก็คือ พ.ต.อ.พิจิตร กรมประสิทธิ์ ผู้กำกับการ สภ.ไทรงาม จ.กำแพงเพชร ส่วน ส.ต.อ.ก็คือ ส.ต.อ.นารายณ์ ทิพย์ปรีชาธร ผู้บังคับหมู่งานสืบสวน กองกำกับการสืบสวนสอบสวน สภ.จังหวัดนครสวรรค์ ซึ่ง พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้สั่งการไปยังกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 ให้ พ.ต.อ.พิจิตร และ ส.ต.อ.นารายณ์ ออกจากราชการไว้ก่อน โดยให้มีผลทันที พร้อมตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริง โดยมี พ.ต.อ.ประวิทย์ เจียมตระกูล รองผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.กำแพงเพชร เป็นประธาน
       
       ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกว่า “คดีนี้ผู้บังคับบัญชาให้ความสำคัญ นอกจากดำเนินการทางวินัยและอาญากับตำรวจทั้ง 2 นายแล้ว พล.ต.อ.ปานศิริได้สั่งการให้เอาผิดกับผู้บังคับบัญชาของนายตำรวจทั้ง 2 นายด้วย ขณะเดียวกัน หากสืบสวนข้อเท็จจริงพบมีบุคคลอื่นเกี่ยวข้อง ก็จะต้องถูกดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญาอย่างเด็ดขาด”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ตอนแรกมีข่าวว่า พ.ต.อ.พิจิตร ติดต่อจะเข้ามอบตัว แต่ภายหลัง พล.ต.ต.ประเสริฐ กาฬรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.กำแพงเพชร บอกว่า มีการเปลี่ยนแปลง โดย พ.ต.อ.พิจิตรบอกว่ายังไม่พร้อม และสุภาพจิตแย่มาก ส่วนจะมอบตัววันไหนยังบอกไม่ได้ สำหรับความเคลื่อนไหวของ ส.ต.อ.นารายณ์นั้น พล.ต.ต.ฉันทวิทย์ รามสูตร ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.นครสวรรค์ บอกว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถติดต่อ ส.ต.อ.นารายณ์ได้ ทราบว่ามีการลาพักร้อน 15 วัน
       
       ด้าน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยอีกครั้ง(16 พ.ค.)ว่า เบื้องต้นพบว่า พ.ต.อ.พิจิตรยังอยู่ในประเทศ โดยมีชุดติดตาม แล้ว หากไม่มามอบตัว ก็ต้องจับ และหากมอบตัว ก็ไม่มีสิทธิ์ต่อรองใดใด ส่วนจะให้ประกันตัวหรือไม่ อยู่ที่ดุลพินิจของพนักงานสอบสวน ขณะที่ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกว่า ขณะนี้หมดเวลาเข้ามอบตัวแล้ว ได้จัดชุดไล่ล่าพร้อมแล้ว และเชื่อว่าจะติดตามจับกุมได้ไม่ยาก
       
       วันต่อมา(17 พ.ค.) ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี พูดถึงความคืบหน้าคดีนี้ว่า พ.ต.อ.พิจิตรได้หนีไปกบดานอยู่ที่ประเทศพม่าแล้ว อย่างไรก็ตาม คำพูดของ ร.ต.อ.เฉลิม สวนทางกับ พล.ต.ต.ประเสริฐ กาฬรัตน์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.กำแพงเพชร ที่บอกว่า พ.ต.อ.พิจิตรหลบหนีไปอยู่แถวๆ ภาคเหนือ จึงได้ประสานให้ตำรวจภูธรจังหวัดต่างๆ ติตดามจับกุมและป้องกันการหลบหนีออกนอกประเทศแล้ว
       
       ขณะที่ พ.ต.อ.ณัฏฐวุฒิ ยุววรรณ ผู้กำกับการ สภ.แม่สาย จ.เชียงราย เชื่อว่า หาก พ.ต.อ.พิจิตรหลบหนีมาที่เชียงรายจริง ก็อาจจะเข้าไปฝั่งพม่าแล้ว เพราะ พ.ต.อ.พิจิตรไม่มีญาติในเชียงราย ประกอบกับชายแดนด้านนี้มีความยาวหลายสิบกิโลเมตร โดยเฉพาะแม่น้ำสาย ซึ่งช่วงนี้น้ำแห้ง ทำให้สามารถเดินข้ามได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่านจุดผ่อนปรนหรือด่านพรมแดน ส่วน ส.ต.อ.นารายณ์ รวมทั้งนายมนต์ธร และนายศิวัช ที่ยังคงหลบหนีอยู่นั้น มีรายงานว่า อาจจะยังอยู่ใน จ.อุทัยธานี โดยซุกปีกผู้กว้างขวางคนหนึ่ง
       
       ล่าสุด(18 พ.ค.) พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยความคืบหน้าการติดตามตัว พ.ต.อ.พิจิตรว่า ชุดสืบสวนได้พบรถฮอนด้าแอคคอร์ดของ พ.ต.อ.พิจิตร จอดทิ้งอยู่ในทุ่งนา ห่างจาก สภ.ไทรย้อย อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก ประมาณ 6 กม. หลังตรวจสอบ พบมีสร้อยคอทองคำอยู่ในรถด้วย โดยรถดังกล่าวถูกจอดทิ้งมาประมาณ 1-2 วัน ส่วนช่วงเวลาที่พบรถก็เป็นช่วงที่มีข่าวว่า พ.ต.อ.พิจิตรจะเข้ามอบตัว แต่คาดว่าเจ้าตัวเกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน จึงได้จอดรถทิ้งไว้ก่อนหลบหนี

ASTVผู้จัดการออนไลน์    20 พฤษภาคม 2555

5762
พิลังกาสา ​หรือราม​ใหญ่ ​เป็นที่นิยมนำมาปลูก​เป็น​ไม้ประดับตามสถานที่ราช​การ​หรือสวนสาธารณะทั่ว​ไป มีดอกสวยจนนึกว่า​เป็น​ไม้ประดับธรรมดา​ไม่มีคุณค่า​แต่อย่าง​ใด ​ซึ่ง​ความจริง​แล้ว​ไม้ประดับต้นนี้มีสรรพคุณทางยาสมุน​ไพรยิ่งนัก ​โดย​เฉพาะ​ใน​เรื่องของ​การรักษา​โรคตับ ​ทั้ง ๆ ที่​เป็นยาสมุน​ไพรหาง่าย ​แต่กลับมี​การนำมา​ใช้ประ​โยชน์น้อย​เกิน​ไป

​เมื่อหันมามองสถาน​การณ์​ความ​เจ็บป่วยของคน​ไทย​ในภาวะของ​โรคตับ มะ​เร็งตับ​แล้ว​แนว​โน้มของประชากรที่​เจ็บป่วยสูงขึ้น ตับมีหน้าที่สำคัญหลายประ​การ ​เช่น ​การสร้างน้ำดี คอย​เ​ก็บ​เอากลู​โคส​ไปสะสม​ไว้​ใน​เซลส์ตับ ​ในรูปของ​ไกล​โค​เจน ​และจะ​เปลี่ยน​เป็นกลู​โคสทันทีที่ร่างกายต้อง​การ นอกจากนี้ ยังกำจัดสารพิษที่ลำ​ไส้ดูดซึม​เข้า​ไป​ในกระ​แส​เลือด ​เมื่อสารพิษผ่านตับ ตับ​ก็จะ​ทำลาย

ตับ​เป็น​แหล่งสะสมของวิตามิน​เอ ​และวิตามินบีสิบสอง คือ ​เมื่อ​เรารับประทานผักผล​ไม้ที่มีพวก​เบต้า​แค​โรมีน​เข้า​ไป มันจะ​เปลี่ยน​เป็นวิตามิน​เอ​ได้​โดยตับนั่น​เอง ธาตุ​เหล็ก​และทอง​แดงจะถูก​เ​ก็บสะสมอยู่ที่ตับ ​เช่น​เดียวกับวิตามิน ​เอ ดี ​และบีสิบสอง สร้างองค์ประกอบ​ใน​การ​แข็งตัวของ​เลือด อาทิ​เช่น ​ไฟบริ​โน​เจน (FIBRINOGEN) ​และ​โปรธรอมบิน( PROTHROMBIN) ​เป็นต้น ​และยังสร้างสารป้องกัน​การ​แข็งตัวของ​เลือด อัน​ได้​แก่​เฮปาริน (HEPARIN) ​ทำหน้าที่​ใน​การกิน​และ​ทำลาย​เชื้อ​โรค​โดยมี​เซลล์​แมก​โครฟาจ(MACROPHAGE) ที่อยู่มนตับ ​ซึ่งมีชื่อ​เรียก​เฉพาะว่า คุฟ​เฟอร์​เซลล์ (KUPFFER'S CELL)

น้อยนักที่มนุษย์จะตระหนักว่าอาหาร​และ​เครื่องดื่มที่รับประทานนั้น​ก็​ทำร้ายตับ​ได้​เช่นกัน​เช่น ​ผู้ที่ชอบดื่ม​แอลกอฮอล์ รับประทานอาหารที่มี​ไขมันมาก รวม​ไป​ถึงสารพิษ​เรารู้จักกันดี​ในชทื่อสารอัลฟ่าท็อกซิน ​ก็​เป็นสา​เหตุ​ให้​เกิด​โรคตับ​ได้ถ้า​ไม่ระวัง​ใน​การบริ​โภค

พิลังกาสา​เป็นสมุน​ไพรที่กล่าว​ไว้​ในตำรายาว่า ​ใช้​ใบ​แก้​โรคตับพิ​การ ส่วนอื่น ๆ ​ได้​แก่ ราก รสฝาด​เฝื่อน​เปรี้ยว​เล็กน้อย ​แก้พิษงู​แก้ท้อง​เสีย ​แก้​ไอ รักษากาม​โรค ​แก้​โรคสำหรับบุรุษ ​แก้พยาธิผิวหนัง ต้น รส​เฝื่อน ​แก้​โรค​เรื้อน ​แก้กุฎฐัง ​แก้​โรคสำหรับบุรุษ  ดอก รส​เฝื่อน ​แก้พยาธิ ฆ่า​เชื้อ​โรค ​แก้ลม ผล รสร้อนฝาดสุขุม ​แก้​ไข้ ​แก้​ไขท้อง​เสีย ​แก้​ไข​ในกองอติสาร​โรค ​แก้ลมพิษ ​แก้ธาตุพิ​การ ​แก้ต้านซาง ตานข​โมย ​แก้ลม ​เปลือก ​แก้​ไข ​แก้ท้อง​เสีย

พิลังกาสายังมีชื่อที่​เรียกกัน​แตกต่างกันออก​ไปตามท้องถิ่น อาทิ ทุรังกาสา จิงจำ ตาปลาราม จ้ำก้อง มีชื่อวิทยาศาสตร์ Ardisia polycephala Wall.ex A.D.C อยู่​ในวงศ์ Myrsinaceae ​ไม้พุ่ม​หรือ​ไม้ยืนต้น ขนาด​เล็ก สูง 1-4 ​เมตร ลำต้นตั้งตรง กิ่งก้านกลม ​หรือ​เป็น​เหลี่ยม สีน้ำตาลอม​เทา กิ่งอ่อนสีน้ำตาล​แดง ​แตกกิ่งก้านสาขารอบ ๆ ต้นมาก ​ใบ​เดี่ยว ​เรียงสลับกัน ออกหนา​แน่นที่ปลายกิ่ง ผิว​ใบ​และขอบ​ใบ​เรียบ ​แผ่น​ใบมีต่อม ​เห็น​เป็นจุด ๆ กระจายอยู่ทั่ว​ไป ​ใบหนามัน ก้าน​ใบสั้น สี​แดงดอกออก​เป็นช่อจากชอก​ใบ ​และปลายกิ่ง กลีบดอกสีขาว​แกมชมพู ผลรูปทรงกลม​แป้น ผิว​เรียบผลอ่อนสี​แดง ​เมื่อสุกมีสีม่วง​เข้ม

มีรายงาน​ถึงฤทธิ์ทาง​เภสัชวิทยาว่า ต้าน​เชื้อ​แบคที​เรีย ฤทธิ์​เหมือนฮีสตามีน ​ทำ​ให้กล้าม​เนื้อหดตัว รักษามาลา​เลีย ​แก้ท้อง​เสีย รักษา​โรค​เกลื้อน ส่ง​เสริม​การ​เจริญ​เติบ​โตของ​เชื้อรา Aspergillus ต้าน​การจับตัวของ​เกล็ด​เลือด

มหาวิทยาลัย​เทค​โน​โลยีราชมงคลศรีวิชัยนำผลสุกมา​ทำ​เป็น​ไวน์พิลังกาสา ​และ​ได้นำ​ไวน์นั้น​ไปวิ​เคราะห์ผล พบว่ามีกลุ่มสาร​แอน​โธ​ไชยานิน (Anthocyanin) สารฟี​โนลิค ฟลา​โวนอยด์ (Phenolic flavannoid) สูง ​ซึ่ง​เหมาะต่อ​การส่ง​เสริม​เป็น​เครื่องดื่มสุขภาพ​ได้ ​เพระสาร​เหล่านี้มีคุณสมบัติป้องกัน​การ​เกิด​เส้น​เลือดอุดตัน ​เส้น​เลือดตีบ

ลูกพิลังกาสา จะมีสีม่วง​เข้มจน​เกือบดำ สีม่วงนี้​เกิดจากรงตวัตถุ ที่มี​แอน​โธ​ไซยานิน (Acnthocyanin) สารกลุ่มนี้​เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ป้องกัน​ไม่​ให้อนุมูลอิสระ​ไป​ทำลาย​เซลล์ ช่วยลดอัตรา​เสี่ยง​การ​เกิด​โรคหัว​ใจ​และ​เส้น​เลือดอุดตัน​ในสมอง ​โดยจะ​ไปช่วยยับยั้ง​ไม่​ให้​เลือดจับตัว​เป็นก้อน นอกจากนี้ สาร​แอน​โธ​ไซยานินยังช่วยยับยั้งอี​โค​ไล (E.coil) ​ในระบบทาง​เดินอาหาร ​ซึ่ง​เป็นสา​เหตุของ​โรคท้องร่วง​และอาหาร​เป็นพิษด้วย

ปัจจุบันนัก​โภชนา​การ​ได้หันมา​และคิดค้นตำรับอาหารที่​ใช้พิลังกาสา​เป็นส่วนผสม​เพื่อ​ใช้กับ​ผู้ป่วยที่มีปัญหา​เกี่ยวกับตับ ​จึงนับ​เป็น​แนวคิดที่​แยบยล​ใน​การพัฒนารูป​แบบ​การ​ใช้ยามา​เป็นอาหาร ​หรืออาหารคือยา ที่มี​การกล่าว​ถึงมานาน​แล้วนั่น​เอง

ไทย​โพสต์ -- อาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม 2555

5763
นายแพทย์สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธาณสุข เปิดเผยความคืบหน้าโครงการลดป่วยและเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับและมะเร็งท่อน้ำดีในภาคตะวันออกเฉียงเหนือว่า ขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก โดยคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ได้จัดทำยุทธศาสตร์ “ลดพยาธิใบไม้ตับ กำจัดมะเร็งท่อน้ำดี” วาระคนอีสานทั้ง 20 จังหวัด โดยได้ประชุมร่วมระหว่างกระทรวงสาธารณสุข มหาวิทยาลัยขอนแก่น มูลนิธิจุฬาภรณ์ สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์ และหน่วยงานจากกระทรวงศึกษาธิการ เพื่อร่วมกันรณรงค์ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชาชนชาวอีสาน โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขได้มอบหมายให้นายแพทย์สมชัย นิจพานิช รองปลัดกระทรวงสาธารณสุข ผู้ตรวจราชการกระทรวงสาธารรสุข และนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด 20 จังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร่วมดำเนินการร่วมกับคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น เทศบาล อบจ.อบต. และผู้ที่เกี่ยวข้อง

 จากการประชุม มหาวิทยาลัยขอนแก่นได้รายงานผลการสุ่มตรวจอุจจาระของประชาชนจังหวัดขอนแก่น ใน 10 หมู่บ้าน จาก 5 อำเภอเมื่อเร็วๆนี้ คือ บ้านไผ่ ชนบท มัญจาคีรี โคกโพธิ์ไชย และบ้านแฮด ผลปรากฎว่าพบประชาชนเป็นโรคพยาธิใบไม้ตับมากถึงร้อยละ 30 บางหมู่บ้านพบถึงร้อยละ 78

ตามยุทธศาสตร์การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหารของประชาชนครั้งนี้ จะมุ่งที่การไม่กินปลาร้าดิบ โดยใช้สโลแกนรณรงค์ว่า “กินปลาร้าต้ม ส้มตำอร่อย” เพื่อให้ประชาชนเกิดความตระหนัก และเลิกกินปลาร้าดิบ ซึ่งในปลาร้าดิบ จะมีสารก่อให้เกิดมะเร็ง นอกจากนี้จะรณรงค์ให้คนอีสานไม่กินปลาน้ำจืดที่มีเกล็ด แบบสุกๆ ดิบๆ เพราะปลาจำพวกนี้ จะมีไข่พยาธิใบไม้ตับอยู่ โดยจะรณรงค์ร่วมกันทั้ง 20 จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และบรรจุการเรื่องโรคมะเร็งทั้ง 2 โรคนี้และการป้องกัน เข้าไปหลักสูตรการเรียนการสอนนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 – 6 ในระดับท้องถิ่น ซึ่งจะเริ่มต้นที่จังหวัดขอนแก่น ตั้งแต่เทอมการศึกษาใหม่นี้เป็นต้นไป และจะประสานเสนอให้กระทรวงศึกษาธิการ จัดเป็นหลักสูตรสำหรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 -6 ทั่วประเทศ และในระดับชั้นสูงต่อไป คาดหวังว่าสิ่งเหล่านี้จะช่วยลดการเกิดโรคพยาธิใบไม้ตับ ลดการป่วย และการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งตับ มะเร็งท่อน้ำดีในที่สุด

มติชนออนไลน์   20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

5764
มะ​เร็งปากมดลูก​เป็นมะ​เร็งที่คร่าชีวิตสตรี​ไทย​เป็นอันดับสองรองจากมะ​เร็ง​เต้านม ​ใน​แต่ละปีจะมี​ผู้ป่วยมะ​เร็งปากมดลูกราย​ใหม่ปีละประมาณ 6,000 คน ​หรือ ​เทียบ​เท่ากับอัตราป่วย 25 รายต่อประชากรหญิง​แสนคนต่อปี (incidence rate = 25/100,000/yr.) (1) นั่นหมาย​ความว่า ​ในประชากรหญิงหนึ่ง​แสนคน จะมี​ผู้ป่วยราย​ใหม่ปีละ 25 คน

นักวิทยาศาสตร์พบว่า ​การ​เกิดมะ​เร็งปากมดลูกนั้นมีส่วนสัมพันธ์กับ​การติด​เชื้อ​ไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) ​ซึ่งมีหลายร้อยสายพันธุ์ ​การติด​เชื้อ​ไวรัสนี้มาจาก​เพศสัมพันธ์ ​แต่​ใช่ว่าทุกคนที่มี​เชื้อ​ไวรัสนี้จะต้อง​เป็นมะ​เร็งปากมดลูก ​ไวรัส HPV มีสายพันธุ์หลักๆ 4 สายพันธุ์ที่ก่อ​ให้​เกิดมะ​เร็งปากมดลูก​ถึง 70% ของ​ทั้งหมด ​จึงนำสายพันธุ์​เหล่านั้นมาพัฒนา​เป็นวัคซีนชนิด 2 ​และ 4 สายพันธุ์​ได้สำ​เร็จ ​โดยมี​เงื่อน​ไข​ใน​การนำมา​ใช้ที่สำคัญคือ

1.จะ​เกิดประ​โยชน์​และคุ้มค่าสูงสุด​เมื่อฉีด​ใน​เด็กนัก​เรียนอายุ 10-13 ปี ก่อนที่จะมี​เพศสัมพันธ์
2.ต้องฉีดครบ 3 ​เข็ม ​ใน​เวลา 6 ​เดือน ​จึงมีประสิทธิภาพ​เต็มที่

3.​ไม่สามารถทด​แทน​การตรวจหา​เซลล์มะ​เร็งปากมดลูกด้วยวิธี​แป็ปส​เมียร์ (pap smear) ​ได้ ​เพราะ​แม้จะฉีดวัคซีนครบ ​แต่ยังมี​โอกาส​เกิดมะ​เร็งอีก 30% ​จึงยังจะต้องรณรงค์​ให้มี​การตรวจ​แป็ปส​เมียร์ต่อ​ไป
4.ห้ามฉีด​ในหญิงมีครรภ์ ​เนื่องจากยัง​ไม่มีข้อมูล​เพียงพอ​ในด้านผลต่อทารก​ในครรภ์

​เมื่อมอง​ในมุมมองรายบุคคล วัคซีนนี้สามารถป้องกัน​การป่วย​เป็นมะ​เร็งปากมดลูก​ได้​ถึง 70% ​ซึ่งมี​ความน่าสน​ใจมาก ​แต่​ในมุมมองด้านสาธารณสุขศาสตร์ ที่มองภาพรวม​ทั้งระบบ​และ​การ​ใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่านั้น กลับมีวิธีคิดที่​แตกต่าง ​การนำ​เสนอต่อ​ไปนี้อาจมี​ความ​เป็นวิชา​การอยู่บ้าง ​แต่​ไม่ยาก​เกิน​ไป​ใน​การ​ทำ​ความ​เข้า​ใจ กล่าวคือ

- อัตราป่วยที่​ไม่มี​การฉีดวัคซีน (Incidence Without Treatment) ​เท่ากับ 25/100,000 ประชากร/ปี

- ​เมื่อฉีดวัคซีน​ในกลุ่ม​เป้าหมาย อัตราป่วยคาดว่าจะลดลง 70% (Relative risk reduction = 70%)

- ดังนั้น อัตราป่วย​เมื่อมี​การฉีดวัคซีน (Incidence with Treatment) จะ​เท่ากับ 7.5/100,000 ประชากร/ปี

- ​ในทางวิชา​การ ตัว​เลขอัตราป่วยที่ลดลงต่อประชากรนั้น ​ไม่​ใช่ 70% ​เพราะ​ไม่​ใช่ว่า​ผู้หญิงจะป่วย​เป็น​โรคนี้กันทุกคน ดังนั้น อัตราป่วยสุทธิที่ลดลง​หรือ Absolute Risk Reduction(ARR) ​จึง​เท่ากับ อัตราป่วย​เมื่อ​ไม่มี​การฉีดวัคซีน ลบด้วย อัตราป่วย​เมื่อมี​การฉีดวัคซีน ​ซึ่ง​เท่ากับ 17.5/100,000 ประชากร/ปี

- ​เมื่อนำอัตราป่วยสุทธิที่ลดลง (Absolute risk reduction) มาคำนวณหาค่าจำนวน​ผู้ที่ต้อง​ได้​การรักษา​ทั้งหมด​เพื่อ​ให้​เกิดผลกับคน 1 คน ​หรือ Number Needed to Treat (NNT) ด้วยสูตร NNT=1/ARR จะพบว่ากรณีนี้ ต้องฉีดวัคซีน​ให้กับกลุ่ม​เป้าหมาย​ถึง 5,714 คน ​จึงหลีก​เลี่ยง​การ​เกิดมะ​เร็งปากมดลูกกับคน 1 คน/ปี

​หรืออาจกล่าว​ได้ว่า ​ในประชากร​เด็ก ป.6 จำนวน 400,000 คน ที่จะ​ได้รับวัคซีนนี้​ใน​แต่ละปีนั้น ​เมื่อคำนวณอายุ​เสี่ยงที่จะ​เป็นมะ​เร็งคืออายุ 30-60 ปี​หรือ​เท่ากับระยะ​เวลา​เสี่ยง 30 ปี คนที่ป่วย​เป็นมะ​เร็งปากมดลูกจะลดลง​ไป 2,100 คน ​แต่​ก็ยังจะมีคนป่วย​เป็นมะ​เร็งปากมดลูกอีก 900 คน ส่วนอีก 397,000 คน จะ​ไม่ป่วย​เป็นมะ​เร็งปากมดลูก ​แต่​ก็ต้อง​ได้รับวัคซีน​ไปด้วย ​เพราะ​เรา​ไม่รู้ว่า​ใครบ้างที่จะมี​โอกาส​เป็นมะ​เร็งปากมดลูก

ดังนั้น ​ใน​การ​เปรียบ​เทียบ​ความคุ้มค่า ​โดยคิดง่ายๆ ว่าวัคซีน​เข็มละ 500 บาท รวม 3 ​เข็ม ​เป็น​เงิน 1,500 บาท​แล้ว มี​ความคุ้มค่า​แน่นอน ​เพราะป่วย​เป็นมะ​เร็งปากมดลูก​แล้วค่ารักษา​เป็น​แสนนั้น ​เปรียบ​เทียบ​เช่นนั้น​ไม่​ได้ ​เพราะ​ไม่​ใช่ว่าทุกคนจะป่วย​เป็นมะ​เร็งปากมดลูก หาก​ใช้ตรรกะ​เช่นนั้น วัคซีน​เข็มละ​แสน​ก็ยังน่าฉีด

​แต่ตรรกะ​ในทางวิชา​การนั้น ​ให้คิดจากค่า NNT กล่าวคือ ​ในกรณีวัคซีนนี้ต้องฉีดวัคซีน​ให้กับกลุ่ม​เป้าหมาย 5,714 คน ​จึงจะสามารถลด​การ​เกิดมะ​เร็งปากมดลูก​ได้ 1 คน/ปี ​หรือ​เท่ากับ 30 คน​ในตลอดช่วง 30 ปี​เสี่ยงของชีวิตของคนกลุ่มนี้ นั่นหมาย​ความว่า หากวัคซีน 3 ​เข็มราคาคนละ 1,500 บาท ​เมื่อคำนวณรวมราคาวัคซีนของคนที่ต้องฉีด​โดยที่​ไม่​เป็นมะ​เร็งปากมดลูกตลอดช่วงอายุ​แล้ว จะ​เท่ากับค่าวัคซีน​ถึง 285,000 บาท ต่อ​การป้องกัน​การ​เกิดมะ​เร็งปากมดลูก 1 คน  นับ​เป็น​การลงทุนที่​แพง​แสน​แพงสำหรับประ​เทศ​ไทย ​และที่สำคัญ​เมื่อฉีดวัคซีน​แล้ว ​ผู้หญิงทุกคน​ก็ยังควรจะต้อง​ไปตรวจ pap smear ​เช่น​เดิม ​เพราะยังมี​โอกาส​ใน​การ​เกิดมะ​เร็งปากมดลูกอีก 30%

นักวิชา​การ​ในองค์​การอนามัย​โลก​ได้​ให้ข้อ​เสนอ​แนะต่อประ​เทศกำลังพัฒนาว่า ​การ​ให้วัคซีน HPV จะมี​ความคุ้มค่าทาง​เศรษฐศาสตร์ (cost-effectiveness) ​เมื่อราคาวัคซีนอยู่ที่​เข็มละ 5 ดอลลาร์สหรัฐ ​หรือ 150 บาท ​และ​เป็นราคาที่องค์กรพันธมิตร​โลก​เพื่อวัคซีน​และ​การสร้างภูมิคุ้มกัน​โรค ​หรือ GAVI (Global Alliance for Vaccines and Immunization) ​ได้ต่อรองจน​ได้ราคาที่ 5 ดอลลาร์สหรัฐ ​หรือราว 150 บาท​แล้วตั้ง​แต่ปีที่​แล้ว ​และยัง​ไม่​ได้หยุด​การต่อรอง​เพื่อ​ให้บริษัทยา​ทั้งสองรายลดราคาลงอีก (2)

​แต่วันนี้ประ​เทศ​ไทยพร้อมที่จะลงทุนราคา​แพง​ถึงราคา​เข็มละ 500 บาท ด้วยงบประมาณปีละ 600 ล้านบาท สำหรับกลุ่ม​เป้าหมาย 4 ​แสนคน/ปี ​และ​เมื่อ​เริ่มฉีด​แล้ว​ก็คง​ไม่สามารถหยุดฉีด​เพื่อมาต่อรองราคา​ได้อีก หากต่อรองราคาจน​ได้​ไม่มากกว่า​เข็มละ 150 บาท ​แล้วค่อยฉีด จะประหยัดงบประมาณ​ได้ปีละกว่า 400 ล้านบาททุกๆ ปี ​ไม่ดีตรง​ไหน

ถ้ารัฐบาลอยากทันสมัย ​ก็​ไม่มี​ความจำ​เป็นต้องรีบซื้อ​ในราคาสูง ภาษีประชาชนต้อง​ใช้อย่างคุ้มค่า ปัจจุบันรัฐบาลยากจน​ถึงขนาดต้องลดงบบัตรทอง​หรือหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าปี 2556 ลง​ไป 4.9% ​แต่​ไฉนกระทรวงสาธารณสุขมา​เร่งรีบ​ใช้​เงินอู้ฟู่กับ​โครง​การจัดซื้อวัคซีนป้องกันมะ​เร็งปากมดลูกราคา​แพง ฤาจะมีอะ​ไร​ในกอ​ไผ่.

นาย​แพทย์สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ
ชมรม​แพทย์ชนบท นักศึกษาปริญญา​โท คณะสาธารณสุขศาสตร์ สถาบัน​เวชศาสตร์​เขตร้อน ​แอน​เวิร์ป ประ​เทศ​เบล​เยียม
ไทย​โพสต์ -- อาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม 2555

5766
ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนเป็นพ่อแม่ย่อมรัก และเป็นห่วงลูกอย่างสุดหัวใจ จึงพยายามเลี้ยงดูลูกอย่างดีที่สุด แต่สำหรับพ่อแม่ที่พยายามชดเชยสิ่งที่ตัวเองขาด ไม่ว่าจะเป็นในวัยเด็ก หรือยุ่งจนไม่มีเวลาให้ลูกด้วยการตามใจ และสรรหาของเล่น หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ เข้ามาทดแทนความรู้สึกผิดของตัวเอง ความหวังดีเหล่านี้อาจส่งผลต่อพฤติกรรมของลูกตามมาได้
       
       พญ.ตวงพร สุรพงษ์พิวัฒนะ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น ผู้เขียนหนังสือเคล็ดลับเลี้ยงลูก 4 ดี บอกว่า คุณพ่อคุณแม่ควรระวัง "การให้" ที่บิดเบือน โดยเฉพาะพ่อแม่ที่รู้สึกผิดเพราะไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก มักจะให้เงิน ของเล่น และของขวัญต่าง ๆ มากมายเพื่อชดเชยหรือทดแทนความใกล้ชิดแก่ลูก การที่พ่อแม่ให้สิ่งของต่าง ๆ เพื่อทดแทนความรักเช่นนี้ อาจทำให้เด็กกลายเป็นคนวัตถุนิยม ส่งผลต่อนิสัย และทัศนคติของเด็ก ซึ่งบางครั้งเด็กมีของเล่นมากเกินไปจนดูเหมือนที่บ้านเป็นร้านขายของเล่น ของขวัญจะหมดความพิเศษ เพราะเด็กมีของเล่นมากเกินไปจนไม่มีเวลาที่จะได้เล่นแบบแท้จริง กลายเป็นภาระเมื่อพ่อแม่ต้องการให้เด็กเก็บของเล่นให้เป็นระเบียบ
       
       "คุณพ่อคุณแม่บางคนรักลูก แต่ไม่รู้จะแสดงความรักต่อลูกอย่างไรก็เลยซื้อของมาให้ลูกตลอด หรือบางท่านไม่มีเวลา หรือไม่อยากให้ลูกผิดหวังเหมือนตัวเองในวัยเด็กก็เลยชดเชยด้วยวัตถุสิ่งของ ซึ่งการแสดงความรักเช่นนี้ คุณกำลังทำให้เด็กยึดติดกับวัตถุนิยม และไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งของ ดังนั้น ควรให้อย่างเหมาะสม ซึ่งจริง ๆ แล้ว ของเล่นสำหรับเด็กไม่ต้องเป็นของที่แพง มียี่ห้อ แค่กล่องยาสีฟัน หลอดด้าย แกนทิชชู่เอามาประกอบกัน เด็กสามารถเกิดจินตนาการสร้างสรรค์ได้ดีกว่า" จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่นสะกิดใจพ่อแม่ที่มีค่านิยมการแสดงความรักด้วยวัตถุ
       
       นอกเหนือจากนี้ จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่น บอกต่อไปว่า พ่อแม่ยุคใหม่หลาย ๆ ท่านเลี้ยงลูกแบบจัดเต็ม ซึ่งจัดเต็มในที่นี้หมายความว่า เด็กแทบจะไม่เคยรู้จักความลำบากเลย ส่วนใหญ่จะมีพ่อแม่คอยบริการ และจัดเตรียมสิ่งของต่าง ๆ ไว้ให้หมดแล้ว ส่งผลให้เด็กติดสบาย พึ่งตัวเองไม่เป็น มักจะพึ่งคนอื่นอยู่ตลอดเวลา ทางที่ดีควรปรนนิบัติลูกด้วยความเหมาะสม และพยายามเปิดโอกาสให้ลูกรู้จักรับผิดชอบ และช่วยเหลือตัวเองในบางเรื่อง เพราะไม่เช่นนั้น เด็กจะอยู่ในสังคมได้ยาก
       
       "การเลี้ยงลูกในปัจจุบันไม่ได้แตกต่างจากเดิมมาก แต่หมอพบว่า ความรักของพ่อแม่ที่ต่อเด็กมีมากขึ้น เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะความเป็นอยู่ที่สบายขึ้น พ่อแม่ไม่ได้ลำบากเหมือนแต่ก่อน ที่สำคัญ มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยมากขึ้น พ่อแม่ที่รักลูกไม่ถูกทาง ตามใจ และไม่ปล่อยให้ลูกรับผิดชอบ หรือช่วยเหลือตัวเองตามวัยอาจเกิดเป็นปัญหาในเชิงพฤติกรรมตามมาได้ เช่น รอไม่เป็น หรือไม่รู้จักควบคุมอารมณ์ โดยเฉพาะเรื่องหลังถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่พ่อแม่ควรสอนให้ลูกรู้จักอารมณ์โกรธของตัวเขาเองด้วยคำพูดที่เข้าใจง่าย เช่น ตอนนี้หนูกำลังโกรธอยู่นะลูก แม่รู้ว่าหนูเสียใจ แต่หนูต้องอดทน อีก 2 ชั่วโมงค่อยไปเล่นกัน เป็นต้น" จิตแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเด็กและวัยรุ่นทิ้งท้าย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 พฤษภาคม 2555

5767
 เชื่อว่ามีหลายคน โดยเฉพาะพนักงานออฟฟิศผู้มุ่งมั่นไฟแรงที่อาจบอกกับตัวเองง่าย ๆ ว่า "ขี้เกียจ" กับการออกไปรับประทานอาหารกลางวันนอกบริษัท และเลือกหนทางที่ง่ายกว่าด้วยการซื้อข้าวกล่อง หรืออาหารง่าย ๆ ประเภทอิ่มสะดวก (โดยซื้อเตรียมไว้ตั้งแต่เช้า) มารับประทานที่โต๊ะทำงานแทน
       
       การนั่งติดอยู่กับโต๊ะตั้งแต่เริ่มงานจนพักเที่ยงก็ไม่ได้ลุกไปไหนและอาจลากยาวไปถึงบ่ายอาจทำให้คุณดูเหมือนหนุ่มสาวไฟแรง มีความขยัน อดทน สู้งานหนัก มีความมุ่งมั่นกับงานที่ได้รับมอบหมายในสายตาเจ้านาย แต่ข้อเสียของมันต่อร่างกายก็มีมากมายไม่แพ้กัน เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า ลักษณะการทำงานของพนักงานออฟฟิศในปัจจุบันนั้นเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคหัวใจ และโรคอื่น ๆ ได้อีกมากมายกับตัวพนักงานเอง แถมยังมีความจริงที่ว่า การที่ร่างกาย ไม่ได้เคลื่อนไหวนั้นยังอาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายอย่างเฉียบพลันได้อีกด้วย โดยเฉพาะกับอวัยวะสำคัญ เช่น หลอดเลือด ที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย
       
       จากการสำรวจกลุ่มคนทำงานรุ่นใหม่ไฟแรงอายุระหว่าง 21 - 30 ปี และกลุ่มนักเล่นเกมอายุระหว่าง 16 - 21 ปีจำนวน 1,000 คน โดย ComRes พบว่า 73 เปอร์เซ็นต์ของกลุ่มพนักงานออฟฟิศยอมรับว่า ตนเองรับประทานอาหารกลางวันที่โต๊ะทำงาน ส่วนกลุ่มนักเล่นเกมนั้นพบว่า 9 ใน 10 คนยอมรับว่าตนเองนั่งเล่นเกมโดยไม่ได้เปลี่ยนอิริยาบถนานเกิน 90 นาที ซึ่งทาง ComRes ระบุว่า หากร่างกายไม่มีการเคลื่อนไหวนานเกิน 90 นาที อัตราการไหลเวียนของเลือดบริเวณใต้หัวเข่าลงไปจะลดลงถึง 50 เปอร์เซ็นต์
       
       ด้านนักวิจัยจากสถาบันวิจัยทางการแพทย์ของนิวซีแลนด์ก็ยังได้ทำการสำรวจในประเด็นใกล้เคียงกัน โดยสำรวจกลุ่มคนทำงาน 400 คนที่มักมีพฤติกรรมรับประทานอาหารที่โต๊ะทำงาน โดยพบว่า ในกลุ่มคนเหล่านี้ มีความเสี่ยงที่เลือดจะจับตัวเป็นลิ่มสูงกว่าคนทั่วไปถึง 2.2 เท่า
       
       หากคุณเป็นคนหนึ่งที่เพาะความอ่อนแอให้ตัวเองขนาดนี้ ต่อให้ตำแหน่งแห่งหนในการทำงานพร้อมจะให้โอกาสคุณโต แต่ตัวคุณเองจะรับบทนั้นได้หรือไม่ ยากจะตอบได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 พฤษภาคม 2555

5768
หากใครเป็น "โรคความดันโลหิตสูง" และ "โรคเบาหวาน" จะทราบดีว่า ตนควรดูแลสุขภาพร่างกายให้ดีอยู่เสมอ เพราะทั้งสองโรคสามารถพรากลมหายใจของตนไปได้เสมอ แต่ที่น่ากังวลกว่านั้นคือพบว่า ความดันโลหิตสูง และน้ำตาลในเลือดเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญของโรคไตวาย ส่งผลให้ปัจจุบันมีจำนวนผู้ป่วยใหม่และจำนวนผู้เสียชีวิตด้วยโรคไตวายเรื้อรังเพิ่มสูงขึ้น

       หลากหลายหน่วยงานด้านสาธารณสุขต่างออกมาทำการรณรงค์ป้องกันโรคอย่างต่อเนื่อง อย่างโครงการ "กำลังใจเพื่อชีวิตอิสระ ของผู้ป่วยล้างไตทางช่องท้อง" ได้จัดเสวนา "3 รู้...สู้โรคไต" เพื่อให้ความรู้เรื่องโรคไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย รวมทั้งการป้องกัน และวิธีการบำบัดรักษาที่ถูกต้อง พญ.ปิยะธิดา จึงสมาน แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคไตและการบำบัดทดแทนไต เปิดเผยว่า ผู้ป่วยโรคไตวายเรื้อรังเพิ่มสูงถึงร้อยละ 4.5 จากประชากรที่มีอายุมากกว่า 20 ปี ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากโรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง ทั้งที่ไม่ทราบมาก่อน หรือทราบแต่ไม่สามารถควบคุมได้ จนกระทั่งเป็นโรคไตวายเรื้อรังในที่สุด และยังมีโรคเก๊าท์ นิ่วในไต หน่วยไตอักเสบ รวมถึงอาจเกิดจากผลข้างเคียงจากการใช้ยา และสารเคมีต่างๆ ได้แก่ ยาแก้ปวดกลุ่ม "เอ็นเสด (NSAIDs)" และยาปฏิชีวนะบางตัว รวมถึงภาวะขาดเลือดไปเลี้ยงที่ไต และการเป็นมาแต่กำเนิด
       
       สำหรับความสำเร็จของการป้องกันโรคไตวายเรื้อรัง พญ.ปิยะธิดา มองว่า ต้องกระตุ้นให้ทุกคนเรียนรู้เกี่ยวกับความสำคัญของไตและโรคไต มีด้วยกัน 3 รู้ ได้แก่ การรู้โรค การรู้จักป้องกัน และรู้บำบัด

       การรู้โรค พญ.ปิยะธิดา กล่าวว่า ต้องรู้ว่าโรคไตคืออะไร มีอันตรายมากน้อยแค่ไหน เมื่อเป็นแล้วมีผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและญาติอย่างไรบ้าง เพื่อกระตุ้นจิตสำนึกและให้ความสำคัญของการป้องกันโรคไต ส่วนการรู้จักป้องกัน โดยต้องรู้จักวิธีการดูแลตนเอง และนำมาเป็นแนวทางปฏิบัติ โดยหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ เช่น การใช้ยาที่ไม่ทราบแหล่งที่มา โดยเฉพาะยาสมุนไพร ยาหม้อ หรือยาเม็ดลูกกลอน รวมถึงยาแผนปัจจุบันบางชนิดที่รับประทานต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน และดูแลสุขภาพ ด้วยการดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ และบุหรี่ เลือกรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ที่สำคัญต้องรักษาโรคประจำตัว โดยเฉพาะผู้ที่เป็นเบาหวาน ความดันโลหิตสูง และโรคเก๊าท์ ผู้ป่วยกลุ่มนี้ รวมถึงผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป หรือผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นโรคไต ควรได้รับการตรวจเลือดและปัสสาวะ เพื่อคัดกรองโรคไตวายเรื้อรังอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง นอกจากนี้ ผู้ป่วยต้องรู้จักสังเกตสัญญาณอันตรายบ่งบอกโรคไต เพื่อยืดอายุการทำงานของไตให้ยาวนานขึ้น
       
       "ต้องสังเกตการเปลี่ยนแปลงของการขับถ่ายปัสสาวะ เช่น ปัสสาวะบ่อยตอนกลางคืนมากกว่าปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ ปริมาณปัสสาวะออกน้อยลง มีอาการแสบร้อนเวลาถ่ายปัสสาวะ ปัสสาวะสะดุดหรือมีเศษนิ่วปนออกมา ปัสสาวะมีเลือดปน ปัสสาวะมีสีน้ำล้างเนื้อ หรือปัสสาวะเป็นฟอง การบวมของใบหน้า รอบดวงตา เท้า และท้อง กดแล้วเป็นรอยบุ๋ม มีอาการปวดเอวหรือหลังด้านข้าง (ไม่ต่ำกว่าเอวหรือไม่อยู่กลางหลัง) และความดันโลหิตสูง แต่ทั้งนี้ก็มีบางคนที่เป็นไตวาย แต่ไม่แสดงอาการเหล่านี้ จึงต้องอาศัยการตรวจร่างกายและการตรวจทางห้องปฎิบัติการเพื่อวินิจฉัย" พญ.ปิยะธิดา กล่าว
       
       ขณะที่การรู้บำบัด พญ.ปิยะธิดา อธิบายว่า เมื่อป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยต้องได้รับการบำบัดทดแทนไตเป็นประจำและต่อเนื่อง เนื่องจากโรคไตวายเรื้อรัง เป็นโรคที่มีการทำลายเนื้อไตทั้งสองข้างอย่างถาวรและต่อเนื่อง ทำให้การทำงานของไตบกพร่องมากขึ้นเรื่อยๆ โดยที่ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด ในที่สุดผู้ป่วยจะเข้าสู่ภาวะ ไตวายเรื้อรังระยะสุดท้าย ผู้ป่วยจะทนทุกข์ทรมานจากอาการต่างๆ ที่เกิดจากของเสียคั่งในเลือด ซึ่งถ้าไม่รักษาโดยการบำบัดทดแทนไต ผู้ป่วยจะเสียชีวิตในระยะเวลาไม่นานนัก

       สำหรับกรณีผู้ป่วยไตวายที่ยังสูญเสียสภาพไตไม่มาก พญ.ปิยะธิดา บอกว่า ยังไม่จำเป็นต้องบำบัดทดแทนไต แต่ต้องพยายามชะลอการเสื่อมของไตให้มากที่สุด ด้วยการจำกัดอาหารที่มีรสจัด เนื้อสัตว์ต่างๆ เครื่องในสัตว์ ไข่ นม พวกผัก หัวผักกาดสีแสด ผักชี ผักที่มีใบสีเขียวเข้ม ถั่ว ผลไม้แห้งทุกชนิด เช่น ลูกเกด ลูกพรุน และกากน้ำตาล ช็อคโกแล็ต มะพร้าวขูด (ให้กินแต่น้อย ประมาณ 20-25 กรัมต่อวัน) จำกัดปริมาณน้ำดื่มในแต่ละวัน ให้เหมาะสมตามวิธีการคำนวณง่ายๆ คือ ปริมาณน้ำดื่มแต่ละวัน = ปริมาณปัสสาวะของเมื่อวาน + 500 มิลลิลิตร
       
       นอกจากนี้ การรักษาด้วยยา เช่น ยาลดความดัน ยาจับฟอสฟอรัส หรือยารักษาความเป็นกรดในเลือดก็สามารถช่วยชะลอการเสื่อมของไตได้ รวมถึงต้องไม่ทำงานหนัก หรือเล่นกีฬาหักโหม อาบน้ำทุกวันโดยใช้สบู่อ่อน ทาผิวหนังด้วยน้ำมันหรือครีม เพื่อลดอาการผิวแห้งและคัน ตัดเล็บให้สั้น ทำความสะอาดปากและฟันบ่อยๆ เพื่อลดการติดเชื้อ
       
       หากผู้ป่วยมีอาการถึงระยะสุดท้าย พญ.ปิยะธิดา แนะนำว่า ต้องบำบัดทดแทนไต ซึ่งมีอยู่ 3 วิธี คือ 1. การปลูกถ่ายไต 2.การฟอกเลือด ผู้ป่วยต้องเดินทางไปยังศูนย์ไตเทียมเพื่อฟอกเลือดทุกสัปดาห์ๆละ 2-3 ครั้งตลอดชีวิต ทำให้มีข้อจำกัดสำหรับผู้ป่วยในวัยทำงาน ชีวิตขาดอิสระ และผู้ป่วยยังจำเป็นต้องจำกัดน้ำและเกลือโดยเคร่งครัด และ 3. การล้างไตทางช่องท้อง ผู้ป่วยหรือญาติสามารถทำได้เองที่บ้านทำให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตประจำวันได้เหมือนคนปกติทั่วไป ลดข้อจำกัดเรื่องเวลาในการเดินทางไปพบแพทย์ และลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาที่ได้รับตามสิทธิอีกด้วย โดยบรรจุอยู่ในระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

   
       ด้านนายธีรมนัส ธนเอกอัครพงษ์ อายุ 49 ปี ได้เล่าว่าถึงชีวิตที่ต้องสู้กับโรคไตว่า ก่อนป่วยได้มีโอกาสไปทำงานที่ประเทศฮ่องกงนาน 10 ปี กลางวันเป็นกุ๊กอาหารไทยในโรงแรม กลางคืนร้องเพลง พักผ่อนน้อยมาก เมื่อถึงหน้าหนาวก็หนาวมาก มีคนไทยที่นั่นแนะนำให้ดื่มสมุนไพรจีน เพื่อบรรเทาอาการปวดตามข้อและกระดูก จึงดื่มวันละ 3 แก้ว เป็นเวลา 3 เดือน แต่มาทราบความจริงในภายหลังว่าให้ดื่มอาทิตย์ละ 1 แก้วเท่านั้น ทุกอย่างจึงสายเกินไป ปรากฎว่าเกิดอาการไตวายฉับพลัน และตามมาด้วยความดันโลหิตสูง และเป็นโรคหัวใจโตในที่สุด
       
       "ช่วงที่ทราบว่าป่วยเป็นโรคไตวายเรื้อรังใหม่ๆ แรกๆ สุขภาพแย่มาก น้ำหนักตัวเหลือแค่ 37 กิโลกรัม หลังจากที่ได้รับการรักษาอยู่ระยะหนึ่ง ก็ปรับระดับจิตใจของตนเองให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิต ทำจิตใจให้แจ่มใสอยู่เสมอ หมั่นดูแลตนเองตามที่คุณหมอและพยาบาลแนะนำ ดื่มน้ำพอประมาณ รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย หลีกเลี่ยงอาหารประเภทโซเดียม (เกลือ ผงชูรส ผงฟู ผงนุ่ม เครื่องปรุงรสต่างๆ ที่มีรสเค็ม) ที่สำคัญที่สุดต้องคิดอยู่เสมอว่า เราป่วยเพียงร่างกายเท่านั้น แต่อย่าให้จิตใจป่วยตามเด็ดขาด"
       
       ธีรมนัส เล่าให้ฟังอีกว่า ตนได้รับการบำบัดทดแทนไตด้วยการล้างไตทางช่องท้อง ปัจจุบันทำงานเป็นผู้จัดการในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง การดำเนินชีวิตก็เป็นปกติ เข้ากับเพื่อนร่วมงานได้เป็นอย่างดี เพียงแต่ต้องปรับเวลาให้เข้ากับงานที่ทำ โดยต้องล้างไต 3 ครั้ง (8 ชั่วโมงล้าง 1 ครั้ง) และรู้สึกสนุกกับการล้างไตทุกครั้ง เพราะถือว่าการล้างไตเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต และเป็นกิจวัตรประจำวัน บางครั้งอาจมีปัญหาเกิดขึ้น เช่น น้ำยาขุ่น เป็นแผล มีหนองเกิดขึ้นจึงรีบไปปรึกษาแพทย์ทันที แพทย์และพยาบาลก็จะหาสาเหตุให้ทราบว่าเกิดจากสาเหตุอะไร และบอกวิธีการแก้ไขให้ในที่สุด
       
       "ทุกวันนี้ก็แข็งแรงดี รับประทานอาหารได้ นอนหลับ น้ำหนักเกือบจะเท่าเดิมแล้ว ถ้ามีเวลาและโอกาสก็จะออกกำลังกายเบาๆ ประมาณ 30 นาที ที่เขาว่าชีวิตเปรียบเหมือนกับบทละคร ก็เพิ่งประจักษ์กับคำนี้ เพราะขณะที่ชีวิตกำลังรุ่งโรจน์เพียงชั่วเวลาหนึ่งก็กลับกลายเป็นคนหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง แต่เมื่อใช้คำว่า "สู้" ทุกๆ อย่างก็ดีขึ้น"

ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 พฤษภาคม 2555

5769
วันนี้ (18 พ.ค.) ที่ รพ.จิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ จ.นครราชสีมา นพ.ทวี ตั้งเสรี รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการผู้รับผิดชอบโครงการปลดโซ่ตรวนผู้ป่วยจิตเวชที่ถูกล่ามขัง เพื่อสำรวจค้นหาผู้ป่วยจิตเวชที่ถูกล่ามขังด้วยโซ่ตรวนทั่วประเทศ เพื่อนำมาวางแผนฟื้นฟูบำบัดรักษาอาการทางจิตให้หายขาด ก่อนทำการปลดโซ่ตรวนเพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้ปกติ


รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต เปิดเผยว่า โครงการปลดโซ่ตรวนผู้ป่วยจิตเวช มีแผนดำเนินการในช่วงวันที่ 1 มี.ค. 2555 – 30 ก.ย. 2556 เพื่อนำผู้ป่วยทางจิตเวชเข้าระบบฟื้นฟู บำบัดรักษาอาการทางจิตตามกระบวนการทางการแพทย์อย่างถูกต้องครบถ้วน เพื่อให้หายขาด จากนั้นก็จะมีการฝึกอบรมอาชีพให้ และติดตามผลการรักษา เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ป่วยเหล่านั้นหายจากอาการป่วยจริง ๆ เพื่อให้อิสรภาพแก่ผู้ป่วยได้กลับมามีชีวิตอยู่ร่วมกับคนในสังคมได้ตามปกติ อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจผู้ป่วยจิตเวชที่ถูกล็อกโซ่ตรวนและล่ามขังทั่วประเทศ พบผู้ป่วยแล้ว 245 คน ที่ผ่านมาได้บำบัดรักษาจนมีอาการเหมือนคนปกติแล้วทำการปลดโซ่ตรวนได้แล้ว 26 คน จากนี้ไปก็พร้อมดำเนินการต่อในกลุ่มผู้ป่วยที่เหลืออยู่ให้สามารถปลดโว่ตรวนให้ได้มากที่สุดในกรอบระยะเวลาดังกล่าว

ทั้งนี้ จากการรายงานความก้าวหน้าของโครงการนี้ พบว่า จ.นครราชสีมา พบผู้ป่วยจิตเวชที่ถูกล่ามขังด้วยโซ่ตรวนมากที่สุด 22 คน สามารถปลดโซ่ตรวนได้แล้ว 2 คน เช่นเดียวกับ จ.ชัยภูมิ มีผู้ป่วย 22 คนเท่ากัน แต่สามารถปลดโซ่ตรวนได้แล้ว 10 คน จ.อุบลราชธานี มีผู้ป่วย 17 คน ปลดโซ่ตรวนแล้ว 2 คน ส่วนข้อมูลการสำรวจผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังเมื่อปี 2551 พบว่าคนไทยอายุ 15-59 ปี มีความชุกของโรคร้อยละ 0.8 หรือประมาณ 4 แสนคนทั่วประเทศ พบมากคืออาการจิตเภท หูแว่ว ประสาทหลอน ถึงร้อยละ 70 ของผู้ป่วยโรคจิตทั้งหมด ซึ่งมีอาการรุนแรงถึงขั้นที่ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยและครอบครัว และร้อยละ 35 ของผู้ป่วยจิตเภท จะมีอาการอยู่ตลอดเวลาโดยไม่ทุเลาลงเลย.

เดลินิวส์  18 พฤษภาคม 2555

5770
ในที่สุด “นพ.วินัย สวัสดิวร” ก็กลับมายึดเก้าอี้เลขาธิการ สปสช.ต่อเนื่องเป็นวาระที่สองได้เป็นผลสำเร็จ ด้วยคะแนนอย่างไม่เป็นเอกฉันท์ 22 คะแนน จากทั้งหมด 30 เสียง นายวิทยา บุรณศิริ รมว.สาธารณสุข งดออกคะแนนเสียง 1 เสียง ทำให้ทิ้งห่างอันดับ 2 นพ.สมเกียรติ วัฒนศิริชัยกุล ที่ได้เพียง 7 คะแนนเท่านั้น
       
       คะแนนในการเลือกเลขาธิการ สปสช.ครั้งนี้ สิ่งที่น่าสนใจไม่ใช่ 22 คะแนนที่ให้หมอวินัย แต่เป็น 7 คะแนน ที่เทให้หมอสมเกียรติ 7 คะแนนนี้ ซึ่งสะท้อนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเครือข่ายแพทย์ในนามสมาพันธ์แพทย์โรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป (สพศท.) นำโดย พญ.ประชุมพร บูรณ์เจริญ ขึ้นป้ายใน รพ.ทั่วประเทศต้านคนมีปัญหานั่งเลขาธิการ สปสช.และสหพันธ์ผู้ปฏิบัติงานด้านการแพทย์และสาธารณสุขแห่งประเทศไทย (สผพท.) นำโดยหมอเชิดชู อริยศรีวัฒนา ทำหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีหญิงให้ยกเลิกการสรรหาโดยอ้างว่าไม่โปร่งใส และมีการสัญญาว่าจะให้ ทำให้มีการเลื่อนการเลือกเลขาธิการ สปสช.หลายครั้งหลายหน
       
       อาจกล่าวได้ว่า ทั้ง 2 เครือข่ายถือเป็นกลุ่มที่ไม่ได้ยินดีปรีดากับนโยบาย 30 บาท ตั้งแต่เริ่มแรก ซ้ำยังคัดค้านมาโดยตลอด ถึงขั้นเคยใส่ปลอกแขนดำ เพื่อประท้วงกฎหมายฉบับนี้มาแล้วเมื่อปี 45 ที่สำคัญ ยังชิงชังกลุ่มเอ็นจีโอและแพทย์ชนบท ดังนั้นจึงอาศัยจังหวะร่วมกับกลุ่มการเมืองมาเป็นพวก และเกือบทำได้สำเร็จ
       
       เดิมหมอกลุ่มนี้ ถูกมองว่า เป็นเพียงตัวป่วนในวงการสาธารณสุข แต่เบื้องหลังจับมือแน่นกับกลุ่มแพทยสภา สมาคม รพ.เอกชน ประกอบกับฝ่ายการเมืองต้องการลดบทบาทสายแพทย์ชนบทที่ครอบงำองค์กรตระกูล ส.จึงหันไปจับมือหนุนแพทย์อีกกลุ่ม และพยายามเข้ากุมอำนาจในบอร์ด สปสช.โดยเฉพาะในสัดส่วนผู้ทรงคุณวุฒิ ที่เขี่ยสายแพทย์ชนบทกระเด็นไม่มีเหลือ กระทั่งบอร์ด สปสช.กลายเป็นบอร์ดที่การเมืองกุมได้หมด
       
       แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มเปลี่ยนไป เมื่อฝ่ายการเมืองเริ่มรู้ตัว เนื่องจากบรรยากาศในที่ประชุมบอร์ด สปสช.ทุกครั้ง แพทย์กลุ่มนี้ไม่เอาทุกเรื่องที่วิทยาเสนอ 5-6 เดือนที่ผ่านมา ย่อมทำให้วิทยา มองออกว่า ถ้าจะให้ 30 บาทเดินหน้า เพื่อสร้างผลงานให้เข้าตา เป็นฐานเพื่อสร้างอนาคตและบารมีทางการเมืองต่อไป เขาต้องต่อยอด 30 บาทให้ได้ แม้แต่เรื่องฉุกเฉิน 3 กองทุน ในที่ประชุมบอร์ดสปสช.ก็มีเหตุสะดุดหลายประการ
       
       ขณะที่ นพ.วินัย เองก็พยายามสร้างผลงานให้เข้าตา และแสดงชัดเจนว่า ยอมทุกอย่างต่อฝ่ายการเมือง แว่วว่า ถึงขั้นไปหาทักษิณที่ลาว เมื่อช่วงสงกรานต์มาแล้ว ขณะที่การเมืองไม่มีตัวเลือก ที่สำคัญ อาจยังไม่อยากหักหน้ากลุ่มแพทย์ชนบทและเอ็นจีโอ การเลือกหมอวินัยให้เป็นต่อ ก็เป็นทางเลือกที่ดี ในที่สุดเมื่อวันที่ 14 พ.ค.ถึงเวลาต้องเลือกเลขาธิการคนใหม่ ผู้ที่แพทย์สายนี้ส่งท้าชิง ก็เป็นแพทย์ที่มีประวัติ ไม่เอาทักษิณ ทำให้ฝ่ายการเมืองเกิดความไม่มั่นใจ แน่นอนว่า 7 คะแนน ที่เลือก นพ.สมเกียรติ เป็นสายกลุ่มแพทย์ผู้ทรงคุณวุฒิที่เพิ่งได้รับเลือกเข้าไป นั่นเอง
       
       ด้วยประสบการณ์การเมืองจากการเป็นประธานวิปฝ่ายค้าน แม้ว่าจะเป็นรัฐมนตรีหน้าใหม่ของกระทรวงหมอ ที่อาจเพลี่ยงพล้ำวิทยายุทธ์ของบรรดาคุณหมอ ก็ตัดสินใจได้ว่า จะเลือกจับมือกับใคร ระหว่างกลุ่มหมอที่ก่อตั้ง 30 บาท หรือ 2 เครือข่ายหมอ ที่คัดค้าน 30 บาทมาโดยตลอด
       
       ดังนั้น 7 คะแนน ที่เลือกหมอสมเกียรติ จึงมีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เป็นสัญญาณส่งถึงใครบางคนที่เชื้อเชิญหมอกลุ่มนี้มาเป็นบอร์ด สปสช.ได้ว่า เดินเกมผิด ทำให้เสียรังวัดกับบารมีที่สร้างมาในสธ. ด้วยข้อหาเลือกคบคนผิด! ที่สำคัญ เป็นสัญญาณ บอกว่า วิทยา “เอาไม่อยู่” (อีกแล้ว) กับเครือข่ายกลุ่มหมอที่ตัวเองเป็นฝ่ายเชื้อเชิญเข้ามาเองกับมือ
       
       ทีมข่าวสาธารณสุข
ASTVผู้จัดการออนไลน์    17 พฤษภาคม 2555



5771
“หมอหทัย” หนักใจองค์การศุลกากรโลก ชี้ ประเทศนำเข้าบุหรี่เถื่อนส่วนใหญ่มีการคอร์รัปชันมากที่สุด รับเป็นปัญหาหลักของไทย แนะทุกฝ่ายแก้ไข จี้สรรพสามิตเร่งปรับเพิ่มภาษี
   
       วันนี้ (18 พ.ค.) ที่โรงแรมสยามซิตี กรุงเทพมหานคร สำนักงานงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) พร้อมด้วยกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) และกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง ได้ร่วมกันเสวนาในเวที สช.เจาะประเด็นเรื่อง “เจาะ 2 มาตรการ คุมเข้มยาสูบ”
       
       นพ.ณรงค์ศักดิ์ อังคะสุวพลา ประธานกรรมการขับเคลื่อนและติดตามการดำเนินงานตามมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า แม้ว่าที่ช่วงที่ผ่านประเทศไทยจะมีมาตรการคุมเข้มเรื่องของการปราบปรามบุหรี่ควบคู่กับการรณรงค์งดสูบมาโดยตลอด จนจำนวนผู้สูบลดลงในช่วง 18 ปีที่ผ่านมา แต่ว่าปัจจุบันกลับพบว่า มีนักสูบหน้าใหม่ที่เป็นเยาวชนและเป็นเพศหญิงมากขึ้น โดยจากข้อมูลการสำรวจระบุว่า ร้อยละ 8 ของเยาวชนที่ยังไม่เคยสูบบุหรี่จะเริ่มสูบในปีหน้า และพบว่ากลุ่มผู้สูบในปัจจุบันอยู่ในกลุ่มที่ยากจน ขณะที่สถานการณ์การตายจากการสูบบุหรี่ก็ยังน่าห่วงไม่แพ้กัน โดยในแต่ละปีพบว่ามีผู้เสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ประมาณ 41,000 คนต่อปี อาทิ มะเร็งปอด หัวใจ และโรคถุงลมโป่งพอง จึงจำเป็นต้องผนึกกำลังภาคีในการปราบปรามและรณรงค์ต่อเนื่อง
       
       ด้าน นพ.หทัย ชิตานนท์ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติกล่าวว่า ขณะนี้สถานการณ์บุหรี่ที่น่าเป็นห่วงที่สุด คือ บุหรี่ผิดกฎหมาย ที่มีการลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ และชายแดนมากขึ้น โดยองค์การศุลกากรโลก พบว่า ประเทศที่มีการนำเข้าบุหรี่ผิดกฎหมายส่วนมากจะเป็นประเทศที่มีการคอร์รัปชันมากที่สุด โดยในส่วนของประเทศไทยนั้นจากการสำรวจตลาดบุหรี่ พบว่า มีบุหรี่ผิดกฎหมายมากถึง 11.6% ของบุหรี่ที่มีการวางจำหน่ายแบบเสียภาษี จึงอยากกระตุ้นให้ทุกฝ่ายให้ความสำคัญกับการปราบปราม และอยากให้กรมสรรพสามิตให้ความสำคัญเรื่องของการปรับขึ้นภาษีในส่วนของยาสูบ และบุหรี่เพิ่มเติมด้วย
       
       นพ.นพพร ชื่นกลิ่น รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) กล่าวว่า สำหรับมาตรการของกรมควบคุมโรค นั้น ยังคงเน้นที่การตั้งเป้าปราบปรามบุหรี่เถื่อนที่ไม่มีฉลากคำเตือน หรือไม่ยอมแสดงข้อความคำเตือนที่กฎหมายกำหนด โดยในวันที่ 28 พ.ค.นี้ ทางกรมฯ จะมีการเปิดเผยสถานการณ์การจับกุมผลิตภัณฑ์ดังกล่าว นอกจากนี้ สิ่งที่ สธ.ต้องรับผิดชอบเพิ่มเติม ก็คือ การให้ความร่วมมือกับภาคสังคมเพื่อรณรงค์ด้านบุหรี่กับอันตรายต่อสุขภาพ เพื่อลดจำนวนนักสูบหน้าใหม่

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 พฤษภาคม 2555

5772
กรมควบคุมโรคช็อก! สถิติคนไทยตายเพราะวัณโรค 1.1 หมื่นราย เผย ผู้ป่วยเอดส์ติดเชื้อง่าย ทำให้วัณโรคระบาดมากขึ้น โดยเฉพาะสถานประกอบการที่มีแรงงานเคลื่อนย้าย และแรงงานต่างด้าว รมว.สธ.สั่งแก้ปัญหาด่วน แนะแรงงานหญิงควรพกถุงยาง เพื่อลดความเสี่ยงติดเชื้อเอชไอวีและวัณโรค ตั้งเป้า 50 สถานประกอบการ นำร่อง กทม.-นนทบุรี

   
ภาพประกอบจากอินเทอร์เน็ต
       วันนี้ (18 พ.ค.) ที่กรมควบคุมโรค นายวิทยา บุรณศิริ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) ได้มอบหมายให้ ดร.นายแพทย์ พรเทพ ศิริวนารังสรรค์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เป็นประธานการประชุมเชิงปฏิบัติการเตรียมความพร้อม การป้องกัน และบริหารจัดการด้านวัณโรคและเอดส์ ในสถานประกอบกิจการ ดำเนินงานโดยมูลนิธิศาสตราจารย์ นายแพทย์ สมบูรณ์ วัชโรทัย และเป็นความร่วมมือระหว่างกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน สมาคมแนวร่วมภาคธุรกิจไทยต้านภัยเอดส์ ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากกองทุนโลก
       
       ดร.นายแพทย์ พรเทพ กล่าวว่า รมว.สาธารณสุข มีนโยบายเร่งรัดการดำเนินงานควบคุมป้องกันและลดวัณโรคให้เกิดผลสัมฤทธิ์โดยเร็ว รวมถึงการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของวัณโรคในประเทศไทย ที่ก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งทางด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ และสังคม จากสถิติของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าวัณโรคกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้งในปัจจุบัน ซึ่งสาเหตุหนึ่งมาจากการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ที่ทำให้ผู้ป่วยเอดส์มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง จนทำให้ป่วยเป็นวัณโรคมากขึ้น ประเทศไทยเป็น 1 ใน 22 ประเทศของโลกที่ยังมีปัญหาวัณโรครุนแรง คาดว่า มีผู้เสียชีวิตจากวัณโรคประมาณปีละ 11,000 ราย และองค์กรอนามัยโลกได้ประมาณการว่าประชากรไทย ที่คาดว่า มีเชื้อวัณโรคมาแอบแฝงอยู่ที่ปอด ประมาณร้อยละ 30 หรือ 20 ล้านคน และกลายเป็นผู้ป่วยรายใหม่ปีละประมาณ 94,000 คน ในจำนวนนี้ร้อยละ 50 อยู่ในระยะแพร่เชื้อและร้อยละ 16 ติดเชื้อเอชไอวีร่วมด้วย
       
       สำหรับสถานการณ์ผู้ติดเชื้อเอชไอวี คาดว่า มียอดสะสมรวมกว่า 1,100,000 ราย และยังคงมีชีวิตอยู่ประมาณ 480,000 ราย ร้อยละ 84 ติดเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์ สาเหตุที่ทำให้จำนวนผู้ป่วยวัณโรคและเอดส์ในประเทศไทย ยังคงเป็นปัญหาสำคัญ เกิดจากความยากจน แรงงานเคลื่อนย้าย แรงงานต่างชาติ แรงงานในสถานประกอบกิจการ สภาพที่แออัดภายในเรือนจำที่เอื้อต่อการแพร่กระจายเชื้อวัณโรค และผลกระทบจากการระบาดของโรคเอดส์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ผู้ป่วยวัณโรคมีมากขึ้น อัตราตายสูง และมีปัญหาเชื้อดื้อยาวัณโรคเพิ่มขึ้น
       
       ดร.นายแพทย์ พรเทพ กล่าวอีกว่า การประชุมครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี และวัณโรคของผู้ใช้แรงงาน รวมทั้งส่งเสริมสถานประกอบกิจการให้มีความพร้อมในการป้องกันและแก้ไขปัญหาวัณโรคและเอดส์อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้ใช้แรงงาน การดำเนินงานตามแนวปฏิบัติตามวาระแห่งชาติว่าด้วยการป้องกันและบริหารจัดการด้านเอดส์ ตลอดจนเป็นกิจกรรมที่ส่งผลต่อมาตรฐานความรับผิดชอบทางสังคม (CSR) การส่งเสริมการตลาดต่างประเทศจากการได้รับรองมาตรฐานการบริหารจัดการด้านเอดส์ ASO-T THAILAND และเป็นประโยชน์ต่อสังคมประเทศชาติส่วนรวม ซึ่งเป็นการให้ข้อมูล ความรู้ที่ทันสมัยในเรื่องวัณโรคและเอดส์ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจที่ชัดเจน โดยนำร่องให้กับผู้บริหารจากสถานประกอบกิจการภายในกรุงเทพมหานครและจังหวัดนนทบุรี ประมาณ 50 แห่ง
       
       ทั้งนี้ สาระสำคัญในการประชุม ได้แก่ การอภิปราย เรื่อง มาตรฐานการบริหารจัดการเรื่องวัณโรคและเอดส์ (ASO-T Thailand) แนวทางการดำเนินงานและประโยชน์ที่สถานประกอบกิจการได้รับ โดย ดร.แอนโทนี่ ประมวญรัตน ผู้อำนวยการบริหารสมาคมแนวร่วมภาคธุรกิจไทยต้านภัยเอดส์ คุณประยูร บุญสถิต ผู้อำนวยการบริหารบริษัท โปรดักส์ ดีเวลลอปเม้นท์ เมนูแฟคเจอร์ริง จำกัด (บริษัทได้รับมาตรฐาน ASO-T Thailand ระดับ PLATINUM ยอดเยี่ยมของประเทศไทยปี 2551) นายอนันตวิทย์ วัชโรทัย ผู้อำนวยการบริหารมูลนิธิศาสตราจารย์ นายแพทย์ สมบูรณ์ วัชโรทัย และผู้เข้าร่วมประชุมระดมความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อวางแผนการบริหารจัดการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว
       
       สำหรับวัณโรค สามารถติดต่อโดยผู้ป่วยไอ จาม ไม่ปิดปากปิดจมูก และผู้อยู่ใกล้หายใจที่มีเชื้อเข้าสู่ร่างกาย จึงขอให้ประชาชนสังเกตอาการของตนเองและคนใกล้ชิด เช่น ไอติดต่อกันเกิน 2 สัปดาห์ ไอมีเสมหะปนเลือด อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย อาทิ ไอแห้งๆ มีเสมหะ น้ำหนักลด เจ็บหน้าอก ไข้ต่ำๆ โดยเฉพาะในกลุ่มที่อาศัย หรือใกล้ชิดกับผู้ป่วยวัณโรค ผู้ติดสารเสพติดชนิดฉีด ผู้มีประวัติต้องขังในเรือนจำ ผู้ติดเชื้อเอชไอวี/ผู้ป่วยเอดส์ และผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน โรคไต เป็นต้น ให้สงสัยว่า เป็นวัณโรคและควรเข้ารับการตรวจหาเชื้อในสถานบริการสาธารณสุข หรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน ซึ่งปัจจุบันวัณโรคสามารถรักษาให้หายได้ ใช้เวลาในการรักษา 6-8 เดือน โดยกินยาครบทุกเม็ด ครบทุกมื้อ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการดื้อยา ไม่ควรหยุดยาเอง และควรมีพี่เลี้ยงดูแลการกินยาจนครบการรักษา หากมีอาการแพ้ยารีบปรึกษาแพทย์ทันที
       
       “ส่วนปัญหาการติดเชื้อเอชไอวี ขอให้ทุกคนหันมาป้องกันตนเอง และรับผิดชอบเมื่อมีเพศสัมพันธ์ด้วยการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งกับทุกกลุ่ม พร้อมแนะนำแรงงานหญิงพกถุงยางอนามัยติดตัวเป็นประจำ เพื่อความปลอดภัยจากโรคเอดส์ถ้าต้องการคำปรึกษาเรื่องสุขภาพทางเพศ สามารถเข้ารับบริการได้ที่สถานพยาบาลและเครือข่ายบริการที่เป็นมิตรใกล้บ้าน ซึ่งการติดเชื้อเอชไอวี(เอดส์) ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่อง โอกาสป่วยเป็นวัณโรครวดเร็วและรุนแรงมากกว่าผู้ไม่ติดเชื้อเอชไอวี หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ศูนย์บริการข้อมูลฮอตไลน์ กระทรวงสาธารณสุข โทรศัพท์ 1422 และศูนย์ปฏิบัติการกรมควบคุมโรค โทรศัพท์ 0 2590 3333” ดร.นายแพทย์ พรเทพ กล่าวทิ้งท้าย

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 พฤษภาคม 2555

5773
มูลนิธิสุขภาพผู้หญิง เตรียมร่อน จม.เปิดผนึก ร้อง สธ.ทบทวนนโยบายฉีดวัคซีน HPV ป้องกันมะเร็งปากมดลูกให้เด็กหญิง 12 ปี ชี้ ไร้ผลวิจัยยืนยันว่าป้องกันได้ตลอดชีวิตจริงอย่างที่ สธ.โม้ แถมไม่คุ้มค่า เพราะครอบคลุมสายพันธุ์แค่ 50-70% และยังต้องมีการตรวจคัดกรองเหมือนเดิม ก่อนกดราคาวัคซีนต้องต่ำกว่า 190 บาทต่อเข็ม จึงคุ้มค่ากว่า เสนอให้คัดกรองเพิ่ม 80% ลดจำนวนป่วยตายได้

       วันนี้ (18 พ.ค.) น.ส.ณัฐยา บุญภักดี กรรมการและเลขานุการมูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง กล่าวถึงกรณีที่กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เตรียมผลักดันโครงการวัคซีนป้องกันไวรัสเอชพีวี (HPV:Human Papilloma vaccine) นำมาฉีดป้องกันในเด็กหญิงไทย อายุ 12 ปี ที่ยังไม่มีเพศสัมพันธ์ ว่า ในสัปดาห์หน้า ทางมูลนิธิ และภาคีเครือข่าย รวม 21 องค์กร จะยื่นจดหมายเปิดผนึกถึง นายสุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เพื่อเรียกร้องให้กระทรวงสาธารณสุข ทบทวนการผลักดันนโยบายดังกล่าว โดยข้อมูลวิชาการที่ศึกษาโดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) พบว่า สาเหตุของการเกิดมะเร็งปากมดลูกมาจากการติดเชื้อ Human Papilloma Virus (HPV) ซึ่งมีหลายสายพันธุ์ โดยวัคซีนในปัจจุบันป้องกันการเกิดมะเร็งปากมดลูกสายพันธุ์ที่พบในหญิงไทย 50-70% เท่านั้น ทำให้แม้ว่าจะได้รับวัคซีนแล้วก็ควรได้รับการตรวจคัดกรองอยู่ดี จึงไม่ได้ทำให้ลดต้นทุนการป้องกันโรคแต่อย่างใด
       
       “ปัจจุบันการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกครอบคลุมประมาณ 70% และมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องจากปี 2548 ที่มีประชาชนรับการคัดกรองเพียง 20% จึงคาดว่า ในช่วง 5-10 ปีข้างหน้า จะมีผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกลดลง 1,500 คนต่อปี ป้องกันการเสียชีวิตได้ 750 คนต่อปี ประหยัดงบประมาณในการรักษา 102 ล้านบาท ฉะนั้น การลงทุนฉีดวัคซีนในเด็กหญิงอายุ 12 ปี ซึ่งมีปีละ 400,000 คนทั่วประเทศ จึงยังไม่ใช่ทางเลือกเชิงนโยบายที่เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทยในขณะนี้ เพราะเท่ากับเป็นการลงทุน 2 ต่อ คือ ยังต้องใช้การตรวจคัดกรองเดิม และเพิ่มวัคซีนเข้ามา” น.ส.ณัฐยา กล่าว
       
       น.ส.ณัฐยา กล่าวต่อว่า ที่สำคัญปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลวิชาการถึงประสิทธิผลของวัคซีนในระยะยาวเกินกว่า 10 ปี เนื่องจากเป็นวัคซีนใหม่ ทำให้ไม่สามารถตัดสินได้ว่าการฉีดวัคซีน 3 เข็มนี้ จะสามารถป้องกันการติดเชื้อ HPV ได้นานเพียงใด และต้องฉีดซ้ำหรือไม่ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะทำให้ความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขลดลง สอดคล้องกับ ประเด็นเรื่องราคาของวัคซีน ซึ่ง HITAP ได้ประเมินเรื่องความคุ้มค่าโดยหลักเศรษฐศาสตร์สาธารณสุข หากวัคซีนราคาต่ำกว่า 190 ต่อเข็ม ถือว่ามีความคุ้มค่าในการใช้วัคซีนเมื่อเปรียบเทียบกับการตรวจคัดกรอง เพราะจะทำให้ต้นทุนของการฉีดวัคซีนเท่ากับงบประมาณที่จะประหยัดได้จากการรักษาผู้ป่วยมะเร็งปากมดลูกในอนาคต
       
       น.ส.ณัฐยา กล่าวอีกว่า ภาคีเครือข่ายขอเสนอทางเลือกเชิงนโยบาย เพื่อช่วยให้อุบัติการณ์เกิดโรคมะเร็งปากมดลูกลดลง คือ

1.เพิ่มความครอบคลุมการตรวจคัดกรองให้ได้ตามเป้าหมายของประเทศ คือ 80% ซึ่งจะช่วยลดผู้ป่วยมะเร็งได้เพิ่มอีก 530 ราย และลดผู้เสียชีวิตได้ 250 ราย

2.ควรมีการศึกษาเรื่องความคุ้มค่าทางเศรษฐศาสตร์สาธารณสุขให้สอดคล้องกับข้อมูลระบาดวิทยาในประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งจะใกล้เคียงกับประเทศไทย และสร้างความเข้าใจประชาชนใหม่ ว่า การฉีดวัคซีนไม่สามารถทดแทนการตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูกได้ จึงต้องรับการตรวจคัดกรองอย่างเหมาะสมอยู่ดี
       
3.ควรนำนโยบายดังกล่าวผ่านการพิจารณาโดยคณะกรรมการวัคซีนแห่งชาติ และคณะอนุกรรมการชุดสิทธิประโยชน์ฯ ของ สปสช.รวมทั้งคณะอนุกรรมการพัฒนาบัญชียาหลักแห่งชาติ เพราะจะต้องพิจารณาวัคซีนใหม่ไปพร้อมกันอีกหลายตัว และ

4.ควรจัดให้มีเวทีรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วนอย่างเปิดเผย
       
       ทั้งนี้ เครือข่ายที่เข้าร่วม ได้แก่ 1.เครือข่ายเยาวชนเพื่อการพัฒนา 2.เครือข่ายเยาวชนด้านเอดส์ ประเทศไทย 3.เครือข่ายผู้ติดเชื้อเอชไอวีแห่งประเทศไทย 4.เครือข่ายสร้างเสริมสุขภาวะทางเพศ 5.เครือข่ายผู้หญิงในระบบหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ 6.แผนงานสร้างกลไกเฝ้าระวังระบบยา 7.เครือข่ายเด็กและเยาวชนภาคเหนือตอนบน 8.เครือข่ายคนทำงานด้านเด็ก จังหวัดเชียงใหม่ 9.มูลนิธิเครือข่ายครอบครัว 10.กลุ่มเยาวชนดอกลมแล้ง อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 11.กลุ่มคนวัยใส 12.กลุ่มเขลางค์เพื่อการพัฒนา 13.กลุ่มแม่หญิงดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ 14.เครือข่ายเยาวชน อ.สันทราย จ.เชียงใหม่ 15.มูลนิธิพัฒนาศักยภาพเยาวชน (ไทยัพ) 16.สำนักข่าวเด็กและเยาวชน จังหวัดพะเยา 17.ชมรมเครือข่ายครอบครัวเลี้ยงเดี่ยว 18.คณะกรรมการองค์กรพัฒนาเอกชนด้านเอดส์ (กพอ.) 19.มูลนิธิเข้าถึงเอดส์ 20.มูลนิธิศูนย์คุ้มครองสิทธิด้านเอดส์ และ 21.มูลนิธิสร้างความเข้าใจเรื่องสุขภาพผู้หญิง

ASTVผู้จัดการออนไลน์    18 พฤษภาคม 2555

5774
 ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้อำนวยการสำนักบริหารการชดเชยค่าบริการ สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)
       
       ระบบการให้บริการเจ็บป่วยฉุกเฉินลดความเหลื่อมล้ำ 3 กองทุนที่รัฐบาลประกาศใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.2555 จนถึงวันนี้ ยังไม่พบปัญหาใดๆ ที่เป็นอุปสรรคจนทำให้ต้องยุติ หรือยกเลิกโครงการ แต่ที่เห็นได้ชัด ก็คือ ประชาชนที่เจ็บป่วยฉุกเฉินจนอาจเสียชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ได้รับบริการช่วยชีวิตไปแล้วถึง 1,074 ราย (ข้อมูลตั้งแต่ 1-30 เม.ย.2555)
       
       ข่าวที่ปรากฏในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของเดือน เม.ย.จึงไม่ใช่ปัญหาการเข้าถึงบริการของประชาชน แต่เป็นปัญหาที่สะท้อนมาจากโรงพยาบาลเอกชน ว่า เงินชดเชยที่ภาครัฐกำหนดให้จ่ายตามระบบ DRGs โดยมีอัตราจ่ายที่ 10,500 บาทต่อหนึ่งหน่วยน้ำหนักสัมพัทธ์ อาจไม่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริงและทำให้โรงพยาบาลเอกชนที่ให้บริการประสบภาวะขาดทุนได้
       
       ผมเชื่อว่า หลายท่านคงสงสัย และอยากรู้ว่า ระบบ DRGs คืออะไร และเกี่ยวข้องอย่างไรกับการจ่ายเงินชดเชย DRGs มาจากคำว่า Diagnostic Related Groups หรือระบบการวินิจฉัยโรคร่วม ซึ่งหมายถึงการจัดกลุ่มโรคที่มีต้นทุนในการให้บริการใกล้เคียงกันมาไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน แต่ละกลุ่มจะมีค่าน้ำหนักประจำกลุ่มซึ่งแปรผันได้ตามจำนวนวันที่นอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล ยกตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยชายไทย อายุ 40 ปี มาโรงพยาบาลด้วยอาการปวดท้องด้านขวามาก มีอาการคลื่นไส้อาเจียน แพทย์ตรวจร่างกาย ตรวจเลือด และวินิจฉัยว่าเป็นไส้ติ่งอักเสบ และเข้ารับการผ่าตัด นอนพักในโรงพยาบาล 5 วัน โดยไม่มีภาวะแทรกซ้อนใดๆ จากนั้นแพทย์อนุญาตให้กลับบ้าน กรณีนี้ เมื่อป้อนข้อมูลเข้าระบบเพื่อจัดกลุ่มโรค จะจัดอยู่ในกลุ่มรหัส 06070 มีน้ำหนักสัมพัทธ์เท่ากับ 1.1468 แต่หากผู้ป่วยนอนในโรงพยาบาล 7 วันเนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อน เช่น แผลผ่าตัดติดเชื้อและ/หรือมีโรคร่วมที่เพิ่มค่าใช้จ่ายในการดูแล เช่น ภาวะปอดอุดกั้นเรื้อรังจะจัดอยู่ในกลุ่ม 06074 มีน้ำหนักสัมพัทธ์เท่ากับ 3.3052 เป็นต้น
       
       ที่เรียกว่า “น้ำหนักสัมพัทธ์” ก็เนื่องจากเป็นผลลัพธ์จากการนำค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดจากการให้บริการในกลุ่มโรคนั้นๆ หารด้วยค่าเฉลี่ยของค่าใช้จ่ายจากการให้บริการของทุกๆ กลุ่มโรคจากการเก็บข้อมูลการให้บริการจริงอย่างต่อเนื่อง 3-5 ปี ดังนั้น น้ำหนักสัมพัทธ์ของการผ่าตัดไส้ติ่งที่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน 1.1468 จึงหมายความว่าการผ่าตัดไส้ติ่งในกรณีดังกล่าวมีการใช้ทรัพยากรเป็น 1.1468 เท่าของการใช้ทรัพยากรในการรักษาเฉลี่ยทุกโรคแต่นั้นยังไม่ใช่เงินชดเชยค่าบริการที่จะต้องจ่ายให้กับโรงพยาบาลนะครับ
       
       หลายท่านคงมีประสบการณ์การไปรับบริการในคลินิก หรือโรงพยาบาลเอกชนไม่มากก็น้อย หลังพบคุณหมอเพื่อซักประวัติ ตรวจร่างกาย คุณหมอก็จะสั่งยา จากนั้นก็ไปรับยาที่ห้องยาพร้อมชำระเงิน ผมเชื่อว่า ราคาที่ปรากฏในใบแจ้งหนี้ที่โรงพยาบาลแต่ละแห่งเรียกเก็บมีโอกาสไม่เท่ากัน เพราะต้นทุนของแต่ละโรงพยาบาลไม่เท่ากัน การคิดค่าบริหารจัดการ หรือค่าบริการก็ไม่เท่ากัน แม้ว่าผู้ป่วยจะถูกวินิจฉัยด้วยโรคเดียวกัน ดังนั้น เมื่อกองทุนสุขภาพของประเทศไทยทั้ง 3 กองทุน ได้แก่ กองทุนหลักประกันสุขภาพ สวัสดิการข้าราชการและกองทุนประกันสังคมเป็นตัวแทนในการจ่ายเงินชดเชยให้กับโรงพยาบาลแทนสมาชิกของแต่ละกองทุน จึงนำระบบ DRGs และค่าน้ำหนักสัมพัทธ์มาใช้ ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลที่ใช้กันทั่วโลก
       
       แปลว่า ในระบบ DRGs การให้บริการจากโรงพยาบาลใดๆ ไม่ว่าใหญ่หรือเล็ก เมื่อผลการให้บริการนั้นถูกจัดกลุ่มไปอยู่ในกลุ่มเดียวกัน จะให้ค่าน้ำหนักสัมพัทธ์ที่เท่ากันเสมอ แต่ในชีวิตจริงแม้ว่าผลการให้บริการนั้นจะถูกจัดไปอยู่ในกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมเดียวกัน แต่ผู้ป่วยอาจนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลด้วยจำนวนวันนอนที่ไม่เท่ากัน เช่น การให้บริการผ่าตัดไส้ติ่งในเด็ก อาจนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลเพียง 5 วัน แต่ผู้สูงอายุที่ได้รับการผ่าตัดไส้ติ่ง อาจต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาลถึง 9 วัน ดังนั้น เมื่อจัดกลุ่มเรียบร้อยแล้ว จะมีการนำวันนอนพักรักษาตัวมาใช้คำนวณเพื่อให้ได้น้ำหนักสัมพัทธ์ที่สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง วันนอนที่มากกว่าจึงส่งผลต่อน้ำหนักสัมพัทธ์ให้มีค่ามากกว่า และค่าที่ปรับได้เรียกว่า น้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับตามวันนอน (Adjusted Relative Weight: AdjRW) เงินชดเชยค่าบริการจะเป็นเท่าไร จะใช้น้ำหนักสัมพัทธ์ที่ปรับตามวันนอนนี่เองเป็นหลักในการคำนวณ ไม่ว่าจะให้บริการที่ใดก็ตาม
       
       เหมือนเราไปหาซื้อแตงโมสักลูกกับชาวไร่ น้ำหนักชั่งในสวนเท่ากับ 2.5 กิโลกรัม เมื่อนำมาขายในตลาดไท แตงโมลูกนั้นก็ยังคงหนัก 2.5 กิโลกรัม สุดท้ายถูกนำมาขายต่อในห้างสรรพสินค้า แตงโมลูกนั้นก็ยังคงหนัก 2.5 กิโลกรัมเท่าเดิม แต่ราคาขายต่อ 1 กิโลกรัมต่างหากที่แตกต่างกันระหว่างในสวน ในตลาดหรือในห้างสรรพสินค้า
       
       สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติใช้ DRGs เป็นเครื่องมือในการจ่ายเงินชดเชยให้กับโรงพยาบาลมาตั้งแต่ปี 2545 ตั้งแต่ รุ่นที่สาม (Version 3) จนปัจจุบันเป็นรุ่นที่ห้า (Version 5) รุ่นที่ใหม่กว่าจะมีการปรับปรุงเพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในการชดเชยให้กับโรงพยาบาลตามทรัพยากรที่ใช้ไปในค่าเฉลี่ย ยกตัวอย่างเช่น รุ่นที่ 3 มีการจัดกลุ่มวินิจฉัยโรคร่วมจำนวน 1,283 กลุ่ม รุ่นที่ 4 มีการจัดกลุ่มเพิ่มเป็น 1,920 กลุ่มและรุ่นที่ 5 มีการจัดกลุ่มโรคและหัตถการเพิ่มขึ้นเป็น 2,450 กลุ่ม ซึ่งมีความละเอียดมากขึ้น ส่งผลให้น้ำหนักสัมพัทธ์ที่ได้มีความสอดคล้องกับการวินิจฉัยโรคและหัตถการมากขึ้น

       ยกตัวอย่างผู้ป่วยท้องเสียและมีภาวะโพแทสเซียมต่ำ ใน DRGs รุ่น 4 จัดอยู่ในกลุ่ม 06573 มีน้ำหนักสัมพัทธ์เท่ากับ 0.6268 แต่จากการศึกษาพบว่าค่าใช้จ่ายภาวะโพแทสเซียมต่ำในผู้ป่วยท้องเสียไม่ได้มีผลทางสถิติต่อค่าใช้จ่ายจริง ซึ่งอาจเกิดจากค่ายาเพิ่มโพแทสเซียมมีราคาถูกลงมาก ใน DRGs รุ่น 5 จึงมีการจัดกลุ่มใหม่เป็น 06571 และมีน้ำหนักสัมพัทธ์เป็น 0.4100 ในขณะที่ผู้ป่วยท้องเสียและ มีภาวะช็อกจากการเสียน้ำซึ่งเป็นภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงกว่าภาวะโพแทสเซียมต่ำที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม 06573 กลับมีน้ำหนักสัมพัทธ์เพิ่มขึ้นเป็น 1.0796 ซึ่งแพทย์ผู้รักษาเองก็คงไม่ต้องการเห็นโรงพยาบาลได้รับการชดเชยบริการเท่ากันในโรคแทรกทั้งสองชนิด
       
       DRGs มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องโดยคณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยนเรศวรต่อเนื่องกันมาเป็นเวลากว่า 10 ปี โดยใช้ข้อมูลการให้บริการจริงจากโรงพยาบาลทั่วประเทศที่บันทึกเพื่อขอเบิกค่าใช้จ่ายจากกองทุนหลักประกันสุขภาพแห่งชาติและสวัสดิการข้าราชการ สำหรับ DRGs รุ่นที่ 5 หลังจากคณะวิจัยได้ทำการศึกษามาระยะหนึ่งได้มีการประชุมระดมสมองและประชาพิจารณ์ครั้งที่ 1 ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2552 และเมื่อจัดทำต้นร่างเรียบร้อยแล้ว ได้จัดประชุมเพื่อระดมสมองและประชาพิจารณ์ครั้งที่ 2 วันที่ 27 สิงหาคม 2553 ที่โรงแรมริชมอนด์ จังหวัดนนทบุรี โดยมีตัวแทนจากกระทรวงสาธารณสุขและกรมที่เกี่ยวข้อง โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย โรงพยาบาลจังหวัด โรงพยาบาลชุมชน โรงพยาบาลเอกชน โรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหม สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ศูนย์วิจัยและติดตามความเป็นธรรมทางสุขภาพ สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข สำนักงานประกันสังคม กรมบัญชีกลาง สำนักงานพัฒนานโยบายสุขภาพระหว่างประเทศ ราชวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์ เช่นราชวิทยาลัยรังสีแพทย์ ราชวิทยาลัยจิตแพทย์ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งประเทศไทย เป็นต้น
       
       เพื่อป้องกันความสับสนของโรงพยาบาลทั่วประเทศที่เบิกเงินชดเชยจากกองทุนสุขภาพทั้ง 3 กองทุนได้ตกลงร่วมกันว่าจะประกาศใช้ DRGs รุ่นเดียวกัน โดยได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการของแต่ละกองทุน
       
       สำหรับสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้มีการเชิญคณะผู้วิจัยเข้าไปนำเสนอระเบียบขั้นตอนการวิจัยและเสนอผลการจัดทำ DRGs รุ่น 5 ต่อคณะกรรมการควบคุมคุณภาพและมาตรฐานบริการสาธารณสุขซึ่งมีตัวแทนจากวิชาชีพต่างๆ เช่น อธิบดีกรมการแพทย์ ผู้แทนราชวิทยาลัยแพทย์เฉพาะทางสาขาสูตินรีเวช สาขาศัลยกรรม สาขาอายุรกรรม สาขากุมารเวชกรรม ผู้แทนผู้ประกอบวิชาชีพการพยาบาลและผดุงครรภ์ ทันตกรรม เภสัชกรรม ผู้แทนโรงพยาบาลเอกชน ผู้แทนแพทยสภา สภาการพยาบาล ทันตแพทยสภา สภาเภสัชกรรม ฯลฯ เพื่อขอรับความคิดเห็น และนำเสนอต่อคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติเพื่อขอความเห็นชอบ
       
       กว่าจะออกมาเป็น DRGs ในแต่ละรุ่นต้องผ่านกระบวนการศึกษาวิจัยทางวิชาการอย่างละเอียด ผ่านการระดมสมองและประชาพิจารณ์ โดยเชิญผู้มีส่วนได้เสียในทุกภาคส่วน จึงอาจกล่าวได้ว่า DRGs เป็นเครื่องมือหนึ่งในการสร้างความเป็นธรรมในระบบบริการสาธารณสุขในเวลานี้
       
       ก็เหมือนกับตัวอย่างของแตงโมที่เล่าให้ฟังก่อนหน้า จะมีใครวิจารณ์ไหมว่าหน่วย “กิโลกรัม” ที่ใช้กันอยู่ในทุกวันนี้ไม่เป็นธรรม หรือจะสร้างความหายนะให้กับวงการค้าขายแตงโม ส่วนราคาขายต่อหน่วยน้ำหนักควรจะเป็นเท่าไร ยุติธรรมไหม ก็ว่ากันเป็นอีกเรื่องไปนะครับ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    15 พฤษภาคม 2555

5775
ประธานชมรมแพทย์ชนบท ชี้ การเลือกเลขาธิการ สปสช.ได้คนเดิมจะทำให้งาน สปสช.พัฒนาต่อเนื่องได้ และเลขาธิการ สปสช. สมัยสองต้องมีความอิสระ ไม่อยู่ภายใต้อำนาจสั่งการที่มิชอบของฝ่ายการเมือง และกลุ่มผลประโยชน์แอบแฝงในบอร์ด สปสช.จึงจะเป็นเลขาธิการที่สง่างาม และได้รับการสนับสนุนจากประชาชน
       
       นพ.เกรียงศักดิ์ วัชระนุกูลเกียรติ ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าวถึงผลการเลือกเลขาธิการ สปสช.คนใหม่ ว่า ได้คนที่เหมาะสม และสามารถสานต่องานได้ทันที แต่ต้องระวังแผนล้ม หรือเปลี่ยนหลักการระบบบัตรทองของกลุ่มการเมือง บริษัทยาข้ามชาติ ข้าราชการประจำที่กลัวเสียอำนาจ และแพทย์พาณิชย์ที่ยังจ้องจะแสวงหาประโยชน์จากกองทุน สปสช.นับแสนล้านบาทอยู่ และมุ่งทำให้เป็นระบบสงเคราะห์คนอนาถาเหมือนในอดีต ดังนั้น เลขาธิการ สปสช.สมัยที่สองต้องหนักแน่น เป็นอิสระ ไม่ปล่อยให้กองทุนหลักประกันสุขภาพ และ สปสช.ถูกแทรกแซง ล้วงลูก หรือแสวงหาประโยชน์ จึงจะเป็นเลขาธิการ สปสช.สมัยที่สองที่สง่างาม
       
       “เลขาธิการ สปสช.จะต้องไม่ยอมรับคำสั่ง หรือปล่อยให้มีการแสวงหาประโยชน์จากเงินกองทุนและการแทรกแซงงานบริหารบุคคลภายใน สปสช.ตามที่เป็นข่าว เพราะสังคมกำลังจับตามองและตรวจสอบการใช้เงินกองทุน โดยเฉพาะในส่วนของงบลงทุนค่าเสื่อมจำนวนกว่าห้าร้อยล้านบาท ที่มีการดำเนินการมาจากกระทรวงอย่างรีบเร่ง และการขอตำแหน่งรองเลขาธิการเพิ่มจากฝ่ายการเมืองเพื่อแต่งตั้งคนภายนอกของตน เป็นการเตรียมการยึดครอง สปสช.ในอนาคต” ประธานชมรมแพทย์ชนบท กล่าว
       
       รายงานข่าวจากที่ประชุมบอร์ด สปสช.แจ้งว่า ได้มีการรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงตามประเด็นข้อสังเกตที่ สตง.ได้ตั้งไว้ต่อการบริหารงานที่ผ่านมาของ สปสช.โดยคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงที่ รมว.สาธารณสุข แต่งตั้งได้สรุป และรายงานผลการสอบข้อเท็จจริงดังกล่าวว่า ข้อสังเกตทั้ง 7 ข้อของ สตง.ไม่มีประเด็นเรื่องทุจริต หรือทำให้ทางราชการเกิดความเสียหาย เป็นเพียงการบริหารงานที่ยึดกฎหมายและระเบียบปฏิบัติที่แตกต่างกันของ สตง.และ สปสช.ซึ่งมีบางประเด็นที่อาจต้องหารือสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อความชัดเจนในทางปฏิบัติในอนาคต และมอบให้ สปสช.ทำรายละเอียดข้อชี้แจง เสนอต่อ สตง.ต่อไป และมีข่าวว่า สปสช.กำลังเตรียมการฟ้องร้องเอาผิดต่อกลุ่มคนที่กล่าวหา และสร้างข้อมูลเท็จทำให้เกิดความเสียหายต่องานของ สปสช.ที่ผ่านมา

ASTVผู้จัดการออนไลน์    14 พฤษภาคม 2555

หน้า: 1 ... 383 384 [385] 386 387 ... 535