เมื่อวันที่ 12 ก.พ. ที่กระทรวงสาธารณสุข นพ.โสภณ เมฆธน อธิบดีกรมควบคุมโรค เปิดเผยว่า จากข้อมูลของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค เมื่อปี 2557 พบว่าคนไทยเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เพิ่มขึ้นจาก 35.89 ต่อประชากรแสนคนในปี 2552 เป็น 52.69 ต่อแสนประชากร โดยเฉพาะในรอบ 10 ปีนี้ พบวัยรุ่นอายุ 10-19 ปี ติดกามโรคเพิ่มขึ้นเกือบ 5 เท่าตัว จากอัตราการเกิดโรค 7.53 เป็น 34.50 ต่อประชากรแสนคน อายุ 20-19 ปีเพิ่มขึ้น 2 เท่าตัวจากอัตราการเกิดอยู่ที่ 26.66 เป็น 42.73 ต่อประชากรแสนคน และคาดว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าอัตราการติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในทั้ง 2 กลุ่มจะเพิ่มขึ้นเป็น 21,137 คน เพราะใช้ถุงยางอนามัยระหว่างมีเพศสัมพันธ์ลดลง โดยจาการสำรวจความเห็นประชาชนอายุ 15 ปีขึ้นไป จำนวน 3,000 ราย ระหว่างวันที่ 11-13 ม.ค. พบว่าใช้ถุงยางอนามัยร้อยละ 88.6 ไม่เคยใช้ร้อยละ 6.7 และหากมีเพศสัมพันธ์กับคนที่ไม่ใช่คู่รัก พบว่าใช้ถุงยางอนามัยเป็นประจำร้อยละ 57 ใช้เป็นบางครั้งร้อยละ 35.7 และไม่เคยใช้เลยร้อย 7.3 ตรงนี้ถือว่าน่าเป็นห่วง
อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่าประชาชนมีความรู้เรื่องการใช้ถุงยางอนามัยป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ร้อยละ 76.8 ลดลงจากปี 2557 ที่ประชาชนมีความรู้เรื่องนี้ถึงร้อยละ 86.2 ขณะเดียวกันยังมีทัศนคติในด้านลบต่อผู้ชายและผู้หญิงที่พกถุงยางอนามัยติดตัวว่าเป็นคนที่สำส่อน ร้อยละ 5.4 เซ็กส์จัดร้อยละ 6.45 และมีอาชีพขายบริการทางเพศร้อยละ 5.5 ส่วนทัศนคติด้านบวกที่มองว่าเป็นคนทันสมัย ป้องกันโรคติดต่อให้กับตัวเองและผู้อื่นลดลงมาที่ร้อยละ 64.8 จากเมื่อปี 2557 อยู่ที่ 78.4 ทั้งนี้เมื่อสอบถามถึงหาถุงยางอนามัยได้จากแหล่งใดพบว่าหาได้จากร้านสะดวกซื้อร้อยละ 66.5 ซุปเปอร์มาร์เก็ต หรือห้างสรรพสินค้าร้อยละ 49.7 รพ.สถานบริการทางการแพทย์ร้อยละ 43.6 ส่วนสถานศึกษานั้นมีเพียงร้อยละ 18.5 เท่านั้น ซึ่งจากการสำรวจเพิ่มเติมเรื่องการติดตั้งเครื่องหยอดถุงยางอนามัยในโรงเรียนพบว่าประชาชนเห็นด้วยร้อยละ 60 เพิ่มขึ้นจากปี 2557 ร้อยละ 47.6 แต่ถึงอย่างนั้นก็มีประชาชนกว่าร้อยละ 43.5 ที่ยังรู้สึกอายเวลาไปซื้อที่ร้านสะดวกซื้อ
ด้าน นพ.สมชายโชติ ปิยวัชร์เวลา โฆษกกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า ขณะนี้น่าเป็นห่วงวัยรุ่นเพราะเลือกใช้ถุงยางอนามัยขนาดใหญ่กว่าขนาดอวัยวะเพศของตัวเอง เพราะมีทัศนคติที่ผิดคือกลัวเพื่อหยามว่าอวัยวะเพศเล็กไม่สมศักดิ์ศรีความเป็นชาย ซึ่งตรงนี้ทำให้เกิดการเลื่อนหลุด และเสี่ยงติดโรคทางเพศสัมพันธ์หรือตั้งครรภ์ได้ จึงอยากให้เปลี่ยนทัศนคติและหันมาสร้างบรรยากาศความรักแทน
ทั้งนี้จากผลสำรวจของกระทรวง พบว่าผู้ชายไทยส่วนใหญ่มีขนาดอวัยวะเพศ
52 มม. 12 ล้านคน
49 มม. 6.5 ล้านคน
54 มม. 3.6 ล้านคน และ
56 มม. 1.2 ล้านคน
ส่วน พญ.พรรณพิมล วิปุลากร รองอธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ขณะนี้ชายไทยหลอกตัวเองเรื่องขนาดอวัยวะเพศ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนๆ เพราะถือว่าเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี จึงมีการซื้อถุงยางอนามัยขนาดใหญ่กว่าขนาดอวัยวะเพศ ทำให้มีปัญหาเลื่อนหลุดะระหว่างมีเพศสัมพันธ์ อีกทั้งยังส่งผลเกิดปัญหาไปใช้วิธีการต่างๆ เพื่อเพิ่มขนาดอวัยวะเพศ เช่น การฉีดน้ำมันมะกอก เป็นต้น จนเป็นอันตรายต่อชีวิต.
12 กุมภาพันธ์ 2558
http://m.dailynews.co.th/News.do?contentId=300644
