120 วัน เปิดประเทศ
ความฝันที่อาจไม่เป็นความจริง
หากวิเคราะห์ว่า ทำไม นายกฯ ลุงตู่ ถึงกล้าประกาศเปิดประเทศภายใน 120 วัน ก็คงต้องมองว่า เป็นเพราะสถานการณ์บีบบังคับให้ทำเช่นนั้น ที่สำคัญคือ ถ้าไม่ทำอาจส่งผลทำให้การบริหารราชการแผ่นดินมีปัญหา ด้วยประชาชนตกระกำลำบากจากผลพวงการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งสามระลอกมาอย่างต่อเนื่อง และคะแนนนิยมของ รัฐบาล 3 ลุง ต่ำเตี้ยเรี่ยดินลงไปทุกที
ที่สำคัญ ถ้าหากไม่มี เป้าหมาย อะไรเลย ประเทศไทยก็จะ อยู่ไปวันๆ โดยที่ไม่รู้ว่าผู้คนในประเทศจะมีชีวิตอยู่กันอย่างไร โดยเฉพาะอาชีพที่ได้รับผลกระทบและบรรดาผู้ที่หาเช้ากินค่ำซึ่งมิได้มีเงินเดือนประจำ หรือผู้ที่มีเงินเดือนประจำอย่างพนักงานบริษัทเอกชนก็อาจต้องถูกออกจากงานเนื่องจากกิจการดำเนินต่อไม่ไหว
เพราะฉะนั้นนี่คือ ความฝัน ที่ รัฐบาล 3 ลุง จะต้องเดินหน้าผลักดันให้เป็น ความจริง มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
และถ้าใช้ศัพท์ว่า รู้ว่าเสี่ยงแต่จำต้องเสี่ยง ก็คงจะไม่เกินเลยไปจากความเป็นจริงเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตาม ถามว่า อะไรทำให้เกิดความเชื่อมั่น ก็คงจะเป็นเรื่องการจัดสรรวัคซีนที่ได้ประกาศว่า ได้จัดหามาในจำนวนที่เชื่อว่าน่าจะเพียงพอต่อการรับมือการแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยแจ้งตัวเลขออกมาว่า จนถึงตอนนี้มีการลงนามในสัญญาจอง หรือสัญญาซื้อไปแล้ว 105.5 ล้านโดส และหากวัคซีนส่งมาเพียงพอในแต่ละเดือน และประมาณต้นเดือนตุลาคม จะมีประชาชนที่ได้รับการฉีดวัคซีน อย่างน้อยเข็มแรกแล้ว จำนวน 50 ล้านคน
แปลไทยเป็นไทยก็คือไม่ต้องรอ 2 เข็ม ก็พร้อมจะเปิดประเทศแล้วจ้า
นี่คือ ความท้าทายแรกที่จะต้องเผชิญ เพราะต้องไม่ลืมว่าปัญหาใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในช่วงที่ผ่านมาก็คือ การเลือกแทงม้าตัวเดียว ในช่วงแรก และถัดมาก็คือ เรื่อง วัคซีนไม่มาตามนัด เพราะแม้มีสัญญาเป็นเรื่องเป็นราว แต่อาจเกิดสิ่งที่ ไม่อาจคาดเดาได้ แล้วเหตุการณ์ทำนองนี้ก็เคยเกิดมาแล้วกับหลายประเทศ รวมทั้งประเทศไทย
ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนก็คือ เหตุความวุ่นวายที่เกิดกับผู้ลงทะเบียนผ่าน หมอพร้อม ที่ถูกเทกันแทบจะทุกจังหวัด โดยเฉพาะ กรุงเทพมหานคร(กทม.) ที่ดูจะมีความขัดแย้งสูงสุดจนต้องยกขบวนออกมาแถลงข่าวสยบรอยร้าวในสายตาประชาชน
นายกฯ ลุงตู่ บอกว่า ได้ลงนามในสัญญาจอง หรือสัญญาซื้อไปแล้ว 105.5 ล้านโดส แต่มิได้บอกว่า วัคซีนจะส่งมาถึงประเทศไทยเมื่อไหร่ เพียงแต่บอกสั้นๆ ว่า หากวัคซีนส่งมาเพียงพอในแต่ละเดือน และประมาณต้นเดือนตุลาคมก็น่าจะเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่อาจใช้คำว่า ประมาณการณ์ หากแต่ต้องชัวร์ เพราะที่ผ่านมาประเทศไทยก็เจอกับตัวเลขประมาณการณ์ในลักษณะนี้จากการส่งมอบของ แอสตร้าเซนเนก้า ที่นำไปสู่ปัญหาสารพัดสารพัน
ดังนั้น ถ้าต้องการทำให้ประชาชนมั่นใจ รัฐบาลลุง ก็ควรออกมาแจกแจงกันให้ชัดๆ ว่า 105.5 ล้านโดสมีกำหนดส่งมอบเมื่อไหร่ มิใช่ทำไปทำมากลายเป็นสัญญาหลวมๆ มิได้กำหนดวัน ว. เวลา น.ที่ชัดเจน ยิ่งถ้ากำหนดส่งปาเข้าไปในช่วงเดือนตุลาคมก็ยิ่งจะไปกันใหญ่
ทีนี้ เมื่อมาพิจารณาดูเป้าเฉพาะเดือนตุลาคมอันเป็นกำหนด เปิดประเทศ ก็ต้องมาพิจารณาว่า ประชาชน 50 ล้านคนที่ ลุงตู่ บอกว่าจะได้รับวัคซีนเข็มแรกนั้นจะมีความเป็นไปได้มากน้อยขนาดไหน
ณ ปัจจุบันจนถึงวันที่ 16 มิถุนายน 2564 มีประชาชนฉีดวัคซีนไปแล้วประมาณ 7 ล้านโดส แบ่งเป็นเข็มแรก 5,114,755 คน ครบสองเข็ม 1,889,028 คน หรือคิดเป็นจำนวนคนก็ตกอยู่ที่ประมาณ 7 ล้านคน เพราะฉะนั้นถ้าต้องฉีดให้ได้ 50 ล้านคนก็จะเหลือเป้าหมายอีกถึง 43 ล้านคน ซึ่งจะเห็นได้ว่าเป็นจำนวนไม่น้อยกับระยะเวลา 120 วันที่เหลืออยู่ ที่สำคัญคือ ผู้ที่ได้รับภูมิคุ้มกันต่อโควิด-19 อย่างมีประสิทธิภาพมีไม่มากนัก เพราะคนที่ได้รับวัคซีนครบสองเข็มมีเพียงแค่ราว 1.8 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับซิโนแวค เพราะคนที่ได้ฉีดวัคซีนของแอสตร้าเซนเนก้ามีจำนวนไม่มากนักที่ได้รับครบ 2 เข็ม
และถ้าหากจะฉีดให้ครบประชากรที่เหลืออีก 43 ล้านคนก็หมายความว่าต้องฉีดวันละประมาณ 350,000 โดส ซึ่งถามว่า ยากไหม ก็ต้องตอบว่า ไม่ยาก ถ้าหากมีวัคซีนเพียงพอให้ฉีด
นอกจากนี้ ประเด็นใหญ่ของไทยยังซับซ้อนมากขึ้นไปกว่าเดิมอีก เมื่อมีรายงานว่า โควิด-19 สายพันธุ์อินเดีย หรือที่เรียกกันในชื่อทางการว่า เดลตา กำลังแพร่ระบาดอย่างมีนัยสำคัญในประเทศไทย โดย นพ.ศุภกิจ ศิริลักษณ์ อธิบดีกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2564 ว่า จากการเฝ้าระวังเชื้อโควิดกลายพันธุ์ ตั้งแต่เดือนเมษายน-13 มิถุนายน โดยเก็บตัวอย่างผู้ติดเชื้อในเดือนเมษายน 5,055 คน พบเป็นสายพันธุ์อัลฟา 4,528 คน คิดเป็น 89.6 เปอร์เซ็นต์ สายพันธุ์เดลตา พบ 496 คน คิดเป็น 9.6 เปอร์เซ็นต์ และ สายพันธุ์เบตา 31 คน คิดเป็น 0.6 เปอร์เซ็นต์
ทั้งนี้ จากการเฝ้าระวังเชื้อกลายพันธุ์เดลตา ซึ่งพบครั้งแรกที่แคมป์คนงานก่อสร้างย่านหลักสี่ กรุงเทพฯ และเชื่อมโยงไปตามจังหวัดต่าง ๆ จนถึงขณะนี้พบสายพันธุ์นี้ใน 20 จังหวัด เช่น เชียงราย เพชรบูรณ์ นนทบุรี สระบุรี ปทุมธานี นครนายก สมุทรสาคร ชลบุรี ขอนแก่น ชัยภูมิ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี และกรุงเทพมหานคร โดยกรุงเทพฯ พบมากที่สุด 404 คน
นพ.ศุภกิจ คาดการณ์ว่า หลังจากนี้อีก 2-3 เดือน การแพร่ระบาดของเชื้อโควิดสายพันธุ์เดลตาในไทยจะมีแนวโน้มสูงขึ้น และจะแทนที่สายพันธุ์อัลฟา เพราะสามารถแพร่เชื้อได้เร็วกว่าสายพันธุ์อัลฟาถึง 40 เปอร์เซนต์ จึงต้องเฝ้าระวังใกล้ชิด เช่น กรณีที่พบกลุ่มผู้ป่วย 10 คน ในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตา ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างสอบสวนโรคให้แน่ชัด
นี่คือปัญหาใหม่ของระบบสาธารณสุขไทย ซึ่งแน่นอนว่า ผู้ที่ได้รับผลกระทบย่อมหนีไม่พ้น โรงพยาบาล และ บุคลากรทางการแพทย์ ที่ล้ากับการเผชิญศึกโควิด-19 มาอย่างต่อเนื่อง
รศ.นพ.นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว (นิธิพัฒน์ เจียรกุล) โดยมีข้อความส่วนหนึ่งระบุว่า หลงดีใจได้สามวันติดกัน ที่ตัวเลขผู้ป่วยโควิดเสียชีวิตเป็น 10+ แต่วันนี้หน้าหงายเมื่อดีดกลับไปที่ 40+ หวังลึกๆ ให้เป็นการกระเด้งดีดกลับทางเทคนิคเหมือนดัชนีตลาดหุ้น กลัวแต่ว่ามันจะลุกลามต่อไปเป็นการระบาดรอบใหม่ เนื่องจากยอดผู้ป่วยในเขตกทม.และปริมณฑลไม่ยอมลดต่อ แถมยอดผู้ป่วยหนักและผู้ป่วยใช้เครื่องช่วยหายใจที่เติมเข้ามาในรพ.หลักกลับมาเพิ่มใหม่หลังดีใจได้ไม่กี่วัน
ส่วนตัวแล้วคิดว่าอาจเป็นจาก 1.มีการระบาดของเชื้อสายพันธุ์อินเดีย เนื่องจากเชื้อสายพันธุ์ที่เข้ามาใหม่จะแสดงความรุนแรงทั้งในการแพร่กระจายง่ายและรุนแรงในแง่ของการเจ็บป่วย 2.การควบคุมการแพร่กระจายในกลุ่มแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายยังทำไม่ได้ดีพอ ส่งผลให้มีการลุกลามออกมาสู่ชุมชนคนไทยรอบข้าง กลุ่มก้อนนี้คงไม่สามารถจัดการได้ด้วยระบบปฏิบัติการปกติ เนื่องจากอยู่นอกเหนืออำนาจของหน่วยงานเฉพาะต่างๆ ที่มีอยู่ แรงงานข้ามชาติผิดกฎหมายนี้น่าจะแทรกซึมเป็นวงกว้าง ตั้งแต่งานบริการในครัวเรือน กิจการขนาดเล็ก ไปจนถึงสถานประกอบการขนาดกลาง ขนาดใหญ่ และขนาดยิ่งใหญ่ หลายคนมองไปถึงการบริหารจัดการแบบสมุทรสาครโมเดล แต่ในครั้งนั้นมีการบูรณาการดำเนินงานทั้งจากหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกจังหวัด รวมถึงงบประมาณในการดำเนินการที่เพียงพอเพราะไม่มีการระบาดในจังหวัดอื่นมากนัก มาถึงตรงนี้แล้ว อาจต้องพึ่งอำนาจพิเศษหรือมือที่มองไม่เห็น เพราะหากไม่รีบดำเนินการตัดตอนเรื่องนี้ให้ดี เกรงว่าวิกฤตโควิดระลอกสี่จะหนีไม่พ้น
ที่น่ากลัวคูณสองหรือมากกว่านั้น คือปัญหาข้อ 1. และข้อ 2. มีการเชื่อมโยงกัน !!! ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงการผ่อนผันมาตรการควบคุมโรคในกทม.ที่เพิ่งประกาศไปโดยไม่บอกถึงรายละเอียดมาตรการกำกับดูแลให้เป็นจริง หรือมาตรการเปิดประเทศใน 120 วันที่เพิ่งประกาศวันนี้โดยหวังจะใช้แต่วัคซีนเป็นคำตอบสุดท้าย ทำให้เสียวสันหลังวาบอยู่พิกล
พร้อมกันนี้หมอนิธิพัฒน์ ยังติดแฮชแท็กด้วยว่า #ชักกังวลว่าอาจจะมีวิกฤตโควิดระลอกสี่
เพราะฉะนั้น ถ้าหาก นายกฯ ลุงตู่ ต้องการเปิดประเทศตามแผนที่ได้ประกาศไว้ จำต้องคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ด้วย
ขณะที่ในส่วนของภาคธุรกิจนั้น ย่อมต้องเห็นด้วยการกับเปิดประเทศร้อยเปอร์เซ็นต์ โดย นายเกรียงไกร เธียรนุกุล รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย(ส.อ.ท.) ให้ความเห็นว่า การที่นายกฯกำหนดเป้าหมายเปิดประเทศใน 120 วันถือเป็นสิ่งที่ดี แต่จะต้องเร่งฉีดวัคซีนให้กับประชาชนตามแผนเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ ซึ่งจะส่งผลให้การดำเนินชีวิตของผู้คนกลับมาเป็นปกติได้อีกครั้ง โดยเฉพาะภาคการท่องเที่ยวจะสามารถทยอยเปิดพื้นที่ได้เร็วขึ้น บรรดาโรงแรม ร้านอาหารต่างๆ ก็จะสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้ปกติก่อให้เกิดการจ้างงาน
ทั้งนี้ ในต่างประเทศเองเช่น รัฐนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกาก็ประกาศชัยด้วยการยกเลิกมาตรการควบคุมโรคที่เกี่ยวข้องกับโควิด-19 ลงเกือบทั้งหมดแล้ว หลังจากต้องล็อกดาวน์เพื่อควบคุมโรคมาเป็นเวลานานถึง 15 เดือนโดยไม่ต้องสวมหน้ากาก และเว้นระยะห่างอีกต่อไป ซึ่งในส่วนของไทยเองตามแผนเปิดประเทศจะนำร่อง ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ (Phuket Sandbox) ต้อนรับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นนักเดินทางต่างชาติที่ฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19 ครบโดสแล้ว และแสดงผลตรวจไม่พบเชื้อโควิด-19 เข้ามาท่องเที่ยวและกักตัว 14 วันก่อนออกนอกพื้นที่ซึ่งจะเริ่ม 1 ก.ค.นี้โดยล่าสุดคนภูเก็ตได้ฉีดวัคซีนแล้ว 64% และก่อนถึงวันเปิดรับนักท่องเที่ยวจะครบ 70%
ทว่า สิ่งสำคัญที่ทุกฝ่ายต้องตระหนักคือระยะต่อไปแม้จะมีการทยอยเปิดพื้นที่ต้อนรับนักท่องเที่ยวหรือการเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เพิ่มขึ้นจนนำไปสู่การเปิดประเทศใน 120 วันตามเป้าหมายของรัฐบาลทุกฝ่ายต้องไม่อยู่บนพื้นฐานความประมาทในการดูแลป้องกันตนเองหรือการ์ดต้องไม่ตกเพราะขณะนี้หลายประเทศก็เริ่มมีการพบการกลายพันธุ์ของไวรัสโควิด ซึ่งหากกลับมาระบาดอีกครั้งก็จะยิ่งเป็นการซ้ำเติมมากกว่าเดิม จึงต้องนำบทเรียนของไทยในการแพร่ระบาด 3 รอบและบทเรียนจากต่างประเทศมาเป็นกรณีศึกษาเพื่อเตรียมป้องกันไว้ด้วย
อย่างไรก็ดี การที่คนระดับ นายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดของประเทศมีความมั่นคงมั่นใจเช่นนี้ ย่อมมิได้เป็นแค่ ลมปาก ที่หาความเชื่อถือไม่ได้ และคงต้องมั่นใจในระดับหนึ่ง ที่สำคัญคือต้องเปิดเผย ความจริง กับประชาชน มิใช่ ขายฝัน ไปวันๆ ไม่เช่นนั้นรับประกันว่า เมื่อถึงวันนั้นถ้าทำไม่ได้ตามที่เปล่งวาจาออกมา รัฐบาลลุง คงต้องแสดงความรับผิดชอบในทางใดทางหนึ่ง ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่ากระมังว่าเป็น ทางใด.
19 มิ.ย. 2564 ผู้จัดการออนไลน์