ตร.ตะลึงพบแผงยาซูโดฯ ถูกฉีกทิ้งในพื้นที่ อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ อีกกว่า 5 ล้านเม็ด "ผอ.ป.ป.ส.ภาค 5" เชื่อโยงของเดิมที่เคยเจอ 1 ล้านเม็ด สั่งเร่งขยายผลหาที่มา "ธาริต" ประสาน สธ.หาข้อมูล รพ.ปล่อยยาล่องหน พร้อมเล็งดันคดีสาธารณสุขเข้า 9 ฐานคดีพิเศษ
คดีการลักลอบนำยาแก้หวัดที่มีสารซูโดอีเฟดรีนออกจากโรงพยาบาล กลายเป็นปัญหาที่ขยายวงกว้างออกไปในหลายโรงพยาบาลทั่วทั้งประเทศ รวมทั้งพบจำนวนยาที่หายออกไปจากระบบโรงพยาบาลเพิ่มขึ้นเรื่อยๆโดยล่าสุดเมื่อวันที่28 มี.ค. ในพื้นที่บ้านน้อย หมู่ 11 ต.สันกำแพง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ พบแผงยาที่มีส่วนผสมซูโดอีเฟดรีนถูกฉีกทิ้งอยู่กว่า 5 ล้านเม็ดถูกนำมาทิ้งไว้
พล.ต.ต.ชำนาญ รวดเร็ว รอง ผบช.ภ.5 พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอกชัย พิมลศรี ผกก.สภ.สันกำแพง นายวิชัย ไชยมงคล ผู้อำนวยการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติดภาค 5 และเจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน เดินทางไปตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ลึกจากถนนสายเชียงใหม่-แม่ออน ประมาณ 200 เมตร
เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่พบแผงยาแก้หวัดยี่ห้อต่างๆ ซึ่งถูกแกะเม็ดยาออกแล้ว รวมทั้งกล่องบรรจุภัณฑ์และขวดยาจำนวนมากถูกนำมาทิ้งไว้รวม 2 จุด โดยจุดแรกมีปริมาณแผงยาแก้หวัดประมาณ 25 ถุงดำ ขณะที่จุดที่สองอยู่เลยจากจุดแรกประมาณ 20 เมตร พบแผงยาแก้หวัดถูกทิ้งไว้ประมาณ 14 ถุงดำ ซึ่งแผงยาที่ถูกทิ้งไว้ในจุดที่ 2 ส่วนใหญ่ถูกตัดทำลายและบดย่อยแล้ว ต่างกับในจุดแรกที่แผงยาส่วนใหญ่ยังคงสภาพเดิมค่อนข้างมาก ขณะเดียวกันยังพบบัตรควบคุมการบรรจุ ระบุชื่อห้างหุ้นส่วนแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ
พล.ต.ต.ชำนาญกล่าวว่า เบื้อง ต้นคาดว่ามียาแก้หวัดประมาณ 15-17 ชนิดที่ถูกแกะเอาเม็ดยาออกไป โดยทั้งหมดเป็นยาแก้หวัดที่มีสารซูโดอีเฟรดีนเป็นส่วนประกอบ รวมยาแก้หวัดที่ถูกแกะออกไปแล้วประมาณ 3-5 ล้านเม็ด
นายวิชัยกล่าวว่า แผงยาแก้หวัดที่ตรวจพบในครั้งนี้น่าจะเป็นกลุ่มเดียวกับการตรวจพบแผงยาแก้หวัดประมาณ 1 ล้านเม็ดเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา เนื่องจากพื้นที่ที่พบแผงยาแก้หวัดในครั้งนี้อยู่ใกล้เคียงกับจุดที่เคยพบแผงยาแก้หวัดเมื่อเดือนก.พ. อีกทั้งชนิดของยาและลักษณะการตัดทำลายแผงยามีความใกล้เคียงกันแผงยามีความใกล้เคียงกัน
"ป.ป.ส.ภาค 5 จะประสานกับตำรวจภูธรภาค 5 เพื่อหาที่มาของยาแก้หวัดดังกล่าว โดยจะตรวจสอบจากเลขที่ระบุล็อตการผลิต เพื่อสืบสวนต่อไปว่ายาแก้หวัดเหล่านี้ เมื่อผลิตออกจากโรงงานแล้วถูกจำหน่ายหรือจัดส่งไปที่ใดบ้าง" ผอ.ป.ป.ส.ภาค 5 ระบุ
วันเดียวกัน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เข้าพบผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข ประกอบด้วย นาย พสิษฐ์ ศักดาณรงค์ ที่ปรึกษา รมว.สาธารณสุข, นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข และ นพ. พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เพื่อขอข้อมูลในการตรวจสอบโรงพยาบาลของรัฐและโรงพยาบาลเอกชน ถึงความผิดปกติในการสั่งซื้อ สั่งจ่ายยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน
นายธาริตกล่าวว่า ดีเอส ไอจะทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณ สุข 2 เรื่องคือคดีการหายไปของยาแก้หวัดที่มีส่วนผสมของซูโดอีเฟดรีน ซึ่งมีการทำงานร่วมกันในลักษณะสนธิกำลัง มีกฎหมายของดีเอสไอเป็นกฎหมายกลางให้แต่ละหน่วยยึดถือร่วมกัน และนับต่อจากนี้ไป กระทรวงสาธารณสุข, อย., กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ จะสนธิกำลังทำเรื่องนี้ให้จบรวมทั้งการเพิ่มสนับสนุนบริการสุขภาพ จะสนธิกำลังทำเรื่องนี้ให้จบรวมทั้งการเพิ่มฐานความผิดในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงสาธารณสุขจะกลายเป็นคดีพิเศษโดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้าคณะกรรมการสอบสวนคดีพิเศษอีกต่อไป มี 9 ฐานความผิด แนบท้าย พ.ร.บ.สอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 คือ คดีเกี่ยวกับยา, เครื่องสำอาง,วัตถุเสพติด, วัตถุอันตราย และอาหาร คาดว่าจะมีผลบังคับใช้ในเดือน เม.ย.
นายพสิษฐ์กล่าวว่า เชื่อว่าทุกอย่างน่าจะคลี่คลายในเร็วๆ นี้ อย่างไรก็ตาม คณะทำงานตรวจสอบเรื่องนี้ก็ยังพบความผิดปกติในโรงพยาบาลอีก 8 แห่งที่ตัวเลขไม่ตรงกัน ซึ่งกำลังขยายผลตรวจรายละเอียดอยู่.
ไทยโพสต์ -- พฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม 2555