ผู้เขียน หัวข้อ: ประชาชนคือป้อมปราการสุดท้าย  (อ่าน 989 ครั้ง)

knife05

  • Jr. Member
  • **
  • กระทู้: 60
    • ดูรายละเอียด
ประชาชนคือป้อมปราการสุดท้าย
« เมื่อ: 19 มีนาคม 2013, 21:13:14 »
นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมา การบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดเกิดขึ้นมากผิดปกติ
เปิดเผย ไม่เกรงกลัว
กลุ่มต่อต้านกษัตริย์ไม่เพียงเคลื่อนไหวในประเทศเท่านั้น
แต่ยังไปเคลื่อนไหวในต่างประเทศ โดยเฉพาะในสหรัฐ
ด้วยการป้อนชุดข้อมูลที่ดูเหมือนจริง แต่เป็นความเท็จ

ส่วนหนึ่งเป็นผลงานของนักล็อบบี้จากสำนักงานกฎหมายที่มีชื่อเสียงและบริษัทประชาสัมพันธ์
ที่ถูกใครบางคนจ้างไว้ 3 บริษัท บริษัทละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
(ประมาณ 30.3 ล้านบาท)
เพื่อไปล็อบบี้สมาชิกรัฐสภาและรัฐบาลอเมริกันเพื่อผลทางการเมืองของตน

อย่างไรก็ดี ผลข้างเคียงที่เกิดขึ้น คือ
เกิดกระแสต่อต้านสถาบันกษัตริย์ ในหมู่นักการเมืองอเมริกันมากขึ้น
อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ฝ่ายที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทยในสหรัฐทวีความเข้มแข็งมากขึ้น
มีการสร้างเว็บไซต์ในรูปแบบหลากหลาย เขียนบทความภาษาต่างๆ
ซึ่งส่วนใหญ่มาจากข้อเขียนของคนอเมริกัน 2 คน คนหนึ่งคือ เจ.เค.
แห่งคณะกรรมการวิเทศสัมพันธ์ (Council on Foreign Relations)
อันทรงอิทธิพลในสหรัฐ ที่ เจ.เค. ได้เขียนบทความโจมตีสถาบันกษัตริย์
และยกย่องเชิดชูฝ่ายตรงข้ามกษัตริย์สลับกันมาหลายปีแล้ว

อีกคนหนึ่งคือ เอ.เอ็ม.เอ็ม. ที่ยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างให้มาทำงานด้านนี้
และเป็นคนที่นำเอาคดีของ โจ กอร์ดอน และ อำพล ตั้งนพกุล หรือ "อากง"
มาเขียนโจมตี ม.112 เพื่อให้พาดพิงไปถึงพระมหากษัตริย์ไทย ในความเป็นจริง
คนพวกนี้ไม่ได้มีความรู้อะไรมากมาย
แต่ได้รับข้อมูลจากนักประวัติศาสตร์ชาวไทยสายสาธารณรัฐที่คนไทยรู้จักดี

ในกลางปี 2556 นักล็อบบี้พวกนี้วางแผนผลักดันให้มีการอภิปรายเชิงวิชาการ ในที่ประชุมประจำปีของสมาคมเอเชียศึกษา (Association of Asian Studies)

ซึ่งมีคนไทยที่ต่อต้านสถาบันกษัตริย์มีอิทธิพลอยู่
การอภิปรายดังกล่าวมีเป้าหมายมุ่งโจมตีสถาบันกษัตริย์ไทยเป็นการเฉพาะ
รวมทั้งมีแผนตีพิมพ์หนังสืออีกเล่มหนึ่ง โดยสำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐ

ที่ผู้เขียนอ้างหลักฐานจากห้องสมุดมหาวิทยาลัย รัฐสภาของสหรัฐ ที่ดูเผินๆ
แล้วน่าเชื่อถือ หรือเลือกเฉพาะส่วนที่สนับสนุนความคิดของตน
เพื่อหาทางทำลายความเชื่อถือพระมหากษัตริย์ไทยองค์ปัจจุบัน

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2554 ในวาระครบ 7 รอบ 84
พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นักล็อบบี้อเมริกันได้ส่งชุดข้อมูลที่ปั้นแต่งขึ้นจนทำให้สมาชิกสภาหลงเชื่อได้
สภาผู้แทนราษฎรสหรัฐพยายามหลีกเลี่ยง ไม่ส่งหนังสือถวายพระพรตามที่เคยปฏิบัติมา

จนสภาสูงต้องส่งหนังสือถวายพระพรแทน สะท้อนให้เห็นว่า
นักล็อบบี้ยิสต์อเมริกันทำงานให้กับนายจ้างอย่างได้ผล
ทำให้รัฐสภาชุดก่อนเข้าใจผิดและต่อต้านสถาบันกษัตริย์ไทย
ตกทอดมาถึงสภาใหม่ชุดที่ 113 ในปัจจุบัน

ไม่เพียงแต่เท่านั้น สถาบันบางแห่งของสหรัฐ เช่น
กองทุนแห่งชาติเพื่อประชาธิปไตย (National Endowment for Democracy)
ยังจัดสรรเงินงบประมาณของรัฐคิดเป็นเงินไทยกว่า 1,500 ล้านบาท
และอีกโครงการเป็นเงิน 200-300 ล้านบาท ให้กับกลุ่มต่อต้านสถาบันกษัตริย์
ตามที่กลุ่มพวกนี้ร้องขอมา โดยอ้างว่าเพื่อนำไปใช้ในการให้ความรู้ประชาชน ในการพัฒนาประชาธิไตย

แต่กลับนำไปสร้างสื่อและเว็บไซต์ ปลุกระดม
โฆษณาชวนเชื่อให้คนไทยบางกลุ่มต่อต้านสถาบันสูงสุด

นักล็อบบี้เหล่านี้ได้สร้างข้อมูลขึ้นมาชุดหนึ่งหรือหลายชุด
และไปเคลื่อนไหว ชักจูง ชี้นำ โน้มน้าวให้สมาชิกรัฐสภา

และสถาบันอื่นของสหรัฐ เชื่อในวาทกรรมที่ว่า
สถาบันสูงสุดเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาประชาธิปไตย สถาบันทำลายสิทธิมนุษยชน
อ้างว่าปัญหาของเมืองไทยไม่ใช่เรื่องการเมือง
แต่เป็นปัญหาการสืบราชสมบัติ เพื่อจะเสนอให้ใครบางคนเป็น
"ทางออก" ของชาติ

พวกนี้พยายามป้อนข้อมูลให้รัฐสภาอเมริกันเชื่อว่า "สถาบันไม่สู้แล้ว"
เพราะถ้าสถาบันไม่สู้
สหรัฐก็ไม่มีทางเป็นอื่นนอกจากจะยืนข้างฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามสถาบัน
และเป็นการส่งสัญญานไปยังประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เช่น
อังกฤษ ญี่ปุ่น รวมทั้งจีน ที่สนับสนุนสถาบันสูงสุดตลอดมา

หากสหรัฐและประเทศเหล่านี้สรุปว่า ฝ่ายสถาบันแพ้แน่
สหรัฐและประเทศเหล่านี้ซึ่งคิดถึงผลประโยชน์ของประเทศเขาเป็นสำคัญ
ก็ต้องเข้าข้างฝ่ายชนะ

อย่างไรก็ดี ฝ่ายสถาบันส่งสัญญานมาหลายครั้งแล้วว่า "ยังสู้" และ
"ไม่ยอมแพ้" โดยเฉพาะวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2555
ที่ประชาชนชาวไทยไปชุมนุมที่ลานพระบรมรูปฯ
อย่างมืดฟ้ามัวดินเพื่อเข้าเฝ้าถวายพระพร สะท้อนให้เห็นว่า
ประชาชนพร้อมที่จะสู้เคียงข้าง แต่ปรากฏ "แรงเฉื่อย" ในสถาบันทหาร ศาล และรัฐบาล จึงมีแต่ประชาชนเท่านั้นที่จะเป็นกำแพงป้องกันสถาบันสูงสุด ของประเทศให้พ้นจากการคุกคามจากฝ่ายบ่อนทำลายในและนอกประเทศได้

รัฐบาลชุดก่อนเคยให้ทุนมหาวิทยาลัยดังในอเมริกา อาทิ คอร์แนล วิสคอนซิน
เพนซิลเวเนีย ยูซีแอลเอ. จอห์น ฮอพกินส์ วอชิงตัน ดี.ซี. เพื่อสร้าง
"ศูนย์ไทยศึกษา" และ "เพื่อนประเทศไทย"
เพื่อให้เข้าใจสถาบันกษัตริย์ของไทย แต่ปรากฏว่า
ศูนย์เหล่านี้กลายเป็นกระบอกเสียงเผยแพร่การต่อต้านสถาบันสูงสุดไปหมด
และอาจขยายเครือข่ายกว้างขวางมากขึ้น ไปยังออสเตรเลีย ญี่ปุ่น สหภาพยุโรป

ไทยถูกคุกคามด้วยสงครามยุคใหม่ ทั้งสงคราม อสมมาตร (Asymmetric Warfare)

เช่น การก่อความรุนแรงช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2553
และสถานการณ์ความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ สงครามทุน และ
สงครามไซเบอร์ สงครามทั้งสามนี้มีศูนย์กลางอยู่ที่สหรัฐ
แต่มีสนามรบอยู่ทั่วโลก ในไทย สหรัฐต้องการใช้สนามบินอู่ตะเภาเป็น Global
Transpark ตอบสนองยุทธศาสตร์ของสหรัฐ ในภูมิภาคนี้ มีข่าวว่า
สหรัฐได้ส่งทหารรับจ้าง ที่เป็นทหารผ่านศึกแบบแรมโบ้ ที่เรียกว่า
"แบล็ควอเตอร์" ประมาณ 5-6 ชุดมาประจำอยู่ในไทย
โดยแต่ละคนได้รับค่าจ้างปีละ 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ เบี้ยเลี้ยงต่างหาก
เพื่อใช้ในการปฏิบัติการลับ (Covert Action) ตามนโยบายของสหรัฐ

อเมริกาถนัดในเรื่องพวกนี้มาก และประสบความสำเร็จในละตินอเมริกามาแล้ว

อันตรายที่เกิดขึ้นต่อสถาบันพระมหากษัตริย์นั้นเป็นเรื่องจริงและหนักหนา
ชาติและสถาบันกำลังเสี่ยงอันตรายอย่างคาดไม่ถึง
สิ่งที่เห็นทั้งในไทยและในต่างประเทศเป็นเพียง "ยอดภูเขาน้ำแข็ง"
ที่โผล่เหนือน้ำเพียง 1 ส่วน แต่อีก 9 ส่วนอยู่ใต้น้ำ

บทความนี้ไม่ต้องการให้คนไทยไปต่อต้านสหรัฐ
เพียงแต่ขอให้เพื่อนอย่าปล่อยให้คนมาทำร้ายประเทศชาติและราชบัลลังก์เท่านั้น
ปัญหาของประเทศไทยต้องแก้ด้วยคนไทยเป็นหลัก
เราต้องช่วยกันเป็นปราการด่านสุดท้ายในการปกป้องชาติและราชบัลลังก์
ให้ต่างชาติได้ตระหนักว่า สถาบันสูงสุดยังสู้
และคนไทยพร้อมจะสู้เพื่อปกป้องสถาบันสำคัญยิ่งของชาติ

โดย ภุมรัตน์ ทักษาดิพงษ์ อดีตผู้อำนวยการ สำนักข่าวกรองแห่งชาติ