ในอดีตอันยาวนานคนไทยรักษาตนเองด้วย สมุนไพรและแพทย์แผนไทยที่สืบทอดมานับพันปี ระบบการแพทย์ปัจจุบันได้เกิดขึ้นในประเทศไทยพร้อม กับการตั้งโรงพยาบาลศิริราช หลังการสิ้นพระชนม์ของ สมเด็จเจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ฯ ตั้งแต่ พ.ศ.2431 ต่อมา จึงเกิดโรงเรียนแพทย์ที่เรียกว่า ราชแพทยาลัย ผลิต แพทย์ตามวิชาการแพทย์สมัยใหม่และมีแพทย์จบ ประกาศนียบัตรรุ่นแรกเมื่อ พ.ศ.2436 ต่อมาจนถึงปี 2470 จึงเปลี่ยนเป็นผลิตแพทย์ปริญญาเป็นรุ่น 34 โดยได้รับความสนับสนุนจาก มูลนิธิรอคกี้เฟลเลอร์ ถือ ได้ว่าการแพทย์สมัยใหม่มีอายุเพียง 100 ปี แต่การ แพทย์ปัจจุบันของเมืองไทยได้ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว เพราะได้ส่งอาจารย์แพทย์สาขาต่างๆไปศึกษาเพิ่มเติม ต่างประเทศทั้งที่อังกฤษ เยอรมัน อเมริกา แคนาดา จนถึงญี่ปุ่น ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง อเมริกา ขาดแคลนแพทย์มาก แพทย์ไทยได้รับทุนหรือไปโดยทุน ส่วนตัวไปใช้เวลาประมาณ 5 ปี จบการศึกษาระดับ สูงเป็นจำนวนมากและได้ไปศึกษาต่างประเทศกลับมา ปฏิบัติงานในเมืองไทยทั้งในโรงเรียนแพทย์ต่างๆที่ เพิ่มขึ้นหลายแห่ง เช่น จุฬา เชียงใหม่ สงขลา ขอนแก่น ได้นำเครื่องมือแพทย์ วิธีการตรวจรักษาใหม่ๆจากต่าง ประเทศมาใช้โดยแพร่หลาย มีการศึกษาวิจัยโรคต่างๆ มากมาย
ระบบการให้การรักษาพยาบาลเริ่มด้วยการ ให้การรักษาฟรีทั้งหมด เพราะในระยะต้น คนไทยยัง ไม่แน่ใจในระบบการแพทย์แผนปัจจุบัน จนต่อมาผู้มีการศึกษาและมีฐานะเริ่มเข้ามารักษามากขึ้น เริ่มจัด เป็นผู้ป่วยพิเศษมีห้องอยู่ ชำระเงินบางส่วน ต่อไป จึงแบ่งเป็นคนไข้อนาถาไม่ต้องจ่าย คนไข้พิเศษจ่ายเงิน นอกจากนี้ คนไทยทั่วไปรู้จักการแพทย์ปัจจุบันผ่านแพทย์เชลยศักดิ์ที่ออกไปตั้งคลินิคต่างๆทั่วประเทศ คนไทยนิยมและเชื่อถือในระบบการแพทย์ปัจจุบันมากขึ้น มีโรงพยาบาลของรัฐเพิ่มมากขึ้น ต่อมามีโรงพยาบาล เอกชนที่รักษาทุกโรคที่เป็นขององค์กรศาสนาต่าง ประเทศ เช่น กรุงเทพคริสเตียน เซนต์หลุยส์ Nursing Home และมิชชั่น และมีในต่างจังหวัดบางแห่งด้วย เช่น เชียงใหม่ แต่ก็ไม่เพียงพอต่อความต้องการของคนไข้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่มีเศรษฐฐานะ จึงเริ่มมี โรงพยาบาลเอกชนที่รักษาเฉพาะโรคใดโรคหนึ่งขึ้น ในกรุงเทพฯ เช่น รับคลอดบุตรและโรคเฉพาะสตรี โรงพยาบาลโรคตา หู คอ จมูก บางโรงพยาบาลรับ เฉพาะศัลยกรรม และในต่างจังหวัดบางแห่งมี โรงพยาบาลเอกชนรักษาทุกโรค เมื่อความต้องการ มีมากขึ้น โรงพยาบาลรัฐไม่เพียงพอและให้ความ สะดวกแก่ผู้มีฐานะดีพอสมควรไม่ได้โดยเฉพาะ ในกรุงเทพฯ จึงเกิดโรงพยาบาลเอกชนรักษาทุกโรค (General Hospital) ขึ้นเป็นครั้งแรกคือ โรงพยาบาล วิชัยยุทธ เมื่อ พ.ศ.2512 และติดตามมาอีกหลายแห่ง จนบัดนี้มีโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯและเกือบทุก จังหวัดทั่วประเทศ ทำให้มีการกระจายของแพทย์เฉพาะ ทางต่างๆออกไปและดึงแพทย์ที่ไปอบรมต่างประเทศ แล้วกลับมาทำงานในประเทศไทยมากขึ้น คนไทยได้รับการรักษาทางแพทย์ที่มีมาตรฐานสูงขึ้นมากอย่างรวดเร็ว ทำให้มาตรฐานของการรักษาพยาบาลในโรงพยาบาลขนาด ใหญ่ทั้งของทางราชการและเอกชนจำนวนหนึ่งอยู่ใน ระดับเดียวกับต่างประเทศ จนถึงขนาดที่โรงพยาบาล เอกชนหลายแห่งมุ่งไปให้บริการคนไข้ที่มาจาก ต่างประเทศที่เรียกว่า มุ่งสร้าง Medical Hub แต่ในช่วง นี้นอกจากการนำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่เข้ามาแล้ว ปีที่ผ่านไปยังได้นำเข้าระบบโลกาภิวัตน์ทางการแพทย์ คือ ระบบการฟ้องร้องโรงพยาบาลและฟ้องแพทย์จากการปฏิบัติ ของสังคมต่างประเทศ โดยเฉพาะในอเมริกาเข้ามาสู่สังคม ไทยด้วย ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการนำเอาความสิ้นเปลือง ความย่อยยับมาสู่ระบบการแพทย์ไทยด้วย โดยคนไทย ยุคใหม่หาได้ตระหนักถึงผลเสียที่รุนแรงนี้ มุ่งแต่การทำ ตามสังคมอื่นและตามใจตัวเองตามที่ลักษณะคนไทย ในสังคมยุคใหม่ที่มองตัวเองเป็นใหญ่ ผลประโยชน์ของ คนอื่นไม่สนใจ ขอให้ตัวเองได้ประโยชน์ ไม่มีการให้ อภัย ไม่มีความเอื้ออารี ไม่มีเมตตา ไม่รู้จักธรรมะของ อนิจจัง ของ กรรม ทำตนเป็นผู้สร้างกรรมแบบ ตัวกูของกู หารู้ไม่ว่าสิ่งนี้จะมีผลร้ายสะท้อนกลับมาถึง ตนเองและลูกหลานของตนเองในอนาคตอันใกล้
.............................................................
สิ่งที่คนไทยยุคใหม่ไม่เข้าใจหรือจะเรียกว่าเข้าใจ ผิดในระบบการแพทย์ยุคใหม่มีอยู่หลายประการ
ประการแรก คนไทยยุคใหม่เข้าใจว่า ตามระบบ การแพทย์สมัยใหม่แพทย์จะสามารถวินิจฉัยและรักษาโรคได้ ถูกต้องเสมอไม่มีความผิดพลาดเลย ไม่ว่าจะมีเวลาพบ คนไข้เพียง 1-3 นาที ซักประวัติได้ไม่กี่ประโยคและ ตรวจร่างกายได้เพียงบางส่วนก็ต้องให้การรักษาแล้ว อย่างที่แพทย์ตามโรงพยาบาลต่างจังหวัดและโรงพยาบาล ในระบบ 30 บาทรักษาทุกโรคทำกันอยู่ ซึ่งไม่มีแพทย์ที่ ใดในโลกนี้จะทำได้ แต่เหตุการณ์บังคับให้ต้องทำเช่นนี้ คนก็คาดหวังให้เป็นหมอเทวดา วินิจฉัยโรคได้ถูก รักษาได้ถูก ซึ่งแม้แพทย์ที่เคยมีประสบการณ์ดูแลคนไข้ มาหลายๆปีแล้วก็ตาม ถ้าพบคนไข้ใหม่ที่ไม่เคยตรวจ รักษามาก่อนจะต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าครึ่งชั่วโมงต่อ 1 ราย ในการซักถามอาการของโรคที่ผู้ป่วยเป็น ตรวจ ร่างกายโดยละเอียด แพทย์ที่ได้รักษาคนไข้มานาน เคยพบโรคต่างๆโดยตนเองย่อมมีความชำนาญในการวินิจฉัยมากกว่าแพทย์ที่เพิ่งจบไม่กี่ปี แต่แพทย์จบใหม่ เหล่านี้ต้องไปทำงานในสถานการณ์ที่ไม่อำนวย ต้องดู คนไข้ที่มาหาให้หมดทุกคนจึงต้องเฉลี่ยให้คนละ 2-3 นาที เพราะบางแห่งมีแพทย์เพียง 2-3 คนเท่านั้น จึงไม่มีทางที่จะทำให้คนไข้พอใจได้
ประการที่สอง หลังจากการซักประวัติตรวจ ร่างกายแล้วคนไข้ส่วนใหญ่ยังอาจต้องได้รับการตรวจทาง ห้องปฏิบัติการ เช่น
ตรวจเลือดหลายอย่าง ตรวจปัสสาวะ หรืออุจจาระไปจนถึงการเพาะเชื้อถ้าสามารถหาได้ รวม ทั้งการตรวจทางเอกซเรย์ที่จำเป็นก่อนจึงจะสามารถ ให้การวินิจฉัยโรคได้ถูกต้อง หรือเพียงใกล้เคียงได้เท่านั้น อาจต้องตรวจสอบเพิ่มเติม ซึ่งการตรวจต่อไปๆมักจะ มีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เสียเวลามากขึ้น ยิ่งทำความไม่พอใจ ให้แก่คนไข้ยุคใหม่มากขึ้น จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะให้แพทย์ ต้องทำงานในระบบ 30 บาทที่ใช้เวลาคนไข้คนละไม่เกิน 3 นาทีและขาดห้องปฏิบัติการที่ดีหรือเอกซเรย์ที่ดีเช่น ที่เป็นอยู่ในโรงพยาบาลเล็กๆทั่วประเทศที่จะวินิจฉัย และรักษาโรคใดถูกต้องตามความต้องการของสังคม
ประการที่สาม บ่อยครั้งการตรวจทางห้องปฏิบัติ การแล้วก็ยังไม่สามารถวินิจฉัยโรคได้ จำเป็นต้อง ติดตามอาการของคนไข้ต่อไปสักระยะ โดยอาจใช้ยาเพื่อตัดโรคบางอย่างออก เช่น ไอมา 1 เดือนเอกซเรย์มี ปอดอักเสบหย่อมเล็กๆ อาจเป็นโรคติดเชื้อได้ตั้งหลาย อย่าง เช่น เชื้อมัยโคพลาสมา เชื้อสเตรพโตคอคคัส เชื้อไวรัสบางชนิด เชื้อราบางตัวที่ขณะนี้กำลังพบมาก ได้แก่ คริพโตคอคคัส ไปจนถึงเชื้อที่พบบ่อย เช่น วัณโรค หรือเชื้อจากดินเมลิออยโดซิส แม้จนกระทั่งเป็นโรค เอดส์ที่มีโรคแทรกที่ปอด ซึ่งขณะนี้ยังไม่มีการตรวจสอบ บอกตัวใดตัวหนึ่งได้เลย ต้องเลือกรักษา เลือกตรวจหา ตัวที่สงสัย เป็นต้น กว่าจะรู้ผลใช้เวลาเป็นสัปดาห์ หรือเป็นเดือน แพทย์ต้องเลือกรักษาไปก่อน โชคดีอาจ ถูกเชื้อก็หาย ถ้าไม่หายก็เปลี่ยนยา ชาวบ้านมักเรียกว่า เป็นหนูลองยา ถ้าไม่รักษาเลยรอให้รู้เชื้อ คนไข้ไม่ดีขึ้น หมอก็ถูกว่า รักษาไม่เป็น ถ้าโรคเป็นหนักๆหมออาจ ต้องใช้ยาหลายตัวพร้อมกัน เสียค่ายามาก หมอถูกว่า มั่ว โรคหนักอาจถึงคนไข้เสียชีวิตหมอถูกฟ้องอีกว่า รักษา ผิดคนไข้ตาย ทั้งนี้เป็นเพราะคนในสังคมไม่เข้าใจเรื่อง ของโรคการวินิจฉัยและการรักษาโรค
ประการที่สี่ ในการวินิจฉัยโรคมีหลายอย่าง อัน แรกเรียกว่าการวินิจฉัยโรคเบื้องต้น (Presumptive Diagnosis) ซึ่งได้จากข้อมูลทุกอย่างในขณะนั้น ต่อมา เมื่อสามารถตรวจพบโรคหรือพยาธิสภาพหรือเชื้อโรค ที่ชัดเจนแล้วจึงเป็นการวินิจฉัยแน่นอน (Definitive Diagnosis) ส่วนมากต้องทดสอบเพิ่มเติม เช่น กลืนหรือ สวนแป้งเอกซเรย์ ตรวจถุงน้ำดีโดยการเอกซเรย์หรือทำ โซโนแกรม (อุลตร้าซาวด์) ดูอวัยวะในช่องท้องไปจน ถึงการตรวจด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์สแกน ซึ่งอาจต้อง ฉีดสารไอโอไดด์ที่เราเรียกว่า ฉีดสี เพื่อให้เห็นการ เปลี่ยนแปลงของอวัยวะต่างๆรวมทั้งเส้นเลือดต่างๆ ได้ชัดเจนขึ้น ไปจนถึงการทำคลื่นแม่เหล็กตรวจซึ่ง ต้องใช้สารฉีดเช่นเดียวกัน และพัฒนาการที่ใหม่ที่สุด ใช้ในการตรวจมะเร็งระยะต้นหรืออวัยวะที่แพร่กระจาย โดยการฉีดสารไอโซโทปให้ไปจับทั่วร่างกายและตรวจ สอบเรียกว่า Pet scan ซึ่งภาษาไทยคงเป็น เพชร ล้ำค่าจริงๆ เพราะค่าตรวจครั้งหนึ่งประมาณแปดหมื่น ถึงหนึ่งแสนบาท และการตรวจทุกชนิดผลการตรวจต้อง อาศัยความชำนาญของแพทย์ผู้อ่านแปลผลเป็นสำคัญ ซึ่งก็อาจไม่ตรงต่อโรคที่เป็น สรุปได้ว่าการทดสอบต่างๆไม่ว่าจะมีค่าใช้จ่ายสูงเพียงใดก็ไม่แน่นอนทั้งหมด จำเป็นที่แพทย์ต้องนำไปพิจารณาร่วมกับข้อมูลอื่นๆ
................................................................