สปสช.ชี้19วันระบบฉุกเฉินพบปัญหาอื้อ
สปสช. สรุป 19 วัน 3 กองทุนสุขภาพรักษา ฉุกเฉินระบบเดียวมียอดผู้ป่วยรับบริการ 708 ราย อุบัติเหตุสูงสุด 210 ราย รองลงมาหัวใจและหลอดเลือด ระบบทางเดินหายใจ สมองและระบบประสาท เผยปัญหาอื้อเตียงเต็มส่งต่อไม่ได้ ถูกเรียกเก็บมัดจำค่ารักษา ขณะที่สมาคมรพ.เอกชน ขอหารือผู้บริหาร สธ.-3 กองทุน เสนอ 3 แนวทางดูแลผู้ป่วยฉุกเฉิน ลดภาระโรงพยาบาลเอกชนรักษาไม่คุ้มทุน
ภายหลังจากการรวมบริหารจัดการผู้ป่วยฉุกเฉิน 3 กองทุน รักษาได้ทุกโรงพยาบาลไม่ต้องถามสิทธิ เริ่มบริการตั้งแต่ 1 เม.ย. 2555 จนถึงวันที่ 19 เม.ย. นพ.วีระวัฒน์ พันธ์ครุฑ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ได้สรุปการทำงานในช่วง 19 วันของการให้บริการ ว่า มีผู้ป่วยฉุกเฉินเข้ารับบริการอยู่ที่ 600-700 ราย เฉลี่ยแต่ละวันมีผู้ป่วยลงทะเบียนใช้บริการ 40 ราย ซึ่งถือเป็นจำนวนไม่มาก แม้แต่ในช่วงสงกรานต์จำนวนผู้ป่วยก็ไม่ได้เพิ่มสูงมากจากเกณฑ์ปกติ โดยอยู่ที่ 2-3% ของจำนวนผู้ป่วยที่เข้ารับบริการในแต่ละวัน
ส่วน ผู้โทรเข้ามาสอบถามการใช้บริการฉุกเฉิน ทั้งทางสายด่วน 1330 และ 1669 มีประมาณ 100 รายต่อวัน ส่วนใหญ่เป็นความกังวลว่าการใช้บริการ และจะต้องถูกเรียกเก็บเงิน
นพ.วีระวัฒน์ กล่าวว่า ในจำนวนผู้เข้ารับบริการ 600 ราย มีกรณีที่เกิดปัญหาซับซ้อนและต้องจัดการประมาณ 6-7 ราย มีทั้งกรณีที่เกิดจากตัวผู้ป่วยเอง และกรณีที่เกิดจากโรงพยาบาลเอกชน ทำให้ต้องย้ายผู้ป่วยโรงพยาบาล 2-3 แห่ง จึงเข้ารักษา รวมไปถึงปัญหาการส่งต่อ โดยเฉพาะกรณีภายหลังการรักษาจนอาการทุเลา ซึ่งโรงพยาบาลเอกชนต้องการที่จะส่งผู้ป่วยกลับไปยังโรงพยาบาลตามสิทธิของผู้ ป่วย แต่พบปัญหาเตียงเต็มที่ไม่สามารถส่งผู้ป่วยกลับได้ นอกจากนี้ยังมีปัญหาผู้ป่วยฉุกเฉินถูกเรียกเก็บเงินมัดจำค่ารักษาก่อน และภายหลังโรงพยาบาลเบิกจ่ายค่ารักษาจากสิทธิตามกองทุนรักษาพยาบาลได้แล้ว จึงคืนเงินให้แก่ผู้ป่วยหรือญาติในภายหลัง
พบปัญหาเตียงเต็มส่งต่อไม่ได้
นพ.วี ระวัฒน์ กล่าวต่อว่า ส่วนปัญหาที่เกิดจากฝ่ายผู้ป่วยคือ กรณีเกิดเหตุฉุกเฉินเมื่อนำส่งผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ซึ่งในกรณีเป็นโรงพยาบาลเอกชน หากมีการเรียกเก็บเงินในช่วง 1-2 วันแรก ญาติก็จะยอมจ่ายไปก่อน แต่พอคิดขึ้นได้ว่ารัฐมีนโยบายระบบผู้ป่วยฉุกเฉินก็จะขอใช้สิทธิและขอเรียก เงินค่ารักษาคืนในภายหลัง ซึ่งก็เป็นปัญหาอีกเช่นกันเพราะผู้ป่วยไม่ได้แสดงความจำนงใช้สิทธิตั้งแต่ แรก
ชี้ระบบเบิกจ่ายได้ไม่มีปัญหา
ส่วนการเบิก จ่ายค่ารักษาตามสิทธิของแต่ละกองทุนซึ่งทาง สปสช. ทำหน้าที่ศูนย์กลางเบิกจ่ายนั้น นพ.วีระวัฒน์ กล่าวว่า ไม่เป็นปัญหา เนื่องจากแต่ละกองทุนมีระบบที่วางไว้อยู่แล้ว แต่จะมีปัญหาในกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่ได้อยู่ในสิทธิ 3 กองทุน อย่างครู ข้าราชการท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่ยังอยู่ระหว่างการพูดคุยเพื่อรวมระบบจัดการอยู่ แต่ตามนโยบายเบื้องต้น สปสช.ต้องเป็นหน่วยงานที่จ่ายค่ารักษาก่อน แล้วจึงเคลียร์คืนในภายหลัง
ส่วนโรงพยาบาลเอกชนบางแห่งไม่พอ ใจอัตราเหมาจ่ายผู้ป่วยฉุกเฉิน 10,500 บาท และอาจทำให้ปัญหาการปฏิเสธผู้ป่วยฉุกเฉินยังคงอยู่ นพ.วีระวัฒน์ กล่าวว่า อัตราดังกล่าวเป็นการจ่ายค่ารักษาเบื้องต้น หากผู้ป่วยมีภาวะแทรกแซง ทาง สปสช.ก็จะมีการจ่ายเพิ่มเติมตั้งแต่ 25,000-30,000 บาท เพียงแต่จำนวนนี้อาจน้อยกว่าที่เอกชนเคยได้รับที่เคยคิดกับผู้ป่วย 50,000-60,000 บาท แต่การรักษาพยาบาลมีเรื่องจริยธรรมเข้ามาเกี่ยวข้อง
ยอดผู้ป่วยใช้บริการ 708 ราย
จาก ข้อมูลสำนักงานระบบหลักประกันสุขภาพแห่ง (สปสช.) ได้รายงานการใช้บริการรักษาในระบบผู้ป่วยฉุกเฉิน ตั้งแต่วันที่ 1 18 เม.ย. 2555 มีผู้ป่วยมารับบริการทั้งสิ้น 708 ราย แบ่งเป็นผู้ป่วยในเขต กทม. 436 ราย ผู้ป่วยต่างจังหวัด 272 ราย แยกตามสิทธิกองทุน ระบบประกันสังคม 74 ราย ระบบสวัสดิการข้าราชการ 107 ราย และระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า 524 ราย เมื่อแบ่งตามประเภทผู้ป่วย เป็นผู้ป่วยนอก 153 ราย ผู้ป่วยใน 555 ราย
ใน จำนวนผู้ป่วยฉุกเฉินได้แยกตามประเภทกลุ่มโรค พบว่าเป็นผู้ป่วยโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด 113 ราย ระบบทางเดินหายใจ 68 ราย ระบบสมองและระบบประสาท 86 ราย บาดเจ็บรุนแรงทั้งที่เกิดจากอุบัติเหตุจราจรและอุบัติเหตุอื่น 210 ราย และอาการป่วยฉุกเฉินรุนแรงอื่น เช่น ปวดท้องรุนแรง ลำไส้อักเสบ อาเจียนเป็นเลือด ไข้สูง และติดเชื้อในกระแสเลือด เป็นต้น จำนวน 232 ราย ส่วนการนำส่งผู้ป่วย (ข้อมูล 1-15 เม.ย.) เป็นกรณีผู้ป่วยเดินทางมาเองและญาตินำส่ง 497 ราย รถกู้ชีพ 34 ราย และอื่นๆ เช่น รถพยาบาลไปรับ 51 ราย
ร้องเรียนปฏิเสธรักษา6ราย
นอกจากนี้ยังมีกรณีการร้องเรียนจากที่สถานพยาบาลปฏิเสธการใช้สิทธิฉุกเฉิน 3 กองทุน มี 6 กรณี เช่น 1.ผู้ป่วยหญิง อายุ 73 ปี สิทธิระบบสวัสดิการข้าราชการ โดยเมื่อวันที่ 16 เม.ย. ได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในจังหวัดพิษณุโลก ด้วยอาการช็อกหมดสติ แพทย์แจ้งว่า มีภาวะเส้นเลือดอุดตันที่เส้นเลือดกล้ามเนื้อหัวใจ ส่งต่อรักษาโรงพยาบาลพุทธชินราช และเสียชีวิตเวลาต่อมา แต่ถูกเรียกเก็บค่ารักษาก่อนส่งต่อ 6,590 บาท
2.ผู้ป่วยหญิง อายุ 57 ปี สิทธิสวัสดิการข้าราชการ เมื่อ 17 เมษายน มีอาการเวียนศีรษะเฉียบพลัน หมดสติ เข้ารักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง กทม. แพทย์แจ้งต้องรักษาเร่งด่วน มีภาวะเสี่ยงเสียชีวิต ถูกเรียกเก็บ 11,240 บาท แต่เมื่อนำไปเบิก กรมบัญชีกลางบอกเบิกไม่ได้เพราะมีระบบฉุกเฉิน 3 กองทุนแล้ว 3.ผู้ ป่วยหญิง ไม่ทราบอายุ สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เข้ารับบริการที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งใน กทม. เมื่อวันที่ 14 เม.ย. ด้วยอาการหัวใจหยุดเต้น โรงพยาบาลตรวจสอบสิทธิไม่พบข้อมูล นายจ้างจ่ายค่ารักษา 57,717 บาท ก่อนย้ายต่อเข้าโรงพยาบาลเลิดสินตามสิทธิ
4. ผู้ป่วยชาย อายุ 62 ปี ระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เมื่อวันที่ 13 เมษายน เข้ารักษาด้วยอาการชัก ญาติแจ้ง 1669 ส่งรักษาโรงพยาบาลสมุทรปราการ ตามสิทธิ แต่ระหว่างทางเกิดภาวะช็อก รักษาเบื้องต้นแล้วจึงส่งต่อไปยังโรงพยาบาลสมุทรปราการถูกเรียกเก็บเงิน 7,155 บาท
5. ผู้ป่วยหญิง อายุ 53 ปี สิทธิ์ข้าราชการ เป็นโรคความดันโลหิตสูง เกิดภาวะช็อก นำเข้ารักษาโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง จ.พิจิตร เมื่อวันที่ 1 เม.ย. รักษาตัวถึงวันที่ 7 เม.ย. ถูกเรียกเก็บเงิน 40,000 บาท และ 6. ผู้ป่วยหญิง อายุ 80 ปี ใช้สิทธิหลักประกันสุขภาพถ้วยหน้า วันที่ 17 เมษายน หกล้ม เจ็บขาขวา นำส่งเข้าโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งใน กทม. ถูกเก็บค่ารักษา 1,212 บาท ขอใช้สิทธิ
รพ.เอกชนขอหารือสธ.แก้ปัญหา
ด้าน นพ.เฉลิม หาญพาณิชย์ นายกสมาคมโรงพยาบาลเอกชน กล่าวว่า จากการประชุมของโรงพยาบาลเอกชนเมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมา โดยมีตัวแทนโรงพยาบาล 60-70 แห่งเข้าร่วม เพื่อสรุปปัญหาและจัดทำข้อเสนอภายหลังให้บริการตามนโยบายการรวมบริหารจัดการ ผู้ป่วยฉุกเฉินมาตรฐานเดียว เบื้องต้นได้จัดส่งข้อเสนอไปยัง นพ.ไพจิตร์ วราชิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) และผู้บริหาร 3 กองทุนประกันสุขภาพแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างให้กระทรวงสาธารณสุขนัดทุกฝ่ายร่วมหารือกันอีกครั้ง
ส่วน ข้อเสนอที่เครือข่ายโรงพยาบาลเอกชนจัดทำ คือ
1.ในกรณีภายหลังรักษาพยาบาลหลังพ้นภาวะวิกฤติ ควรให้ผู้ป่วยระบุความต้องการในการรับการรักษาพยาบาลในเอกสารแสดงความจำนง เพราะตามหลักการหากผู้ป่วยรอดพ้นวิกฤติควรถูกส่งต่อกลับไปยังโรงพยาบาลต้น สังกัด
2.การรับส่งผู้ป่วยและส่งต่อผู้ป่วยไปยังโรงพยาบาลต้น สังกัด ควรให้สถาบันการแพทย์ฉุกเฉินแห่งชาติ (สพฉ.) เป็นผู้ดำเนินการเท่านั้น 3.การ กำหนดอัตราค่ารักษาพยาบาลตามกลุ่มโรงร้ายแรง ที่กำหนดเริ่มที่ 10,500 บาท เห็นตรงกันว่า ไม่ได้เป็นตัวเลขที่สะท้อนถึงต้นทุนการรักษาที่แท้จริง จึงเสนอให้พิจารณาว่าจะเปิดช่องให้โรงพยาบาลเอกชนสามารถเก็บค่ารักษาพยาบาล เพิ่มได้หรือไม่ ถ้าได้จะให้เก็บที่ใคร และหากไม่ได้ก็ควรจะขยับอัตราการเบิกจ่ายให้สูงขึ้นกว่า 10,500 บาท เพื่อสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง
นพ.เฉลิม กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ยังพบว่า 80% ของผู้ป่วยที่จะใช้สิทธิเจ็บป่วยฉุกเฉิน เดินทางไปยังโรงพยาบาลและเลือกโรงพยาบาลเอง ไม่ได้ใช้บริการในโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด ผู้ออกแบบระบบจึงควรให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพื่อลดปัญหาการกระจุกตัวของผู้ใช้บริการ
กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2555