แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 ... 462 463 [464] 465 466 ... 652
6947
นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เปิดเผยผลการประชุมคณะรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงศึกษาธิการในวันนี้ว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบดำเนินโครงการทุนการศึกษาด้านการสอนภาษาต่างประเทศภาษาที่สอง เพื่อผลิตครูในสาขาวิชาที่ขาดแคลน โดยอนุมัติอัตราข้าราชการครูเพื่อบรรจุรับทุนจำนวน 600 อัตรา ในช่วงปี 2556-2561 ให้กับโรงเรียนในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ส่วนจำนวนทุนต่อปีอาจปรับเพิ่ม-ลดไม่เกินร้อยละ 5 ตามสถานการณ์ที่จำเป็น ใช้งบประมาณดำเนินโครงการ 78 ล้านบาท

 

 

โดยใน 600 อัตรานี้ จะผลิตครูสอนภาษาต่างประเทศในภาษาญี่ปุ่น 200 คน ภาษาเกาหลี 140 คน ภาษาเยอรมัน 40 คน ภาษาฝรั่งเศส 60 คน ภาษาสเปน 40 คน ภาษารัสเซีย 20 คน ภาษาเวียดนาม 25 คน ภาษาพม่า 25 คน ภาษาเขมร 25 คน และภาษาบาฮาซา 25 คน โดยให้ทุนการศึกษาแก่นักศึกษาชั้นปีที่ 5 หรือบัณฑิตวิชาเอกสาขาที่ขาดแคลนเข้ารับอบรมทักษะภาษาและการสอนที่จัดโดยองค์กรประเทศเจ้าของภาษา เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วจะได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจากคุรุสภาซึ่งจะพิจารณาให้เป็นกรณีพิเศษ และจะได้รับการบรรจุแต่งตั้งเข้ารับราชการครูสอนภาษาต่างประเทศที่สองในโรงเรียนของสพฐ.
 

นอกจากนี้ คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติปรับเปลี่ยนโครงการคูปองสร้างเสริมอัจฉริยะที่ให้จัดสรรคูปองให้กับเด็กและเยาวชนที่เรียนดี มีความประพฤติดีไปแลกหนังสือจากร้านค้าที่ร่วมโครงการ มาเป็นโครงการบ้านหนังสืออัจฉริยะ โดยจัดหาหนังสือพิมพ์ วารสาร นิตยสาร และหนังสือ สำหรับห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารี เพื่อให้ประชาชนได้เข้าถึงแหล่งเรียนรู้ในรูปแบบบ้านหนังสืออัจฉริยะ หรือห้องสมุดประชาชนประจำหมู่บ้าน/ชุมชน จำนวน 4 หมื่นแห่ง ในพื้นที่ 5 จังหวัดชายแดนภาคใต้จำนวน1.8 พันแห่ง และห้องสมุดประชาชนเฉลิมราชกุมารีจำนวน 87 แห่ง ใช้งบดำเนินการ 450 ล้านบาท

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  25 ธ.ค. 2555

6948
สำนักข่าวต่างประเทศ รายงานว่า นาย Vyacheslav Ledovsky นักหนังสือพิมพ์ จากเมือง Krasnoyarsk ของรัสเซีย สร้างความตื่นตะลึงให้ผู้คน ด้วยการตัดสินใจทำตามสัญญาที่เคยให้ไว้เมื่อ 2 ปีก่อน (พ.ศ. 2553) ที่เขาเขียนระบุว่าจะกินงานเขียนของตัวเองที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์หากเขาเขียนคาดการณ์เกี่ยวกับข่าวการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในท้องถิ่นผิดพลาด

ทั้งนี้ นาย Ledovsky ทำงานที่หนังสือพิมพ์ The Builder newspaper หนังสือพิมพ์ด้านอสังหาริมทรัพย์ และเขียนบทความเกี่ยวกับ ความมั่นใจที่จะมีการเริ่มต้นก่อสร้างสะพานข้ามแม่น้ำแห่งที่ 4 ในเมือง Krasnoyarsk ที่ถึงขนาดรับประกันว่าหากผิดพลาดจะกินข้อเขียนของตัวเอง กระทั่งผ่านมา 2 ปี ข่าวคลาดเคลื่อนเขาจึงตัดสินใจทำตามสัญญา โดยมีการถ่ายภาพพร้อมวิดีโอไว้เป็นสักขีพยาน โดยนักหนังสือพิมพ์รายนี้ ได้ตัดข่าวที่ตีพิมพ์ออกมา และแบ่งเป็นชิ้นๆม้วนให้เป็นแท่งเล็กๆและนำไปคลุกกินกับซาวครีมเพื่อเป็นการลงโทษกับข้อเขียนที่ผิดพลาดของตัวเอง

ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  24 ธ.ค. 2555

6949
ร้านกาแฟชื่อดัง "สตาร์ บัคส์" ก็ห้ามลูกค้านั่งแช่ หลังทั้งวางของทิ้งไว้บนโต๊ะเป็นเวลานาน จับกลุ่มติวหนังสือ ไม่ซื้อขนม-เครื่องดื่มแต่กับจับจองที่ เผยเตรียมใช้วิธีขอความร่วมมือ ไม่ออกประกาศห้ามเป็นทางการ ด้านผู้จัดการ "แมคโดนัลด์" มาบุญครอง ระบุมีวัยรุ่นจับกลุ่มติวหนังสือเพียบ โดยเฉพาะช่วงวันหยุด จนบางครั้งต้องเข้าไปแจ้งเตือน ขณะที่ลูกค้าบางรายขู่ย้ายร้านหนี หากห้ามนั่งแช่จริง

จากกรณีร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดัง "แมคโดนัลด์" ออกประกาศห้ามลูกค้านั่งแช่ภายในร้านเกิน 1 ชั่วโมง หลังรับการร้องเรียนมีวัยรุ่นนั่งติวหนังสือ นัดประชุม สัมภาษณ์งานและขายตรงตั้งแต่เช้ายันเย็น แถมลากโต๊ะมาต่อกันจนลูกค้ารายอื่นเดือดร้อนไม่มีที่นั่ง จนทำให้บริษัทตัดสินใจออกมาตรการรักษาสิทธิ์ลูกค้ารายอื่นๆ จนกลายเป็นข่าวฮือฮาอย่างแพร่หลาย

ความคืบหน้า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวเดินทางไปตรวจสอบร้านแมคโดนัลด์ สาขาห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง พบว่าภายในร้านมีลูกค้าเข้ามาซื้ออาหารและเครื่องดื่มรับประทานจำนวนมาก โดยส่วนใหญ่เป็นลูกค้าชาวต่างชาติ และไม่พบป้ายประกาศขอความร่วมมือจากลูกค้าให้นั่งภายในร้านได้ไม่เกิน 1 ชั่วโมง

นายยุทธการ เป๋อรุณ ผู้จัดการร้านแมคโดนัลด์ สาขาห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง กล่าวว่า หลังมีข่าวออกมาทางร้านแมคโดนัลด์ สาขาห้างสรรพสินค้ามาบุญครองยังไม่ได้รับผลกระทบในเรื่องของยอดขาย โดยยังมีลูกค้าที่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติเข้ามาใช้บริการและนั่งรับประทานภายในร้าน ซึ่งใช้เวลาไม่นานก่อนจะเดินออกจากร้านไป ส่วนกรณีที่มีนักเรียนมาใช้พื้นที่นั่งแช่ เพื่อติวหนังสือหรือประชุมนั้น ก่อนหน้านี้มีเข้ามาหลายกลุ่ม เริ่มนั่งตั้งแต่ร้านเปิดในช่วงเช้า โดยแต่ละคนจะจับกลุ่มประมาณ 3-4 คน จากนั้นแต่ละคนจะสั่งอาหารในปริมาณไม่มากนักมารับประทาน อาทิ มันฝรั่งทอดเฟรนช์ ฟรายด์หรือน้ำดื่ม โดยจะใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง ต่อจากนั้นจะมีนักเรียนกลุ่มใหม่เข้ามาติวหนังสือต่อ โดยจะเป็นลักษณะเช่นนี้ในทุกวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ ส่วนมาตรการดำเนินการกับกลุ่มลูกค้าที่มานั่งแช่ภายใน ร้านเป็นเวลานานนั้น ทางร้านจะใช้วิธีการประชาสัมพันธ์แจ้งไปยังลูกค้า โดยบางรายจะสั่งอาหารมารับประทานเพิ่ม

ส่วนบรรยากาศภายในร้านแมคโดนัลด์ สาขาเมเจอร์รัชโยธิน พบว่าภายในร้านยังคงมีกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งส่วนมากเป็นนักศึกษาเข้ามาใช้บริการเป็นปกติ โดยกลุ่มวัยรุ่นที่มาใช้บริการ กล่าวว่า ส่วนมากจะนัดกันมานั่งกินอาหารและติวหนังสือเรียนกัน ซึ่งจะใช้เวลาประมาณ 1-2 ชั่วโมง ตอนแรกที่ทราบว่าทางร้านมีประกาศขอความร่วมมือออกมาก็เข้าใจดี แต่มองว่าเป็นการให้บริการกับลูกค้ามากกว่า ถ้าถึงขั้นมากำหนดเวลาคงจะไปใช้บริการที่อื่น แต่คิดว่าทางร้านคงจะไม่ทำในเรื่องดังกล่าว เนื่องจากทำให้เสียลูกค้า

ด้าน น.ส.สุมนพินทุ์ โชติกะพุกกะณะ ผอ.ฝ่ายการตลาดและสื่อสารองค์กร บริษัท สตาร์บัคส์ คอฟฟี่ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้บริหารร้านกาแฟ "สตาร์บัคส์" กล่าวว่า บริษัทไม่ได้จัดทำประกาศห้ามไม่ให้ลูกค้านั่งแช่ในร้านเป็นเวลานานอย่างเป็นทางการ เพียงแต่ขอความร่วมมือจากลูกค้าไม่ให้นั่งนานจนเกินไป หลังจากที่รับประทานเครื่องดื่มหรือขนมเสร็จ หรือการจองพื้นที่โดยไม่ได้อยู่ที่ร้าน เพื่อเป็นการให้ลูกค้าท่านอื่นๆ ได้เข้ามาใช้บริการด้วยเช่นกัน

"ร้านสตาร์บัคส์เป็นที่ลูกค้าสามารถนั่งพักผ่อนและจิบกาแฟได้ตามต้องการ ไม่ว่าคุณจะมาคนเดียวหรือเป็นกลุ่ม ทางสตาร์บัคส์พร้อมต้อนรับและเคารพในความต้องการและความชื่นชอบของแต่ละปัจเจกชน แต่อย่างไรก็ตามในบางโอกาส เช่น ในช่วงที่ลูกค้าเข้ามาใช้บริการหนาแน่น และกำลังมองหาที่นั่ง แล้วพบว่ามีกลุ่มคนมาใช้พื้นที่โดยไม่ได้ซื้อหรือรับประทานเครื่องดื่มหรืออาหารของร้าน หรือการวางสิ่งของทิ้งไว้ที่โต๊ะเป็นเวลานาน ดังนั้นจึงอยากขอความร่วมมือจากทางลูกค้าด้วย" น.ส.สุมนพินทุ์กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร้านสตาร์บัคส์สาขาบริเวณใจกลางเมืองถือเป็นร้านสาขาที่มีลูกค้าเข้ามาใช้บริการต่อเนื่องตลอดทั้งวัน และจะมีกลุ่มที่เข้ามาใช้สถานที่ เพื่อติวหนังสือตลอดทั้งวันเช่นกัน ซึ่งสาขาที่พบบ่อย ได้แก่ สาขาในสยามสแควร์ สาขาสยามพารากอน และสาขาเซ็นทรัลเวิลด์ โดยนับตั้งแต่เดือนพ.ย.ที่ผ่านมา ได้มีป้ายตั้งโต๊ะขอความร่วมมือลูกค้าในการใช้บริการ ซึ่งไม่ควรนั่งนานเกินไปและควรซื้อเครื่องดื่มหรืออาหารรับประทานด้วย เพื่อให้ลูกค้าได้เพลิดเพลินการใช้บริการในร้านได้เท่าเทียมกัน


ที่มา ข่าวสดรายวัน
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  24 ธ.ค. 2555

6950
ไม่ใช่ว่าเป็นแพทย์แล้วจะปราศจากความผิดพลาดโดยสิ้นเชิง เป็นแพทย์ก็ผิดพลาด พลั้งเผลอกันได้ แต่ที่แตกต่างออกไปจากความพลั้งเผลอของบุคคลทั่วไปก็คือ ความผิดพลาดของแพทย์ โดยเฉพาะศัลยแพทย์นั้นเป็นอันตรายสูงยิ่ง บางครั้งถึงตายและอีกหลายครั้งถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยพิการโดยถาวร

นายแพทย์ มาร์ตี้ แมคารีย์ ศัลยแพทย์ของศูนย์การแพทย์จอห์น ฮอปสกิน สหรัฐอเมริกา ที่เชี่ยวชาญการศึกษาเรื่องข้อบกพร่องของโรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกา เปิดเผยผลการศึกษาวิจัยชิ้นหนึ่ง ซึ่งนำเอาคดีฟ้องร้องต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงระหว่างปี 2533 ถึงปี 2553 เฉพาะที่เกี่ยวข้องกับศัลยแพทย์ ที่มีผู้ป่วยเป็นโจทก์และโรงพยาบาลตกเป็นจำเลย รวม 9,744 คดี มาศึกษาสาเหตุที่มาของการฟ้องร้องดังกล่าวว่าเกิดจากความผิดพลาดของแพทย์หรือไม่และด้วยสาเหตุผิดพลาดบกพร่องใด เพื่อจัดทำเป็นสถิติให้เห็นเป็นภาพรวมของความผิดพลาดพลั้งเผลอที่เป็นรูปธรรมของแพทย์ในสหรัฐอเมริกา

ผลการศึกษาวิจัยที่เพิ่งแล้วเสร็จและตีพิมพ์เผยแพร่ในวารสารวิชาการ เดอะ เจอร์นัล เซอร์เจอรี่ ฉบับประจำวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา พบว่า ศัลยแพทย์ที่ผ่าตัดผู้ป่วยแล้วผิดพลาดนั้น แม้จะเปรียบเทียบแล้วต่ำกว่าความผิดพลาดพลั้งเผลอของแพทย์ด้านอื่น แต่ก็ยังถือว่าน่าตกใจ เพราะพบว่า แพทย์มักลืม ผ้าขนหนู, ก้อนสำลี, ฟองน้ำ และอุปกรณ์ทางการแพทย์อื่นๆ ไว้ในร่างกายของผู้ป่วยโดยเฉลี่ยแล้วมากถึง 39 ครั้งต่อสัปดาห์ ไปดำเนินการผ่าตัดในส่วนของร่างกายที่ไม่ใช่ส่วนที่ผู้ป่วยต้องการผ่าตัด หรือเรียกง่ายๆ ว่า ผ่าตัดผิดที่โดยเฉลี่ยแล้ว 20 ครั้งต่อสัปดาห์

ที่แย่กว่านั้นก็คือ ศัลยแพทย์อเมริกัน ผ่าคนไข้ผิดคนมากถึง 20 ครั้งต่อสัปดาห์โดยเฉลี่ยเช่นเดียวกัน

(สถิติที่ว่านี้เป็นสถิติเชิงอนุมานจากกลุ่มตัวอย่างเปรียบเทียบเพื่อให้ครอบคลุมจำนวนประชากรทั้งหมดของสหรัฐอเมริกา)

สิ่งที่นายแพทย์ แมคารีย์ เตือนเอาไว้ก็คือ สถิติที่บอกเอาไว้ในการศึกษาวิจัยดังกล่าวนั้นเป็น "ขั้นต่ำ" ของพิสัยที่เป็นไปได้ทั้งหมด เพราะจำนวนความผิดพลาดที่แท้จริงนั้นสูงกว่าที่เกิดเป็นคดีฟ้องร้องกันมากมายนัก เขาบอกว่ายังมีการศึกษาวิจัยอีกบางชิ้นที่บอกว่า การลืมของหมอมักเกิดขึ้นเมื่อผ่าตัดผู้ป่วยที่ "อ้วนเกินไป" หรือเมื่อการผ่าตัดดำเนินการเป็น "ทีม" หรือ "หลายๆ ทีม" ในตัวผู้ป่วยเพียงรายเดียว

ความผิดพลาด พลั้งเผลอ ยังเกิดขึ้นได้ง่ายในกรณีที่แพทย์เร่งรีบ และเกิดขึ้นในกรณีที่วัฒนธรรมของสถานพยาบาลแห่งนั้นยึดถือแพทย์เป็นใหญ่ ทำให้พยาบาลไม่กล้าปริปากแม้จะเกิดความรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติขึ้นก็ตามที

ทีมวิจัยครั้งล่าสุดสรุปเอาไว้ว่า ในช่วง 20 ปีที่ศึกษาวิจัย พบความบกพร่องของศัลยแพทย์ที่สำคัญๆ มากถึง 80,000 ครั้ง ราว 7 เปอร์เซ็นต์ ของผู้ป่วยที่โชคร้ายเหล่านั้นเสียชีวิตลงเพราะความผิดพลาดดังกล่าว ส่วนอีกราว 1 ใน 3 ของผู้ป่วยที่เกิดความผิดพลาด ลงเอยด้วยการบาดเจ็บหรือพิการอยู่อย่างถาวรเพราะความผิดพลาดเหล่านั้น

นายแพทย์ แมคารีย์ เชื่อว่าหนทางแก้เพื่อลดความผิดพลาดลงให้เหลือน้อยที่สุด จำเป็นต้องนำเอาเรื่องความปลอดภัยเข้าไปบรรจุไว้ในระบบการรักษาพยาบาลทั้งระบบ ให้ทุกส่วนในทีมผ่าตัดคำนึงถึงเป็นลำดับแรกเพื่อปกป้องผู้ป่วย แม้แต่พยาบาลก็ควรมีสิทธิบอกหรือโวยนายแพทย์ได้หากพบเห็นความผิดพลาดบกพร่อง การติดตั้งระบบติดตามวัสดุอุปกรณ์ทุกชิ้นไว้ด้วยชิปอาร์เอฟไอดี นอกจากจะช่วยตรวจสอบการหลงลืมวัสดุไว้ในร่างกายผู้ป่วยได้อย่างรวดเร็วแล้วยังเป็นการบีบกลายๆ ให้แพทย์ต้องรายงานความบกพร่องและโรงพยาบาลต้องยอมรับผิดและหาทางแก้ไขโดยเร็วได้อีกด้วย


ที่มา : นสพ.มติชนรายวัน
ประชาชาติธุรกิจออนไลน์  25 ธ.ค. 2555

6952


คนไทยตาสว่างเสียที… เลิกเสียเงินซื้อยาฝรั่ง ต้นเหตุเพียงแค่น้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึม

อดีตเมื่อก่อน 30 ปีที่แล้ว คนไทยใช้น้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำกับข้าว จู่ ๆ โฆษณาฝรั่ง มากล่าวโทษวิถีไทยเดิม ๆ อ้างว่าน้ำมันมะพร้าว และ น้ำมันหมูทำให้คลอเลสเตอรอลสูง เพราะจับตัวเป็นไข วิธีแก้คือ การใช้น้ำมันพืช

ปัจจุบัน ผู้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนมาใช้น้ำมันพืช เพราะความเชื่อที่ถูกฝรั่งฝังหัวมา แต่ปรากฏว่า อัตราการเป็นโรคต่าง ๆ มากขึ้น … ไขมันในเลือดสูง, โรคหัวใจ, โรคไต, ภูมิแพ้…เป็นต้น

วงการสุขภาพของตะวันตก เพิ่งจะมาตาสว่างเมื่อค้นพบโทษของน้ำมันพืช สหรัฐ ฯ ได้ออกมาตรการลด ละ เลิก ใช้ น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี(transfat oil) ในหลาย ๆ รัฐ
ท่านสามารถอ่านข่าวเหล่านี้ได้ เช่น
อาร์โนลด์ ชวาชเนกเกอร์ ผู่ว่าการรัฐแคลิฟอร์เนีย กับการแบนการใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี โดยกล่าวว่า “การใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ทำให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ…”
http://gov.ca.gov/press-release/10291/

รัฐเท็กซัส…พระราชบัญญัติ ขจัดน้ำมันพืชแปรรูปให้หมดจากร้านอาหาร ภายใน สิงหาคม 2553 http://dallas.bizjournals.com/dallas stories/2009/05/04/daily72.html

KFC เริ่มเห็นโทษของน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ออกเมนูไร้น้ำมันพืช Transfat http://abcnews.go.com/Health/OnCall/story?id=2615217< /FONT>

McDonald ประกาศเริ่มใช้น้ำมันชนิดอื่น แทนน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีเมื่อปี 2007 เริ่มต้นที่ 1,200 สาขาhttp://www.msnbc.msn.com/id/16873869/

Dunkin Donut ประกาศเลิกใช้น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธีตั้งแต่ปี 2550
https://www.dunkindonuts.com/aboutus/press/PressRelease.aspx?viewtype=current&id=100102

เว๊บไซท์ ต่อต้าน transfat http://www.bantransfats.com/

โรคที่มากับน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี…ระบบเผาผลาญอาหารเสื่อม, เบาหวาน, ธัยรอยด์, เสื่อสมรรถภาพทางเพศ, โรคหัวใจ, โรคอ้วน, โรคไตhttp://transfatdisease.com/why.html

อาหารที่พบอยู่ทั่วไป มีน้ำมันพืชเสมอ… ก๋วยเตี๋ยว, ผัดไท, หอยทอด, ราดหน้า, ผัดผักทุกชนิด, ไก่ทอด, ปาท่องโก๋, ข้าวผัด ขนมอบ เบเกอรี่…สรุปรวมว่าอาหารทุกชนิดที่ใช้กะทะ (ผัด ทอด) ใช้น้ำมันพืชทั้งนั้น
น้ำมันพืชเกือบทุกชนิด ใช้น้ำมันปาล์มเป็นวัตถุดิบ ซึ่งราคาถูก แต่ขวางระบบดูดซึม น้ำซึมผ่านไม่ได้ หากใช้วัสดุอื่นตามที่โฆษณาจริง เหตุใดจึงยังขายได้ในราคาถูกเช่นนั้น

อย่าให้คำว่า ‘ไม่เป็นไข’ มาหลอกท่านได้อีก
น้ำมันพืชเมื่ออยู่ในอุณหภูมิที่ต่ำกว่า 25 องศา จะดูสวยงาม ไม่เป็นไข ผิดกับน้ำมันหมูที่เมื่อยู่ในอุณหภูมิต่ำ จะเป็นไข แต่เมื่อน้ำมันพืชเข้าไปอยู่ในร่างกาย อุณหภูมิ 37 องศา จะกลายเป็นกาวเหนียว เกาะติดลำไส้ตั้งแต่ลำคอลงมาถึงลำไส้ใหญ่ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยพืชผักที่เราทานเข้าไป และ ไม่สามารถล้างออกได้ด้วยน้ำชาธรรมดา
แต่น้ำมันจากสัตว์ และ น้ำมันมะพร้าว เมื่ออยู่ในอุณหภูมิร่างกาย จะไม่มีทางเป็นไข และ จะละลายกับน้ำได้ สารอาหารต่าง ๆ ยังซึมเข้าร่างกายได้
หากท่านลองนำน้ำมันพืช ใส่ภาชนะ แล้วไปตั้งทิ้งไว้กลางแดดสัก 10 นาที อุณภูมิจะประมาณ 30 กว่าองศา ใกล้เคียงร่างกายมนุษย์ ท่านเช็ดน้ำมันพืชออกได้ยากมาก เหมือนกับที่เ ขม่ากาวติดกะทะ เครื่องครัว เขม่ากาวเหนียวนั่นคือผลของน้ำมันพืชโดนความร้อน จำเป็นต้องใช้กรดมาล้างเท่านั้น
แต่หากท่านลองใช้น้ำมันหมู หรือ น้ำมันมะพร้าว ใส่ภาชนะแล้วตากแดด จะพบว่าล้างออกได้โดยง่าย
เมื่อน้ำมันพืชเคลือบระบบดูดซึมท่านทั้งหมด น้ำก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน เมื่อท่านทานน้ำ น้ำก็จะถูกพาไต พาไปที่กระเพาะปัสสาวะโดยเร็ว เสมือนกับท่านทานน้ำ 100% น้ำไม่ได้ถูกดูดซึมเข้าไปใช้ในอวัยวะต่าง ๆ เลย กลับเป็นภาระให้ไตนำไปทิ้ง 100% นี่คือเหตุผลว่าทำไมท่านทานน้ำแล้วฉี่บ่อย เป็นโรคไต และ โรคกระเพาะปัสสาวะตามมา
เมื่อน้ำซึมเข้าตัวไม่ได้ วิตามินที่มากับน้ำ เช่น วิตามินบี และ ซี ก็จะไม่เข้าร่างกายท่าน ขาดวิตามินบี ทำให้สมองมีปัญหา เฉื่อยชา ความจำสั้น หากหญิงกำลังตั้งครรค์ มีโอกาสทำให้ลูกคลอดมาเป็นออทิสติค ขาดวิตามินซี ทำให้ภูมิคุ้นกันมีปัญหาเป็น ภูมิแพ้ หวัด ไวรัส
เมื่อภูมิคุ้มกันมีปัญหา ท่านก็จะติดโรคอื่น ๆ ได้ง่ายมาก จบลงด้วยการเสียเงินซื้อยาฝรั่ง เงินทองไหลออกนอกประเทศ เพราะเพียงแค่ท่านหลงเชื่อว่าน้ำมันพืชสมัยใหม่ไม่เป็นอันตราย

น้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ
- ฟอกสี (bleached) เพื่อให้สีดูสวย สดใส
- แต่งกลิ่น (deodorized) เพื่อให้ไม่มีกลิ่นหื มีกลิ่นตามที่ต้องการ
- ใส่ไฮโดรเจน (hydrogenated)
-
กระบวนการเหล่านี้ ทำให้สารเคมีเปลี่ยน เมื่อทานเข้าไปแล้ว เป็นพิษต่อร่างกายโดยตรง
เมื่อใดที่เห็นข้างกล่องผลิตภัณฑ์ว่า มีน้ำมันพืชผ่านกรรมวิธี ขอให้รู้ว่านั่นคือยาพิษ โยนทิ้งขยะทันที …
…Trans fats do not exist in nature. They are laboratory-designed and have adverse health consequences. They interfere with the body’s production of beneficial fatty acids and promote heart disease. As trans fatty acids offer no benefits and only clear adverse metabolic consequences, when you see the words partially hydrogenated on the side of a box, consider it poisonous and throw it in the trash. (Ascherio, A., and W. C. Willett. 1997. Health effects of trans fatty acids. Am. J. Clin. Nutr. 66 (4 supp.): 1006S–10S.)
http://www.diseaseproof.com/archives/hurtful-food-dunkin-donuts-kills-trans-fat.html

ถึงเวลาล้างได้แล้ว
ท่านจำเป็นต้องล้างน้ำมันพืชในร่างกาย ที่สะสมมาตั้งแต่เกิดเสียที ด้วยสูตรตามธรรมชาติ ที่ท่านสามารถพึ่งพาตัวเองได้ มี 2 สูตร ที่ได้รับการทดสอบจากประชาชนทั่วไป มากกว่า ห้าหมื่นคน และ ได้ผล

สูตรที่เร็วที่สุดคือ น้ำชามะละกอ (ล้างอย่างเดียว แต่เร็ว)
วิธีทำ : มะละกอดิบ ที่ใช้ตำส้มตำ นำมาหั่นเป็นชิ้นเหมือนชิ้นฟัก ประมาณ 6-8 ชิ้นต่อน้ำ 2 ลิตร จะขาดจะเกิน ไม่ผิด (ถ้าใส่มากเกินไปจะทำให้บูดง่าย มะละกอดิบที่เหลือ ใส่ตู้เย็นเก็บไว้ใช้ได้ในครั้งต่อไป) และ ใบเตย หรือ เก๊กฮวย อย่างใดอย่างนึง กะเอง ต้มในน้ำ จนเด ื อด พอเดือดได้ประมาณ 1 นาที ปิดไฟทันที อย่าต้มต่อ ให้เอามะละกอ กับ ใบเตยทิ้ง (อย่า ป ล่อยให้มะละกอเดือดจนเละ) แล้วใส่ใบชา ลงไปแช่ประมาณ 4 นาที ห้ามแช่นานกว่า 4 นาทีเพราะสารแทนนินจะออกมา ทำให้ท้องผูก แล้วตักใบชาทิ้ง จะได้น้ำชามะละกอ ดื่มร้อน หรือ เย็นได้ น้ำชาที่เหลือให้แช่ตู้เย็น เก็บไว้ได้ประมาณ 2 วัน เกินกว่านั้นจะบูด (ยางมะละกอล้างไขมัน, ใบเตยให้ความสดชื่น, ชาดับกลิ่นมะละกอ)

สูตร นมสดโยเกิร์ตน้ำผึ้งมะนาว (ล้างและบำรุง ค่อย ๆ ล้าง)
นมสด โยเกร์ต น้ำผึ้ง มะนาว : ใช้โยเกิร์ตชนิดจืดครึ่งถ้วย ผสมนมสดชนิดจืด 1 กล่อง เติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนชา และ บีบมะนาว 2 ลูก คนให้เข้ากัน ทิ้งไว้ 5-10 นาที แล้วค่อยดื่ม
คุณสมบัติ : ใ ห้วิตามิน B บำรุงสมอง วิตามิน C เพิ่มภูมิต้านทาน, จุลินทรีย์ตัวดีช่วยย่อยน้ำมันพืช, นมส ด ให้แคลเซียม

ขอให้ท่านมองดูคนป่วยรอบกายท่าน คนป่วยในสังคม แล้วถามตัวเองว่า
- คนเหล่านั้น ทานน้ำมันพืชแล้วภูมิคุ้มกันมีปัญหา ป่วย แต่ไปรักษาปลายเหตุ ใช่หรือไม่ ?
- คนป่วยเหล่านี้มากพอหรือยัง เงินที่คนป่วยเหล่านี้ต้องจ่ายซื้อยา เงินนั้นอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ ?
- เศรษฐกิจพอเพียงจะเกิดขึ้นได้อย่างไร หากคนไทยยังไม่ดูแลสุขภาพตนเอง ต้องพึ่งพายาฝรั่งไปเรื่อย ๆ ?

ท่านอย่าเพิ่งเชื่อบทความนี้ จนกว่า ท่านหาจะได้ข้อมูลเพิ่มเติมใน search engine (google) ต่าง ๆ ด้วยตนเอง โดยพิมพ key word ต่อไปนี้ (พิมพ์ครั้งละ 1 คำ)
Transfat, transfat bill, vegetable oil bad health, hydrogenated oil, ชามะละกอ, อันตราย น้ำมันพืช


By: ฟาร์มดี (ฟาร์มไส้เดือนของคนพิการ)
http://www.facebook.com/photo.php?fbid=440296876035554&set=a.416557595076149.94173.415418875190021&type=1

6953
 สธ.ระดมกำลังแพทย์ พยาบาล และระดับผู้บริหาร พัฒนาระบบงานบริการผู้ป่วยอุบัติเหตุ ฉุกเฉินของ รพ.ทุกระดับเป็นมาตรฐานเดียวกันทุกแห่ง เพิ่มโอกาสรอดชีวิต ไร้พิการซ้ำซ้อนให้ได้มากที่สุด เผยในรอบ 10 ปีสถิติผู้ป่วยห้องฉุกเฉินรพ.รัฐทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว เฉลี่ยเข้าห้องฉุกเฉินนาทีละ 46 ครั้ง
       
       วานนี้(21 ธ.ค.) นพ.ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข(สธ.) เปิดประชุมนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัด ผู้อำนวยการโรงพยาบาล(รพ.)ศูนย์/รพ.ทั่วไป และผู้รับผิดชอบและปฏิบัติงานด้านอุบัติเหตุฉุกเฉิน ประกอบด้วยแพทย์หัวหน้ากลุ่มงานศัลยกรรม งานเวชศาสตร์ฉุกเฉินและนิติเวช งานออร์โธปิดิกส์ พยาบาลประจำห้องอุบัติเหตุและฉุกเฉินประจำรพ.ศูนย์ทั่วประเทศ รพ.มหาวิทยาลัย วิทยาลัยแพทยศาสตร์ จำนวน 300 คน เพื่อระดมสมองพัฒนาประสิทธิภาพระบบการให้บริการผู้ป่วยอุบัติเหตุ ฉุกเฉิน ใน รพ.ทุกระดับในประเทศไทย
       
       นพ.ณรงค์ กล่าวว่า งานบริการผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินจัดเป็นงานด่านหน้าที่มีความสำคัญของรพ.ทุแห่ง เพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วยที่อยู่ในภาวะฉุกเฉินและวิกฤติอย่างรวดเร็วและถูกต้องแม่นยำ เพื่อให้รอดชีวิต ปลอดภัย ลดความพิการซ้ำซ้อน ให้บริการเป็นทีม เป็นความหวังของผู้ป่วยและญาติขณะประสบกับนาทีชีวิต ซึ่งเป็นนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล และ สธ.ที่ต้องการให้ประชาชนได้รับบริการที่ได้มาตรฐาน
       
       "จากการสำรวจของศูนย์อุบัติเหตุฉุกเฉิน โรงพยาบาลขอนแก่นพบว่า ในรอบ 10 ปีมานี้ จำนวนผู้ป่วยอุบัติเหตุฉุกเฉินเข้ารักษาตัวที่ห้องฉุกเฉินของ รพ.ของรัฐทั่วประเทศเพิ่มขึ้น 1 เท่าตัว จาก 12 ล้านครั้งในปี 2544 เป็น 24 ล้านครั้งในปี 2555 เฉลี่ยนาทีละ 46 ครั้ง ในขณะที่ทรัพยากรด้านต่างๆของ รพ.ไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการวางแผนในการรับมือปัญหาอย่างเป็นระบบและทันท่วงที เพื่อให้มีความเป็นเลิศ มีมาตรฐานระดับสากล สร้างความเชื่อมั่นของคนไทยทั้งประเทศและต่างชาติ" นพ.ณรงค์ กล่าว
       
       นพ.ณรงค์ กล่าวต่อว่า ในการประชุมครั้งนี้จะศึกษาทบทวนสถานการณ์ สภาพปัญหาที่เกิดในระบบจากการปฏิบัติงานจริง และการพัฒนาความพร้อมอย่างสมบูรณ์แบบใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่

1.บุคลากรมืออาชีพ
2.โครงสร้าง และอุปกรณ์ เครื่องมือแพทย์
3.กระบวนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทุกระดับ
4.เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารรับแจ้งเหตุ การประสานงานของเจ้าหน้าที่

จากนั้นจะจัดทำเป็นยุทธศาสตร์การพัฒนาและการลงทุนต่างๆ ให้เกิดความสมบูรณ์แบบได้มาตรฐาน

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ธันวาคม 2555

6954
เด็กและผู้สูงอายุ 4 จ.ชายแดนใต้ป่วยโรคฟันสูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ โดยเด็กฟันผุร้อยละ 65 โดยเฉพาะนราธิวาสพบเด็กฟันผุถึงร้อยละ 80 ส่วนผู้สูงอายุ 1 ใน 10 เหลือแต่เหงือกไม่มีฟันเคี้ยวอาหาร เร่งปรับระบบการดูแลในพื้นที่ เน้นโรงพยาบาลทุกระดับเพิ่มบริการดูแลสุขภาพช่องปากลงชุมชน ตั้งเป้าภายใน 3 ปีนี้ จะใส่ฟันเทียมพระราชทานให้ผู้สูงอายุ 9,000 ราย เพิ่มเด็กวัยเรียนฟันดีให้ได้ร้อยละ 40
       
       นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการพัฒนาระบบการดูแลสุขภาพช่องปากของประชาชนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ว่า พื้นที่ดังกล่าวมีปัญหาสาธารณสุขหลายเรื่องที่สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศ เช่น อัตราการสูบบุหรี่ แม่เสียชีวิต และฟันผุ ผลสำรวจสุขภาพช่องปากของกรมอนามัยในปี 2554 พบว่า

เด็กไทยโดยเฉลี่ยร้อยละ 50 เป็นโรคฟันผุ สูงสุดในเขตภาคใต้ร้อยละ 65 โดยเฉพาะใน 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ได้แก่ สงขลา ยะลา ปัตตานี นราธิวาส มีความชุกโรคฟันผุมากกว่าที่อื่น โดยจังหวัดปัตตานีพบร้อยละ 70 และนราธิวาสพบร้อยละ 80

ส่วนกลุ่มผู้สูงอายุโดยเฉลี่ยพบ 1 ใน 10 ไม่มีฟันเคี้ยวอาหาร พบมากที่สุดในภาคกลางและภาคใต้ นอกจากนี้ผู้สูงอายุในภาคใต้ที่มีปัญหาฟันผุหรือเหงือกอักเสบแล้ว พบว่ากว่าครึ่งยังไม่ได้รับการรักษา เนื่องจากอุปสรรคในการเดินทางและจากผลกระทบความไม่สงบที่เกิดขึ้นจึงทำให้เกิดปัญหาเป็นโรคเหงือกอักเสบรุนแรงสูงถึงร้อยละ 91 และมีโอกาสสูญเสียฟันทั้งปากเพิ่มขึ้น
   
       นายแพทย์ณรงค์ กล่าวต่อว่า มาตรการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ได้มอบนโยบายให้ระดมทรัพยากรที่มีอยู่ ทั้งกำลังคน เครื่องมืออุปกรณ์ และงบประมาณ มาใช้ร่วมกันในระดับเครือข่ายบริการ โดยตั้งคณะกรรมการประสานงานสาธารณสุขเครือข่ายหรือคปสข.ทั้ง 4 จังหวัด มาจัดทำยุทธศาสตร์บริการร่วมกันเพื่อลดปัญหาให้ได้โดยเร็วที่สุด ไม่แยกพัฒนาเฉพาะโรงพยาบาล ซึ่งจะทำให้เกิดประสิทธิภาพและคุณภาพมากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันทรัพยากรด้านกำลังคนค่อนข้างพร้อมกว่าพื้นที่อื่น ส่วนการทำงานของแต่ละพื้นที่ ได้มอบนโยบายให้ปรับวิธีการทำงาน จากเดิมที่เป็นการตั้งรับ รักษาผู้ป่วยอยู่ที่โรงพยาบาลซึ่งทำให้คิวยาวและแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ให้เพิ่มบริการเชิงรุกลงชุมชน เน้นการส่งเสริมป้องกันร่วมกับโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล เพื่อส่งเสริมสุขภาพช่องปากและฟันในชุมชน ให้ประชาชนมีสุขภาพช่องปากดีขึ้น คาดว่าวิธีการนี้น่าจะบรรลุเป้าหมายที่วางไว้
       
       ทั้งนี้ในปี 2556 นี้ สปสช.ได้จัดงบประมาณส่งเสริมป้องกันด้านทันตสุขภาพทั่วประเทศ 1,045 ล้านบาท เฉลี่ยเครือข่ายบริการละ 80-90 ล้านบาท และมีงบจากกระทรวงสาธารณสุขอีกกว่า 1,000 ล้านบาท เฉลี่ยเครือข่ายละเกือบ 100 ล้านบาท และยังมีงบเฉพาะสำหรับการแก้ไขปัญหาภาคใต้อีก 87 ล้านบาทซึ่งเพียงพอในการจัดบริการปะชาชนในพื้นที่ 4 จังหวัดใต้ประมาณ 5 ล้านคน

       ด้านนายแพทย์เจษฎา โชคดำรงสุข อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า กรมอนามัย ได้วางเป้าหมายแก้ไขปัญหาสุขภาพช่องปากและฟันใน 4 จังหวัดชายแดนใต้ตั้งแต่พ.ศ.2556-2558 ใน 2 เรื่อง คือ 1. ใส่ฟันเทียมพระราชทานในผู้สูงอายุที่สูญเสียฟันทั้งปากจำนวน 9,000 คน และขยายบริการส่งเสริมสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุในรพ.สต. รวมทั้งพัฒนาศักยภาพชมรมผู้สูงอายุให้ดูแลอนามัยช่องปากตนเองและ2.การส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ป้องกันฟันผุในเด็กวัยเรียน ตั้งเป้าหมายภายในปี 2558 จัดบริการเคลือบหลุมร่องฟัน และใช้ฟลูออไรด์ ให้กลุ่มเด็กวัยเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่6 ซึ่งเป็นการถนอมฟันแท้ที่ต้องใช้งานตลอดชีวิตไม่ให้ผุ เพิ่มจากร้อยละ 30 เป็นร้อยละ 40 เพิ่มโรงเรียนปลอดน้ำอัดลมไม่น้อยกว่าร้อยละ 75 ของโรงเรียนทั้งหมด


ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2555

6955
 สธ.ดึงสุขบัญญัติ 10 ประการ เป็นคัมภีร์ป้องกัน ลดเจ็บป่วยคนไทย ขยายผลใช้ในโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ และใช้มาตรการการให้สุขศึกษาในโรงพยาบาลทุกระดับปลูกฝังพฤติกรรมสุขภาพดีแก่ประชาชน เผยผลสำรวจสภาวะสุขภาพคนไทยล่าสุดในปี 2552 พบป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากถึง 10.8 ล้านคน ส่วนในปี 2554 มีคนไทยป่วยแต่ไม่ต้องนอนพักรักษาในโรงพยาบาล 19.8 ล้านคน
       
       นายแพทย์ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข เปิดเผยว่า สถานการณ์การเจ็บป่วยของประชาชนไทยอยู่ในเกณฑ์น่าห่วง สาเหตุมาจากหลายปัจจัย ทั้งการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อม พฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ แบบแผนใหม่ของการบริโภค ขาดการออกกำลังกาย ความเครียดสูงขึ้น ผลสำรวจสภาวะสุขภาพคนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปในปี 2551-2552 พบว่า คนไทยป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงมากที่สุดถึง 10.8 ล้านคน ป่วยเป็นเบาหวาน 3 ล้านคน ขณะเดียวกันผลสำรวจอนามัยของประชากรไทยโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ ล่าสุดในปี 2554 พบว่า มีผู้เจ็บป่วยที่ไม่ต้องนอนพักรักษาในโรงพยาบาล จำนวน 19.8 ล้านคนคิดเป็นร้อยละ 29 ของประชากร ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2549 ที่มีจำนวนร้อยละ 28 ของประชากร
       
       “การป้องกันแก้ไขปัญหาสุขภาพคนไทย มีนโยบายให้กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ สนับสนุนให้โรงพยาบาลในสังกัดทุกระดับใช้กระบวนการสุขศึกษา ให้ความรู้ประชาชนทั้งที่ป่วยและไม่ป่วย เพื่อปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพให้ถูกต้อง และนำสุขบัญญัติแห่งชาติ 10 ประการ ซึ่งเป็นพฤติกรรมสุขภาพขั้นพื้นฐานที่พึงประสงค์ใช้มานาน ยังมีความทันสมัย นำไปใช้ในกลุ่มประชาชนทั่วไปและเด็กนักเรียนในโรงเรียน ศูนย์เด็กเล็กทั่วประเทศ เพื่อปลูกฝังความรู้และการปฏิบัติในการดูแลสุขภาพอนามัยตั้งแต่อยู่ในวัยเด็ก นำไปสู่การปฏิบัติจนติดเป็นนิสัย เด็กที่ปฏิบัติได้ตามเกณฑ์ จะสร้างให้เกิดภูมิต้านทานโรคมีสุขภาพที่แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยง่าย มีสมรรถภาพในการเรียน การทำกิจกรรมต่างๆ มีสุขภาพดี ทั้งร่างกายและจิตใจ และอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข”รมช.สาธารณสุข กล่าว
       
       ด้าน น.ต.นายแพทย์บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ กล่าวว่า ขณะนี้ มีโรงพยาบาลผ่านการรับรองมาตรฐานงานสุขศึกษาแล้ว 2,021 แห่ง เป็นโรงพยาบาลศูนย์/โรงพยาบาลทั่วไป 53 แห่ง โรงพยาบาลชุมชน 225 แห่ง และรพ.สต. 1,743 แห่ง ภายในปี 2559 จะพัฒนาโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลทั่วไป โรงพยาบาลชุมชนให้ผ่านเกณฑ์มาตรฐานงานสุขศึกษาครบทุกแห่ง และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลผ่านเกณฑ์ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 50 ขณะนี้ได้จัดทำมาตรฐานงานสุขศึกษาเพื่อเป็นแนวทางในการดำเนินงานพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพประชาชนในโรงพยาบาลทุกระดับแล้ว
       
       อนึ่ง สุขบัญญัติ 10 ประการ ประกอบด้วย
1.ดูแลรักษาร่างกายและของใช้ให้สะอาด
2.รักษาฟันให้แข็งแรงและแปรงฟันทุกวันอย่างถูกวิธี
3.ล้างมือให้สะอาดก่อนรับประทานอาหารและหลังการขับถ่าย
4.กินอาหารสุก สะอาด ปราศจากสารอันตราย และหลีกเลี่ยงอาหารรสจัด สีฉูดฉาด
5.งดสูบบุหรี่ สุรา สารเสพติด การพนัน และการสำส่อนทางเพศ
6.สร้างความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่น
7.ป้องกันอุบัติภัยด้วยการไม่ประมาท
8.ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และตรวจสุขภาพประจำปี
9.ทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใสอยู่เสมอ และ
10.มีสำนึกต่อส่วนรวมร่วมสร้างสรรค์สังคม เช่นทั้งขยะในถังขยะ


ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2555

6956
พระนครศรีอยุธยา - พบเด็กชายวัย 1 เดือนหัวโตผิดปกติ แพทย์ต้องผ่าสมองฝังท่อระบายน้ำ แม่วอนผู้ใจบุญช่วยเหลือ เหตุยากจน-ทำงานรายวัน
       
       วันนี้(22 ธ.ค.)ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งจากชาวบ้านหมู่ 5 ต.ไผ่ลิง อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา ว่ามีเด็กชายวัยเพียง 1 เดือนมีศรีษะโตผิดปกติ อยู่ที่หอพักเลขที่ 102/12 หมู่ 5 ต.ไผ่ลิง ไปตรวจสอบพบน.ส.จินตนา เทพมงคล อายุ 19 ปี ชาวจังหวัดอ่างทอง กำลังอุ้มด.ช. คุณากรหรือน้องมอส เทพมงคล อายุ 1 เดือน โดยที่ศรีษะมีขนาดโตกว่าปกติ วัดรอบได้ 43.5 เซนติเมตร ทั้งยังฝังท่อเอาไว้ด้วย ส่วนอื่นของร่างกายปกติ
       
       น.ส.จินตนา เปิดเผยว่า เป็นพนักงานขายสินค้าอยู่ในห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งใน.จ.พระนครศรีอยุธยา ได้ค่าแรงเป็นรายวัน เช่าห้องพักอยู่กับนางรัตนา จันทร์อนันต์ อายุ 45 ปี มารดา และนายวาสนา สีระปะสะ อายุ 41 ปี สามีของแม่ ส่วนสามีของตนได้เลิกรากันไปก่อนที่จะคลอดน้องมอส อีกทั้งตั้งท้องมาได้7 เดือนแล้วเพิ่งทราบว่าท้อง ทำอัลตร้าซาวด์ก็พบว่าน้องมอสมีอาการผิดปกติ คือ ศรีษะโต เมื่อครบกำหนดคลอดทางโรงพยาบาลอ่างทองได้ส่งตัวไปที่โรงพยาบาลราชวิถี ซึ่งแพทย์ระบุว่าน้องมอสเป็นโรคสมองบาง และได้ผ่าตัดสมองน้องมอสเพื่อฝังท่อระบายน้ำออกจากศรีษะมาที่ลำไส้ให้ออกมาทางปัสสาวะ ทำให้ศรีษะหยุดขยายตัว ซึ่งหากไม่ผ่าตัด ศรีษะของน้องมอสโตขึ้นเรื่อยๆ
       
       "ทุกวันนี้ต้องคอยสังเกตว่าท่อระบายน้ำตันหรือไม่ หากตันต้องรีบพบแพทย์ทันที และเมื่อครบ1 ปีต้องไปพบแพทย์อีกครั้ง อย่างไรก็ตามได้รับคำแนะนำให้พยายามฝึกพัฒนาการของน้องมอสให้มาก เพราะน้องมอสจะมีพัฒนาการช้ากว่าเด็กทั่วไป ซึ่งครอบครัวของดิฉันมีน้องชายที่อาการผิดปกติศรีษะโตเหมือนกับน้องมอส และผ่าตัดฝังท่อแบบเดียวกัน แต่อยู่ได้ 10 ปีก็เสียชีวิต"
       
       น.ส.จินตนา กล่าวว่า แพทย์ให้ดูแลน้องมอสอย่างใกล้ชิด แต่ต้องออกไปทำงานทุกวันโดยให้มารดาช่วยดูแล ส่วนนายวาสนาสามีของมารดาเป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย รายได้ไม่เพียงพอ ต้องจ่ายค่าห้องพัก ค่านม ผ้าอ้อมสำเร็จรูปจำนวนมาก เพราะน้องมอสปัสสาวะบ่อยมากเพื่อระบายน้ำออกจากศรีษะ และยังต้องมีค่ารักษาพยาบาล ซึ่งทุกวันนี้ต้องเบิกเงินล่วงหน้ากันทุกวันเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายแต่ในละวัน จึงอยากวอนขอความช่วยเหลือจากผู้ใจบุญช่วยเหลือน้องมอสด้วย ส่วนตนเองอยากทำงานที่มั่นคงกว่านี้ เพราะเป็นแค่พนักงานขายสินค้ารายวัน หากหมดช่วงขายสินค้าก็ต้องหางานใหม่อีก

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 ธันวาคม 2555

6957
กลายเป็นข่าวครึกโครม หลังนายสว่าง นุ่มจุ้ย อายุ 55 ปี เจ้าของไร่สับปะรดชาว จ.เพชรบุรี เข้าแจ้งความกับ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองนนทบุรี ว่า พบรถยนต์ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นไทเกอร์ สีบรอนซ์เทา หมายเลขทะเบียน บฉ-5960 เพชรบุรี ของ นายสามารถ นุ่มจุ้ย อายุ 27 ปี บุตรชายและน.ส.อรษา เกิดทรัพย์ อายุ 27 ปี ลูกสะใภ้ ซึ่งได้หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยเมื่อ 3 ปีก่อน มาจอดอยู่ภายในบ้านร้าง เลขที่ 125/53 และ 125/2 ซ.กรุงเทพนนท์ 1 ถ.กรุงเทพนนท์ ต.บางเขน อ.เมือง จ.นนทบุรี นำมาสู่การพลิกแฟ้มคดีคนสูญหายที่ดูราวกับว่าจะถูกลืมไปแล้วกลับขึ้นมาทำใหม่ กระทั่งนำไปสู่การจับกุม พ.ต.อ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ นายแพทย์ (สบ 5) รพ.ตำรวจ และ ออกหมายจับ น.ส.วิลสา จันทรบัญชร ภรรยา ในข้อกล่าวหาร่วมกันกักขังหน่วงเหนี่ยว และร่วมกันรับของโจร แม้จนถึงวันนี้ พ.ต.อ.สุพัฒน์ ยังคงให้การปฏิเสธ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเงื่อนปมต่างๆ ในคดีเริ่มค่อยๆ คลี่คลายและ กระจ่างชัดมากขึ้น
       
       นายสว่าง เล่าว่า ตนเองได้ออกติดตามหาตัว นายสามารถ มานานกว่า 3 ปีแล้ว ตั้งแต่หายตัวออกจากบ้านไปตั้งแต่วันที่ 17 มิ.ย.52 โดยก่อนเกิดเหตุนายสามารถมาบอกตนว่าจะไปตัดต้นกระถินที่ไร่ของแม่ น.ส.อรษา และจะแวะเข้ามาหา แต่จนกระทั่งเย็นก็ไม่เห็นลูกชายมา จึงได้โทรศัพท์หาทั้งของลูกชายและลูกสะใภ้ แต่ก็พบว่าโทรศัพท์ถูกปิดเครื่อง จึงได้ขับรถเข้าไปดูที่ไร่ก็พบเพียงกองไม้ต้นกระถินที่ลูกชายตัดไว้แต่ไม่พบตัวลูกชายและลูกสะใภ้ จึงได้เข้าแจ้งความไว้ที่ สภ.ท่าไม้รวก และออกติดตามหามาตลอด จนกระทั่งรู้จากพลเมืองดีว่ารถของลูกชายจอดอยู่ในบ้านหลังนี้จึงเดินทางมาดู และเข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองนนทบุรี ให้ช่วยติดตามตัวลูกชาย และลูกสะใภ้
       
       หลังจากได้ข้อมูลจากนายสว่าง ตำรวจภูธร จ.นนทบุรี จึงได้ประสานข้อมูล สภ.ท่าไม้รวก จ.เพชรบุรี ซึ่งเป็นท้องที่ที่นายสว่างเคยแจ้งความคนหายไว้เมื่อ 3 ปีก่อน ขณะเดียวกัน พล.ต.ท.หาญพล นิตย์วิบูล ผบช.ภ.7 ได้ส่งชุดสืบสวนลงพื้นที่คลี่คลายคดีนี้ จนได้พยานปากสำคัญ คือ นายกะลา อายุ30ปี ชาวพม่า ที่เคยทำงานให้กับ พ.ต.อ.สุพัฒน์ ซึ่งนายกะลา ให้การว่า ทำงานให้กับ พ.ต.อ.สุพัฒน์ มานานกว่า 18 ปี ถูกบังคับให้ทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้าง ถูกทำทารุณกรรมจนแขนขวาพิการ ขณะเดียวกันอ้างว่าเคยมีคนงานชาวพม่าที่ทำงานในไร่ถูกทำทารุณกรรมเช่นตน และถูกฆาตกรรมเสียชีวิต โดยศพถูกฝังอยู่ภายในไร่
       
       เจ้าหน้าที่จึงได้ขออนุมัติหมายค้นจากศาล จ.เพชรบุรี เข้าค้นที่ไร่ของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ เลขที่ 65 และเลขที่ 225 หมู่ 2 ต.กลัดหลวง อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ซึ่งก็ต้องตกตะลึงเมื่อตรวจสอบภายในบ้านพักชั้นเดียวพบอาวุธปืนยาว หลายขนาดรวม 30 กระบอก และปืนพกสั้นอีก 12 กระบอก สอดคล้องกับคำให้การพยานที่ระบุตรงกันว่า พ.ต.อ.สุพัฒน์ ชอบยิงปืนและเข้าป่าล่าสัตว์
       
       ขณะที่เจ้าหน้าที่ได้ใช้รถแบ็คโฮขุดบริเวณจุดที่พยานระบุว่าเป็นจุดฝังศพ ซึ่งอยู่ติดกับริมห้วยใกล้กอไผ่กลางไร่ของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ ก็พบโครงกระดูกมนุษย์โครงแรกที่บรรจุอยู่ในกระสอบปุ๋ย 2 ใบ มีเศษเสื้อคลุมแบบมีซิปติดอยู่ ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะขุดเจอโครงกระดูกที่2 ซึ่งอยู่ห่างจากจุดแรก 200 เมตร พบที่กะโหลกมีรูกลมคล้ายถูกยิงด้วยอาวุธปืน มีเศษเสื้อสีน้ำเงินเบอร์ 20 กางเกงขาสั้น ซึ่ง นายสว่างยืนยันว่าน่าจะเป็นศพของบุตรชายเพราะจำเบอร์ที่ติดเสื้อและกางเกงขาสั้นที่บุตรชายชอบใส่ได้ ส่วนโครงกระดูกที่ 3 ถูกฝังในสภาพนอนคว่ำหน้า ถูกมัดมือไพล่หลัง กะโหลกมีรูกลมด้านหลัง มีเศษชิ้นส่วนเสื้อผ้า และเชือกไนล่อนที่คาดว่าใช้มัดมือผู้ตาย เจ้าหน้าที่จึงได้ส่งโครงกระดูกทั้งหมดตรวจพิสูจน์ที่สถาบันนิติเวชวิทยา เพื่อสกัดดีเอ็นเอเทียบกับญาติของผู้สูญหาย
       
       พล.ต.ท.จรัมพร สุระมณี ผู้ช่วยผบ.ตร. ซึ่งร่วมตรวจสอบโครงกระดูกดังกล่าว ระบุว่า โครงกระดูกโครงแรกเป็นเพศชายไม่มีร่องรอยถูกทำร้าย มีเหรียญ 5 บาท และเหรียญ 1 บาทใส่อยู่ในปาก ซึ่งคงเป็นการทำพิธีศพ ส่วนโครงกระดูกที่ 2 พบรูกระสุนบริเวณท้ายทอย ขนาดกระสุนเล็กกว่า 9 มม.ลักษณะรูกระสุนกลม สันนิษฐานว่าจะเป็นการยิงระยะใกล้ ขณะเดียวกันยังพบหัวกระสุนอยู่ด้านในกะโหลก และโครงกระดูกที่ 3 ยังไม่ทราบเพศ เนื่องจากสภาพโครงกระดูกไม่สมบูรณ์ ที่กะโหลกบริเวณท้ายทอยพบรูกระสุน 3 รู เรียงกัน ขนาดกระสุนน่าจะเล็กกว่ากระสุน 9 มม. การยิงลักษณะเป็นระยะใกล้ ศีรษะจะนิ่งคล้ายถูกจับศีรษะหรือกดไว้ ซึ่งเป็นการสังหารอย่างโหดเหี้ยม
       
       แต่ทว่าผลการตรวจดีเอ็นเอโครงกระดูกทั้ง 3 ราย ของสถาบันนิติเวชวิทยา ซึ่งได้ตรวจแล้วเสร็จเฉพาะโครงกระดูกแรกเพียงโครงเดียว ระบุว่า ไม่มีความเกี่ยวข้องกับญาติผู้สูญหาย ส่วนดีเอ็นเอ 2 ศพที่เหลือยังไม่แล้วเสร็จ แต่จากที่การตรวจฟันเพื่อระบุอายุ ปรากฏว่า ศพที่ 2 และ 3 ไม่น่าจะใช่นายสามารถ และน.ส.อรสา เนื่องจากช่วงอายุไม่ตรงกันกับนายสามารถที่เสียชีวิตอายุ 26-27 ปี แต่ศพที่ 3 นั้นอายุประมาณ 40-45 ปี ซึ่งก็แสดงว่าจนถึงขณะนี้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า นายสามารถและน.ส.อรษา ถูกฆาตกรรม
       
       ย้อนมาที่การติดตามตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ หลังข่าวเผยแพร่ออกไปเจ้าตัวได้แต่เก็บตัวเงียบ ไม่สามารถติดต่อได้ เพราะอยู่ระหว่างลาพักร้อน ขณะเดียวกันได้ยื่นเรื่องขอเออร์ลี่รีไทร์กับต้นสังกัด ต่อมาวันที่ 22 ก.ย. ศาลจังหวัดเพชรบุรี ได้อนุมัติออกหมายจับ พ.ต.อ.สุพัฒน์และนางวิลสา จันทรบัญชร ภรรยา และช่วงเย็นวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังเข้าจับกุมตัว พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้ที่หาดปึกเตียนรีสอร์ต อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี จากการสอบสวนเจ้าตัวให้การปฏิเสธ ขอให้การในชั้นศาล
       
       ขณะที่วันรุ่งขึ้น พล.ต.ท.จงเจตน์ อาวเจนพงษ์ นายแพทย์ใหญ่ รพ.ตำรวจ ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ออกจากราชการไว้ก่อน พร้อมระงับคำสั่งเออร์ลี่รีไทร์ไว้ก่อนด้วย
       
       และในวันเดียวกัน นายสว่าง ได้เข้ายื่นหนังสือกับพนักงานสอบสวน สภ.ท่าไม้รวก จ.เพชรบุรี ขอแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มเติมต่อ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และ น.ส.วิลสา ภรรยา ในข้อหาฆ่านายสามารถ นุ่มจุ้ย บุตรชายตายโดยเจตนา และอำพรางศพ ด้วยหลักฐาน และเหตุผลที่สำคัญ คือ เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2555 นายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชายของ พ.ต.อ.สุพัฒน์ เลาหะวัฒนะ ได้พา น.ส.วิมล นุ่มจุ้ย บุตรสาว ไปที่บ้านของ น.ส.วิลสา ในพื้นที่ จ.นนทบุรี และได้พบรถยนต์กระบะ ซึ่งเป็นรถของบุตรชายตนถูกจอดทิ้งไว้ในบ้านหลังดังกล่าว โดยรถที่พบนั้นหายไปพร้อมกับบุตรชาย และบุตรสะใภ้ของตนเมื่อ 3 ปีก่อน
       
       “หลังจากพบรถกระบะในบ้านของภรรยานายแพทย์ที่ จ.นนทบุรี ผมได้โทรศัพท์ไปหา พ.ต.อ.นายแพทย์สุพัฒน์ และไต่ถามเกี่ยวกับการหายตัวไปของบุตรชาย และบุตรสะใภ้ แต่กลับถูก พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ปฏิเสธ และข่มขู่ให้ระวังตัวจะอยู่ไม่ได้ และขอให้หยุดการเปิดโปงเรื่องนี้ และยังบอกอีกว่า เขามีพวกมาก ผมไม่มีทางชนะเขาได้หรอก จนกระทั่งต่อมา เมื่อช่วงค่ำของวันที่ 21 กันยายน 2555 ซึ่งเป็นวันที่เจ้าหน้าที่ตำรวจทำการขุดค้นหาศพที่บริเวณไร่หลังบ้านของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และได้ขุดพบโครงกระดูกของนายสามารถ ที่ถูกฝังไว้ในไร่ ที่จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่พบว่าที่กะโหลกศีรษะมีรูกระสุนที่กกหูซ้าย และพบเสื้อกางเกงที่ซากศพ และฟัน ผมมั่นใจว่าเป็นของนายสามารถ บุตรชาย อีกทั้งสถานที่พบศพยังเป็นไปตามคำบอกเล่าของผู้ให้ข้อมูลมาว่า พบเห็น พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ใช้อาวุธปืนยิงก่อนที่จะนำศพไปฝังดินไว้ในไร่ดังกล่าว" ใจความในหนังสือของนายสว่าง ระบุ
       
       อีกประเด็นที่น่าสนใจเนื่องจากคดีนี้มีจิ๊กซอว์สำคัญ คือ พลเมืองดี ผู้ที่ให้ข้อมูลกับญาติของผู้สูญหาย ซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็น นายสุเทพ เลาหะวัฒนะ พี่ชายของ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ นั่นเอง จึงเกิดคำถามตามมาว่าเหตุใด พี่น้องร่วมสายเลือดจึงได้เปิดศึกสาวไส้กันเอง
       
       แต่หากย้อนดูความสัมพันธ์ของคนทั้งคู่เรียกได้ว่าไม่ราบรื่นนัก เพราะก่อนหน้านี้ ทั้งคู่ได้มีข้อพิพาทเรื่องการแย่งกันเป็นผู้ดูแล นางถนิม เลาหะวัฒนะ มารดาวัย 96 ปี โดย พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเยาวชนและครอบครัวกลางขอให้ศาลสั่งให้นางถนิม เป็นคนไร้ความสามารถและให้ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เป็นผู้อนุบาลแต่เพียงผู้เดียว ขณะที่นายสุเทพได้ยื่นคำร้องคัดค้าน ขณะเดียวกันยังมีการฟ้องกันไปมาระหว่าง พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ และนายสุเทพ เรื่องการเบิกความเท็จที่ศาลจ.นนทบุรี อีกด้วย
       
       นายสุเทพ กล่าวถึงกรณีที่ พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ระบุว่า ตนเองเป็นผู้จัดฉากให้ร้าย เนื่องจากมีปัญหาความขัดแย้งในครอบครัว เพราะมีการฟ้องร้องกันอยู่ในชั้นศาล ว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง เนื่องจากเมื่อปี 2551 พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ได้ให้ยารักษาแม่ไม่ตรงกับโรค ให้ยานอนหลับเกินขนาด ส่งผลให้แม่ที่ป่วยเป็นโรคหัวใจมีอาการเต้นของหัวใจผิดจังหวะ เท้าบวม ตนเห็นว่า น้องชายให้ยาแม่ไม่สุจริต จึงพาตัวแม่หลบหนีออกจากบ้าน เป็นจุดแตกหัก จากนั้นมาทราบว่าไปร้องศาลว่าแม่ความจำเสื่อม ขอเป็นผู้อนุบาล แต่ตนคัดค้าน เพราะเห็นว่าสุขภาพร่างกายแม่แข็งแรงดีไม่ได้มีอาการป่วยตามที่ถูกกล่าวอ้าง ส่วนความขัดแย้งเรื่องมรดกนั้น ยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง เนื่องจากครอบครัวไม่ได้มีมรดกอะไรมาก นอกจาก ที่ดิน 3 แปลง ย่าน พหลโยธิน, ลาดพร้าว และ กรุงเทพฯ-นนทบุรี ซอย 1 ส่วนเงินสดของคุณแม่ ในธนาคาร ถูกน้องชายถอนไปจนหมดบัญชี มากว่า 10 ปีแล้ว
       
       “ปกติเขาเป็นคนดี เรียนเก่ง แต่จะเป็นคนสองบุคลิก เมื่ออยู่กับครอบครัวก็จะเป็นคนสุภาพเรียบร้อย แต่ถ้าอยู่กับคนที่ด้อยกว่าก็จะเป็นอีกแบบ พี่สาวที่เลี้ยงมายังเคยถูกทำร้าย เพราะเข้าไปเตือนเรื่องผู้หญิง ที่น้องชายพยายามจะพาให้ที่บ้านรู้จัก อยากให้น้องชายหาทางช่วยเหลือตัวเอง ดิ้นไปแบบนี้โทษจะหนักไปเรื่อย ไม่ใช่แค่กรณีสองผัวเมียเท่านั้น ยังไปทำคนอื่นไว้อีกเยอะ” นายสุเทพ กล่าวและว่า เชื่อว่าสาเหตุที่น้องชายพยายามโยนความผิดมาที่ตนว่าเป็นการจัดฉาก เพราะ คิดอะไรไม่ออกจึงโยนความผิดมา
       
       ส่วนกรณีที่ครอบครัวของผู้ที่สูญหาย ระบุว่าตนเป็นผู้ให้เบาะแสเรื่องรถนั้น นายสุเทพ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ ตนได้พาน.ส.วิมล นุ่มจุ้ย พี่สาวของนายสามารถที่หายตัวไป ซึ่งทำหน้าที่เป็นเจ้าหน้าที่ธุรการ รพ.ตำรวจ และเป็นลูกน้องของน้องชายตน ไปเลี้ยงข้าว เพื่อตอบแทนที่ช่วยดูแลแม่ทุกครั้งที่แม่ไปพบแพทย์ที่รพ.ตำรวจ ระหว่างนั้น น.ส.วิมล ได้เล่าว่ามีปัญหากับน้องชายของตน ซึ่งน้องชายของเธอได้หายตัวไปกว่า 3 ปีแล้ว และเมื่อสอบถามน้องชายตนก็ปฏิเสธมาตลอด น.ส.วิมล ถามตนว่า เป็นไปได้หรือไม่ ที่น้องชายตนจะจับตัวนายสามารถไปขังไว้ ซึ่งตนไม่เชื่อใจน้องชายอีกแล้ว จึงบอก น.ส.วิมล ไปว่ามีบ้านที่น้องเคยอาศัยอยู่หลังหนึ่ง จนกระทั่ง น.ส.วิมล ไปพบรถของนายสามารถจอดอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว
       
       และไม่ว่าเรื่องนี้จะจบลงอย่างไร พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ เป็นผู้กระทำผิดตามถูกกล่าวหาหรือไม่ คงต้องให้กระบวนการยุติธรรมเป็นผู้ตัดสิน แต่ทว่าหากเรื่องนี้เป็นความจริง พ.ต.อ.นพ.สุพัฒน์ ซึ่งคนทั่วไปเปรียบเสมือนพ่อพระ เพราะเขาได้ใช้วิชาชีพแพทย์ช่วยชีวิตคนไข้ไว้มากมาย แต่อีกด้านหนึ่งเขากลับเป็น"ซาตานในคราบนักบุญ"...

 ทีมข่าวอาชญากรรม    23 ธันวาคม 2555
www.manager.co.th

6958
คุณกำลังเครียดหรือเปล่า หากตอบว่าใช่อยากแนะนำให้รีบผ่อนคลาย เพราะการสะสมความเครียดเป็นเวลายาวนานอาจทำให้สุขภาพแย่ลงอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังมีผลวิจัยโดยศูนย์การแพทย์ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เผยว่าคนที่รู้สึกกระวนกระวาย เคร่งเครียด มีโอกาสเป็นโรคหัวใจสูงขึ้นกว่าคนที่เครียดน้อยถึง 27 เปอร์เซนต์เลยทีเดียว
       
       ทั้งนี้ การทดลองได้ทำกับคนสองกลุ่ม คือ กลุ่มที่มีความเครียดสูง และกลุ่มที่มีความเครียดต่ำ โดยมีการติดตามผลต่อเนื่องตลอด 14 ปี เพื่อศึกษาความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ
       
       ผลของการวิจัยนี้เผยว่าผู้ที่เผชิญความเครียดเป็นประจำ มีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้มากกว่าคนที่ไม่ค่อยมีความเครียดถึง 27 เปอร์เซนต์ หรืออาจกล่าวได้ว่า ความเครียดสามารถทำร้ายร่างกายได้เทียบเท่ากับการสูบบุหรี่ห้ามวนต่อวันเลยทีเดียว นอกจากนี้ความเครียดยังทำให้ร่างกายเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิตสูงด้วย และความดันโลหิตที่สูงขึ้นนี้อาจไปทำให้หลอดเลือดแดงแข็งตัว เกิดภาวะขาดเลือดไปหล่อเลี้ยงหัวใจ นำไปสู่การเกิดโรคหัวใจวายได้ในที่สุด
       
       เมื่อศึกษาให้ลึกลงถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและโรคหัวใจพบว่าเพศไม่มีความสัมพันธ์ แต่อายุกลับมีความเกี่ยวข้อง คือ ยิ่งอายุมากขึ้นความสัมพันธ์ระหว่างความเครียดและโรคหัวใจก็ยิ่งสูงขึ้น และทำให้มีความเสี่ยงต่อความดันโลหิต และคลอเรสเตอรอลสูงตามมา
       
       สุขภาพใจกับสุขภาพกายของคนเราผูกพันกันเหนียวแน่นอย่างไม่น่าเชื่อค่ะ ดังนั้น หากต้องการให้สุขภาพกายดี ก็ควรลดความเครียด อันเป็นผลของสุขภาพใจเสียแต่วันนี้ดีกว่าค่ะ
       
       อ้างอิงจากเดลิเมล

 ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2555

6959
1.สวดยับ ช่อง 11 ถ่ายสด “ทักษิณ” เปิดงานมวยไทยที่มาเก๊า แถมผู้จัดแอบอ้างถ้วยพระราชทาน “ในหลวง” ด้าน “ปชป.-กลุ่มกรีน” ยื่น ป.ป.ช.เอาผิด!

       เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. เวลาประมาณ 20.30น. สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย กรมประชาสัมพันธ์ (ช่อง 11 เดิม) ได้ถ่ายทอดสดการแข่งขันมวยไทยวอริเออร์ส์ เทิดไท้องค์ราชัน ซึ่งจัดขึ้นที่เขตบริหารพิเศษมาเก๊า สาธารณรัฐประชาชนจีน โดยสิ่งที่สร้างความประหลาดใจแก่ผู้ชมเป็นอันมากก็คือ งานดังกล่าวมี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาศาลฎีกาฯ จำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ เป็นประธานกล่าวเปิดงาน
       
       ทั้งนี้ นอกจาก พ.ต.ท.ทักษิณจะกล่าวถวายพระพรพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวแล้ว ยังยืนยันความจงรักภักดีของตนที่มีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พร้อมอ้างว่า ข้อกล่าวหาว่าตนไม่จงรักภักดีนั้น ล้วนแต่ไม่มีมูลความจริง ฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นเครื่องมือเอาชนะทางการเมืองเท่านั้น พ.ต.ท.ทักษิณ ยังพูดถึงกรณีที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย นำคลิปเสียงที่พาดพิงถึงตนไปเปิดบนเวทีการชุมนุมขององค์การพิทักษ์สยามเพื่อให้เห็นถึงความไม่จงรักภักดีต่อสถาบันด้วย โดยอ้างว่า คลิปของ เสธ.อ้ายมีการตัดต่อ
       
       อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา เสธ.อ้าย ได้ออกมายืนยันความไม่จงรักภักดีของ พ.ต.ท.ทักษิณอีกครั้ง พร้อมย้ำว่า คลิปเสียงที่ตนเปิดนั้น เป็นต้นฉบับ ไม่มีการตัดต่อ และบางอย่างที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต มีความรุนแรงชนิดที่ไม่มีใครสามารถทนได้ เสธ.อ้าย ยังบอกด้วยว่า ตนไม่ได้เป็นศัตรูกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่สิ่งที่ตนเกลียดคือ พ.ต.ท.ทักษิณดูหมิ่นสถาบัน ยุยง นปช.และพรรคเพื่อไทย และเห็นได้ชัดว่า ที่ผ่านมา พ.ต.ท.ทักษิณพยายามเลี้ยงกลุ่ม นปช.ที่ไม่เอาสถาบัน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังช่อง 11 ถ่ายทอดสด พ.ต.ท.ทักษิณเป็นประธานเปิดการแข่งขันมวยดังกล่าว ได้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางถึงความไม่เหมาะสม เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นนักโทษหนีคดี และมีการมองว่ารัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ใช่ช่อง 11 เป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พี่ชาย เมื่อนักข่าวไปถามเรื่องนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์อ้างว่า เป็นเรื่องของกรมประชาสัมพันธ์ ตามหลักไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวได้ และว่า ยังไม่เห็นเนื้อหาว่ามีส่วนที่เกี่ยวกับรัฐหรือความมั่นคงหรือไม่ เป็นหน้าที่ของผู้จัดรายการ ต้องให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ
       
       ขณะที่นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ อ้างว่า กิจกรรมดังกล่าวเป็นกิจกรรมที่มุ่งถวายความจงรักภักดี ซึ่งเป็นหน้าที่ของพสกนิกรคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ในหรือต่างประเทศ และ พ.ต.ท.ทักษิณมีสิทธิที่จะชี้แจงข้อกล่าวหาเรื่องความไม่จงรักภักดี ซึ่งถือเป็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรงที่สุดสำหรับคนไทย
       
       ด้าน น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะกำกับดูแลช่อง 11 ก็ออกมาพูดในลักษณะให้ท้าย พ.ต.ท.ทักษิณ โดยบอก “ถ้าพูดอย่างตรงไปตรงมา ในกรณีนี้มันเป็นกรณีการถ่ายทอดสด และเรื่องที่จะบอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณมีสิทธิ์หรือไม่มีสิทธิ์ออกอากาศ คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณก็มีสิทธิ์ที่จะพูด และเป็นสิทธิเสรีภาพของคนทั่วไป ตราบใดที่ไม่ได้พูดที่เป็นการทำลายความมั่นคง”
       
       ขณะที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด และญาติผู้พี่ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในฐานะประธานจัดการแข่งขันมวยไทยวอริเออร์ส์ฯ ได้ออกมาชี้แจงเรื่องที่เกิดขึ้น โดยอ้างว่า พ.ต.ท.ทักษิณอาจจะรู้ว่าตนจัดงาน แต่ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าว่าจะมาหรือไม่ จึงเตรียมไว้ 2 แผน แผนแรก จะให้ พ.ต.ท.ทักษิณเปิดงาน แต่ถ้าไม่มา ตนจะเปิดงานเอง “เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นคนไทยคนหนึ่ง และรู้ว่ามีการแข่งขันชกมวยเพื่อเฉลิมพระเกียรติ จึงมาร่วมงานด้วย เพื่อแสดงออกถึงความจงรักภักดี ที่สำคัญเป็นถึงอดีตนายกฯ จึงต้องให้เกียรติท่าน...”
       
       พล.อ.ชัยสิทธิ์ ยังพูดปกป้อง พ.ต.ท.ทักษิณอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณสามารถพูดอะไรก็ได้ ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะไม่ได้เดือดร้อนใคร และว่า พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้ชั่วร้ายอะไร มีเพียงพวกเดียวที่คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณชั่วร้าย พร้อมอ้างด้วยว่า การที่ช่อง 11 ถ่ายทอดการแข่งขันมวยที่มี พ.ต.ท.ทักษิณเป็นประธานเปิดงานครั้งนี้ ก็มีการเสียเงินค่าเช่าช่วงเวลาให้ช่อง 11 อยู่แล้ว
       
       ด้านกลุ่มกรีนที่มีนายสุริยะใส กตะศิลา เป็นผู้ประสานงาน ได้ยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้ไต่สวนและดำเนินคดีอาญากับผู้เกี่ยวข้องกับการปล่อยให้ พ.ต.ท.ทักษิณออกช่อง 11 จำนวน 4 ราย คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ,น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ,อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และผู้อำนวยการช่อง 11 เนื่องจากมีพฤติกรรมเข้าข่ายเจตนาและละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
       
       ขณะที่ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ อยู่ระหว่างตรวจสอบทางเทคนิค เพราะทราบว่าช่อง 11 มีการเกี่ยวสัญญาณเพื่อถ่ายทอดสดจากทีวีดาวเทียมเอเชียอัพเดทของกลุ่มเสื้อแดง จึงถือว่ามีการเตรียมการเรื่องนี้เป็นอย่างดี รัฐบาลจะบอกว่าไม่ทราบเรื่องนี้ไม่ได้ และว่า นอกจาก พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร จะยอมรับว่ามีการเตรียมให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นประธานเปิดงานดังกล่าวแล้ว ในเฟซบุ๊กของผู้สนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ และผู้ใกล้ชิด ยังมีการโพสต์ข้อความเชิญชวนให้ชมการถ่ายทอดสดครั้งนี้ด้วย “ปัญหาเรื่องนี้เห็นได้ชัดเจนว่า พ.ต.ท.ทักษิณพยายามทำตัวเป็นเจ้าของรัฐบาลนี้ เพราะมีน้องสาวเป็นนายกรัฐมนตรี และอาจมองว่า น.ส.ศันสนีย์ นาคพงศ์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ เป็นลูกน้องในบริษัทตัวเอง พ.ต.ท.ทักษิณ จึงกระทำการโดยไม่เกรงใจนายกฯ และรัฐมนตรี วันนี้ น.ส.ศันสนีย์จะบอกว่าไม่รู้เรื่องไม่ได้ ควรต้องออกมาแสดงความรับผิดชอบ”
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ไม่ใช่แค่เรื่องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณออกทีวีช่อง 11 แต่การจัดงานมวยไทยวอริเออร์ส ครั้งนี้ ยังมีการแอบอ้างถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเพื่อมอบให้แก่ผู้ชนะด้วย ทั้งที่ไม่ได้มีการพระราชทานถ้วยรางวัลให้การแข่งขันดังกล่าว เนื่องจากสถานที่จัดการแข่งขันไม่เหมาะสม คือเป็นบ่อนคาสิโน ทางสำนักราชเลขาธิการ สำนักพระราชวัง จึงแจ้งว่าไม่ให้ถ้วยพระราชทาน แต่เมื่อถึงเวลาจัดการแข่งขันจริง พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ เลขาธิการจัดงานดังกล่าว กลับบอกว่าผู้ชนะการแข่งขันจะได้รับถ้วยพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปครองเป็นเวลา 1 ปี
       
       ทั้งนี้ หลังเรื่องแดงขึ้นมา ทั้ง พ.ต.ท.กุลธน และ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ประธานจัดงานดังกล่าว ต่างออกมาอ้างว่า เป็นความผิดพลาดในขั้นตอนทำเรื่องขอพระราชทานถ้วยรางวัล และมีการนำสคริปท์เดิมที่มักใช้อ่านในการแข่งขันที่มีการขอพระราชทานถ้วยรางวัลทุกครั้งมาอ่าน พร้อมยืนยันว่าตัวเองมีความจงรักภักดี ไม่ได้มีการแอบอ้าง และเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เกี่ยวข้องกับ พ.ต.ท.ทักษิณแต่อย่างใด และว่า ได้มีการขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว
       
       ด้านพรรคประชาธิปัตย์ ได้เตรียมยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.และผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบเอาผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ น.ส.ศันสนีย์ ฐานสมคบกับ พล.อ.ชัยสิทธิ์แอบอ้างถ้วยพระราชทาน โดยมีหลักฐานเป็นพยานบุคคลที่ท้วงติงการแอบอ้างและใช้ถ้วยพระราชทานปลอมแล้ว แต่ผู้มีอำนาจกลับบอกว่า เรื่องมาถึงขนาดนี้แล้วให้เลยตามเลย “แม้พล.อ.ชัยสิทธิ์ ได้ทำหนังสือขอพระราชทานอภัยโทษแล้ว แต่เป็นการทำหลังจากสำนักราชเลขาธิการท้วงติง ที่สำคัญคือตัวของ พ.ต.ท.ทักษิณ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ผู้จัดงาน รวมทั้งช่อง 11 ผู้ถ่ายทอดก็สมคบกันใช่หรือไม่ เพราะต่างรู้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วว่าถ้วยดังกล่าวเป็นถ้วยพระราชทานปลอม แต่ยังกล้า ซึ่งเป็นการทำร้ายจิตใจคนไทยทั้งประเทศ ดังนั้นเรื่องนี้คนไทยไม่ควรเพิกเฉย และควรทำเรื่องนี้ให้เป็นเยี่ยงอย่างในสังคม จะได้ไม่มีใครกล้าอีก”
       
       2.ดีเอสไอ ประเคนข้อหา "มาร์ค-สุเทพ” ก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ขณะที่เจ้าตัวปฏิเสธ ด้าน ปชป. เตือน “ธาริต” เตรียมเข้าคุก!

       เมื่อวันที่ 13 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันที่นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในฐานะหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนคดีการเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐจำนวน 99 ศพ ในเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.2553 ได้นัดให้นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) เข้ารับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล
       
       ปรากฏว่า ก่อนจะเดินทางเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในช่วงบ่าย นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพได้เดินทางเข้าพรรคประชาธิปัตย์ในช่วงเช้า ซึ่งมีประชาชนไปรอมอบดอกไม้ให้กำลังใจบุคคลทั้งสองกว่า 300 คน ทั้งนี้ นายอภิสิทธิ์ได้ยืนยันกับผู้มาให้กำลังใจว่า ตนและนายสุเทพไม่เคยทำอะไรที่มีเป้าหมายในการทำร้ายประชาชน แต่การเป็นนายกฯ และรองนายกฯ ที่ดูแลฝ่ายความมั่นคง มีหน้าที่ทำให้บ้านเมืองกลับสู่สภาวะปกติ จึงได้ดำเนินการตามหน้าที่ โดยมอบนโยบายชัดเจนว่า การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่จะต้องหลีกเลี่ยงความสุ่มเสี่ยงต่อการสูญเสียของพี่น้องประชาชน แต่วันนี้ผู้มีอำนาจตั้งธงมาแล้ว จะปฏิเสธอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น “ผมกับคุณสุเทพจะต่อสู้ภายใต้กรอบของกฎหมาย ไม่ต้องกังวลว่าจะหลบหนีไปไหน... ผมไม่ใช่คนขี้ขลาด ขี้โกงที่จะไปอยู่เมืองนอก...จะไม่ยอมให้มีการนำเรื่องนี้มาต่อรองผลประโยชน์ใดทางการเมือง... ถ้าศาลตัดสินว่าพวกผมผิดถึงขั้นให้ประหารชีวิต พวกผมก็ยินดี เพราะผมต้องการรักษากฎหมายไทย หากถูกประหารชีวิต ผมก็ขอให้คนที่ต้องติดคุกกลับมาเสียดีๆ บ้านเมืองจะได้เดินไปข้างหน้าได้”
       
       ส่วนบรรยากาศที่ดีเอสไอ ขณะที่นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพเข้ารับทราบข้อกล่าวหาในช่วงบ่ายนั้น ปรากฏว่า มีญาติผู้เสียชีวิตบางส่วนมาส่งเสียงตะโกนต่อว่า พร้อมเปิดเพลงพญาโศก
       
       หลังใช้เวลาเข้ารับทราบข้อกล่าวหากว่า 3 ชั่วโมง นายอภิสิทธิ์ เผยว่า ดีเอสไอได้แจ้งข้อหาตนและนายสุเทพ 2 คดี คือ คดีร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล และคดีการบริจาคเงินช่วยเหลือน้ำท่วมผ่านบัญชีพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตนเซ็นรับทราบข้อกล่าวหาเรื่องเงินบริจาค แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ทำผิด ส่วนคดีร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายฯ นั้น ได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาเช่นกัน เนื่องจากคำบรรยายพฤติการณ์กับข้อหาที่ดีเอสไอแจ้งมีส่วนที่ขัดกัน รวมทั้งไม่ได้มีการนำพฤติการณ์เรื่องก่อการร้ายมาประกอบสำนวน และไม่พูดถึงการชุมนุมที่ขัดต่อกฎหมายด้วย อย่างไรก็ตาม ตนได้มอบคำให้การเป็นลายลักษณ์อักษรแก่ดีเอสไอแล้ว พร้อมตั้งข้อสังเกตด้วยว่า มีการละเว้นข้อเท็จจริง
       
       ทั้งนี้ ดีเอสไอไม่ได้นำตัวนายอภิสิทธิ์และนายสุเทพส่งศาลเพื่อฝากขังตามที่ทนายความ นปช.และญาติผู้เสียชีวิตร้องคัดค้านการปล่อยตัวชั่วคราว โดยนายธาริตเปลี่ยนเป็นการกำหนดเงื่อนไข 4 ข้อแลกกับการปล่อยตัวชั่วคราว ประกอบด้วย 1.การเดินทางออกนอกประเทศ ต้องได้รับความเห็นชอบจากพนักงานสอบสวน 2.ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน 3.ไม่เป็นอุปสรรคต่อการสืบสวนสอบสวนคดี และ 4.ไม่กระทำการใดใดที่ก่อให้เกิดความเสียหายรุนแรง
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังแจ้งข้อกล่าวหาเสร็จ พนักงานสอบสวนได้ให้นายอภิสิทธิ์และนายสุเทพพิมพ์ลายนิ้วมือ ซึ่งภายหลังปรากฏว่า มีผู้นำภาพขณะที่ทั้งสองกำลังพิมพ์ลายนิ้วมือไปโพสต์ในอินเตอร์เน็ต พร้อมข้อความเหน็บแนม โดยคนโพสต์ใช้ชื่อ “นินจาแดง” ซึ่งนายอภิสิทธิ์ได้โทรศัพท์ไปต่อว่านายธาริตที่ปล่อยให้ภาพดังกล่าวหลุดออกไป นายธาริตจึงได้ตั้งกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้ว
       
       ด้านนายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเตือนนายธาริตที่แจ้งข้อกล่าวหานายอภิสิทธิ์และนายสุเทพว่า เตรียมตัวเข้าคุกได้เลย วันนี้ความผิดของนายธาริตสำเร็จแล้ว เพราะแจ้งข้อหากับประชาชนที่ไม่มีความผิด เป็นการปฏิบัติหน้าที่ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนโดยมิชอบ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 200 มีโทษจำคุกตลอดชีวิต ขณะเดียวกัน มาตรา 17 ของ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่ตาม พ.ร.ก.นี้ ไม่ต้องรับผิดทั้งทางแพ่งและทางอาญาหรือทางวินัย เนื่องจากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ในการระงับหรือป้องกันการกระทำที่ผิดกฎหมาย
       
       3.รัฐบาล หวั่นกระแสต้าน ยอมทำประชามติแก้ รธน.ก่อนโหวตวาระ 3 มั่นใจมีผู้ออกมาใช้สิทธิเกิน 23 ล้านคน!

       เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ซึ่งเป็นวันครบรอบ 80 ปีรัฐธรรมนูญไทย แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลและคณะทำงานพรรคพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 ได้ถือโอกาสประชุมและออกแถลงการณ์ในนามพรรคร่วมรัฐบาล 3 ข้อ ได้แก่ รัฐธรรมนูญจะต้องมีที่มาจากประชาชน และประชาชนมีส่วนร่วมในการจัดทำตั้งแต่ยกร่างจนถึงให้ความเห็นชอบ รัฐธรรมนูญต้องคุ้มครองสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้มีส่วนร่วมในการปกครองและตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐของทุกองค์กรอย่างเต็มที่ รวมทั้งมีการปรับปรุงโครงสร้างทางการเมืองให้มีเสถียรภาพมากยิ่งขึ้น
       
       วันเดียวกัน(10 ธ.ค.) นายประชา ประสพดี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ออกมาเผยว่า ตนได้พบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยบังเอิญที่มาเก๊าเมื่อวันที่ 8 ธ.ค. ซึ่ง พ.ต.ท.ทักษิณได้พูดถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า หากไม่มีทางออกและจำเป็นต้องทำประชามติก็สามารถรอได้ ส่วนการลงมติในวาระ 3 เป็นเรื่องของรัฐสภาที่จะพิจารณา
       
       ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ยอมรับเช่นกันว่า ได้หารือ พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ แต่อ้างว่าเป็นการคุยกันในเชิงข้อเสนอแนะ เพราะกระบวนการพิจารณาเป็นเรื่องของรัฐสภา ทั้งนี้ วันต่อมา(11 ธ.ค.) คณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ได้ข้อยุติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 5 ข้อ คือ 1.รัฐสภามีอำนาจและหน้าที่ลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระ 3 2.การจะลงมติวาระ 3 ควรจะรณรงค์ทำความเข้าใจให้คนส่วนใหญ่เห็นความสำคัญของการแก้ไขรัฐธรรมนูญก่อน 3.การทำประชามติ มีการบัญญัติในรัฐธรรมนูญที่ค้างอยู่ในวาระ 3 อยู่แล้วว่า หลังสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) ยกร่างเสร็จแล้ว จะนำไปให้ประชาชนลงประชามติ 4.ระหว่างนี้หากจะแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา ก็สามารถทำได้ และ 5.ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่า หากมีการลงมติในวาระ 3 แล้ว จะมีการฟ้องร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญอีกหรือไม่ หรือมีการต่อต้านในรูปแบบต่างๆ อีกหรือไม่
       
       ด้านนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ แถลงยืนยัน พรรคจะคัดค้านเต็มที่หากรัฐบาลจะยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ เพราะจะทำให้เกิดความขัดแย้งในสังคมอย่างรุนแรง ขณะที่พรรคภูมิใจไทย ได้เผยจุดยืนของพรรคต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญว่า ไม่เห็นด้วยหากเดินหน้าลงมติวาระ 3 เพราะขัดต่อคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ หากจะแก้ไขทั้งฉบับ ต้องทำประชามติถามประชาชนก่อนว่าเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือไม่ ถ้าประชาชนเห็นด้วย ก็ค่อยมาโหวตวาระ 3
       
       ด้านนายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.ยโสธร พรรคเพื่อไทย และคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 เชื่อว่า รัฐบาลจะเลือกทำประชามติก่อนโหวตวาระ 3 แน่นอน แต่อาจมีการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 เพื่อแก้ไขจำนวนเสียงที่ใช้ในการทำประชามติ เนื่องจากมาตราดังกล่าวระบุว่า การทำประชามติ จะต้องได้คะแนนเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ผู้มีสิทธิออกเสียงลงคะแนนมีทั้งหมด 46 ล้านคน ดังนั้นจะต้องได้คะแนนเสียงมากกว่า 23 ล้านเสียงขึ้นไป ถือว่าต้องใช้คะแนนเสียงสูงมาก จึงอาจมีการแก้ไขโดยให้ใช้เสียงข้างมากของผู้ออกมาใช้สิทธิเป็นเกณฑ์ตัดสิน
       
       ทั้งนี้ พรรคร่วมรัฐบาลได้มีการประชุมกำหนดท่าทีต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญอีกครั้งเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.หลังรับทราบรายงานข้อสรุปของคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาแนวทางแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก่อนแถลงผลประชุมว่า เห็นควรให้มีการทำประชามติก่อนลงมติวาระ 3 เพื่อลดความขัดแย้ง ซึ่งมีเพียงคณะรัฐมนตรี(ครม.) เท่านั้นที่สามารถดำเนินการได้ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 และ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2552 นอกจากนี้รัฐบาลควรสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ สำหรับการทำประชามติ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดข้อโต้แย้งคัดค้าน ให้สังคมมีทางออกอย่างละมุนละม่อม อย่างไรก็ตาม แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ข้อสรุปสุดท้ายของพรรคร่วมรัฐบาลระบุด้วยว่า “ไม่ว่าผลการทำประชามติจะออกทางใด ทุกฝ่ายต้องยอมรับว่า รัฐสภาทรงไว้ซึ่งอำนาจที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ไม่เหมาะสม ไม่เป็นประชาธิปไตยได้ตลอด”
       
       ด้านนายโภคิน พลกุล ประธานคณะทำงานพรรคร่วมฯ ยืนยันว่า ไม่มีแนวคิดแก้รัฐธรรมนูญ มาตรา 165 เพื่อลดจำนวนเสียงที่จะชี้ขาดในการทำประชามติ ขณะที่นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะเลขาฯ คณะทำงานพรรคร่วมฯ บอกว่า ต้องมีผู้มาใช้สิทธิลงประชามติเกิน 23 ล้านคน ไม่เช่นนั้น กระบวนการจัดทำประชามติต้องหยุดลง และเมื่อมีผู้ออกมาใช้สิทธิเกิน 23 ล้านคน ต้องเห็นชอบเกินกึ่งหนึ่งว่าเห็นด้วยกับการมี ส.ส.ร.ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ จึงจะเป็นข้อยุติในการเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญต่อไป “ผมมั่นใจว่าจะมีผู้มีสิทธิออกมาลงประชามติเกิน 23 ล้านคนแน่นอน เนื่องจากพิจารณาคนที่ออกมาใช้สิทธิเลือกตั้ง 35 ล้านคนเมื่อวันที่ 3 ก.ค.2554 และไม่กังวลว่าประชาชนที่เคยลงคะแนนเสียงให้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่สนับสนุนการทำประชามติครั้งนี้ เพราะไม่จำเป็นว่าฐานเสียงของพรรคใดจะต้องเห็นด้วยกับแนวทางของพรรคนั้นเสมอไป”
       
       4.ศาล รธน. เล็งฟ้องเอาผิดสมาชิก พท.-ทนายเสื้อแดง ฐานจ้องทำลาย “6 ตุลาการ” หลังไม่สั่งระงับการชุมนุม เสธ.อ้าย!

       เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. นายสิงห์ทอง บัวชุม สมาชิกพรรคเพื่อไทย(พท.) และนายพิชา วิจิตรศิลป์ ทนายความของคนเสื้อแดง พร้อมพวก ได้เข้าแจ้งความต่อตำรวจกองปราบปราม ให้ดำเนินคดีตุลาการศาลรัฐธรรมนูญจำนวน 6 คน ประกอบด้วย นายจรัญ ภักดีธนากุล ,นายจรูญ อินทจาร ,นายเฉลิมพล เอกอุรุ ,นายนุรักษ์ มาประณีต ,นายสุพจน์ ไข่มุกด์ และนายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี โดยกล่าวหาว่าตุลาการฯ ทั้ง 6 คน ปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณียกคำร้องที่พวกตนขอให้สั่งระงับการชุมนุมของกลุ่ม พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย เมื่อวันที่ 24 พ.ย. ทำให้รัฐบาลต้องสูญเสียงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท ส่งผลให้ผู้ชุมนุมปะทะกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ มีการใช้อาวุธและแก๊สน้ำตา จนมีผู้ได้รับบาดเจ็บและถูกจับกุมคุมขังจำนวนมาก
       
        ด้านนายพิมล ธรรมพิทักษ์พงษ์ หัวหน้าโฆษกศาลรัฐธรรมนูญ ได้เปิดแถลงในวันต่อมา(13 ธ.ค.) โดยชี้แจงว่า การวินิจฉัยกรณีดังกล่าวของศาลรัฐธรรมนูญ เป็นไปตามอำนาจหน้าที่ซึ่งเป็นองค์กรตุลาการที่มีอิสระตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 197 และเป็นการใช้อำนาจโดยสุจริต คำนึงถึงเสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธที่รัฐธรรมนูญรับรองไว้
       
        นายพิมล ยังชี้ด้วยว่า การกระทำของกลุ่มนายสิงห์ทองและพวก เป็นการกระทำที่มุ่งทำลายความน่าเชื่อถือขององค์กรศาลรัฐธรรมนูญ โดยจงใจและไม่สุจริตของผู้มีวิชาชีพทางกฎหมาย มากกว่าจะเป็นการตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ขององค์กรตุลาการ เพราะการตรวจสอบตุลาการมีช่องทางการยื่นถอดถอนอยู่แล้ว ดังนั้น หากสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าวเป็นการมุ่งทำลายองค์กรตุลาการจริง อาจจะต้องดำเนินการทางกฎหมายกับนายสิงห์ทองและผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด เพราะทำให้องค์กรศาลรัฐธรรมนูญเสียหาย และทำให้ประชาชนเกิดความเข้าใจผิดต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

ASTVผู้จัดการออนไลน์    16 ธันวาคม 2555

6960
1. “ราเมศ” รองโฆษก ปชป.ถูกลอบทำร้ายสาหัส คาด พันคดี “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ด้านแกนนำ ปชป.แฉ 2 มือทุบเป็น ตร.นอกราชการคุมบ่อนย่านบางนา!

       ​เมื่อคืนวันที่ 17 ธ.ค. เวลาประมาณ 21.30น. ตำรวจ สน.บางนา ได้รับแจ้งเหตุชายถูกลอบทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสบริเวณปาล์มคอนโด 1 ภายในซอยบางนา-ตราด 19 เมื่อไปถึงที่เกิดเหตุ พบรถยนต์ยี่ห้อ โตโยต้า คัมรี ทะเบียน วน 9504 กรุงเทพมหานคร และกองเลือดที่พื้นด้านคนขับ ส่วนผู้บาดเจ็บคือ นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) ซึ่งเจ้าหน้าที่มูลนิธิได้นำตัวส่งโรงพยาบาลบางนา 1
       
       ด้านนายแทนคุณ จิตต์อิสระ อดีตผู้สมัคร ส.ส.กรุงเทพฯ พรรคประชาธิปัตย์ เผยหลังเข้าเยี่ยมนายราเมศว่า เบื้องต้นผลการเอ็กซเรย์ พบว่า นายราเมศมีอาการกะโหลกศีรษะร้าว แพทย์คาดว่า อาจถูกของแข็งตีเข้าที่ศีรษะอย่างแรง ส่วนสาเหตุคาดว่า อาจเป็นปมปัญหาส่วนตัว หรือความขัดแย้งทางการเมือง เนื่องจากนายราเมศ เป็มทีมกฎหมายของพรรคประชาธิปัตย์ และรับผิดชอบคดีสำคัญหลายคดี
       
       ​ขณะที่ตำรวจ สน.บางนา ได้เก็บหลักฐานที่เกิดเหตุ พร้อมสอบปากคำนายประสพชัย พุทธรักษา เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของอาคาร ซึ่งเห็นเหตุการณ์ เล่าว่า ขณะที่นายราเมศ ขับรถยนต์เข้ามาจอดในคอนโด ตนได้เข้าไปช่วยถือกระเป๋า ระหว่างนั้นมีคนร้าย 2 คน ขับรถจักรยานยนต์ ยามาฮ่า สีฟ้า-ขาว ตรงเข้ามาจอด และลงมารุมทำร้ายร่างกายนายราเมศ ก่อนหลบหนีไปทางท้ายซอย ตนจึงร้องขอความช่วยเหลือให้นำตัวนายราเมศส่งโรงพยาบาล ส่วนห้องพักภายคอนโดดังกล่าว ทราบว่าเป็นของนายราเมศ แต่นานๆ ครั้ง จะแวะเข้ามาพัก
       
       ​ทั้งนี้ หลังรักษาตัวในโรงพยาบาลบางนา 1 ได้ 1 วัน ทางญาติได้ย้ายนายราเมศไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลเอกชนอีกแห่งหนึ่ง คาดว่าเพื่อความปลอดภัย ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เผยเมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ว่า อาการของนายราเมศอยู่ในขั้นปลอดภัยแล้ว แต่ยังไม่สามารถพูดได้ และต้องดูอาการข้างคียงอื่นๆ ต่อไป พร้อมกันนี้ นายอภิสิทธิ์ได้จี้ให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) เร่งสะสางคดีนี้ให้เกิดความชัดเจน และว่า ที่ผ่านมานายราเมศเคยปรารภกับตนว่า ถูกสะกดรอยตาม
       
       ​ขณะที่นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ(กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษำร เผยว่า จะทำหนังสือถึง ผบ.ตร.ให้ชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเร่งด่วนภายใน 7 วัน จากนั้นจะพิจารณาว่าควรเสนอเข้าที่ประชุม กมธ.เพื่อเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาชี้แจงรายละเอียดหรือไม่ และว่า ที่ผ่านมา นายราเมศเคยเข้ายื่นหนังสือต่อ ผบ.ตร.ให้เร่งรัดสอบสวนพฤติกรรมของ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) กรณีที่ไปให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ ให้ติดยศให้ กระทั่งเกิดวาทะ “มีวันนี้เพราะพี่ให้” และเกิดเหตุม็อบตำรวจบุกมาที่พรรคประชาธิปัตย์หลังยื่นหนังสือถึง ผบ.ตร. นายสมชาย เผยด้วยว่า นายราเมศเคยบอกว่า ถูกข่มขู่คุกคามมาเป็นระยะ ตนจึงเตือนให้ระวังตัว ซึ่งนายราเมศได้เปลี่ยนที่นอนหลายครั้ง แต่ในที่สุดก็ถูกทำร้ายจนได้ มั่นใจว่าสาเหตุน่าจะเป็นเรื่องการเมืองแน่นอน
       
       ​ส่วนในด้านคดีนั้น ยังไม่มีความคืบหน้าจากตำรวจแต่อย่างใด โดยอยู่ระหว่างสืบสวนสอบสวน และยังไม่ตัดประเด็นใดทิ้ง ไม่ว่าเรื่องส่วนตัวหรือการเมือง และเบื้องต้นยังไม่พบกล้องวงจรปิดบริเวณจุดเกิดเหตุแต่อย่างใด ด้าน พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. เผยว่า ได้กำชับให้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ตั้งทีมงานสืบสวนสอบสวนไปหาพยานหลักฐานในคดีดังกล่าว โดยให้ทำด้วยความรวดเร็ว แต่ต้องขอเวลาในการสืบสวนหาหลักฐาน
       
       ​ขณะที่ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เผยหลังร่วมประชุมติดตามความคืบหน้าของคดีนี้ว่า เป็นคดีที่อุกอาจมาก เพราะนายราเมศเป็นทนายความของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตำรวจจะเร่งสืบสวนหาคนร้ายให้ได้โดยเร็ว
       
       ด้าน พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รอง ผบช.น. ออกอาการปกป้อง พล.ต.ท.คำรณวิทย์ โดพูดถึงกรณีที่มีการมองว่า พล.ต.ท.คำรณวิทย์อาจเกี่ยวข้องกับการที่นายราเมศถูกทำร้าย เพราะนายราเมศเคยเรียกร้องให้ ผบ.ตร.ดำเนินการทางวินัยต่อ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กรณีให้ พ.ต.ท.ทักษิณติดยศให้ โดยอ้างว่า นั่นเป็นเรื่องนานมาแล้ว พล.ต.ต.อิทธิพล ยังพยายามชี้ประเด็นให้การลอบทำร้ายนายราเมศเป็นเรื่องส่วนตัวด้วย โดยบอกว่า คนร้าย 2 คนที่ก่อเหตุใช้เหล็กตีนายราเมศ ผิดสังเกตว่าคนขับจอดจักรยานยนต์แล้วไปเตะซ้ำ เหมือนกับว่ามีลักษณะโกรธแค้นกันมาก่อนหรือเปล่า
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.ต.อิทธิพล ได้เดินทางไปโรงพยาบาลเพื่อสอบปากคำนายราเมศเมื่อวันที่ 20 ธ.ค. แต่มารดาและพี่ชายนายราเมศไม่ให้เข้าพบ โดยได้ขอเบอร์โทรศัพท์ติดต่อกลับไว้ ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า ญาตินายราเมศยังไม่มั่นใจในการทำงานของเจ้าหน้าที่และมีความไม่สบายใจ “ที่เกิดความไม่สบายใจ เพราะเวลาที่มีการมาสอบปากคำ มีความพยายามหาประเด็นอื่นมากกว่าปกติ เช่น พยายามถามว่ามีการขับรถปาดหน้าใครหรือเปล่า เหมือนกับไม่พยายามเจาะลงไปในประเด็นเรื่องความขัดแย้ง เรื่องนี้ต้องตรงไปตรงมา และให้ความเป็นธรรมกับญาตินายราเมศ ตำรวจต้องทำงานอย่างเต็มที่”
       
       ด้านนายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ มองว่า กรณีนายราเมศถูกลอบทำร้ายน่าจะมาจากเรื่องการเมือง เพราะครอบครัวนายราเมศยืนยันไม่มีความบาดหมางกับใคร อีกทั้งนายราเมศไม่ใช่คนอารมณ์ร้อน เชื่อว่าหากตำรวจเอาจริงเอาจัง สามารถหาตัวผู้กระทำผิดได้ไม่ยาก และว่า จากการสืบสวนสอบสวนของพรรคประชาธิปัตย์
       เบื้องต้นพบว่า ผู้ที่ลงมือทำร้ายนายราเมศเป็นตำรวจนอกราชการ 2 นาย เคยเป็นตำรวจในพื้นที่ จ.นนทบุรี ปัจจุบันทำงานในบ่อนย่านบางนา
       
       2. รัฐบาล ชะลอทำประชามติแก้ รธน. อ้าง ตั้งคณะทำงานศึกษาก่อน ด้าน “อภิสิทธิ์” ชวน ปชช.คว่ำประชามติแก้ รธน.ช่วย “ทักษิณ”!

       ​ตามที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ประชุมและมีมติเห็นควรให้มีการทำประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แทนการเดินหน้าลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระ 3 โดยอ้างว่า เพื่อลดกระแสความขัดแย้งในสังคมเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ พร้อมยืนยัน จะไม่มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 165 หรือ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ พ.ศ.2522 เพื่อลดจำนวนเสียงที่จะชี้ขาดในการทำประชามติ ซึ่งต้องมีผู้มาใช้สิทธิลงประชามติมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิลงคะแนนทั่วประเทศ หรือ 48 ล้านคน นั่นหมายถึงต้องมีผู้มาใช้สิทธิ 24 ล้านคน และต้องมีเสียงเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญมากกว่ากึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิลงประชามติ จึงจะถือว่าได้ข้อยุตินั้น
       
       ​ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 16 ธ.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเป็นจดหมายเปิดผนึกถึงคนไทยทั้งประเทศทำนองว่า ตนไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับที่หวังลบมาตรา 309 เพื่อล้มคดีทั้งหลายของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แต่การจะหยุดความล้มเหลวทางการเมืองนี้ได้ ลำพังตนและพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถทำสำเร็จได้ จึงต้องขอความร่วมมือจากพี่น้องประชาชนด้วยการล้มประชามติที่นายกฯ ผู้เป็นน้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณกำลังจะทำเพื่อรื้อรัฐธรรมนูญทั้งฉบับเพื่อหวังลบมาตรา 309 หากพี่น้องทำสำเร็จ จะเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของการเมืองไทย เพื่อยืนยันว่าประชาชนและกฎหมาย ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจเงินและอำนาจรัฐ“มาร่วมกันคว่ำประชามติแก้รัฐธรรมนูญเพื่อนักโทษ ก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ นำพาประเทศเดินไปข้างหน้า ผมและพรรคประชาธิปัตย์พร้อมร่วมสุขทุกข์กับพี่น้อง เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสอย่างราบรื่น ไร้ความรุนแรง เพื่ออนาคตที่มั่นคงของประเทศสืบไป”
       
       ​ทั้งนี้ หลังนายอภิสิทธิ์พูดถึงการล้มประชามติหรือคว่ำประชามติดังกล่าว ปรากฏว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยพยายามจุดประเด็นว่า คำพูดของนายอภิสิทธิ์อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายเกี่ยวกับการทำประชามติ ซึ่งนางสดศรี สัตยธรรม กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านกิจการพรรคการเมือง ก็ออกมารับลูก ว่าการรณรงค์ไม่ให้ประชาชนไปใช้สิทธิลงประชามติในการแก้ไขรัฐธรรมนูญของนายอภิสิทธิ์ อาจเข้าข่ายผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการออกเสียงประชามติ มาตรา 43 ที่ระบุว่า ห้ามก่อความวุ่นวายให้การออกเสียงประชามติไม่เป็นไปด้วยความเรียบร้อย หรือหลอกลวง บังคับ ขู่เข็ญ ให้ผู้มีสิทธิออกเสียงไม่ไปใช้สิทธิออกเสียง ฯลฯ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
       
       ​อย่างไรก็ตาม นักวิชาการหลายคน เช่น นายปูนเทพ ศิรินุพงศ์ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า การรณรงค์ให้คนไม่ไปใช้สิทธิลงประชามติ เป็นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น ซึ่งเป็นปกติอยู่แล้วในกระบวนการประชาธิปไตย ไม่ถือว่าเป็นการขัดขวางการทำประชามติ การขัดขวางหมายถึงคนจะไปลงประชามติ แล้วไม่ให้เขาไป จึงไม่แน่ใจว่าที่นางสดศรีพูดนั้นใช้อะไรมาอ้างอิง
       
       ​ ด้านนายอภิสิทธิ์ ก็ข้องใจเช่นกันว่าเหตุใดนางสดศรีจึงมองว่าการเชิญชวนประชาชนที่ไม่เห็นด้วยให้ไม่ต้องไปใช้สิทธิลงประชามติแก้รัฐธรรมนูญเพื่อช่วยคดีของบางคน จะมีความผิดถึงขั้นอาจยุบพรรค พร้อมฝากถึงนางสดศรีว่า อย่ามาขู่ ถ้า กกต.ขู่เท่ากับ กกต.ทำผิดกฎหมาย กกต.มีหน้าที่ดูแลการทำประชามติ ไม่ให้มีการใช้อำนาจอิทธิพลไปขู่คุกคามให้ไปในทางใดทางหนึ่ง จึงอยากให้ กกต.ตั้งหลักให้ดี ถ้าพยายามบอกว่าต้องมีแต่คนเห็นด้วย คนไม่เห็นด้วย ห้ามทำอะไร สงสัยว่า กกต.จะไม่เป็นกลาง
       
       ​ส่วนท่าทีของรัฐบาล แม้ที่ประชุมพรรคร่วมรัฐบาลจะได้ข้อสรุปว่าควรทำประชามติเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่มีข่าวว่า รัฐบาลได้ลองเช็คเสียง 6 พรรคร่วมรัฐบาลว่า ถ้าทำประชามติเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ จะได้เสียงเกินกึ่งหนึ่งตามที่กฎหมายกำหนดหรือไม่ ปรากฏว่า เมื่อรวมเสียงของทั้ง 6 พรรคร่วมรัฐบาลแล้ว เสียงก็ยังไม่เกินกึ่งหนึ่ง อาจส่งผลให้ประชามติไม่ผ่านได้ ส่งผลให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.ยังไม่ยอมเคาะว่าจะทำประชามติหรือไม่ โดยที่ประชุมมีมติให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาเกี่ยวกับวิธีการออกเสียงประชามติและประชาเสวนาว่าจะดำเนินการอย่างไร ทั้งในแง่ข้อกฎหมายและวิธีปฏิบัติ เมื่อแล้วเสร็จ ให้สรุปวิธีที่เหมาะสม และจัดทำรายละเอียดเสนอ คม.พิจารณาต่อไป โดยคณะทำงานดังกล่าว ประกอบด้วย นายวราเทพ รัตนากร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ,พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ,นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ,นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี และเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา คาดว่าจะใช้เวลาศึกษา 2-3 สัปดาห์
       
       ​ทั้งนี้ นายวราเทพ แจงเหตุที่ ครม.ชะลอเรื่องประชามติว่า เนื่องจากต้องการให้ประชาชนได้ทราบถึงเรื่องที่จะให้ไปใช้สิทธิ ซึ่งกฎหมายกำหนดว่าต้องให้ข้อมูลที่เพียงพอ รวมทั้งต้องให้หน่วยงานที่จะจัดทำประชามติมีความพร้อมด้วย “กฎหมายได้กำหนดว่า หากออกประกาศแล้ว จะต้องดำเนินการลงประชามติภายใน 120 วัน เราคิดในแง่ที่ว่าหากรีบร้อนไป ยังไม่รอบคอบและไม่พร้อม จะสร้างความสับสน ทำให้การทำประชามติไม่ราบรื่น...”
       
       ​เป็นที่น่าสังเกตว่า ในพรรคเพื่อไทยเอง เสียงก็ค่อนข้างแตก โดยมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยกับการทำประชามติเรื่องแก้รัฐธรรมนูญ โดยคนที่ไม่เห็นด้วย ได้แก่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งได้เตรียมข้อมูล 9 ประเด็นไว้อธิบายให้ที่ประชุมพรรควันที่ 25 ธ.ค.ได้ทราบว่า ควรแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตรา จะสำเร็จง่ายกว่าการทำประชามติ “ผมคิดว่าอะไรที่ทำสำเร็จก็ควรทำ ถ้ารู้ว่าทำแล้วไม่สำเร็จ จะเกิดปัญหา ทำให้เสียเวลาการทำงานเปล่าๆ ที่คิดแบบนี้ก็มีคนสนับสนุน อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ แกนนำ นปช. โทรศัพท์มาสนับสนุน แต่ยังไม่ได้คุยรายละเอียดว่าจะมาเข้าพบเมื่อใด”
       
       3. ศาล อนุญาตปล่อยตัว “ก่อแก้ว” ชั่วคราว หลังรอง ปธ.สภาฯ ขอตัวออกมาทำหน้าที่ ส.ส. ด้านเจ้าตัว เดินหน้าขึ้นเวทีเสื้อแดงทันที!

       เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา เผยว่า ศาลอาญาได้รับหนังสือแจ้งจากนายเจริญ จรรย์โกมล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 จากพรรคเพื่อไทย ซึ่งขอให้ศาลปล่อยตัวนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และจำเลยคดีก่อการร้าย ที่ถูกศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว หลังพูดข่มขู่คุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยการปลุกระดมให้คนเสื้อแดงจับตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ หากวินิจฉัยว่าร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ของรัฐบาลที่อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาในวาระ 3 ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 โดยนายเจริญระบุเหตุผลในการขอให้ศาลปล่อยตัวนายก่อแก้วว่า เพื่อออกมาทำหน้าที่ ส.ส.ตามรัฐธรรมนูญ 2550 มาตรา 131 วรรค 5 เนื่องจากสภามีกำหนดเปิดประชุมในวันที่ 21 ธ.ค.
       
        ทั้งนี้ ศาลอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวนายก่อแก้วตามที่นายเจริญร้องขอ โดยให้ออกมาทำหน้าที่ ส.ส.ได้ตั้งแต่วันเปิดสภาจนถึงวันปิดสมัยประชุมสภาเท่านั้น หลังจากนั้นนายก่อแก้วจะต้องมารายงานตัวต่อศาลและต้องถูกคุมขังตามคำสั่งของศาลเหมือนเดิม เนื่องจากไม่ใช่กรณีที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจากการที่เจ้าตัวยื่นขอปล่อยตัวชั่วคราวเอง
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนหน้าที่ศาลจะปล่อยตัวชั่วคราวนายก่อแก้วตามที่นายเจริญมีหนังสือขอไป ทางทนายความนายก่อแก้วได้ยื่นอุทธรณ์โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนายก่อแก้ว พร้อมกันนี้ ยังได้ยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์เป็นเงินสด 6 แสนบาทต่อศาลอาญา เพื่อขอปล่อยตัวชั่วคราวนายก่อแก้วอีกครั้ง โดยหวังผลว่า หากศาลอาญาอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว นายก่อแก้วจะได้ไม่ต้องกลับไปถูกคุมขังหลังปิดสมัยประชุมสภา ด้านศาลพิเคราะห์คำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวแล้วเห็นว่า ยังไม่มีเหตุให้เปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิมที่เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนายก่อแก้ว จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้อง
       
        วันต่อมา(21 ธ.ค.) ซึ่งเป็นวันที่นายก่อแก้วได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเพื่อออกมาทำหน้าที่ ส.ส.ระหว่างเปิดสมัยประชุมสภา ปรากฏว่า มีคนเสื้อแดงจำนวนหนึ่งไปรอตอนรับที่เรือนจำหลักสี่ พร้อมด้วยนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) รวมทั้งภรรยาและบุตรนายก่อแก้ว ขณะที่เจ้าตัวเดินออกจากเรือนจำด้วยสีหน้ายิ้มแย้มพร้อมชูสองนิ้ว
       
        ทั้งนี้ นายก่อแก้ว ได้ขอบคุณคนเสื้อแดงที่มาให้กำลังใจและเยี่ยมเยียนตลอดเวลา พร้อมขอบคุณพี่น้องเสื้อแดงที่อยู่ในเรือนจำหลักสี่ 23 คน เพราะถือเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ตน ซึ่งอยูในความทุกข์ได้มีความสุข พร้อมยืนยัน หลังจากนี้ตนจะยืนหยัดต่อสู้ต่อไปโดยไม่แข็งกร้าว จะระมัดระวังพฤติกรรมและคำพูดให้มากขึ้น เพราะติดคุกมาแล้ว 2 รอบ นายก่อแก้ว ยังยืนยันด้วยว่า ชีวิตนี้ไม่คิดร้ายต่อใคร ไม่ทำผิดกฎหมาย สิ่งที่พูดไปนั้น พูดด้วยความบริสุทธิ์ใจ แต่เมื่อพูดไปแล้วก็พร้อมรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น หากศาลมองอีกมิติหนึ่ง ก็ยินดีน้อมรับพร้อมแก้ไขและระมัดระวังมากขึ้น นายก่อแก้ว ยังประกาศด้วยว่า จะไปร่วมงานคอนเสิร์ตคนเสื้อแดงที่โบนันซ่า เขาใหญ่ ในวันที่ 22 ธ.ค.แน่นอน
       
        ด้านนางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธาน นปช. บอกว่า มารับนายก่อแก้วเพื่อไปร่วมงานคอนเสิร์ตเสื้อแดงรณรงค์แก้ไขรัฐธรรมนูญที่โบนันซ่า เขาใหญ่ โดยจะระมัดระวังการพูดบนเวทีให้มากขึ้น เพื่อไม่ให้ผิดเงื่อนไขของศาล
       
       4. “ประพันธ์ คูณมี” ลาออกจากแกนนำพันธมิตรฯ เพื่อสนับสนุน “เสรีพิศุทธ์”นั่งผู้ว่าฯ กทม. ด้าน “สนธิ” ชี้ เป็นสิทธิ์!

       ​เมื่อกลางดึกคืนวันที่ 21 ธ.ค.ล่วงเข้าวันที่ 22 ธ.ค. นายประพันธ์ คูณมี แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รุ่น 2 ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กว่า ตนสนับสนุน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครคนต่อไป เนื่องจากเป็นผู้สมัครอิสระ ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำของพรรคและนักการเมืองที่ต่างแก่งแย่งแข่งขันชิงอำนาจกัน เพียงเพื่อหวังใช้ กทม.เป็นฐานอำนาจทางการเมือง และเอาคน กทม.เป็นตัวประกัน ซึ่งมีแต่จะทำให้ประชาชนเสียประโยชน์
       
       และว่า ขณะนี้เป็นโอกาสดีที่ประชาชนจะได้เลือกผู้สมัครอิสระ เพื่อเป็นการสั่งสอนให้นักการเมืองได้พึงสังวรและปรับปรุงตัวเอง โดยตนเห็นว่าในบรรดาผู้สมัครอิสระ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นผู้ที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่สุด ซึ่งส่วนตัว รู้จักและเห็นผลงานที่ผ่านมา ประกอบกับ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เป็นบุคคลที่มีความจงรักภักดีอย่างสูงยิ่งต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ตนจึงสนับสนุน และเมื่อตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ตนจึงจำเป็นต้องขอลาออกจากการเป็นแกนนำของพันธมิตรฯ เพื่อให้เกิดความชัดเจน เพราะการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.เป็นงานเลือกตั้งในระดับท้องถิ่น เป็นคนละบทบาทและหน้าที่ แต่ความเป็นพันธมิตรฯ จะยังอยู่ในเลือดเนื้อและชีวิตของตนตลอดไป
       
       ด้านนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พูดถึงกรณีที่นายประพันธ์สนับสนุน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์เป็นผู้ว่าฯ กทม.และขอลาออกจากการเป็นแกนนำพันธมิตรฯ ว่า จุดยืนของพันธมิตรฯ ต่อผู้ว่าฯ กทม.นั้น แกนนำพันธมิตรฯ ไม่มีความเห็นว่าควรเลือกใคร เพราะพันธมิตรฯ ไม่เอาการเมืองระบบเก่า ไม่เอาพรรคการเมือง ส่วนที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ลงสมัครอิสระ พันธมิตรฯ ก็ไม่มีความเห็น แล้วแต่พันธมิตรฯ รักใครชอบใครก็ให้เลือกคนนั้น แต่สำหรับตนแล้ว จะไม่เลือกใครสักคน เพราะตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม.ก็คือตำแหน่งการเมือง ทำอะไรไม่ได้ ทำได้แต่ไล่จับแม่ค้า เปิด-ปิดประตูระบายน้ำ ทำทางเท้า แล้วมีการฉ้อราษฎร์บังหลวงสูงมากแต่ไม่มีใครไปตรวจสอบ นายสนธิ ยังเผยด้วยว่า นายประพันธ์มาพบตน และบอกว่าตัดสินใจจะไปช่วย พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ ตนจึงบอกว่าเป็นสิทธิ์ สามารถไปได้ แต่ต้องออกจากแกนนำพันธมิตรฯ และหยุดทำรายการที่เอเอสทีวี
       
       นายสนธิ ยังบอกด้วยว่า พันธมิตรฯ จะให้ความสำคัญต่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ก็ต่อเมื่อรัฐบาลยอมกระจายอำนาจลงสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง เช่น โอนการไฟฟ้า การประปา โรงเรียนสังกัดกระทรวงศึกษาธิการในพื้นที่ กทม. และโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขในท้องที่ กทม. โอนให้เป็นของ กทม.ทั้งหมด และให้ กทม.มีอำนาจเก็บภาษี เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยผู้ว่าฯ กทม.คือนายกฯ น้อย หากเป็นเช่นนี้เมื่อใด พันธมิตรฯ จึงจะแสดงบทบาทต่อการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ให้มากขึ้น

ASTVผู้จัดการออนไลน์    23 ธันวาคม 2555

หน้า: 1 ... 462 463 [464] 465 466 ... 652