แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Topics - patchanok3166

หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 ... 19
196
รพ.วัดไร่ขิง เปิดลงทะเบียนผู้ป่วยแบบออนไลน์ อำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่ต้องการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ป่วยใหม่ ลดระยะเวลารอคอยและค่าใช้จ่ายในการเดินทางมารับบริการ


นพ.ปานเนตร ปางพุฒิพงศ์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า กรมการแพทย์สนับสนุนโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) ในการนำเทคโนโลยียุคดิจิทัล 4.0 มาใช้เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงและได้รับบริการทางการแพทย์ที่มีคุณภาพ มาตรฐาน เนื่องจากพบว่ามีประชาชนบางส่วนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลจากโรงพยาบาล แต่มีความประสงค์จะเดินทางมารับบริการ ซึ่งการนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนร่วมในการให้บริการ จะช่วยลดระยะเวลารอคอยของผู้ป่วย นอกจากนี้ยังช่วยอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ห่างไกลโรงพยาบาล ทำให้ประหยัดค่าใช่จ่ายในการเดินทางมารับบริการ


พญ.สายจินต์ อิสีประดิฐ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวว่า การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ร่วมกับการให้บริการผู้ป่วย นอกจากจะเป็นการตอบสนองนโยบายของรัฐบาล กระทรวงสาธารณสุข และกรมการแพทย์แล้ว ยังเป็นการดำเนินงานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ของโรงพยาบาลโดยมุ่งพัฒนาสู่การเป็นโรงพยาบาลดิจิทัล เนื่องจากผู้ที่มารับบริการที่โรงพยาบาล ส่วนมากมาจากต่างจังหวัด จึงพัฒนารูปแบบของการให้บริการผ่านช่องทางการลงทะเบียนออนไลน์ขึ้น เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนที่ต้องการขึ้นทะเบียนเป็นผู้ป่วยใหม่ ก่อนมารับบริการตรวจรักษาที่โรงพยาบาลโดยได้ทดลองเปิดให้บริการตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2561 ที่ผ่านมา



พญ.สายจินต์ กล่าวว่า สำหรับรูปแบบของการให้บริการประชาชนเข้าถึงได้โดย 1. ลงทะเบียนได้ที่ www.metta.go.th หรือ สแกน QR code 2. กรอกรายละเอียดในแบบฟอร์มการลงทะเบียน ตรวจสอบความถูกต้องก่อนบันทึกข้อมูล 3. เจ้าหน้าที่ติดต่อกลับเพื่อนัดหมายต่อไป หรือสามารถติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร. 034-388712 -14 ในวันและเวลาราชการ




 12 มิ.ย. 2561  โดย: MGR Online

197
บอร์ด สปสช. อนุมัติปรับระบบรักษาพยาบาล อปท. ใช้ “บัตรประชาชน Smart Card” เข้ารับบริการแทนลงทะเบียนเบิกจ่ายตรง เพิ่มความสะดวก เข้าถึงการรักษาเพิ่มขึ้น ตามประกาศกรมบัญชีกลาง


นพ.การุณย์ คุณติรานนท์ รองเลขาธิการสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) กล่าวว่า ในการประชุมคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (บอร์ด สปสช.) เมื่อวันที่ 4 มิ.ย. 2561 ได้เห็นชอบให้มีการดำเนินการใช้บัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ด (Smart Card) ในการเข้ารับบริการรักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น แทนการเบิกจ่ายตรง ตามที่คณะอนุกรรมการบริหารระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลของพนักงาน หรือลูกจ้างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) เห็นชอบก่อนหน้านี้ โดยเป็นการดำเนินการตามที่กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้มีประกาศปรับเปลี่ยนรูปแบบการใช้สิทธิเข้ารับการรักษาพยาบาลของข้าราชการ โดยยกเลิกการการลงทะเบียนเบิกจ่ายตรงและเปลี่ยนมาใช้บัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดแทนทุกครั้งที่เข้ารับการรักษาพยาบาล ซึ่งได้เริ่มตั้งแต่วันที่ 4 พฤษภาคม 2561 ที่ผ่านมา


นพ.การุณย์ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เพื่อรองรับการปรับเปลี่ยนใช้บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดในการเข้ารับการรักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิรักษาพยาบาลของพนักงานส่วนท้องถิ่น บอร์ด สปสช. ได้มอบให้ สปสช. ศึกษาข้อมูลการใช้บัตรประจำตัวประชาชนแบบสมาร์ทการ์ดในการเข้ารับการรักษาพยาบาลของผู้มีสิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาลข้าราชการแทนการลงทะเบียนเบิกจ่ายตรง โดยกรมบัญชีกลางได้มอบให้ธนาคารกรุงไทยดำเนินการจัดระบบในสถานพยาบาล การออกเลขรหัสอนุมัติ และระบบรายงานที่สถานพยาบาลสามารถพิมพ์รายงานจากระบบ และส่งรายงานข้อมูลการใช้สิทธิและการเบิกจ่ายเป็นรายวัน


นพ.การุณย์ กล่าวว่า การใช้บัตรประจำตัวประชาชนสมาร์ทการ์ดแทนการลงทะเบียนเบิกจ่ายตรง มีข้อดีทำให้ผู้ป่วยเบิกจ่ายตรงในสถานพยาบาลรัฐได้ทุกแห่ง ไม่ต้องลงทะเบียนเบิกจ่ายตรงที่หน่วยบริการอย่างที่ผ่านมา เพิ่มความสะดวกในการเข้ารับบริการให้กับผู้มีสิทธิ ขณะที่การตรวจสอบและควบคุมงบประมาณยังสามารถติดตามและตรวจสอบข้อมูลการเบิกจ่ายของผู้มีสิทธิได้





 14 มิ.ย. 2561 โดย: MGR Online

198
องค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้ตอกย้ำถึงภัยร้ายของบุหรี่ ที่เป็นต้นตอของโรคร้ายที่คาดไม่ถึง ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของผู้คน 3 ล้านคนทั่วโลกในทุกๆ ปี


รายงานของ WHO เปิดเผยรายงานเนื่องในวันงดสูบบุหรี่โลก ว่า การสูบบุหรี่ของผู้คนทั่วโลกลดลงจากร้อยละ 27 ในปี ค.ศ. 2000 เหลือเพียงร้อยละ 20 ในปี ค.ศ. 2016 และทุกปีมีผู้เสียชีวิตจากการสูบบุหรี่มากกว่า 7 ล้านคน


แต่ที่น่าสนใจ คือ ผู้สูบบุหรี่ราว 3 ล้านคนต่อปีทั่วโลก เสียชีวิตจากโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือด หรือ Cardiovascular ทั้งจากการสูบบุหรี่โดยตรงและการสูบบุหรี่มือสอง หรือ การรับควันบุหรี่ทางอ้อม จากจำนวนผู้ที่เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด 18 ล้านคนต่อปี


ซึ่งนาย ดักลาส เบตต์เชอร์ ผู้อำนวยการฝ่ายป้องกันโรคไม่ติดต่อของ WHO ที่บอกว่า คนส่วนใหญ่ทราบดีว่าการสูบบุหรี่ เพิ่มความเสี่ยงของโรคมะเร็งและโรคปอด


แต่จากการศึกษาครั้งล่าสุดนี้พบว่า คนส่วนใหญ่ไม่ทราบว่าการสูบบุหรี่อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจวาย และเส้นเลือดในสมองแตกได้เหมือนกัน เฉพาะที่จีน ผู้ทำการสำรวจถึงร้อยละ 73 ไม่เชื่อว่าการสูบบุหรี่เป็นต้นตอของโรคเส้นเลือดในสมองแตก และอีกร้อยละ 61 ไม่ทราบว่าบุหรี่เป็นสาเหตุของภาวะหัวใจวาย


ทั้งนี้ ผู้อำนวยการฝ่ายป้องกันโรคไม่ติดต่อของ WHO เสนอว่า หากสามารถเลิกสูบบุหรี่ได้วันนี้ ก็จะทำให้ความเสี่ยงของโรคที่เกี่ยวข้องกับหัวใจและหลอดเลือดลดลงในเวลา 15 ปีข้างหน้า





06 มิ.ย. 61 sanook.com

199
เว็บไซต์ เดอะมิร์เรอร์ รายงานเหตุการณ์เศร้าสลดในวงการทางการแพทย์ของจีน เมื่อทารกเพศชายที่เพิ่งคลอดได้เพียง 4 วัน ต้องกลายเป็นคนพิการไปตลอดชีวิต เนื่องจากพยาบาลเปิดไดร์เป่าผมทิ้งไว้บนเตียงจนไอร้อนเป่าขาทารกเป็นแผลไหม้


เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นในห้องไอซียูเด็กของโรงพยาบาลแม่และเด็กซินไช่ ในเมืองจู้หม่าเตี้ยน มณฑลเหอหนาน ทางตะวันออกของจีน


ทั้งนี้แพทย์พบว่าผิวหนังของทารกไหม้จนเป็นแผลเปิดและต้องตัดขาทิ้งในที่สุดเพื่อรักษาชีวิตไว้ ขณะที่พยาบาลผู้รับผิดชอบดูแลทารกถูกไล่ออก


11 พ.ค.61 สำนักข่าว ทีนิวส์

200
เมื่อนึกถึงเมนูยอดนิยมของคนไทย เชื่อว่าเมนูเช่นผัดกะเพราต้องอยู่ในใจของหลายๆคน ถึงขั้นขึ้นชื่อว่าเป็นเมนูสิ้นคิด กะเพราเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากมาย และยังสามารถทำสารพัดเมนูทั้งต้มผัดแกงทอด แต่ด้วยความที่กะเพรามีกลิ่นเฉพาะตัว บางคนจึงอาจไม่ชอบอาจจะเขี่ยทิ้งไว้ข้างจาน  อย่างไรก็ตาม Sanook! Health ยังอยากจะแนะนำให้รับประทาน เพราะกะเพรามีประโยชน์มากกว่าที่พวกเราคิด

 

ประโยชน์ดีๆ ของกะเพรา


    1.ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น ป้องกันอาการหวัด

    2.แก้อาการคลื่นเหียนอาเจียน

    3.ช่วยขับลมในกระเพาะ แก้อาการจุกเสียดแน่นท้อง

    4.ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค และช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์บางชนิดได้

    5.ช่วยดับกลิ่นคาวของเนื้อสัตว์ ในเมนูกะเพรา เช่น ผัดกะเพรา แกงเลียง แกงป่า แกงคั่ว แกงเขียวหวาน

    6.ช่วยลดระดับไขมันในร่างกาย และช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด จึงช่วยป้องกันโรคเบาหวานได้

 

ข้อควรระวังในการทานกะเพรา


    แม้ว่ากะเพราะจะมีประโยช์มาก แต่ยังไม่สามารถทานกะเพราเพื่อผลในการรักษาโรคต่างๆ เช่น โรคเบาหวาน ได้ เพราะยังไม่มีรายงานการแพทย์พิสูจน์อย่างชัดเจน


    เนื่องจากกะเพรามีฤทธิ์ชะลอการแข็งตัวของเลือด ดังนั้นจึงไม่ควรบริโภคในประมาณมากก่อนวันเข้ารับการผ่าตัด หรือทานระหว่างที่กำลังบริโภคยาที่มีฤทธิ์ชะลอการแข็งตัวของเลือดอย่าง แอสไพริน เป็นต้น




10 มิ.ย 61 ข้อมูล :medthai,พบแพทย์

201
หลายคนซื้อยามาทานเองตามร้านขายยาต่างๆ หรืออาจจะเป็นวิตามิน อาหารเสริมที่สามารถซื้อได้ตามร้านทั่วไป แต่ก็มีหลายคนเช่นกันที่ซื้อโดยไม่ได้สังเกตวันเดือนปีที่ผลิต และวันหมดอายุ อย่างไรก็ตาม ลักษณะที่ผิดปกติของยาอาจบอกได้ว่า ยาที่อยู่ในมือของคุณหมดอายุแล้วหรือยัง ซึ่งยาแต่ละชนิดหากเก็บรักษาไม่ดีพอ อาจทำให้ยาเสื่อมคุณภาพได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้นมาศึกษาข้อมูลจาก สำนักคณะกรรมการอาหาร และยา หรือ อย. กันค่ะ

 

วิธีสังเกตยาหมดอายุ


    1.ยาที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ของบริษัทผู้ผลิต สามารถสังเกตได้จากวันหมดอายุที่ระบุไว้บนฉลากหรือบรรจุภัณฑ์ เช่น ที่แผงยา ซองยา เป็นต้น กรณีที่ระบุเฉพาะเดือนและปีที่หมดอายุ วันหมดอายุจะเป็นวันสุดท้ายของเดือน


    2.ยาที่มีการแบ่งบรรจุออกจากบรรจุภัณฑ์เดิมของบริษัทผู้ผลิต ทั้งในรูปแบบของแข็งและของเหลว ให้มีอายุไม่เกิน 1 ปีหลังจากวันที่แบ่งบรรจุ แต่หากวันหมดอายุที่กำหนดโดยบริษัทผู้ผลิตสั้นกว่า ให้กำหนดอายุตามช่วงที่สั้นกว่า


    3.ยาน้ำที่มีสารกันเสียทั้งชนิดรับประทานและใช้ภายนอก ควรเก็บไว้ไม่เกิน 6 เดือนหลังจากเปิดใช้

    4.ยาผงแห้งผสมน้ำ หลังจากผสมน้ำแล้ว อายุยาให้ยึดตามข้อมูลที่บริษัทระบุไว้บนฉลาก

    5.ยาหยอดตา ยาป้ายตา หากเป็นชนิดที่ใส่สารต้านเชื้อการเจริญเติบโตของเชื้อโรค (Preservative) จะมีอายุไม่เกิน 1 เดือนหลังการเปิดใช้ แต่หากเป็นชนิดไม่เติมสารต้านเชื้อการเจริญเติบโตของเชื้อโรคควรใช้ให้หมดภายใน 1 วัน

    6.ยาที่อยู่ในบรรจุภัณฑ์ของบริษัทผู้ผลิต ที่มีการเปิดใช้แล้ว ควรสังเกตลักษณะของยาควบคู่ไปด้วย หากลักษณะทางกายภาพของยา(สี กลิ่น รส)เปลี่ยนแปลงไป ไม่ควรใช้ยานั้นต่อไป


อย่างไรก็ตาม หากการจัดเก็บยาไม่เหมาะสม หรือไม่เป็นไปตามแนะนำบนฉลาก โดยเฉพาะยาที่ไวต่อสภาวะแวดล้อม เช่น แสง อุณหภูมิ ความชื้น ยาจะเสื่อมสภาพหรือมีคุณภาพลดลงต่ำกว่ามาตรฐานกำหนดก่อนวันหมดอายุที่ระบุได้

 

วิธีการสังเกตการเสื่อมสภาพของยา



    1.ยาน้ำแขวนตะกอน เมื่อตั้งทิ้งไว้จะสังเกตเห็นว่ามีการแยกชั้น และเมื่อเขย่าขวดยาจะกลับมาเป็นเนื้อเดียวกัน แต่ถ้ายาแขวนตะกอนนั้นเสื่อมสภาพ เมื่อเขย่าขวดแรง ๆ ยาจะไม่กลับมาเป็นเนื้อเดียวกันหรือตะกอนยังเกาะติดแน่นกัน


    2.ยาน้ำบางประเภท อย่าง ยาน้ำที่มีตะกอนเบา ๆ เช่น ยาแก้ไอน้ำดำ ยาน้ำแผนโบราณ ยาน้ำสตรี จะรู้ได้อย่างไรว่ายาเสื่อมสภาพหรือไม่ ต้องสังเกต สี กลิ่น และรสที่เปลี่ยนไป ส่วนยาน้ำที่เป็นน้ำใส เช่น ยาน้ำขับลมเด็ก หรือยาน้ำเชื่อม หากพบว่ามีตะกอนเกิดขึ้น หรือขุ่น เหมือนมีเยื่อเบาๆ ลอยอยู่ หรือกลิ่นสีรสเปลี่ยนไป แสดงว่ายาเสื่อมสภาพหรือเสียแล้วให้ทิ้งทันที


    3.ยาเม็ด จะมีลักษณะเยิ้ม เม็ดแตก ชื้น บิ่น เปลี่ยนสี


    4.ยาแคปซูล จะมีลักษณะแตกออกจากกัน บวม ชื้น หรือสีแคปซูลเปลี่ยนไป

 

      ฉะนั้น เพื่อความปลอดภัย ก่อนใช้ยาทุกครั้งควรสังเกตลักษณะยาว่ามีการเปลี่ยนไปหรือไม่ เพื่อให้การทานยาของคุณไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ และยาทุกเม็ดที่ทานให้ประสิทธิภาพในการรักษาอย่างเต็มที่จริงๆ ค่ะ




10 มิ.ย. 61  ข้อมูล :สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา

202
กก.สปสช. ภาคประชาชนโวย เปลี่ยน รพ.ราชวิถี จัดซื้อยาแทน สปสช. ติดระเบียบจัดซื้อจัดจ้างฉบับใหม่ จนออกใบสั่งซื้อยาไปที่ อภ. ไม่ได้ ทำ “วัคซีนไข้หวัดใหญ่” กระจายไม่ถึง รพ. ทั้งที่มีอยู่เต็มคลัง ส่งผลประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงไปรอฉีดเก้อ


น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล กรรมการหลักประกันสุขภาพตัวแทนภาคประชาชน (บอร์ด สปสช.) กล่าวว่า สิทธิประโยชน์ฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงทุกสิทธิการรักษามีอย่างต่อเนื่องทุกปี และที่ผ่านมา ไม่มีปัญหาการกระจายวัคซีนให้กับโรงพยาบาล แต่ในปี 2561 ที่เปลี่ยนระบบให้ รพ.ราชวิถี ทำหน้าที่จัดซื้อแทนสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ซึ่งถูกตรวจสอบว่าไม่สามารถทำได้ โดยให้ สปสช. ทำหน้าที่จัดทำแผนความต้องการ และองค์การเภสัชกรรม (อภ.) ทำหน้าที่กระจายยาและเวชภัณฑ์ ก็เกิดปัญหาขึ้นอย่างที่ภาคประชาชนกังวล เพราะขณะนี้ถึงช่วงที่ต้องฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่ให้กับ 7 กลุ่มเสี่ยงแล้ว แต่กลับกระจายวัคซีนไปยังโรงพยาบาลต่างๆ ไม่ได้ เพราะ รพ.ราชวิถี ติดระเบียบการจัดซื้อจัดจ้างจากกฎหมายจัดซื้อจัดจ้างฉบับใหม่ จึงไม่สามารถออกใบสั่งซื้อให้กับทาง อภ. ได้ ทั้งที่มีวัคซีนไข้หวัดใหญ่อยู่เต็มคลังของ อภ. ตั้งแต่ปลาย มี.ค. 2561


น.ส.กรรณิการ์ กล่าวว่า เบื้องต้น รพ.ราชวิถี แก้ปัญหาโดยใช้วิธียืมวัคซีนจาก อภ. ก่อน แต่ อภ. ไม่สามารถให้ยืมได้ เนื่องจากก่อนหน้านี้รายการยาตัวอื่นที่ รพ.ราชวิถี จัดซื้อก็ใช้วิธียืมยาจาก อภ.มากกว่า 5 พันล้านบาท ที่สุดใกล้ถึงช่วงเวลาจะฉีดวัคซีนให้ประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยง ก็ยังกระจายวัคซีนให้ รพ. ไม่ได้ คณะอนุกรรมการจัดหายาและเวชภัณฑ์ที่มี นพ.เจษฎา โชคดำรงสุข ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) เป็นประธาน มีมติว่า อภ. ต้องยอมให้ รพ.ราชวิถี ยืมวัคซีนไข้หวัดใหญ่ไปก่อน จึงได้เริ่มกระจายวัคซีนให้ รพ. ไปรอบแรก ซึ่งยังมี รพ. หลายแห่งที่ยังได้รับวัคซีนไม่ครบ ที่น่าสงสัยคือทำไมปลัด สธ. ไม่รายงานตรงไปตรงมาว่ามีปัญหาอะไร จะได้ช่วยกันแก้ไข ตอนมารายงานความคืบหน้าก็บอกไม่มีปัญหา ปัญหาการยืมยาก็บอกว่าเคลียร์เรื่องระเบียบต่างๆ กับกรมบัญชีกลางแล้ว แต่สุดท้ายก็ไม่จริง พอแบบนี้ประชาชนไปรอฉีด แต่กลับไม่มีวัคซีนให้ ก็เสียหายไปหมด


“สาเหตุนี้จึงมีปัญหาในหลายพื้นที่ที่ประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงไปขอรับวัคซีน แต่วัคซีนยังมาไม่ถึง รพ. จะเห็นว่าเรื่องนี้สุดท้ายคนที่ได้รับผลกระทบ คือ ประชาชน จากการตรวจสอบระเบียบราชการ และกฎหมายที่ออกมา โดยไม่คำนึงถึงหลักปฏิบัติที่เป็นจริง ในที่ประชุมบอร์ด สปสช. กรรมการที่เป็นตัวแทนภาคประชาชนก็ถามย้ำทุกครั้ง ว่า จะมีผลกระทบเสียหายกับประชาชนหรือไม่ หากเปลี่ยนผู้ทำหน้าที่จัดซื้อ ส่วนใหญ่ก็บอกว่าไม่มีแน่นอน แต่สุดท้ายก็มี และคนที่รับผลกระทบหนักคือประชาชนและบุคลากรสาธารณสุขที่อยู่หน้างาน” น.ส.กรรณิการ์ กล่าว


ทพ.อรรถพร ลิ้มปัญญาเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการ สปสช. กล่าวว่า การจัดเตรียมวัคซีนไข้หวัดใหญ่จำนวน 3.5 ล้านโดส ฉีดให้ประชาชนทุกสิทธิการรักษาที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม ขณะนี้มีความเข้าใจผิดว่า เป็นการให้ฉีดได้สำหรับประชาชนทั่วไปด้วย สปสช.จึงขอย้ำอีกครั้งว่า วัคซีนไข้หวัดใหญ่จำนวน 3.5 ล้านโดสนี้ ใช้สำหรับประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงเท่านั้น เนื่องจากโรคไข้หวัดใหญ่เป็นโรคพบบ่อยในทุกกลุ่มอายุ ตั้งแต่กลุ่มเด็กเล็กจนถึงผู้สูงอายุ เป็นโรคที่เกิดได้ตลอดปี แต่ระบาดมากในฤดูฝน อาการป่วยส่งผลต่อสุขภาพและต้องหยุดพักรักษาตัว ซึ่งประชาชนในกลุ่มเสี่ยงมีภูมิต้านทานน้อยหากติดไวรัสไข้หวัดใหญ่อาจมีอาการแทรกซ้อนที่รุนแรง ดังนั้น จึงต้องฉีดวัคซีนป้องกันในประชาชน 7 กลุ่มเสี่ยงไว้ก่อน จึงขอให้ผู้ที่อยู่ใน 7 กลุ่มเสี่ยงดังกล่าวนี้ไปฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพื่อป้องกันอาการแทรกซ้อนรุนแรงที่จะเกิดตามมา


ทพ.อรรถพร กล่าวว่า สำหรับประชาชนทุกสิทธิที่เป็นกลุ่มเสี่ยง 7 กลุ่ม คือ 1. หญิงมีครรภ์อายุครรภ์ 4 เดือนขึ้นไป 2. เด็กอายุ 6 เดือนถึง 2 ปี 3. ผู้มีโรคเรื้อรังประจำตัว ได้แก่ ปอดอุดกั้นเรื้อรัง หัวใจ หืด ไตวาย หลอดเลือดสมอง ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างการได้รับเคมีบำบัด และเบาหวาน 4. ผู้สูงอายุที่อายุ 65 ปีขึ้นไป 5. ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตนเองไม่ได้ 6. โรคธาลัสซีเมียและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง รวมผู้ติดเชื้อ HIV ที่มีอาการ และ 7. โรคอ้วน หรือผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100 กิโลกรัม หรือดัชนีมวลกายตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร โดยไปฉีดได้ตั้งแต่วันที่ 1 มิ.ย.- 31 ส.ค. 2561 หรือจนกว่าวัคซีนจะหมด


8 มิ.ย. 2561  โดย: MGR Online

203
รพ.สวนสราญรมย์ บำบัดฟื้นฟูผู้ติดยาและอาการทางจิตอยู่ในภาวะสงบ ด้วยชุมชนบำบัดแบบโฮมสเตย์ จัดที่พักคล้ายรีสอร์ต เน้นดูแลทั้งกาย จิต วิญญาณ สังคม และสร้างอาชีพ ใช้เวลา 4 เดือน ร้อยละ 70 ไม่กลับไปเสพซ้ำ มีอาชีพรายได้ พร้อมเป็นแหล่งศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ


น.ต.นพ.บุญเรือง ไตรเรืองวรวัฒน์ อธิบดีกรมสุขภาพจิต กล่าวว่า จากการตรวจเยี่ยม รพ.สวนสราญรมย์ จ.สุราษฎร์ธานี มีผู้ป่วยจิตเวชที่พักรักษาใน รพ.สวนสราญรมย์ วันละ 350 คน ร้อยละ 40 มาจากการใช้สารเสพติด เพิ่มขึ้นจากช่วง 5 ปีก่อนประมาณ 2 เท่า ทั้งนี้ รพ.สวนสราญรมย์ ได้จัดระบบบริการฟื้นฟูผู้ป่วยยาเสพติดที่ผ่านการบำบัดในระยะถอนพิษยา และอาการทางจิตอยู่ในภาวะสงบแล้ว โดยใช้กระบวนการชุมชนบำบัดแบบโฮมสเตย์ สถานที่พักฟื้นเป็นบ้านพัก 2 ชั้น คล้ายรีสอร์ต ร่มรื่น เป็นธรรมชาติ อิสระ มี 9 หลัง หลังละ 10 เตียง ให้ผู้ป่วยใช้ชีวิตร่วมกันเสมือนเป็นบ้านของตนเอง ฝึกให้ผู้ป่วยมีความรับผิดชอบ มีแบบแผนการดำเนินชีวิตที่เหมาะสม มีคุณภาพชีวิตที่ดี นับเป็นการบำบัดฟื้นฟูที่อยู่ในระดับพรีเมียมแห่งเดียวในประเทศ หรือดีที่สุดในอาเซียนก็ว่าได้


“การฟื้นฟู ฝึกอาชีพให้กับผู้ป่วย จะเน้นตามความสามารถของผู้ป่วย โดยยึดตามหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เช่น งานเกษตรกรรม การปลูกผัก เลี้ยงหมู เลี้ยงปลา เพื่อให้มีรายได้ สร้างความภาคภูมิใจตนเอง ซึ่งได้ผลดีมาก และทุกคนจะได้รับการฝึกสติและสมาธิจากทีมสหวิชาชีพ เพื่อป้องกันการกลับไปใช้สารเสพติดซ้ำ ใช้เวลารักษาฟื้นฟู  4 เดือน จากการติดตามผู้ป่วยที่กลับไปอยู่กับครอบครัวในชุมชนร้อยละ 60-70 สามารถเลิกเสพยาได้ มีงานทำ มีอาชีพและมีรายได้ต่อเนื่อง" น.ต.นพ.บุญเรือง กล่าวและว่า รพ.พร้อมเป็นแหล่งศึกษาดูงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งในงานประชุมยาเสพติดโลกประจำปี 2561 ที่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย มีหลายประเทศสนใจจะมาศึกษาดูงาน เพราะประสบความสำเร็จสูง ผู้ผ่านการบำบัดไม่หันกลับไปเสพยาซ้ำสูงกว่าร้อยละ 85


นพ.จุมภฎ พรมสีดา ผู้อำนวยการ รพ.สวนสราญรมย์ กล่าวว่า โรคจิตเวชที่พบได้บ่อยในผู้ที่ใช้ยาเสพติด คือ โรคจิตเภท พบได้ร้อยละ 70  รองลงมา คือ โรคซึมเศร้าและโรคบุคลิกผิดปกติแบบต่อต้านสังคม ก้าวร้าว ทำร้ายคนอื่นพบได้ประมาณร้อยละ 30 ในการบำบัดฟื้นฟู ขณะนี้มีบ้านพักทั้งหมด 9 หลัง รับได้ 60 คน มีพยาบาลดูแลตลอด 24 ชั่วโมง มีระบบการติดตามผลการรักษาหลังจำหน่าย 1 ปี การบำบัดฟื้นฟูฯ จะทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม จิตวิญญาณ และอาชีพ ใช้เวลาที่เกิดประโยชน์และมีรายได้ เพื่อสร้างความมั่นใจและภาคภูมิใจให้ผู้ป่วย เนื่องจากผู้ที่ติดยาส่วนใหญ่จะขาดโอกาสในการประกอบอาชีพ ที่สำคัญ ได้ให้ครอบครัวเข้ามาร่วมทำครอบครัวบำบัด 7 - 8 ครั้งด้วย


นพ.จุมภฎ กล่าวว่า สำหรับกลุ่มของผู้ป่วยได้เปิดโอกาสให้ระดมสมองและร่วมกันตั้งกฎเหล็ก 6 ข้อที่ทุกคนต้องเคร่งครัดปฏิบัติตามในการใช้ชีวิตร่วมกัน  คือ 1. ไม่ใช้สารเสพติดทุกชนิด 2. ไม่ทะเลาะวิวาท 3. ไม่มีเพศสัมพันธ์ 4. ห้ามลักขโมย 5. ไม่ออกนอกสถานบำบัด และ 6. พัฒนาตนเองให้ดีขึ้น โดยทุกเช้าจะมีการฝึกสติ หลังเคารพธงชาติ และก่อนนอนทุกวัน และฝึกทำสมาธิขณะทำกิจกรรมกลุ่มทุกประเภท สวดมนต์ทุกวันพระใหญ่ สร้างพลังความเข้มแข็งจิตใจ การดำเนินชีวิตอย่างมีสติ โดยแผนดำเนินการต่อไป รพ. จะสร้างอาชีพให้ผู้ผ่านการบำบัดที่ยังไม่มีอาชีพ และส่งฝึกงานในสถานประกอบการต่างๆ ใน จ.สุราษฎร์ธานี และใกล้เคียง


 10 มิ.ย. 2561 โดย: MGR Online

204
กรมการแพทย์ เตือนใช้ “ข้อมือ” ไม่ระวัง เสี่ยงโรคกดทับเส้นประสาทข้อมือ ชี้คนใช้คอมพิวเตอร์ ช่างเจาะถนน แม่บ้าน สตรีมีครรภ์ มีความเสี่ยงสูง แนะวิธีป้องกัน


นพ.ณรงค์ อภิกุลวณิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า อาการชา เป็นเหน็บ ปวดแสบปวดร้อนบริเวณฝ่ามือกับนิ้วมือ โดยเฉพาะนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ และอาจรู้สึกเหมือนถูกไฟช็อตที่นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง และนิ้วนางเป็นบางครั้ง มักมีอาการตอนกลางคืน หรือหลังตื่นนอน เมื่อได้ขยับ หรือสะบัดมือจะรู้สึกดีขึ้น โดยอาการจะชัดเจนมากขึ้นหลังจากทำงานที่ต้องเคลื่อนไหวข้อมือหรือใช้ข้อมือหยิบจับถือสิ่งของเป็นเวลานาน หรือมีอาการอ่อนแรงของมือและนิ้วมือ อาการดังกล่าวเป็นอาการของโรคกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ เกิดจากพังผืดที่หนาตัวบริเวณข้อมือทางด้านฝ่ามือ แล้วกดทับเส้นประสาททำให้เกิดการอักเสบ เมื่อมีการใช้งานบริเวณข้อมืออย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน


นพ.ณรงค์กล่าวว่า โรคนี้พบในเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ในช่วงอายุ 35 ถึง 40 ปี เพราะเป็นวัยทำงานมีการใช้ข้อมือและมือซ้ำๆ กันเป็นเวลานาน เช่น คนที่พิมพ์งาน คอมพิวเตอร์ เพราะต้องวางข้อมือลงกับโต๊ะที่เป็นของแข็ง คนที่เขียนหนังสือ งานเย็บปักถักร้อย หรือใช้เครื่องมือที่สั่นสะเทือนต่อข้อมือบ่อยๆ เช่น ช่างเจาะถนน การทำงานที่กระดกข้อมือซ้ำๆ กัน เช่น แม่ค้า แม่บ้าน คนซักผ้า นอกจากนี้ยังพบว่าโรคดังกล่าวสามารถเกิดร่วมกับภาวะต่างๆ เช่น สตรีมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ โรคไทรอยด์ รวมถึงผู้ป่วยกระดูกหักหรือเคลื่อนบริเวณข้อมือ


นพ.สมพงษ์ ตันจริยภรณ์ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเลิดสิน กรมการแพทย์ กล่าวว่า การรักษาโรคกดทับเส้นประสาทบริเวณข้อมือ แบ่งออกเป็น 2 วิธี คือ การรักษาโดยไม่ผ่าตัด ใช้เฝือกอ่อนดามข้อมือ กินยาแก้ปวดแก้อักเสบ ฉีดยาสเตียรอยด์ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่ใช้ข้อมือเพื่อลดการอักเสบของข้อมือ และการรักษาด้วยการผ่าตัดจะทำเมื่อการรักษาด้วยยาและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ได้ผล หรือผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงกล้ามเนื้อฝ่อ


สำหรับการป้องกัน สามารถทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน การใช้งานมือและข้อมือด้วยความระมัดระวัง เช่น ใช้ปากกาที่จับเขียนได้สะดวก คนที่พิมพ์งานคอมพิวเตอร์ควรกดแป้นพิมพ์เบาๆ พร้อมทั้งแผ่นเจล ผ้านุ่มๆ หรือฟองน้ำสำหรับรองข้อมือขณะพิมพ์ เพื่อลดการเสียดสีและลดการกระตุ้นเส้นเอ็นไม่ให้ตึงตัว พักมือเป็นระยะ โดยยืด ดัด และหมุนมือกับข้อมือควรปรับท่าทางของร่างกายโดยไม่ห่อไหล่ไปข้างหน้า หลีกเลี่ยงการนอนทับมือ หากสวมเฝือกข้อมือควรสวมเฝือกที่ไม่คับจนเกินไป ควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ ตลอดจนรักษาความอบอุ่นของมือในสภาพอากาศหนาวเย็นเพื่อลดอาการปวดตึง



 11 มิ.ย. 2561 โดย: MGR Online

205
ลจากการทดลองในห้องแล็บพบความจริงที่น่าตกใจว่า  รถเข็นตามซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ สกปรกยิ่งกว่าลูกบิดหรือที่จับประตูห้องน้ำเป็นร้อยๆ เท่า


และ 1 ใน 3 ของตัวอย่างที่นักวิทยาศาสตร์เก็บมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตต่าง ๆ ยังพบด้วยว่า เชื้อโรคที่พบตรงมือจับรถเข็นนั้น มีแบคทีเรียชนิดอันตรายที่เรียกว่า “อีโคไล” และ “ซัลโมเนลล่า” รวมอยู่ด้วย


อีโคไล คือเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ท้องร่วง ขณะที่ ซัลโมเนลล่า เป็นเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดอาหารเป็นพิษ  ซึ่งแบคทีเรียทั้งสองชนิดนี้ มักพบปนเปื้อนอยู่ในอุจจาระหรือมูลสัตว์


โดยหลังจากนักวิทยาศาสตร์เก็บตัวอย่างจากซูเปอร์มาร์เก็ต 4 ประเภทมาทดสอบ พบว่า รถเข็นในร้านขายของชำมีเชื้อแบคทีเรียมากที่สุด โดยมือจับรถเข็นบางแห่ง มีแบคทีเรียสูงกว่าลูกบิดประตูห้องน้ำถึง 361 เท่าเลยทีเดียว


รองลงมาคือ รถเข็นในร้านขายสินค้าราคาถูก ที่พบว่ามีแบคทีเรียสูงกว่ามือจับประตูห้องน้ำราว  270 เท่า ส่วนซูเปอร์สโตร์ แม้พบว่าสะอาดกว่ามาก ก็ยังมีแบคทีเรียสูงกว่าโต๊ะทำครัวในบ้านถึง 3 เท่า ขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตในห้างสรรพสินค้าหรู  มีแบคทีเรียน้อยที่สุด โดยปริมาณที่พบเท่ากับแบคทีเรียบนคีย์บอร์ดหรือแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์


ทั้งนี้ แบคทีเรียที่พบบนมือจับรถเข็นเกือบ 75 เปอร์เซ็นต์เป็นแบคทีเรียแกรมลบ ซึ่งกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของแบคทีเรียแกรมลบ มักทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ และส่วนใหญ่มักเป็นแบคทีเรียที่ดื้อยาปฏิชีวนะด้วย


รู้กันอย่างนี้แล้ว เวลาไปซื้อของและต้องใช้รถเข็นตามร้านค้า หรือซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ อย่าเผลอเอามือมาสัมผัสกับใบหน้าเป็นอันขาด และอย่าลืมล้างมือให้สะอาด เพื่อลดความเสี่ยงจากการติดเชื้อแบคทีเรียกันด้วย


04 มิ.ย 61 ขอขอบคุณ  ข้อมูล :Dailymail.co.uk







206
เบาหวานถือเป็นโรคที่พบได้บ่อยมากโรคหนึ่งในคนไทยยุคปัจจุบัน จากผลสำรวจพบว่ามีคนไทยมากกว่า 3 ล้านคน ป่วยเป็นโรคเบาหวาน โดยโรคเบาหวานนี้พบได้ในทุกเพศ ทุกวัย


ซึ่งเกิดจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรม หรือแม้แต่การใช้ชีวิตของคนไทยในปัจจุบันที่เร่งรีบ และชอบทานอาหารที่มีส่วนผสมของ แป้ง น้ำตาล และไขมันสูง เป็นผลทำให้เกิดโรคมากมายเช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง และตาก็เป็นอวัยวะหนึ่งที่เสื่อมจากเบาหวาน ซึ่งถึงแม้จะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ก็ทำให้ถึงขั้นตาบอดถาวรเป็นอุปสรรคในการดำเนินชีวิตอย่างมาก


พญ.พวงเพชร นาคะพงศ์ จักษุแพทย์ เฉพาะทางโรคจอประสาทตาและน้ำวุ้นตาโรงพยาบาลหัวเฉียว กล่าวว่า เบาหวานขึ้นตา อาจจะไม่แสดงอาการใดๆ เลย ในระยะแรก จึงอาจทำให้ผู้ป่วยชะล่าใจไม่คิดที่จะมาตรวจตาถึงแม้ว่าจะรู้ว่าตนเองเป็นโรคเบาหวาน จนนานเข้าเริ่มมีอาการแสดงออกมา ไม่ว่าจะเป็นตามัว ตามืดลงอย่างเฉียบพลัน หรืออาจถึงขึ้นมีเลือดออกในวุ้นตา ซึ่งหากมารักษาช้าอาจทำให้ผู้ป่วยถึงขั้นตาบอดอย่างถาวร



ส่วนการรักษา หากแพทย์ตรวจพบแล้วว่าเป็นเบาหวาน ควรปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างเคร่งครัด โดยจะควบคุมปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้อาการของโรคกำเริบเป็นหลัก จะไม่เน้นที่การรักษาทางดวงตา แต่จักษุแพทย์จะนัดเข้ามาตรวจเป็นระยะๆ หากอาการไม่เลวร้ายลง ก็จะยังไม่จำเป็นต้องรับการรักษาเป็นพิเศษ แต่ถ้าหากเป็นโรคเบาหวานที่จอตามากขึ้น แพทย์จะรักษาโดยการใช้เลเซอร์ ซึ่งจะไม่มีอาการเจ็บปวดแต่อย่างใด โดยการรักษานี้เพื่อหยุดการลุกลามของโรค รวมถึงการฉีดยารักษาหากพบว่าเกิดภาวะแทรกซ้อนในจอตาหากเป็นมากอาจจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด


ส่วนการป้องกันนั้นยังไม่มีวิธีป้องกันได้โดยตรง แพทย์จะแนะนำให้ผู้ป่วยเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดอาการของโรคเป็นหลัก เช่น การเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดแป้ง น้ำตาล และอาหารรสเค็ม งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และถ้าหากตรวจพบว่าตนเองเป็นเบาหวานขึ้นตาตั้งแต่ในระยะแรก ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ และมาตรวจสุขภาพตาโดยแพทย์จักษุอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง เพราะโรคเบาหวานอาจส่งผลทำให้เกิดโรคตาอื่นๆ ได้อีก


ปัจจุบัน ศูนย์จักษุ โรงพยาบาลหัวเฉียว มีทีมจักษุแพทย์เฉพาะทางครบทุกสาขาโรค เช่น เบาหวานขึ้นตา ต้อหิน ต้อกระจก โรคจอประสาทตาน้ำวุ้นตา โรคกล้ามเนื้อตา เป็นต้นพร้อมด้วยเครื่องมือเทคโนโลยีการรักษาที่ทันสมัย ทำให้การรักษาสามารถทำได้อย่างครบวงจร การตรวจพบได้เร็ว ได้รับการรักษาเร็ว ช่วยให้การมองเห็นเป็นปกติได้อย่าละเลยที่จะดูแลดวงตาของคุณและคนที่คุณรัก


01 พ.ค.61 NATION TV


207
กรมควบคุมโรค เตือนช่วงฝนตกระวังถูกฟ้าผ่า ขอให้ประชาชนหลีกเลี่ยงพื้นที่โล่งแจ้งหรืออยู่ใต้ต้นไม้ ผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กวัยเรียน มักถูกฟ้าผ่าที่สวน นา ไร่และพื้นที่โล่งแจ้ง พร้อมเผย 4 วิธีป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า ผู้ขับขี่รถช่วงฝนตกหนักให้ลดความเร็วลง เปิดไฟหน้ารถ และระมัดระวังหากต้องขับรถผ่านพื้นที่น้ำขังสูง พร้อมระวังเด็กจมน้ำและสัตว์มีพิษกัดต่อยจากน้ำท่วมฉับพลัน


นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า จากที่กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศช่วงวันที่ 4-7 มิถุนายน 2561 จะมีพายุดีเปรสชั่นเข้ามายังประเทศไทย ทำให้มีฝนตกหนักในหลายพื้นที่ กรมควบคุมโรคขอให้ประชาชนระมัดระวังระหว่างฝนตก อาจถูกฟ้าผ่าได้ จากข้อมูลที่ผ่านมาพบว่า กลุ่มผู้เสียชีวิตส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเด็กวัยเรียน รองลงมาเป็นกลุ่มอาชีพเกษตรกรรม ซึ่งเหตุการณ์ฟ้าผ่ามักเกิดในพื้นที่โล่งแจ้ง สวน นา ไร่


การป้องกันอันตรายจากการถูกฟ้าผ่า มีดังนี้


    หลีกเลี่ยงอยู่กลางแจ้ง ในขณะฝนตกฟ้าคะนอง หากจำเป็นควรนั่งยอง ย่อตัวให้ต่ำและชิดกับพื้นให้มากที่สุด แต่ไม่ควรนอนราบกับพื้น รวมทั้งหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ต้นไม้สูง เสาไฟฟ้า ป้ายโฆษณา เพราะฟ้าผ่าลงที่สูง


    ควรหลบในตัวอาคารที่ติดตั้งสายล่อฟ้า จะช่วยป้องกันอันตรายจากฟ้าผ่า ไม่ควรใช้โทรศัพท์ เปิดคอมพิวเตอร์ เล่นอินเตอร์เน็ต ดูโทรทัศน์ ฟังวิทยุ หรืออยู่ใกล้ประตู หน้าต่างที่มีส่วนประกอบเป็นโลหะในขณะฟ้าร้องฟ้าผ่า

     
    หลีกเลี่ยงการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าทุกชนิด เพราะกระแสไฟจากฟ้าผ่าอาจไหลผ่านเครื่องใช้ไฟฟ้า หรือสื่อไฟฟ้าต่างๆ ทำให้เกิดอันตรายขึ้นได้


    กรณีอยู่ในรถ ควรปิดกระจกทุกบาน หากฟ้าผ่าลงรถควรตั้งสติ ไม่ควรออกจากรถโดยเด็ดขาด เพราะกระแสไฟฟ้าที่ไหลตามผิวโลหะของตัวถังรถจะไหลลงสู่พื้นดิน หากออกนอกรถจะมีความเสี่ยงที่จะถูกฟ้าผ่าสูง ที่สำคัญอย่าสัมผัสส่วนที่เป็นโลหะ การช่วยเหลือผู้ถูกฟ้าผ่าต้องช่วยอย่างรวดเร็ว โดยประเมินความปลอดภัยของที่เกิดเหตุ และโทรขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพ โทร. 1669 โดยแจ้งข้อมูลผู้ถูกฟ้าผ่าและสถานที่เกิดเหตุ อาจเคลื่อนย้ายผู้ป่วยออกจากสถานที่โดนฟ้าผ่าไปยังที่ปลอดภัย         

 

ทางด้านกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยประกาศให้ทุกพื้นที่เตรียมรับมือกับน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก น้ำล้นตลิ่งโดยขอให้ประชาชนติดตามข่าวสารจากหน่วยงานของรัฐอย่างใกล้ชิด และเตรียมความพร้อมในทุกด้านเพื่อป้องกันความสูญเสีย ทั้งในกลุ่มผู้ใหญ่และเด็ก


เพื่อป้องกันการจมน้ำ ควรยึดหลัก “3 ห้าม 2 ให้”


โดย 3 ห้ามได้แก่

1. ห้ามหาปลา/เก็บผัก

2. ห้ามดื่มสุรา

3. ห้ามเล่นน้ำ

 

2 ให้ ได้แก่


1. ให้สวมเสื้อชูชีพ(หรือนำอุปกรณ์ที่ลอยน้ำได้ติดตัวไปด้วย เช่น ถังแกลลอน/ขวดน้ำพลาสติกเปล่าปิดฝา)

2. ให้เดินทางเป็นกลุ่ม พร้อมทั้งระวังสัตว์มีพิษมาหลบอาศัยตามบ้านเรือน ช่วงฝนตกหนัก อาจถูกสัตว์เหล่านั้นกัด/ต่อยได้       

 

ทั้งนี้ ระหว่างฝนตกหนัก การขับรถยนต์และรถจักรยานยนต์ขอให้ลดความเร็วลง เปิดไฟหน้ารถ ทิ้งระยะห่างจากคันหน้า และประเมินสถานการณ์หากต้องขับผ่านพื้นที่น้ำขังสูง เพื่อความปลอดภัย ทั้งนี้ หากพบเห็นผู้บาดเจ็บจากอุบัติเหตุ ขอให้โทรแจ้งขอความช่วยเหลือจากทีมแพทย์กู้ชีพทันที โทร.1669 หากประชาชนมีข้อสงสัยสามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ สายด่วนกรมควบคุมโรค โทร. 1422



07 มิ.ย. 61   ขอขอบคุณ   ข้อมูล :สำนักสื่อสารความเสี่ยงและพัฒนาพฤติกรรมสุขภาพ กรมควบคุมโรค







208
เมื่อวันที่ 26 พ.ค. 61 เวลา 23.30 น. ร.ต.อ.มนตรีทาหาวงค์รองสว.สอบสวน สภ.ปทุมรัตน์ ได้รับแจ้งมีคนร้ายบุกแทงเจ้าหน้าที่พยาบาลบนรพ.แห่งหนึ่ง จ.ร้อยเอ็ด ได้รับบาดเจ็บสาหัส ตรวจสอบที่เกิดเหตุภายในห้องน้ำหญิงอาคารอำนวยการข้างห้องฉุกเฉิน พบคราบเลือดกระจายเปรอะเปื้อนผนังห้องน้ำ ซึ่งผู้บาดเจ็บเจ้าหน้าที่นำเจ้าห้องฉุกเฉินก่อนหน้าแล้ว


ทราบชื่อต่อมาคือ น.ส.อรุณี อายุ 42 ปี พยาบาลวิชาชีพชำนาญการรพ.ดังกล่าว ถูกแทงด้วยของมีคมเป็นแผลขนาดต่าง ๆ ตามร่างกายจำนวน 12 แผล อาการสาหัส และได้นำตัวส่งตัวรักษาต่อที่รพ.ร้อยเอ็ด ส่วนผู้ก่อเหตุคือนายศักดา อายุ 43 ปี ซึ่งเป็นสามี หลังก่อเหตุได้อาศัยช่วงชุลมุนขับขี่รถจยย.หลบหนีไป


ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถติดตามจับกุมคนร้าย ได้ในเวลาประมาณ 03.30 น. วันที่ 27 พ.ค. 61 ขณะหลบหนีไปยังบ้านเกิดที่อ.เสลภูมิ และได้นำตัวผู้ก่อเหตุมาตัวสอบสวนขยายผลเพื่อดำเนินคดีในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น


โดยในเวลา 16.00 น. ของวันเดียวกันจึงคุมตัวทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ณ โรงพยาบาลที่เกิดเหตุ ท่ามกลางเจ้าหน้าที่พยาบาลประชาชนที่มาใช้บริการโรงพยาบาลมุงดูจำนวนมาก


นายศักดา ผู้ต้องหา กล่าวว่า ก่อนหน้าได้แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากับผู้เสียหายมาแล้วหลายปี ไม่มีบุตรด้วยกัน แต่ฝ่ายหญิงมีลูกติดมาด้วย 3 คน ก่อนที่จะขอย้ายจากรพ.ในจ.ร้อยเอ็ด มาปฏิบัติหน้าที่ในรพ.ที่เกิดเหตุจนถึงปัจจุบัน ภายหลังทั้งคู่มีปัญหาหนี้สินร่วมกันจนตนเองต้องขายที่ดิน ขายบ้านและนำรถยนต์ที่ใช้ทำมาค้าขายไปจำนำแทบจะไม่มีเงินใช้จ่ายในแต่ละเดือน


ระยะหลังฝ่ายหญิงเริ่มตีตัวออกห่าง พร้อมบอกว่าได้ยกเลิกการอาศัยบ้านพักในรพ.แล้วและต้องการไปอาศัยอยู่กับพ่อแม่ที่บ้านของตนและขอแยกทาง ทำให้ตนเครียดจัดและบันดาลโทสะเดินไปหยิบมีดในห้องครัวของรพ.มาจ้วงแทง ก่อนจะมีเจ้าหน้าที่รพ.ได้ยินเสียงจึงร้องห้ามพร้อมแจ้งตำรวจ ทำให้ตกใจรีบวิ่งขึ้นจยย.ขับหลบหนีก่อนถูกจับกุมตัวดำเนินคดีดังกล่าว


27 พ.ค.61 ขอขอบคุณ  ข้อมูล :Amarin TV

209
ถ้าจะพูดถึงผลไม้ในบ้านเราที่ให้สรรพคุณทางยาก็มีอยู่หลากหลายชนิด แต่มีอยู่ชนิดหนึ่งที่ชื่อเรียกนั้นสะดุดหูซะเหลือเกินว่า ‘มะม่วงหาว มะนาวโห่’ หลายคนที่เคยได้ยินชื่อนี้ก็ยังสงสัย สรุปแล้วมันเป็นมะม่วง หรือเป็นมะนาว แล้วทำไมต้องทั้งหาวและร้องโห่ แต่ในความเป็นจริงแล้วผลไม้ชนิดนี้ไม่ได้เป็นทั้งมะม่วงและมะนาวอย่างที่จินตนาการกัน ซึ่งที่มาของชื่อนั้นก็ถูกตั้งโดยนักวิชาการส่งเสริมการเกษตร โดยบอกเพิ่มอีกว่าที่ตั้งชื่อนี้ก็เพื่อให้คล้องกับชื่อผลไม้ในวรรณคดี เรื่อง นางสิบสอง ตอน พระรถเมรี ที่ความตอนหนึ่งของเรื่องได้พูดถึงผลไม้สดที่มีรสชาติเปรี้ยวจัด ขนาดว่าทำให้คนที่ง่วงนอนอยู่รู้สึกกระชุ่มกระชวยและตื่นตัวขึ้นมาในทันควัน


มะม่วงหาว มะนาวโห่ นับว่าเป็นผลไม้ยอดนิยมที่ถูกจับตามองในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมา มีชื่อเรียกเต็มๆ ว่า ‘มะม่วงไม่รู้หาว มะนาวไม่รู้โห่’ ซึ่งถ้าเรียกสั้นๆ ก็น่าจะเข้าปากมากกว่า ผลไม้ชนิดนี้ได้รับความสนใจจากผู้ที่รักสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะในวงการแพทย์ก็ได้วิจัยออกมาพบว่ามีสรรพคุณทางยามากถึง 50 ประการ ครั้นจะนำไปใช้รักษาโรค หรือรับประทานควบคู่กับยาแผนปัจจุบันก็จะได้ผลที่ดียิ่งขึ้น


คุณสมบัติที่สำคัญของ ‘มะม่วงหาว มะนาวโห่’ ก็เห็นจะเป็นเรื่องของการป้องกันมะเร็ง เพราะภายในผลไม้ชนิดนี้มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง ช่วยบำรุงโลหิต ชะลอการแก่ก่อนวัย ป้องกันโรคหัวใจ ขยายหลอดเลือด รักษาปอด รวมไปถึงอาการถุงลมโป่งพองก็ช่วยบรรเทาให้ดีขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจว่าทำไมผลไม้ที่มีชื่อแปลกหูถึงได้รับความนิยม ขนาดว่าต้องควานหาซื้อมารับประทาน ตลอดจนหามาปลูกไว้เป็นไม้ประดับภายในบริเวณบ้านอีกด้วย


จากผู้ที่นิยมสมุนไพรให้ความรู้กับเราเพิ่มเติมมาว่า ‘มะม่วงหาว มะนาวโห่’ นั้นสามารถใช้ประโยชน์ได้จากทุกส่วนของลำต้น อีกทั้ง ก็ยังมีส่วนน้อยที่จะรู้ว่าจริงๆ แล้ว มะม่วงหาว มะนาวโห่ นั้นเป็นคนละต้น หรือเป็นพืชคนละชนิด คนละสายพันธุ์กัน โดย ‘มะม่วงหาว’ ก็คือ มะม่วงหิมพานต์ ส่วน ‘มะนาวโห่’ ก็คือ หนามแดง ซึ่งพืชทั้งสองชนิดนี้ก็มีสรรพคุณเพียบและช่วยบำรุงร่างกายได้ดีไม่แพ้กันเลยทีเดียว เพื่อให้ความกระจ่างเพิ่มขึ้นไปอีกขั้น เราก็มีข้อมูลจาก องค์กรสวนพฤกษาศาสตร์ มาอธิบายขยายความแตกต่างของพืชทั้ง 2 ชนิดนี้ ...


มะม่วงหาว


‘มะม่วงหาว’ หรือชื่อเรียกจริงๆ คือ ‘มะม่วงหิมพานต์’ เป็นไม้ต้นขนาดกลางที่สามารถสูงได้ถึง 10 เมตร มีใบเป็นสีเขียวเข้ม ออกดอกเป็นช่อหลวมๆ สีแดงอมม่วง หรือสีครีม มีกลิ่นหอมออกเอียนๆ โดยที่แต่ละดอกจะมี 5 กลีบ เมื่อดอกแก่ ฐานรองดอกก็จะขยายใหญ่ขึ้นมีลักษณะคล้ายกับชมพู่ยาวประมาณ 6 - 7 เมตร มีสีเหลืองอมชมพู หากว่าแก่จัดก็จะมีกลิ่นหอม มีเมล็ด 1 เมล็ดติดอยู่ที่ส่วนปลายเป็นสีน้ำตาลอมเทา มีเปลือกแข็งหุ้ม เรียกว่า ‘เม็ดมะม่วงหิมพานต์’


สรรพคุณทางยา ของ มะม่วงหาว

    ผล : ช่วยฆ่าเชื้อ แก้โรคลักปิดลักเปิด พอกดับพิษ อีกทั้งยังช่วยขับปัสสาวะ
    เมล็ด : ช่วยแก้อาการเนื้อหนังชาในโรคเรื้อน แก้ตาปลา แก้โรคผิวหนัง กลากเกลื้อน แก้เนื้องอก บำรุงกระดูก บำรุงไขข้อ บำรุงเส้นเอ็น บำรุงผิวหนัง ไปจนกระทั่งถึงช่วยในการบำรุงกำลัง
    เปลือก : ช่วยในเรื่องการขับน้ำเหลืองเสีย แก้บิด แก้กามโรค แก้อาการท้องเสีย แก้ปวดฟัน ฟอกดับพิษ อีกทั้งยังสามารถนำเมล็ดไปทำเป็นยาอมเพื่อรักษาแผลในปากได้อีกด้วย
    ยอดอ่อน : ใช้รักษาโรคริดสีดวงทวาร
    ยาง : ใช้แก้อาการเลือดออกตามไรฟัน ช่วยทำลายตาปลา โดยให้ยางเข้าไปเป็นตัวช่วยกัดทำลายเนื้อด้านในที่เป็นปุ่มโต รักษาแผลเนื้องอก รักษาหูด รักษากลาก โรคเท้าช้าง
    น้ำมัน : ใช้ฆ่าเชื้อ เป็นยาชา ใช้รักษาโรคเรื้อน กัดหูด แก้ตาปลา แก้บาดแผลที่เน่าเปื่อย

50 สรรพคุณทางยา ของ มะม่วงหาว

    มีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยในเรื่องชะลอวัยและลดริ้วรอย (ผล)
    ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง (แก่น)
    แก้อาการอ่อนเพลีย เมื่อยล้า (เนื้อไม้)
    เพิ่มความกระชุ่มกระชวยให้กับร่างกาย (ผล)
    ช่วยให้เจริญอาหาร (ราก)
    มีส่วนช่วยในการลดความอ้วน (ผล)
    ช่วยขยายหลอดเลือดและป้องกันการเกิดโรคหัวใจ (ผล)
    มีส่วนช่วยป้องกันการเกิดมะเร็ง (ผล)
    มีส่วนในการรักษาโรคเบาหวาน เนื่องจากมีธาตุเหล็ก (ผล)
    มีส่วนช่วยในการรักษาโรคโลหิตจาง (ผล)
    ช่วยรักษาโรคปอด (ผล)
    ช่วยรักษาโรคถุงลมโป่งพองที่เกิดจากการสูบบุหรี่ (ผล)
    ช่วยรักษาโรคไต (ผล)
    บรรเทาอาการโรคตับ อาทิ โรคตับแข็ง (ผล)
    ช่วยรักษาโรคเกาต์ (ผล)
    ช่วยรักษาและบรรเทาอาการโรคไทรอยด์ (ผล)
    ช่วยป้องกันโรคไหลตาย (ผล)
    ในประเทศบังคลาเทศนิยมใช้ใบในการรักษาโรคลมชัก (ใบ)
    มีส่วนช่วยบรรเทาอาการโรคอัมพฤกษ์ อัมพาต ชาตามมือตามเท้า (ผล)
    ช่วยบำรุงกำลัง (เนื้อไม้)
    ช่วยบำรุงธาตุ (ราก , แก่น , เนื้อไม้)
    ช่วยบำรุงไขมันในร่างกาย (แก่น , เนื้อไม้)
    รักษาไข้ รวมถึงไข้มาลาเลีย (ราก , ใบ)
    ช่วยดับพิษร้อน (ราก)
    ช่วยบรรเทาอาการของโรคภูมิแพ้ (ผล)
    ช่วยแก้และบรรเทาอาการไอ (ผล)
    ช่วยขับเสมหะ (ผล)
    มีส่วนช่วยในการบรรเทาอาการปวดศีรษะ ไมเกรน (ผล)
    บรรเทาอาการเจ็บคอ เจ็บในปาก (ใบ)
    แก้อาการปวดหู (ใบ)
    ช่วยรักษาโรคลักปิดลักเปิด หรือโรคเลือดออกตามไรฟัน ทั้งยังช่วยสมานแผลที่เกิดในช่องปาก (ผล)
    ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร (ราก)
    แก้อาการท้องเสีย (ใบ)
    ช่วยรักษาโรคบิด (ใบ)
    ช่วยขับปัสสาวะ (ผล)
    ช่วยรักษาโรคริดสีดวงทวาร (ยอดอ่อน)
    ช่วยขับพยาธิ (ราก)
    ช่วยรักษาโรคเท้าช้าง (น้ำยาง)
    ช่วยฆ่าเชื้อ (ผล)
    ช่วยในการสมานแผล (ผล , ยาง)
    ใช้รักษาโรคผิวหนังเรื้อรัง (เปลือกต้น)
    ช่วยแก้อาการคัน (ราก)
    ในประเทศอินเดียนิยมใช้รากเพื่อรักษาแผลที่เกิดจากเบาหวาน (ราก)
    แก้กลากเกลื้อน (เมล็ด , น้ำยาง)
    แก้อาการเนื้อหนังชาในโรคเรื้อน (เมล็ด)
    ช่วยรักษาแผลเนื้องอก (น้ำยาง)
    ช่วยรักษาหูด (น้ำยาง)
    ช่วยทำลายตาปลาและช่วยกัดทำลายเนื้อด้านในที่เป็นปุ่มโต (น้ำยาง)
    ใช้พอกดับผิษ (ผล)
    ช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อตามข้อ (ผล)


มะนาวโห่


‘มะนาวโห่’ หรือชื่อเรียกจริงๆ คือ ‘หนามแดง’ เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย หรืออาจเรียกว่าเป็นไม้ต้นขนาดเล็กก็ได้ มีความสูงเพียง 5 เมตร มียางสีขาว ออกใบเดี่ยว ออกดอกเป็นช่อยาว มีกลีบดอกสีขาว หรือสีชมพู ออกผลเป็นรูปไข่สีแดงชมพู หรือดำ

สรรพคุณทางยา ของ มะนาวโห่


    ผล : ช่วยรักษาอาการเลือดออกตามไรฟัน
    ใบ : ช่วยแก้อาการเจ็บคอ เจ็บในปาก แก้ท้องเสีย อาการปวดแก้วหู หรือแม้แต่แก้ไข้ก็ทำได้
    แก่น : ช่วยบำรุงธาตุ บำรุงไขมันในร่างกาย ทำให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรง
    เนื้อไม้ : ช่วยบำรุงธาตุ แก้อาการอ่อนเพลีย บำรุงกำลัง ทั้งยังช่วยบำรุงไขมันในร่างกายได้อีกด้วย
    ราก : ใช้แก้อาการคัน บำรุงธาตุ ช่วยขับพยาธิ ทำให้เจริญอาหาร ดับพิษร้อน ช่วยบำรุงกระเพาะอาหาร ใช้แก้ไข้ได้อีกด้วย


  หากมองย้อนกลับไป การที่ ‘มะม่วงหาว มะนาวโห่’ กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง โดยเฉพาะบรรดาคนที่รักสุขภาพ น่าจะหมายถึงผลของ ‘มะนาวโห่’ หรือผลของ ‘หนามแดง’ เสียมากกว่า เพราะมีการปลูกกันอย่างแพร่หลายในทุกพื้นที่ จากการสอบถามพบว่ามะนาวโห่เป็นพืชที่ดูแลง่าย ใช้ประโยชน์ได้ทุกส่วน อีกทั้งในแต่ละระยะของการออกผลก็จะให้สีที่แตกต่างกัน บางบ้านก็ปลูกเพื่อเป็นไม้ประดับด้วย ส่วนการนำผลมารับประทานก็จะต้องเป็นผลที่มีสีดำ จะให้รสชาติอมเปรี้ยว อมหวาน กินแล้วสดชื่น กระชุ่มกระชวย แถมยังมีประโยชน์มากมายอีกด้วย

02 มิย.61 ขอขอบคุณ sanook.com

210
วิจารณ์สนั่นโซเชียล แน่ใจนะว่ายุค 4.0 ปล่อยคนไข้ต้องยืนตากแดดต่อคิวยาวเหยียด ล้นออกมานอกตัวอาคารโรงพยาบาลศรีสัชนาลัย สุโขทัย


จากกรณีที่มีกระแสในโลกโซเชี่ยลมีเดีย แชร์ส่งต่อและวิพากษ์วิจารณ์ภาพถ่ายจากโพสต์ผู้ใช้เฟซบุ๊ก "เอ นฤดล สวนปราง" เป็นภาพคนไข้จำนวนมากกำลังยืนต่อแถวรอรับบริการ กระทั่งล้นออกมานอกอาคารโรงพยาบาล ยืนอยู่ที่ถนนเกือบถึงโรงจอดรถของโรงพยาบาลศรีสัชนาลัย จ.สุโขทัย โดยมีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเชิงตำหนิ ประชดประชันและแชร์ส่งต่อกันเป็นจำนวนมาก


ต่อมาผู้สื่อข่าวติดต่อสอบถามไปยัง เจ้าของโพสต์ดังกล่าว ซึ่งให้ข้อมูลว่า เมื่อเวลา 08.00 น. เมื่อวานนี้ (5 มิ.ย.) ตนได้ไปโรงพยาบาลดังกล่าว เนื่องจากเป็นไข้ ปวดหัว ไอ เจ็บคอ เสียงแห้ง เมื่อไปถึงโรงพยาบาล ต้องตกใจอย่างมากเมื่อเห็นภาพคนไข้ไม่ต่ำกว่า 30-50 คน ยืนต่อคิวมาจากในอาคาร ยาวเหยียดออกมาด้านนอก จนเกือบถึงที่จอดรถหน้าโรงพยาบาล โดยไม่มีร่มหรือเต็นท์บังแดด บังฝนให้แต่อย่างใด


นายนฤดล ได้สอบถามผู้ที่มายืนรอทราบว่ามารอกันตั้งแต่ตี 5 ตนจึงเปลี่ยนใจไม่เข้าไปรับบริการ กลับบ้านมาซื้อยารับประทานแล้วนอนพักผ่อน ตอนนี้อาการดีขึ้นแล้ว โดยก่อนออกมาจากโรงพยาบาลได้ถ่ายรูปแล้วมาโพสต์ลงโซเชียล เพื่อหวังให้ผู้เกี่ยวข้องได้มีการพัฒนาการบริการแก่ประชาชนและคนไข้ให้ดีกว่านี้


เกี่ยวกับประเด็นนี้ ผู้สื่อข่าวได้โทรศัพท์ติดต่อไปยัง น.พ.สุทนต์ ทั่งศิริ ผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีสัชนาลัย ที่ได้เปิดเผยสั้นๆ ว่า ทางโรงพยาบาลแห่งนี้มีคนไข้เป็นจำนวนมากทุกวัน ประกอบกับสถานที่ค่อนข้างคับแคบ ไม่สามารถขยับขยายได้ บุคลากรที่จะให้บริการก็ไม่เพียงพอ


สำหรับเหตุการณ์ตามที่มีการแชร์กันในเฟซบุ๊กกนั้น มีผู้ติดตามมาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมาก ทั้งต่อว่าและเห็นใจ ซึ่งได้มีผู้ให้ความเห็นว่าเหตุการณ์นี้น่าจะเป็นช่วงยื่นบัตรรอรับบัตรคิว และน่าจะเป็นวันคลินิกคนไข้เบาหวาน ทำให้มีคนใช้บริการเยอะ แต่หากเคยไปรับบริการ หน้าห้องบัตรจะมีพื้นที่ไม่เยอะ ทำให้คนไข้จะต้องยื่นบัตรยืนต่อแถวตามยาว แถวก็จะต้องยาวออกมาด้านนอกในลักษณะแบบนี้ เพราะไม่มีทางให้ปัดหางแถวไปทางอื่นตามสภาพความคับแคบของโรงพยาบาล





06 มิ.ย. 61 sanook.com

หน้า: 1 ... 12 13 [14] 15 16 ... 19