เป็นที่รู้กันดีว่า "ญี่ปุ่น" เป็นประเทศที่มีวัฒนธรรมการ "ทำงานหนัก" ผลวิจัยเผยว่าชาวญี่ปุ่นทำงานล่วงเวลาถึงกว่า 80 ชั่วโมงต่อเดือน คนนับล้านคนที่ต้องอยู่ภายใต้ความกดดัน ส่งผลให้ทั้งสุขภาพร่างกายและจิตใจทรุดโทรม โดย ผลการศึกษาจากทางรัฐบาลญี่ปุ่นเร็ว ๆ นี้เผยว่า 1 ใน 5 คนทำงานมีความเสี่ยงที่จะทำงานหนักจนเสียชีวิต หรือที่เรียกในภาษาญี่ปุ่นว่า "คาโรชิ" รัฐบาลญี่ปุ่นต้องรับมืออย่างหนักหลังเกิดกรณีที่สั่นสะเทือนไปทั่วโลก
การฆ่าตัวตายของพนักงานสาวจากบริษัทเอเยนซี่โฆษณา"เดนท์สุ" วัย 24 ปี จากการที่เธอต้องทำงานและยังโดนกดดันอย่างหนักจากที่ทำงาน ผลการสืบสวนพบว่าเธอทำงานล่วงเวลาถึง 105 ชั่วโมงต่อเดือน
อย่างไรก็ตาม จากปัญหาที่เกิดขึ้นซ้ำซาก ทำให้ญี่ปุ่นต้องลงมือแก้ไขอย่างจริงจัง "ซีเอ็นเอ็น" รายงานว่า "นายฮิโรชิ คาวาฮิโตะ" ทนายของพนักงานสาวเดนท์สุ และเลขาธิการสถาบันป้องกันและให้คำปรึกษาผู้มีความเสี่ยงเสียชีวิตจากการทำงานหนัก เผยว่ากรณีฆ่าตัวตายจากการทำงานหนักของพนักงานสาววัย 24 ปี ได้เปลี่ยนแปลงทัศนคติสังคมญี่ปุ่นไปพอสมควร รวมทั้งบริษัทต้นปัญหาอย่างเดนท์สุ ก็ยอมลดชั่วโมงงานล่วงเวลาลงมาเป็น 65 ชั่วโมงต่อเดือน
รวมถึงการที่ "นายชินโซ อาเบะ" นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น ได้พบกับบรรดาแรงงานเพื่อถกหารือเกี่ยวกับแผนการที่จะแก้ไขกฎหมายแรงงาน เพื่อที่จะจำกัดความต้องการของนายจ้างที่มีต่อลูกจ้าง โดยกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการแห่งญี่ปุ่นเผยว่า รัฐบาลจะเสนอร่างนี้ต่อสภาในเดือนมีนาคมปี 2560 อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญให้ความเห็นว่า ร่างกฎหมายใหม่นี้ต้องแข็งแกร่งพอที่จะบังคับให้ภาคเอกชนปฏิบัติตาม และจำเป็นต้องมีการลงโทษปรับบริษัทที่ละเมิดกฎ เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลยังไม่ได้ใส่ใจและผลักดันประเด็นนี้อย่างจริงจัง และปัญหาที่แท้จริงก็คือสังคมญี่ปุ่นมองว่าการทำงานหนักล่วงเวลาของพนักงานเป็นเรื่อง "ปกติ" ที่ทุกคนต้องทำ และมองว่ามันไม่ใช่ปัญหาอะไร
ทางการญี่ปุ่นเผยผลวิจัยของปัญหานี้ พบว่ามีกรณีปัญหาที่เรียกร้องค่าชดเชยจากการทำงานหนักจนเสียชีวิตถึง 1,456 ราย ในปีงบประมาณ 2557 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเกี่ยวกับด้านสุขภาพและสวัสดิการที่กำลังขาดแคลนคนทำงาน ด้านกระทรวงสาธารณสุขญี่ปุ่นในปีงบประมาณ 2558 มีถึง 93 รายที่ฆ่าตัวตายหรือพยายามฆ่าตัวตายจากความกดดันในการทำงาน รวมถึง 96 คนที่เสียชีวิตจากปัญหาด้านสมองและหัวใจจากการทำงานหนัก
และถึงแม้ว่าหลายบริษัทจะพยายามส่งเสริมให้พนักงานมีสมดุลของการทำงานและการใช้ชีวิต แต่ผลวิจัยพบว่าพนักงานญี่ปุ่นส่วนมากยังใช้เวลาอยู่ในออฟฟิศมากกว่าประเทศอื่น ๆ
"นายโคจิ โมริโอกะ" ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยคันไซ ซึ่งทำการศึกษาประเด็นการทำงานหนักจนเสียชีวิตให้ความเห็นว่า การปรับเปลี่ยนนี้ต้องบ่งชี้เพิ่มด้วยว่าทำอย่างไรพนักงานจะทำงานอย่างปลอดภัยในทุก ๆ ด้าน
ด้าน "นายเจฟฟ์ คิงสตัน" ผู้อำนวยการสาขาเอเชียศึกษา มหาวิทยาลัยเทมเพิล กรุงโตเกียว ระบุว่า การผลักดันกฎหมายนี้เหมือนกับ "วัวหายล้อมคอก" ต้องมีคนตายก่อนถึงจะแก้ไข ทั้งที่เป็นเรื่องที่ควรทำมานานแล้วด้วยซ้ำ
ทั้งนี้ ปัญหาการทำงานหนักจนเสียชีวิตนี้ เริ่มมีเค้าลางตั้งแต่ปี 2513 เป็นต้นมา ในยุคที่เศรษฐกิจประเทศเติบโตอย่างรวดเร็ว แพทย์เริ่มเห็นจำนวนตัวเลขของพนักงานที่ดูมีท่าทางสุขภาพดี แต่ก็ค่อย ๆ ทยอยเสียชีวิต โดยที่สุดแล้วพบว่า คนเหล่านี้ตายจากปัญหาโรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งเกิดจากการทำงานอย่างหนักหน่วง เป็นกระแสตั้งแต่ปี 2523 เป็นต้นมา ซึ่งทนายความด้านสิทธิแรงงานและกลุ่มประชาชน ได้พยายามผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านกฎหมายให้เห็นถึงความสำคัญของปัญหาการทำงานหนักได้สัมฤทธิผลในปี2557 ซึ่งมีการกำหนดเงื่อนไขคุ้มครองพนักงาน แต่ทว่าบรรดาบริษัทต่าง ๆ ก็ไม่ได้ทำตามแต่อย่างใด
3 ธ.ค. 2559
http://m.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1480760797