ตอนนี้ผมยืนอยู่ ณ ใจกลางของดินแดน ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ที่สุดที่รุ่งเรืองขึ้นระหว่างหมู่ทะเลทรายของเม็กซิโกทางทิศใต้กับมหาสมุทรอาร์กติกทางทิศเหนือ นี่คือเมืองแห่งแรกของอเมริกาและว่ากันว่าเป็นความสำเร็จอันงดงามที่สุดของชนพื้นเมืองอเมริกันหรืออเมริกันอินเดียน
คะโฮเกียหรือหมู่เนินดินมหึมาของเซนต์ลูอิสอาจไม่งดงามเลอเลิศในแง่สถาปัตยกรรม แต่ด้วยขนาดพื้นที่ 16 ตารางกิโลเมตร (ในจำนวนนี้ 8.9 ตารางกิโลเมตรได้รับการอนุรักษ์ให้เป็นอุทยานประวัติศาสตร์ของรัฐ) สถาน ที่แห่งนี้ไม่เพียงเป็นแหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ที่สุดในสหรัฐฯ แต่ยังเปลี่ยนมุมมองของเราเกี่ยวกับชีวิตของชาวอเมริกันอินเดียนในทวีปนี้ ก่อนที่ชาวยุโรปจะเดินทางมาถึง คะโฮเกียคือจุดสูงสุดและอาจเป็นต้นกำเนิดของสิ่งที่นักมานุษยวิทยาเรียกว่า วัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี (Missippian Culture) ซึ่งหมายถึงกลุ่มชุมชนเกษตรกรรมที่ตั้งถิ่นฐานทั่วแถบมิดเวสต์หรือภาคตะวันตกและภาคตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐฯ มาตั้งแต่ก่อน ปี ค.ศ. 1000 และเจริญสูงสุดในราวศตวรรษที่สิบสาม ความ คิดที่ว่าชนพื้นเมืองอเมริกันสามารถสร้างชุมชนที่มีความเจริญเทียบเท่ากับ เมืองเมืองหนึ่งเป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับผู้ตั้งถิ่นฐานชาวยุโรป ถึงขนาดที่ว่าเมื่อพวกเขาพบหมู่เนินดินแห่งคะโฮเกีย ซึ่งรวมถึงเนินใหญ่ที่สุดที่สูงเท่ากับตึกสิบชั้น สร้างจากดินกว่า 622,970 ลูกบาศก์เมตร จึง พากันคิดว่าเป็นผลงานสร้างสรรค์ของอารยธรรมอื่น กระทั่งทุกวันนี้ ความคิดเรื่องเมืองที่สร้างโดยชาวอเมริกันอินเดียนยังเป็นสิ่งที่ ชาวอเมริกันทั่วไปไม่ยอมรับ
ตลอดศตวรรษที่สิบเก้าคะโฮเกียเป็นสิ่งที่ถูกลืมเลือนในอเมริกา และ ก่อนหน้าครึ่งหลังของศตวรรษที่ยี่สิบ แม้แต่มหาวิทยาลัยต่างๆในสหรัฐฯ ยังให้ความสนใจต่อคะโฮเกียและแหล่งโบราณคดีอื่นๆในบ้านตนเองอย่างผิวเผิน พวกเขาเลือกที่จะส่งนักโบราณคดีไปยังกรีซ เม็กซิโก และอียิปต์ เพราะเรื่องราวของอารยธรรมโบราณในประเทศเหล่านั้นช่างไกลตัวและแสนโรแมนติก กลุ่มคนเพียงหยิบมือที่ทุ่มเทศึกษาคะโฮเกียและหมู่เนินดินใกล้เคียงในเซนต์ลูอิสตะวันออกและเซนต์ลูอิส ต้องต่อสู้กับการพัฒนาและการไม่เหลียวแลชนิดแทบไม่เห็นทางชนะตลอดช่วงเวลาส่วนใหญ่ของศตวรรษที่ผ่านมา หมู่เนินดินสองแห่งที่เพิ่งกล่าวถึงซึ่งจัดว่าเป็นชุมชนขนาดใหญ่ที่สุดในแถบลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี ถูกทำลายและสร้างถนนทับ และแม้ว่ามังค์สเมานด์ (Monks Mound) หรือ “เนินนักบวช” ซึ่งตั้งชื่อตามนักบวชชาวฝรั่งเศสที่เคยอาศัยใต้ร่มเงา จะกลายเป็นอุทยานแห่งรัฐขนาดเล็กเมื่อปี 1925 แต่ก็มักถูกใช้เป็นสนามลากเลื่อนและที่เล่นสนุกของเด็กๆ ขณะที่พื้นที่ส่วนอื่นๆ ของคะโฮเกียไม่ได้รับความสนใจแม้แต่น้อย หลายแห่งมีสิ่งก่อสร้างอื่นๆปลูกทับ นานๆทีจะมีคนเข้ามาศึกษา จนกระทั่งถึงทศวรรษ 1960
และนั่นคือจุดที่ประวัติศาสตร์ย้อนรอยตีแสกหน้า เพราะโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ที่จะพาดผ่านคะโฮเกียกลับทำให้เมืองโบราณแห่งนี้เป็นที่กล่าวขวัญถึง โครงการตัดทางหลวงระหว่างรัฐของอดีตประธานาธิบดี ดไวต์ไอเซนฮาวร์ ซึ่งแม้จะเป็นอภิมหาโครงการที่เปลี่ยนโฉมภูมิประเทศของสหรัฐฯ กลับมีการกันงบประมาณไว้สำหรับศึกษาแหล่งโบราณคดีที่อยู่ในแนวเส้นทาง นี่ย่อมหมายถึงเงินทุนเพื่อการขุดค้นมากกว่าที่เคยได้รับ รวมทั้งแผนการชัดเจนว่าจะต้องขุดที่ไหน เมื่อไร และเร็วเพียงใด เมื่อมีแผนการสร้างทางหลวงสองสายที่จะตัดผ่านกลางเมือง ได้แก่ ไอ-55/70 ที่ปัจจุบันผ่ากลางจัตุรัสเหนือของคะโฮเกีย และโอบล้อมโดยประกบคู่ไปกับถนนคอลลินส์วิลล์ซึ่งอยู่ห่างออกไปครึ่งกิโลเมตรทางทิศใต้ ทำให้นักโบราณคดีเริ่มลงมือศึกษาแหล่งโบราณคดีแห่งนี้อย่างเป็นระบบ และพวกเขาก็ค้นพบสิ่งที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน
ดูจะเป็นที่แน่ชัดว่า คะโฮเกียไม่ได้เป็นเพียงเนินดินกองมหึมา หรือสถานที่รวมตัวกันเพื่อประกอบพิธีกรรมนานๆ ครั้งของชนเผ่าที่ตั้งถิ่นฐานกระจัดกระจายอยู่ในแถบนั้น เพราะเกือบทุกจุดที่ขุดค้น นักโบราณคดีจะพบซากบ้านเรือนที่บ่งชี้ว่าประชากรหลายพันคนเคยตั้งชุมชนที่นี่ และบ้านหลายหลังในจำนวนนี้ก็สร้างขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆ จริงๆแล้วดูเหมือนเมืองทั้งเมืองเฟื่องฟูขึ้นในชั่วข้ามคืนเมื่อราวปี 1050 เป็นปรากฏการณ์ที่ปัจจุบันนักโบราณคดีเรียกว่า “บิ๊กแบง” กล่าว คือผู้คนหลั่งไหลมาจากพื้นที่ใกล้เคียง ปลูกบ้านเรือน และเร่งรุดสร้างสาธารณูปโภคให้กับเมืองใหม่ รวมทั้งเนินดินหลายเนินพร้อมสิ่งปลูกสร้างบนยอด และจัตุรัสขนาดกว้างใหญ่เพื่อใช้เป็นลานอเนกประสงค์สำหรับการแข่งขันกีฬา ไปจนถึงงานเลี้ยงเฉลิมฉลองของชุมชนและพิธีกรรมทางศาสนา
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนชึ้น เราต้องปีนบันได 156 ขั้นขึ้นสู่ยอดเนินนักบวช จากยอดตัดของเนินขนาดมหึมาราว 50,000 ตารางเมตร ใหญ่กว่าฐานมหาพีระมิดคูฟูที่ถือว่าใหญ่ที่สุดของอียิปต์ ทำให้รู้สึกได้ถึงหยาดเหงื่อแรงงานที่ใช้ในการก่อสร้าง และยังเข้าใจเหตุผลที่ต้องก่อเนินนี้ขึ้นมาแต่แรกอีกด้วย จากบนนี้เรามองเห็นอาณาเขตของคะโฮเกียซึ่งมีลักษณะเป็นที่ราบน้ำท่วมถึงที่รู้จักกันในชื่อ อเมริกันบอตทอม (American Bottom) ทอดตัวจากเซนต์ลูอิสไปถึงแนวผาชันริมน้ำห่างจากคะโฮเกียไปทางตะวันออก 5 กิโลเมตร และแผ่ไปสุดสายตาทางทิศเหนือและทิศใต้ หลังจากบัญชาการให้ก่อสร้างสิ่งที่น่าจะกลายเป็นหมุดหมายทางภูมิศาสตร์ที่สูงที่สุดเหนือที่ราบกว้าง 450 ตารางกิโลเมตรแล้ว หัวหน้าเผ่าหรืออาจจะเป็นนักบวชชั้นสูงก็น่าจะได้ชัยภูมิในมุมสูงสำหรับสอดส่องอาณาจักรของตนในที่สุด
แน่นอนว่า ภาพดังกล่าวได้มาจากข้อสันนิษฐานที่ว่า คะโฮเกียมีผู้ปกครองเพียงหนึ่งเดียว แต่เราไม่รู้ว่าเป็นเช่นนั้นจริงหรือไม่ เราไม่รู้กระทั่งว่าสถานที่แห่งนี้แท้จริงแล้วมีชื่อว่าอะไร คะโฮเกียเป็นชื่อที่ยืมมาจากเผ่าที่เคยอาศัยอยู่ในละแวกใกล้เคียงในศตวรรษที่สิบเจ็ด หรือจากชื่อที่ชนเผ่าผู้เคยตั้งรกรากที่นี่เรียกขานตนเอง เมื่อไม่มีภาษาเขียน สิ่ง ที่พวกเขาทิ้งไว้จึงมีเพียงเบาะแสเล็กน้อยกระจัดกระจายที่ทำให้การศึกษาสภาพ สังคมยุคก่อนประวัติศาสตร์ในหลายพื้นที่เป็นเรื่องท้าทาย
แม้ ว่าผู้เชี่ยวชาญเรื่องคะโฮเกียจะวิเคราะห์และวิพากษ์วิจารณ์แต่ละความคิด เห็นไปต่างๆนานา แต่ก็ยังมีหลายประเด็นที่พวกเขาเห็นพ้องต้องกันอยู่ ทุกคนเห็นตรงกันว่าคะโฮเกียไม่เพียงรุ่งเรืองขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงสองสามร้อยปีหลังข้าวโพดกลายเป็นแหล่งอาหารสำคัญในท้องถิ่น แต่ยังดึงดูดผู้คนจากที่ราบลุ่มอเมริกันบอตทอมให้มาอยู่รวมกัน และทำให้ชุมชนอื่นๆในลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปีดูเล็กไปถนัดตาทั้งในแง่ขนาดและขอบเขต ประเด็นทุ่มเถียงมักวนเวียนอยู่กับคำถามเรื่องจำนวนประชากรในเมือง การรวมศูนย์อำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจมีมากน้อยเพียงใด ไปจนถึงรูปแบบการแผ่ขยายอำนาจและอิทธิพล
แนวคิดสุดโต่งด้านหนึ่งวาดภาพว่า คะโฮเกียเป็น “โรงมหรสพแห่งอำนาจ” หรือจักรวรรดิอันเกรียงไกรที่ครอบงำผู้อื่นและธำรงอยู่ได้ด้วยอำนาจทางทหาร แผ่อิทธิพลหยั่งลึกไปทั่วลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี และอาจเชื่อมโยงถึงอารยธรรมเมโสอเมริกาอื่นๆ เช่น มายา หรือตอลเตก แต่ความคิดเห็นสุดโต่งอีกด้านหนึ่งกลับชี้ว่า คะโฮเกียเป็นเพียงเมืองเมืองหนึ่งที่จัดว่าค่อนข้างใหญ่ในวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปี และประชากรมีพรสวรรค์ในการสร้างเนินดินมหึมา แต่ก็เป็นเรื่องปกติของการถกเถียงทางวิชาการที่ความคิดเห็นซึ่งมีน้ำหนักน่าเชื่อถือมักอยู่ตรงกลางระหว่างความคิดสุดโต่งทั้งสองด้าน
นอกจากนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองนี้กันแน่ คะ โฮเกียกลายเป็นเมืองร้างไปแล้วตอนที่โคลัมบัสเดินทางมาถึงทวีปอเมริกา อีกทั้งที่ราบน้ำท่วมถึงในบริเวณนี้ รวมทั้งพื้นที่หลักๆในลุ่มแม่น้ำมิสซิสซิปปีและหุบเขาริมแม่น้ำโอไฮโอก็ร้าง ผู้คนจนได้รับการขนานนามว่า ดินแดนว่างเปล่า (Vacant Quarter) การล่มสลายของคะโฮเกียอาจเป็นปริศนาข้อใหญ่ที่ท้าทายเสียยิ่งกว่าการก่อเกิดเสียอีก แต่เบาะแสก็พอจะมีให้เห็นบ้างเล็กน้อย กล่าวคือเมืองเริ่มฟูเฟื่องในช่วงที่ดินฟ้าอากาศเป็นใจ และเริ่มหดตัวลงในช่วงที่สภาพอากาศเย็นลง แห้งแล้งมากขึ้น และคาดเดายากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับ ชุมชนเกษตรกรรมที่ต้องพึ่งพาผลผลิตอย่างสม่ำเสมอแล้ว เงื่อนไขและปัจจัยแวดล้อมที่แปรเปลี่ยนอาจนำมาซึ่งความตึงเครียดไปจนถึง หายนะ
ข้อเท็จจริงที่ว่าระหว่างปี 1175 ถึงปี 1275 ประชากร ของคะโฮเกียสร้างแนวรั้วล้อมรอบพื้นที่หลักของเมืองหลายต่อหลายครั้ง บ่งชี้ว่าความขัดแย้งหรือการคุกคามที่นำไปสู่ความขัดแย้งได้กลายเป็นส่วน หนึ่งของการดำรงชีวิตในภูมิภาคแถบนี้ไปแล้ว ซึ่งอาจเป็นเพราะทรัพยากรเริ่มร่อยหรอลง ยิ่ง ไปกว่านั้น ประชากรที่หนาแน่นย่อมสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อมอยู่เนืองๆ ไม่ว่าจะเป็นการตัดไม้ทำลายป่า การกัดเซาะหน้าดิน มลภาวะ หรือโรคร้าย ความยากลำบากทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้อาจหนักหนาจนเกินรับมือ และเป็นสาเหตุแห่งการล่มสลายของชุมชนและสังคมโบราณมากมาย
หากจะว่าไปแล้วการที่คะโฮเกียดำรงอยู่เพียง 300 ปี และเจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุดอย่างมากไม่เกินครึ่งของช่วงเวลาดังกล่าว ไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจ เหมือนที่นักประวัติศาสตร์มักพูดเสมอว่า “ความล้มเหลวถือเป็นเรื่องปกติสำหรับอารยธรรมมนุษย์ อะไรที่อยู่ยั้งยืนยงต่างหากที่น่าอัศจรรย์”
มีนาคม 2554