ผู้เขียน หัวข้อ: 10 อันดับเมืองที่น่าไปเรียนต่อที่สุดในโลก ปี 2014  (อ่าน 772 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
อะไรที่ทำให้เมือง และมหาวิทยาลัยในประเทศต่างๆ ได้รับความนิยมจากผู้คนทั่วโลก? หลายคนอาจบอกว่าต้องเป็นทรัพยากรทางการศึกษาที่ดีและได้มาตรฐาน อาจจะมีสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งดึงดูดใจ หรือมีค่าครองชีพที่ค่อนข้างถูก จากการสำรวจของ The QS Best Student Cities 2014 เมืองที่ดีที่สุดและเหมาะกับผู้ที่คิดจะไปเรียนต่อ 10 อันดับ
       
       โดยประเมินจาก 14 เกณฑ์ ครอบคลุม 5 ประเด็นสำคัญๆ อย่าง
       1.การจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลก
       2.ความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา
       3.คุณภาพชีวิต
       4.ความนิยมของผู้ประกอบการ
       5.ค่าครองชีพ
       
       อันดับ 1 ปารีส (Paris) ประเทศฝรั่งเศส

       'ปารีสเมืองในฝัน' ขึ้นชื่อในเรื่องของความงดงาม แม้ว่าจะมีค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง แต่เมื่อเฉลี่ยกับค่าใช้จ่ายในการศึกษาที่ค่อนข้างถูก และมีมาตรฐานคุณภาพชีวิตที่ดีเยี่ยม สามารถผลิตนักศึกษาที่เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงาน หากใครที่จบมหาวิทยาลัยจากกรุงปารีสก็ค่อนข้างมีดีกรีสูงอยู่สักหน่อยเหล่าบรรดานายจ้าง และบริษัทต่างๆ ทั้งภายในและต่างประเทศต่างก็พากันแย่งตัว และมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงของกรุงปารีส คือ École normale supérieure หรือ Normale สถาบันวิชาชีพชั้นสูงของกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1794 ตั้งอยู่ที่ Quartier Latin เป็นมหาวิทยาลัยแถวหน้าของยุโรปมาโดยตลอด และยังมีอันดับในมหาวิทยาลัยโลกโดยการจัดอันดับของ QS ปี 2012-2013 อยู่ในอันดับที่ 34 ของโลกอีกด้วย
       
       อันดับ 2 ลอนดอน (London) ประเทศอังกฤษ

       สำหรับอันดับสองตกเป็นของ 'ลอนดอนเมืองแฟชั่น' และความหรูหราจากประเทศอังกฤษ ที่ได้คะแนนสูงสุดจากหัวข้อความต้องการของผู้ประกอบการ รวมถึงหัวข้อความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา แต่กลับได้คะแนนในหัวข้อค่าครองชีพที่ค่อนข้างต่ำ เพราะการใช้ชีวิตอยู่ในลอนดอนนั้นมีค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างสูง เหมาะสำหรับนักเรียนนักศึกษาที่ค่อนข้างมีทุนทรัพย์อยู่พอสมควร รวมถึงในด้านคุณภาพชีวิต ที่กรุงลอนดอนกลับได้คะแนนต่ำกว่าเมืองอื่นๆ ใน 5 อันดับแรกเล็กน้อย แต่อย่างไรก็ตามลอนดอน ก็ยังเป็นเมืองในฝันของนักศึกษาหลายๆ คนอยู่ดี เพราะมีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการศึกษามากมาย อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรม และยังเต็มไปด้วยสีสันความบันเทิงทั้งกลางวันและกลางคืน มีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมให้ได้เรียนรู้ มหาวิทยาลัยที่โดดเด่นคือ University College London (UCL) ที่ติดอันดับ 4 ของโลกอยู่ที่นี่ด้วย
       
       อันดับ 3 สิงคโปร์ (Singapore) ประเทศสิงคโปร์

       ประเทศอันดับหนึ่งของอาเซียนที่มีมาตรฐานการศึกษาอยู่ในระดับแนวหน้าของโลก แต่มีค่าครองชีพที่ต่ำมาก เมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ในทวีปยุโรป คุณภาพชีวิตและความปลอดภัยที่ค่อนข้างสูงติดอันดับโลก รวมถึงการมีวัฒนธรรมที่หลากหลาย เป็นประเทศที่เปิดกว้างให้กับนักศึกษาจากต่างประเทศเป็นอย่างมาก นักศึกษาที่จบจากประเทศสิงคโปร์เป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานสูงมาก จากมหาวิทยาลัยที่ได้มาตรฐานติดอันดับโลกอย่าง National University of Singapore (NUS) โดยติดอยู่ในอันดับที่ 24 ของโลก หากใครที่สนใจศึกษาต่อต่างประเทศแต่ไม่อยากไปไกลบ้านด้วยคุณสมบัติคุ้มค่าในอันดับโลกแต่ค่าเล่าเรียนกลับไม่แพงอย่างที่คิด ต้องไปที่นี่เลย สิงคโปร์!!!
       
       อันดับ 4 ซิดนีย์ (Sydney) ประเทศออสเตรเลีย

       ประเทศออสเตรเลียตอกย้ำถึงความเป็นประเทศยอดฮิตที่คนนิยมไปเรียนต่อมากที่สุด ด้วยการคว้า 2 อันดับ จาก top 10 คือ เมืองซิดนีย์และเมลเบิร์น โดยซิดนีย์ได้คะแนนสูงสุดจากเกณฑ์การประเมินผลในหัวข้อคุณภาพชีวิต ตามมาด้วยความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา และความต้องการของผู้ประกอบการ คะแนนอยู่ในเกณฑ์ดี เพราะประเทศออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีคนนิยมเรียนต่อมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากอเมริกาและอังกฤษ แต่มีค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง แต่ก็ยังเป็นที่นิยมสำหรับคนที่คิดจะเรียนต่อ โดยมีมหาวิทยาลัยชั้นนำอย่าง University of Sydney ติดอยู่ในอันดับที่ 38 ของโลก
       
       อันดับ 5 เมลเบิร์น (Melbourne) ประเทศออสเตรเลีย

       อีกหนึ่งเมืองจากประเทศออสเตรเลีย ที่สามารถทำคะแนนได้สูงติดอันดับ Top 10 คือ เมืองเมลเบิร์น เมืองหลวงเก่าของประเทศออสเตรเลีย ที่นอกจากจะเป็นเมืองแห่งการศึกษาแล้ว ยังเป็นเมืองแห่งศิลปะอีกด้วย ทิวทัศน์รอบๆ เมืองที่สวยงามอากาศดี มีชายหาดมากมาย และแหล่งบันเทิงยามค่ำคืน ที่คอยต้อนรับนักท่องเที่ยวมาเยี่ยมเยียน เมืองเมลเบิร์นเกือบมีคะแนนสูงเทียบเท่ากับซิดนีย์ แต่มาได้คะแนนในด้านคุณภาพชีวิตน้อยกว่าเพียงเล็กน้อย แต่ก็ยังได้สูงกว่าบรรดาเมืองชิคๆ อย่างปารีส และลอนดอน รวมทั้งยังมีมหาวิทยาลัยที่ติดอยู่ในอันดับที่ 31 ของโลก อย่าง University of Melbourne และเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดเป็นอันดับสองของออสเตรเลีย
       
       อันดับ 6 ซูริค (Zurich) ประเทศสวิตเซอร์แลนด์

       ซูริค เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นำมาด้วยคะแนนจากคุณภาพชีวิตที่ดีสูงลิ่ว อันเนื่องมาจากการวางรากฐานของเมืองที่ดี ทำให้อัตราการเกิดอาชญากรรมในเมืองนี้น้อยมาก อีกทั้งยังมีแหล่งท่องเที่ยวที่สวยงามมากที่สุดในโลกแห่งหนึ่ง มีแม่น้ำ Limmat ไหลผ่านใจกลางเมือง โรแมนติกอย่าบอกใคร ส่วนในด้านการศึกษาซูริคถือเป็นเมืองที่มีค่าเล่าเรียนค่อนข้างถูก คุ้มค่าต่อการเดินทางมาศึกษาต่อ มหาวิทยาลัยที่ขึ้นชื่อของเมืองนี้ก็คือ สถาบันเทคโนโลยีสวิส ซูริค (ETH Zurich) ติดอันดับที่ 12 ของโลก เป็นมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับสูงสุดที่นอกเหนือจากมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ และอเมริกา
       
       อันดับ 7 ฮ่องกง (Hong Kong) เขตการปกครองพิเศษฮ่องกง

       เมืองที่ดีที่สุดสำหรับการศึกษาเป็นอันดับ 2 ของเอเชีย 'ฮ่องกง' ติดอยู่ในอันที่ 7 เพิ่มขึ้นจากการจัดอันดับครั้งที่ผ่านมาค่อนข้างเยอะเลยทีเดียว แม้ว่าฮ่องกงจะมีมหาวิทยาลัยของรัฐเพียง 7 แห่ง แต่มีมหาวิทยาลัยถึง 3 แห่งด้วยกันที่ติดอันดับ 40 มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก อย่าง The University of Hong Kong (HKU) ติดอยู่ในอันดับที่ 26 ของโลกจากโผการจัดอันดับของ QS World University เป็นต้น แม้ว่าจะเป็นเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในโลก แต่กลับมีคะแนนในด้านค่าครองชีพถือว่าค่อนข้างถูกมากเมื่อเทียบกับเมืองต่างๆ ที่ติดอันดับโลก แถมยังเป็นประเทศที่อยู่ใกล้กับประเทศไทย มีวัฒนธรรมที่ผสมผสานกันระหว่างเอเชียกับตะวันตก ทำให้นักศึกษาที่เดินทางไปศึกษาต่อยังประเทศฮ่องกงสามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดี
       
       อันดับ 8 บอสตัน (Boston) ประเทศสหรัฐอเมริกา

       แม้ว่าในปีนี้บอสตันจะลงมาจากอันดับ 3 เมืองที่น่าอยู่ที่สุดในโลกมาอยู่ที่ 8 แต่ก็ยังเป็นเมืองที่ผู้คนทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี ทั้งเรื่องราวทางประวัติศาสตร์และเป็นแหล่งรวมศิลปวัฒนธรรม จนได้ชื่อว่าเป็นศูนย์กลางการศึกษาที่สำคัญแห่งหนึ่งของอเมริกา มีแหล่งการศึกษาที่สำคัญทั้งหมด 8 แห่งด้วยกัน แต่ที่โดดเด่นที่สุดคือ Massachusetts Institute of Technology (MIT) และ Harvard University มหาวิทยาลัยเก่าแก่ของอเมริกา ได้ครองอันดับ 2 ของโลกจากการจัดอันดับมหาวิทยาลัยโลกจาก QS World University Rankings จนทำให้มีนักศึกษามากมายใฝ่ฝันที่จะมาเรียนต่อที่นี่ จนได้คะแนนจากความต้องการของผู้ประกอบการที่ค่อนข้างสูงเลยทีเดียว เพราะใครๆ ต่างก็อยากร่วมงานกับนักศึกษาจากบอสตันด้วยกันทั้งนั้น
       
       อันดับ 9 มอนทรีออล (Montréal) ประเทศแคนาดา

       มอนทรีออล ไต่อันดับขึ้นมาจนติด 1 ใน 10 ของเมืองที่น่าไปศึกษาต่อที่สุดในโลก ซึ่งเมืองแห่งนี้เองมีมหาวิทยาลัยที่ติดอันดับโลกด้วยกัน 3 แห่ง โดยมี McGill University อยู่ในอันดับที่ 21 ของมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก มอนทรีออล มีคะแนนที่โดดเด่นเลยคือในเรื่องของความหลากหลายทางเชื้อชาติของนักศึกษา และยังเป็นเมืองที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมสูง ประชากรสามารถพูดได้หลายภาษา ทำให้มอนทรีออลได้คะแนนนำโด่งมาในด้านของการมีนักศึกษาหลายเชื้อชาติ อีกทั้งยังเป็นเมืองที่มีการจัดกิจกรรมต่างๆ อยู่เป็นประจำ เช่น Montreal International Jazz Festival งานศิลปวัฒนธรรมด้านดนตรี หรือ Just for Laughs เทศกาลตลกที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นต้น
       
       อันดับ 10 มิวนิก (Munich) ประเทศเยอรมนี

       ก้าวกระโดดขึ้นมาอีก 3 ขั้นในปีนี้ทำให้ “มิวนิก” เมืองหลวงของรัฐบาเยิร์นทางตอนใต้ของเยอรมนี ติดอยู่ใน Top 10 เมืองที่น่าไปเรียนต่อมากที่สุดในโลก ที่นอกจากจะเป็นเมืองที่ขึ้นชื่อในเรื่องเบียร์ และทีมฟุตบอลแล้ว ในด้านของการศึกษาเมืองมิวนิกก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน เพราะมีมหาวิทยาลัยชื่อดังชั้นนำของยุโรปตั้งอยู่ที่เมืองแห่งนี้ด้วย คือ Technische UniversitätMünchen มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศเยอรมนี และติดอันดับมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดของโลกอยู่ในอันดับที่ 53 นอกจากนั้นคะแนนที่ทำให้มิวนิกติดอันดับขึ้นมาเป็น 1 ใน 10 ของปีนี้ ได้แก่คะแนนในด้านการมีคุณภาพชีวิตที่ดี และในเรื่องของค่าครองชีพที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งค่าเทอมก็ไม่แพงอย่างที่คิด เป็นอีกหนึ่งเมืองที่นักเรียนนักศึกษาควรเก็บไว้พิจารณา
       
       ที่มา : http://www.topuniversities.com/university-rankings-articles/qs-best-student-cities/top-10-student-cities-2014

ASTVผู้จัดการออนไลน์    26 พฤษภาคม 2557