ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 13-19 มี.ค.2559  (อ่าน 715 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9782
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 13-19 มี.ค.2559
« เมื่อ: 19 มิถุนายน 2016, 21:24:41 »
1. “บิ๊กต๊อก” สุดทน หลังดีเอสไอเจอทนายเล่นแง่ ไม่ให้สอบ “สมเด็จช่วง” จ่อออกหมายเรียก-หมายจับ หรือสรุปสำนวนโดยไม่ต้องสอบอีก!


        ความคืบหน้ากรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มีกำหนดเข้าสอบปากคำสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กรณีครอบครองรถหรูโบราณผิดกฎหมาย ในวันที่ 16 มี.ค.เวลา 20.00 น. ซึ่งวันและเวลาดังกล่าวกำหนดโดยทางสมเด็จช่วง และทีมทนายความที่อ้างว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีกิจนิมนต์ และไม่ต้องการนัดเวลากลางวัน เพราะเกรงจะมีกลุ่มบุคคลมารวมตัวกัน อาจเกิดความวุ่นวายได้
       
        ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 15 มี.ค. พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งได้รับมอบหมายจากอธิบดีดีเอสไอให้เป็นผู้นำคณะเข้าสอบปากคำสมเด็จช่วง เผยว่า พนักงานสอบสวนได้เตรียมข้อมูลการสอบสวนสมเด็จช่วงเรียบร้อยแล้ว และว่า การสอบปากคำครั้งนี้ สมเด็จช่วงจะต้องให้ปากคำด้วยตนเองกับพนักงานสอบสวน ไม่สามารถให้ทนายความหรือผู้อื่นเข้าร่วมรับฟังการสอบสวนด้วย โดยดีเอสไอได้จัดชุดเข้าสอบปากคำ 7 คน ประกอบด้วย อัยการจากสำนักการสอบสวน 2 คน พนักงานสอบสวนดีเอสไอ 5 คน คาดว่าจะใช้เวลาสอบปากคำไม่เกิน 1 ชั่วโมง
       
        ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนด(16 มี.ค.) นายสมศักดิ์ โตรักษา หัวหน้าทีมกฎหมายวัดปากน้ำฯ ให้สัมภาษณ์ในเวลา 17.30 น.ว่า สมเด็จช่วงจะลงมาพูดคุยกับดีเอสไอด้วยตัวเอง แต่จะเป็นการหารือเพื่อกำหนดกรอบในการสอบปากคำว่าเกี่ยวข้องกับความผิดในการจัดซื้อรถยนต์จดประกอบในขั้นตอนใดบ้าง จะยังไม่อนุญาตให้ดีเอสไอสอบปากคำสมเด็จช่วงตามที่ร้องขอ หากดีเอสไอต้องการให้เกิดความรวดเร็วในการสอบสวนต้องทำหนังสือถึงสมเด็จช่วงว่าจะมาสอบปากคำอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
       
        ต่อมา เวลา 19.30 น. พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ พร้อมทีมสอบสวนได้เดินทางโดยรถตู้มาถึงวัดปากน้ำฯ และเข้าพบสมเด็จช่วงทันที ขณะที่ทางวัดได้กันพื้นที่ให้สื่อมวลชนรออยู่ด้านนอก
       
        หลังการพูดคุยเสร็จสิ้นโดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง นายสมศักดิ์ โตรักษา หัวหน้าทีมกฎหมายวัดปากน้ำ ได้เปิดแถลง ซึ่งดีเอสไอไม่ได้ร่วมแถลงด้วย โดยนายสมศักดิ์กล่าวว่า วันนี้(16 มี.ค.) เป็นวันแรกที่พนักงานสอบสวนของดีเอสไอเข้าพบสมเด็จช่วงเพื่อให้ถ้อยคำในฐานะพยาน โดยได้หารือในการกำหนดกรอบประเด็นคำถามที่ทางดีเอสไอจะสอบปากคำ ซึ่งดีเอสไอจะตั้งคำถามเป็นรายประเด็นไป โดยประเด็นคำถามหลักจะเน้นไปที่เช็คและเงินบริจาคเป็นหลัก ซึ่งประเด็นนี้สมเด็จช่วงสามารถชี้แจงได้หมด นอกจากนี้จะมีประเด็นการลงนามทะเบียนรถ เอกสาร หลักฐานเกี่ยวกับตัวรถ และการจดประกอบ อุปกรณ์การจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งการจัดซื้อจัดจ้างสมเด็จช่วงอาจจะทราบหรือไม่ทราบในรายละเอียด โดยดีเอสไอจะต้องกำหนดประเด็นคำถามที่สมเด็จช่วงสามารถชี้แจงและให้คำตอบได้ และว่า สมเด็จช่วงจะตอบข้อซักถามเป็นลายลักษณ์อักษร ทางดีเอสไอส่งเอกสารประเด็นสอบมาถึงวัดเมื่อไหร่ ทางวัดจะตอบข้อซักถามชี้แจงกลับไปภายใน 1 อาทิตย์
       
        ด้าน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเดินทางเข้าพบสมเด็จช่วง เพื่อสอบปากคำกรณีครอบครองรถเบนซ์โบราณ แต่ทีมกฎหมายของวัดไม่อนุญาตให้สอบปากคำและให้เจ้าหน้าที่กลับไปตั้งประเด็นคำถามอีกครั้งว่า ดีเอสไอส่งหนังสือเพื่อนัดสอบปากคำตามกำหนดก่อนหน้านี้ แต่เมื่อถึงวันนัดหมายกลับให้มีการส่งประเด็นคำถามกลับไป ซึ่งไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่มีหลักกฎหมายใดบอกให้ทำแบบนั้นได้ ถ้าไม่ให้ปากคำก็จบ จากนี้ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ทำตามกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบเหมือนคดีอื่นๆ ถ้าจำเป็นต้องออกหมายเรียก ให้ออกหมายเรียกได้ หากออกหมายเรียกมาสอบปากคำแล้วไม่มา ขั้นต่อไปจะต้องออกหมายจับ
       
        พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ก่อนเดินทางไปวัดปากน้ำฯ ตนกำชับดีเอสไอต้องให้เกียรติพระผู้ใหญ่ พร้อมนำดอกไม้ธูปเทียนแพไปเคารพ โดยมี พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นตัวแทนในนามผู้ใหญ่ของดีเอสไอ พาคณะพนักงานสอบสวนเข้าพบท่าน แต่เมื่อไม่ให้ความร่วมมือก็จบ หากพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานสรุปสำนวนส่ง แล้วจะบอกว่าไม่ให้ความเป็นธรรมไม่ได้ เพราะให้เกียรติและทำตามทุกขั้นตอนแล้ว และว่า ได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อวันที่ 16 มี.ค. ซึ่งบางเรื่องถ้าคนภายนอกทราบอาจมองว่ามากเกินไป “ได้รับรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเมื่อวาน(16 มี.ค.) แล้ว บางเรื่องดูมากเกินไป เช่น สั่งให้พนักงานสอบสวนเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ข้างนอกห้อง แต่ไม่เป็นไรผมรับได้ ไม่มีปัญหา รวมไปถึงเงื่อนไขต่างๆ ที่ต่อรองมายังพนักงานสอบสวน ต่อมา(ทีมกฎหมายของวัด) ก็ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมว่าคุณควรหยุดได้แล้ว เพราะหลังจากนี้ผมสั่งการให้อธิบดีดำเนินการตามกฎหมาย”
       
        ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอดำเนินการตามนโยบายของ พล.อ.ไพบูลย์ พร้อมคาดว่า การสอบปากคำพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ และเลขานุการสมเด็จช่วง ซึ่งเป็นผู้ถวายรถดังกล่าว ในวันที่ 21 มี.ค.นี้ คงไม่เหมือนกรณีสมเด็จช่วง
       
       2. เปิดข้อเสนอ คสช.ให้มี 250 ส.ว.สรรหาช่วงเปลี่ยนผ่าน-เลือกตั้ง ส.ส.ใช้บัตร 2 ใบ-พรรคไม่ต้องเสนอชื่อนายกฯ ด้าน กรธ.เตรียมเคาะ 21 มี.ค.!


        ความคืบหน้าเกี่ยวกับการพิจารณาปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) เพื่อให้ได้ร่างรัฐธรรมนูญร่างสุดท้ายในวันที่ 29 มี.ค.หลังจากสัปดาห์ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้ประชุมแม่น้ำ 4 สาย(ครม.-คสช.-สนช.-สปท.) ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่า ที่ประชุมมีการหารือถึงแนวคิดให้มี ส.ว.สรรหา ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งก่อนหน้านี้ มีข่าวว่ารัฐบาลต้องการเสนอให้กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่ กรธ.กำลังร่าง เพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ขณะที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ยังไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการมี ส.ว.สรรหา โดยบอกว่า รอให้รัฐบาลส่งข้อเสนอที่เป็นลายลักษณ์อักษรมาให้ก่อน
       
       ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 มี.ค. นายมีชัย เผยก่อนประชุม กรธ.ว่า ได้รับหนังสือเกี่ยวกับความเห็นการปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญจาก คสช.แล้ว ลงนามโดย พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. ทั้งนี้ นายมีชัยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด เพียงแต่บอกว่า เป็นรายละเอียดจากการประชุมร่วมกันของแม่น้ำ 4 สาย และว่า ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับ โดยจะให้โฆษก กรธ.เป็นผู้เปิดเผย
       
       อย่างไรก็ตาม หลังประชุม นายอุดม รัฐอมฤต โฆษก กรธ.แถลงว่า ที่ประชุม กรธ.ขอเวลาพิจารณาและศึกษารายละเอียดข้อเสนอของ คสช.ที่ส่งมา ส่วนสาระสำคัญของข้อเสนอนั้น ได้รับการประสานจากรัฐบาลว่า จะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม ครม.วันที่ 15 มี.ค. จึงจะถือโอกาสแถลงชี้แจงเอง
       
       ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ แถลงหลังประชุม ครม.วันที่ 15 มี.ค.โดยยืนยันว่า ข้อเสนอที่ส่งให้ กรธ.เป็นข้อเสนอร่วมกันของแม่น้ำ 4 สาย ไม่ใช่ตนคนเดียว และเชื่อว่า กรธ.จะทำตาม ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่มี 16 ประเด็นที่ ครม.และ คสช.เคยเสนอไป จะทำอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ถ้า กรธ.ไม่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เดี๋ยวผมเขียนไปใหม่ ทำจนกว่าจะพิจารณา”
       
       ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เกรงว่าคำให้สัมภาษณ์ที่ออกไป จะทำให้สื่อเข้าใจผิดว่าต้องการกดดัน กรธ.หรือมีความขัดแย้งกับ กรธ. จึงได้ให้ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าชี้แจงเคลียร์ใจกับนายมีชัย ประธาน กรธ. ซึ่งนายมีชัยได้ฝากบอกนายกฯ ว่า อย่ากังวล กรธ.ทุกคนเข้าใจดี
       
       ต่อมา มีรายงานว่า กรธ.ได้เผยแพร่เอกสารข้อเสนอของ คสช.เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงบทเฉพาะกาลในร่างรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เริ่มจัดระเบียบทางการเมืองใหม่ คสช.เห็นว่า ควรเขียนรัฐธรรมนูญในบทเฉพาะกาลให้มี ส.ว.ชุดแรกมาจากการสรรหา ให้มีจำนวนกึ่งหนึ่งของ ส.ส.คือ 250 คน เพื่อใช้อำนาจร่วมกับ ส.ส.500 คนอย่างเหมาะสม โดย ส.ว.สรรหา มาจากคณะกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลาง 8-10 คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และควรเปิดให้แต่งตั้งข้าราชการที่ไม่ใช่สมาชิก คสช.เข้าดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 6 คน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และว่า ส.ว.สรรหาไม่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี แต่มีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ
       
       นอกจากนี้ข้อเสนอ คสช.ยังขอให้กำหนดวิธีการเลือกตั้ง ส.ส.โดยใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบแรกเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต 350 คน และให้ใช้เขตเลือกตั้งใหญ่ขึ้น มี ส.ส.ไม่เกิน 3 คน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิเลือกได้เพียง 1 คน แล้วนับคะแนนเรียงลำดับลดหลั่นจนได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ใบที่ 2 เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน นอกจากนี้ยังไม่เห็นด้วยที่กำหนดให้พรรคการเมืองต้องเสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรี 3 ชื่อ ก่อนการเลือกตั้ง เพราะอาจไม่เหมาะสมและอ่อนไหวต่อระยะเปลี่ยนผ่าน ทั้งนี้ คสช.ยืนยันว่า อย่าได้หวาดระแวงว่าจะมีการสืบทอดอำนาจ เพราะ คสช.ยินดีพ้นจากตำแหน่งและยุติอำนาจหน้าที่ตามกำหนดเวลาในโรดแมป และในร่างรัฐธรรมนูญ และจะไม่ก้าวก่ายแทรกแซงการจัดการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
       
       ทั้งนี้ ระหว่างที่ยังไม่ชัดเจนว่า กรธ.จะปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของ คสช.หรือไม่ มีข่าวลือว่า นายมีชัย ในฐานะประธาน กรธ.จะลาออก ซึ่งนายมีชัย ได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่จริง จะทำแบบนั้นได้อย่างไร ไม่ใช่ของเล่นเด็ก และว่า หากมีสิ่งใดสามารถพูดจากันได้ ทำได้หรือทำไม่ได้แค่ไหน ก็พูดกันได้ นายมีชัย เผยด้วยว่า เรื่องข้อเสนอของ คสช.ที่ส่งมาให้ กรธ.นั้น น่าจะได้ข้อยุติในการประชุม กรธ.วันที่ 21 มี.ค.นี้ และเมื่อข้อสรุปออกมาอย่างไร จะให้โฆษก กรธ.แถลงให้ทราบ
       
       3. สลด ครั้งแรกของไทย สารดับไฟ “ไพโรเจน” คร่าชีวิตผู้รับเหมาปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยแบงก์ไทยพาณิชย์ 8 ศพ เจ็บอีก 8 !

        เมื่อคืนวันที่ 13 มี.ค. เวลาประมาณ 21.30 น. ตำรวจได้รับแจ้งเหตุระเบิดและมีสารเคมีรั่วไหลที่ชั้นใต้ดิน ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ หรือ SCB Park ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากผู้รับเหมาเข้าไปปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยของอาคารเพิ่มเติม และคาดว่า อาจเกิดประกายไฟ หรือฝุ่นละอองจากการเจาะผนัง ทำให้ไปกระตุ้นให้สารดับเพลิงหรือสารไพโรเจนทำงานอัตโนมัติ ซึ่งหลักการทำงานของสารไพโรเจนในการดับเพลิง คือจะทำให้ออกซิเจนในบริเวณดังกล่าวหมดไป หากมีคนอยู่บริเวณดังกล่าว และหนีออกมาไม่ทัน จะทำให้ขาดอากาศหายใจ และเสียชีวิตได้ ส่งผลให้ผู้รับเหมาที่เข้าไปปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยดังกล่าวเสียชีวิต 8 คน และบาดเจ็บอีก 8 คน
       
        ด้านนายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารและกรรมการกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดเพลิงไหม้ และไม่มีการระเบิด แต่มีผู้รับเหมาเข้าไปทำงานในห้องดังกล่าว ทำให้เกิดการกระตุ้นให้ระบบป้องกันไฟไหม้ของธนาคารภายในชั้นใต้ดิน ซึ่งได้ติดตั้งระบบป้องกันไฟเพิ่มขึ้น จากระบบน้ำเป็นระบบก๊าซ โดยใช้สารไพโรเจน ทำงานผิดปกติ ซึ่งหากใช้ระบบน้ำป้องกันเพลิงไหม้ จะเป็นการทำลายเอกสาร และว่า ตนขอแสดงความเสียใจที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนเอกสารสำคัญภายในห้องดังกล่าว ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
       
        ขณะที่นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบดับเพลิงจากระบบไพโรเจน เป็นระบบไนโตรเจน ซึ่งเป็นระบบที่ดีที่สุด ปลอดภัยมากกว่าไพโรเจน เมื่อเกิดกลุ่มควันจะทำการดับไฟโดยไม่มีการปล่อยสารเคมี นายญนน์ ยืนยันด้วยว่า ขณะเกิดเหตุไม่ได้เกิดประกายไฟใดๆ และมีสัญญาณเตือนภัยดังแล้ว แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดออกมา กระทั่งมีโฟร์แมนของธนาคารเข้าไปช่วยเหลือ
       
        ด้าน พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เผยผลชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ว่า ทั้ง 8 รายเสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน โดยเบื้องต้นแพทย์ลงความเห็นว่าสมองขาดอากาศ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ต้องรอผลตรวจอีกครั้ง และว่า ฤทธิ์ของสารไพโรเจนนั้น เบื้องต้นไม่ได้เป็นพิษร้ายแรง แต่ทำให้ออกซิเจนบริเวณใกล้เคียงน้อยลง ซึ่งคนสามารถอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้ไม่เกิน 15 นาที ก่อนสมองจะขาดอากาศ
       
       มีรายงานว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบตู้เชื่อมไฟฟ้านำมาเพื่อเชื่อมเปลี่ยนท่อจากท่อเก่าเป็นท่อใหม่ เนื่องจากทางผู้ว่าจ้างต้องการติดตั้งระบบใหม่ อีกทั้งในวันเกิดเหตุ มีการขุดเจาะ และมีประกายไฟขึ้นเล็กน้อย จึงอาจเป็นสาเหตุให้ระบบป้องกันอัคคีภัยโดยสารไพโรเจนทำงาน ซึ่งขณะเกิดเหตุ ผู้ที่ติดอยู่ภายในห้องดังกล่าวได้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือเพื่อนที่ทำงานอยู่ชั้น 23 แต่เนื่องจากประตูมีความแน่นหนามาก จึงไม่สามารถพังเข้าไปได้ โดยห้องที่เกิดเหตุ มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า “ห้องซองดำ” เป็นห้องที่เก็บเอกสารสำคัญของลูกค้า เช่น โฉนดต่างๆ
       
        ส่วนในแง่คดีความนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้บริหารบริษัท เมก้า แพลนเน็ต จำกัด ซึ่งรับปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยให้ธนาคารไทยพาณิชย์ 2 คน คือ นายอดิศร โฟดา กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม และนายณพงษ์ สุขสงวน กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท เมก้า แพลนเน็ต ข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งต้องระวางโทษจำคุก 10 ปี ปรับ 20,000 บาท อย่างไรก็ตาม ทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อมา ตำรวจได้นำตัวทั้งสองไปขอศาลฝากขังเมื่อวันที่ 15 มี.ค. พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และเกรงว่าผู้ต้องหาทั้งสองจะหลบหนี แต่ศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท
       
       ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นายณพงษ์ และนายอดิศร ผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้เปิดแถลงข่าว โดยนายณพงษ์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุตนอยู่ต่างประเทศ เมื่อทราบเหตุ จึงรีบเดินทางกลับมา พร้อมยืนยันจะให้ความช่วยเหลือผู้เสียชีวิตทั้ง 8 รายๆ ละ 150,000 บาท ส่วนผู้บาดเจ็บ จะให้เงินช่วยเหลือรายละ 50,000 บาท และว่า บริษัทไม่ได้กระทำผิดใดๆ เพราะบริษัทได้รับสัญญาว่าจ้างจากเจ้าของอาคาร SCB Park ให้เข้าปรับปรุงติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัยระบบใหม่ คือไนโตรเจน จากของเดิมคือก๊าซไพโรเจน ที่ติดตั้งไว้แล้วโดยบริษัทอื่น พร้อมย้ำว่า วันเกิดเหตุ ไม่มีพนักงานของบริษัทตนเข้าไปเชื่อมเหล็กภายในอาคารแต่อย่างใด
       
       ด้านนายเนทิษฐ์ ประเสริฐวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 จตุจักร กระทรวงแรงงาน เผยหลังเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของบริษัท เมก้า แพลนเน็ต เข้าให้ข้อมูลระบบป้องกันอัคคีภัยอาคาร SCB Park เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ว่า เจ้าหน้าที่ดังกล่าวยืนยันว่า ทางบริษัทฯ มีแผนปฏิบัติงานเพื่อความปลอดภัยทุกขั้นตอน แต่ยอมรับว่า วันเกิดเหตุ ทางบริษัทฯ ได้ส่งคนงานชุดใหม่เข้าไปทำงานเพิ่มจำนวน 9 คน โดยที่คนงานใหม่นี้ยังไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยหรือป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงาน
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากผู้ต้องหาสองรายที่เป็นผู้บริหารบริษัท เมก้า แพลนเน็ต แล้ว ตำรวจยังได้ขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 5 ราย ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับแล้วเมื่อวันที่ 18 มี.ค. ประกอบด้วย นายจิระวัฒน์ เปรมปรีด์ วิศวกรโครงการปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัย ของบริษัทเมก้า แพลนเน็ต, นายสมคิด ตันงาม กรรมการบริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ ประเทศไทย (จำกัด), นายสมคิด จันทร์หอม หัวหน้าช่างบริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ฯ, นายตรีภพ ยังประเสริฐกุล ผู้จัดการดูแลอาคาร บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ฯ และ น.ส.ขจรจิตร พรหมดีราช พนักงานบริษัท เอบิท มัลติซิสเต็ม จำกัด ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต
       
        ทั้งนี้ มีรายงานว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากจากสารไพโรเจนในประเทศไทย ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.จึงได้สั่งการให้สำนักการโยธา ตรวจสอบจำนวนอาคารที่ติดตั้งระบบไพโรเจน และเตรียมเรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งวิชาชีพวิศวกรและเจ้าของอาคารใน กทม.มาหารือเกี่ยวกับข้อกฎหมายและมาตรการป้องกัน เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่
       
     

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9782
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 13-19 มี.ค.2559(ต่อ)
« ตอบกลับ #1 เมื่อ: 19 มิถุนายน 2016, 21:24:55 »
 4. ทายาท “เลนโซ่กรุ๊ป” ซิ่งเบนซ์ชนฟอร์ด ไฟลุกท่วม 2 นศ.ปริญญาโทดับ “ในหลวง” พระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ สังคมจับตาจะซ้ำรอย “แพรวา” หรือไม่!


        เมื่อวันที่ 13 มี.ค. ได้เกิดเหตุรถยนต์ยี่ห้อเมอร์เซเดสเบนซ์ สีดำ ทะเบียน ษง 3333 กรุงเทพมหานคร ซึ่งขับมาด้วยความเร็วสูง พุ่งชนรถฟอร์ด เฟียสต้า สีเทา ทะเบียน ฆย 6911 กรุงเทพมหานคร อย่างแรง จนเกิดเพลิงลุกไหม้ที่รถฟอร์ด เหตุเกิดบนถนนพหลโยธินขาออกช่วงหลัก กม.52-53 ใต้ต่างระดับบางปะอิน หมู่ 8 ต.เชียงรากน้อย อ.บางปะอิน จ.พระนครศรีอยุธยา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 2 รายภายในรถฟอร์ด ทราบชื่อคือ นายกฤษณะ ถาวร และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย ซึ่งทั้งสองเป็นนิสิตปริญญาโท มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ส่วนผู้ขับรถเบนซ์ ได้รับบาดเจ็บ ทราบชื่อคือ นายเจนภพ วีรพร อายุ 37 ปี ทายาทเลนโซ่กรุ๊ป
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังเกิดเหตุดังกล่าว ได้มีผู้โพสต์คลิปจากกล้องหน้ารถขึ้นเฟซบุ๊ก ซึ่งคลิปบันทึกเหตุการณ์รถเบนซ์ชนฟอร์ดอย่างชัดเจน โดยเริ่มจากรถฟอร์ดขับช้าอยู่เลนซ้ายสุด สักพัก รถเบนซ์วิ่งมาด้วยความเร็วสูงพุ่งชนท้ายรถฟอร์ดอย่างแรงจนรถเบนซ์พลิกคว่ำ ส่วนรถฟอร์ดเกิดไฟลุกท่วม
       
        อย่างไรก็ตาม แม้จะมีคลิปบันทึกเหตุการณ์ดังกล่าวเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียอย่างกว้างขวาง แต่ในทางคดีกลับเป็นไปอย่างเชื่องช้า ไม่มีความคืบหน้าในการเอาผิดคนขับรถเบนซ์ จนหลายฝายเกรงว่าเหตุการณ์จะซ้ำรอยกรณี “แพรวา” ทายาทไฮโซ ซิ่งซีวิคชนรถตู้บนทางด่วน จนมีผู้เสียชีวิต 9 ศพหรือไม่
       
        หลังถูกสังคมตั้งคำถาม เมื่อวันที่ 17 มี.ค. พ.ต.ท.สมศักดิ์ พลพันขาง รอง ผกก.สอบสวน สภ.พระอินทร์ราชา จ.พระนครศรีอยุธยา ได้เข้าแจ้งข้อกล่าวหานายเจนภพ ฐานขับรถโดยประมาท ทำให้ทรัพย์สินผู้อื่นเสียหาย และเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย พร้อมเผยเหตุที่สอบปากคำนายเจนภพล่าช้าว่า เนื่องจากวันแรกนายเจนภพยังอยู่ในห้องไอซียู ไม่สามารถสอบปากคำได้ ผู้สื่อข่าวถามว่า สังคมสงสัยกรณีที่ไม่มีการตรวจวัดแอลกอฮอล์นายเจนภพ พ.ต.ท.สมศักดิ์ ชี้แจงว่า เนื่องจากขณะนั้นนายเจนภพมีอาการบาดเจ็บ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบไม่พบว่ามีอาการมึนเมาหรือมีกลิ่นสุรา
       
        ขณะที่ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ สุขสวัสดิ์ ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา ชี้แจงกรณีที่ตำรวจไม่ได้ตรวจวัดหาสารเสพติดและปริมาณแอลกอฮอล์นายเจนภพว่า เมื่อนำนายเจนภพส่งโรงพยาบาลบางปะอิน ทางญาติได้มาติดต่อขอเคลื่อนย้ายไปยังโรงพยาบาลสมิติเวช ทันที จึงไม่ได้มีการตรวจวัด และนายเจนภพเพิ่งออกจากห้องไอซียู เนื่องจากบาดเจ็บที่ศีรษะ ขาหัก เอ็นหัวเข่าขวาฉีก จึงเพิ่งจะสอบปากคำได้ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ ยังกล่าวถึงเรื่องกล้องหน้ารถรถเบนซ์ด้วยว่า ตำรวจไม่นำมาใช้เป็นพยานหลักฐาน เพราะไม่ใช่กล้อง แต่เป็นตัวเซ็นเซอร์จับปริมาณน้ำฝน เพื่อให้ที่ปัดน้ำฝนทำงาน ส่วนไมล์ความเร็วรถเบนซ์ นั้น พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุ รถเบนซ์พลิกคว่ำหงายท้อง รถยกที่มาเคลื่อนย้ายรถออกจากจุดเกิดเหตุ ได้ทำการถอดแบตเตอรี่ออก ทำให้ไมล์กลับมาที่ตำแหน่งเดิม ซึ่งจะได้ทำหนังสือถึงศูนย์รถเบนซ์เพื่อตรวจสอบจากกล่องควบคุมเพื่อหาความเร็ว
       
       ด้านเพจดัง “CSI LA” ออกมาให้ข้อมูลและตั้งข้อสงสัย โดยอ้างคำพูดของพนักงานประกันภัยบริษัทหนึ่งว่า รถทะเบียน ษง 3333 เคยมีประวัติการชนมาทั้งหมด 5 ครั้ง แต่ 4 ครั้งเเรกเป็นชื่อของคนอื่น อีกทั้งยังอ้างคำพูดของผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งว่า รถเบนซ์คันดังกล่าวไมค์ค้างอยู่ที่ 200 กม./ชม. เเสดงว่าตอนขับมาชนรถของนักศึกษาปริญญาโท รถเบนซ์ดังกล่าวต้องขับมาด้วยความเร็วเกิน 200 กม./ชม. อย่างแน่นอน เพราะรถของนักศึกษายังวิ่งอยู่ด้วยความเร็วประมาณ 80 กม./ชม. นอกจากนี้ยังมีพยานเห็นว่ารถเบนซ์คันก่อเหตุ ได้ขับเเซงซ้ายมาโดยตลอด
       
        ขณะที่นายเจษฎา วีรพร บิดาของนายเจนภพ กล่าวถึงกรณีที่ลูกชายขับรถชนรถฟอร์ด จนมีผู้เสียชีวิต 2 รายว่า ขณะเกิดเหตุ ตนอยู่ จ.ภูเก็ต จึงรีบเดินทางกลับ โดยให้เพื่อนไปพบญาติผู้เสียชีวิตก่อน ส่วนตนต้องดูแลลูกชายที่บาดเจ็บอยู่ห้องไอซียู และสั่งให้ย้ายโรงพยาบาลด่วน เพราะลูกชายเป็นคนไข้ที่โรงพยาบาลสมิติเวช และว่า ตนได้ไปร่วมงานสวดพระอภิธรรมศพผู้เสียชีวิตในคืนแรกและขอขมาญาติผู้เสียชีวิตด้วย ซึ่งส่วนตัวคิดว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะพูดเรื่องคดีความ เนื่องจากต่างฝ่ายต่างยังเสียใจอยู่ นายเจษฎา ยังพูดถึงกรณีที่มีการแชร์ข้อมูลในสื่อสังคมออนไลน์ว่า รถยนต์ที่ประสบอุบัติเหตุ ไม่ใช่รุ่นที่ลูกชายเคยใช้ โดยยืนยันว่าไม่จริง แต่ยอมรับว่า ลูกชายเคยประสบอุบัติเหตุมาแล้ว 2-3 ครั้ง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้สำหรับคนขับรถ จึงไม่อยากให้สังคมซ้ำเติม เพราะไม่เป็นผลดีกับทั้งสองฝ่าย
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังจากการทำคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจถูกสังคมเคลือบแคลง ปรากฏว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้มอบหมายให้ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ไปติดตามความคืบหน้าของคดี ซึ่งในที่สุด ได้นำไปสู่การสั่งเปลี่ยนพนักงานสอบสวนในคดีนี้ โดยให้ พ.ต.อ.สุรินทร์ ทับทันบุปผา รอง ผบก.ภ.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมด้วย พ.ต.อ.เอกราช อุ่นเจริญ ผกก.สอบสวน ภ.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มาสอบสวนทำคดีแทน
       
       ขณะที่ พล.ต.ท.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 ได้มีคำสั่งให้ พ.ต.อ.พงศ์พัฒน์ สุขสวัสดิ์ ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา และ พ.ต.ท.สมศักดิ์ พลพันขาง รอง ผกก.สอบสวน สภ.พระอินทร์ราชา ไปประจำศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 1 เป็นเวลา 15 วัน โดยขาดจากตำแหน่งเดิม และให้ พ.ต.อ.เอกราช อุ่นเจริญ ผกก.สอบสวน ภ.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ไปรักษาราชการแทน ผกก.สภ.พระอินทร์ราชา
       
        ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำตัวนายเจนภพไปขอศาลฝากขังเมื่อวันที่ 18 มี.ค. โดยผู้ต้องหาเดินทางไปศาลด้วยรถพยาบาลโรงพยาบาลสมิติเวช และนอนอยู่บนเตียงพร้อมให้น้ำเกลือ ก่อนเข็นเตียงขึ้นไปยังศาล หลังศาลอนุญาตฝากขัง ทนายความได้ยื่นหลักทรัพย์เป็นเงินสดขอประกันตัว เพื่อนำผู้ต้องหาไปรักษาตัว ซึ่งศาลอนุญาตโดยตีราคาประกัน 2 แสนบาท พร้อมสั่งห้ามออกนอกประเทศ และให้ตำรวจยึดใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ รวมทั้งต้องมารายงานตัวตามที่ศาลสั่งในช่วงเวลาของการฝากขัง 12 วัน
       
        ด้าน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รอง ผบ.ตร. เผยว่า จากการสอบถามพยาบาล รวมถึงแพทย์โรงพยาบาลบางปะอิน ที่รับตัวนายเจนภพไว้รักษาหลังเกิดเหตุ ให้การสอดคล้องกันว่า นายเจนภพไม่ยอมให้เจาะเลือดเพื่อตรวจหาแอลกอฮอล์และสารเสพติด โดยอ้างว่าจะให้เฉพาะโรงพยาบาลสมิติเวชตรวจเท่านั้น ดังนั้นจะให้พนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่ม ก่อนแจ้งข้อหานายเจนภพเพิ่มว่า ขัดคำสั่งเจ้าพนักงานหรือขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจทั้งนี้ ในทางกฎหมาย หากตำรวจขอตรวจแอลกอฮอล์ แล้วไม่ยอมให้ตรวจ กฎหมายกำหนดว่าเป็นสิทธิของเจ้าตัว แต่กฎหมายกำหนดให้ตำรวจเชื่อว่า สาเหตุที่ไม่ยอมให้ตรวจ เพราะเจ้าตัวเมาสุราจริง
       
        หลังเกิดอุบัติเหตุรถเบนซ์ซิ่งชนรถฟอร์ด จน 2 นักศึกษาปริญญาโทเสียชีวิต พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษแก่นายกฤษณะ ถาวร และ น.ส.ธันฐัภทร์ ฮ้อแสงชัย ผู้เสียชีวิตทั้งสองในวันที่ 19 มี.ค.
       
       5. 3 แนวร่วม นปช.รอด ศาลฎีกาไม่รับฎีกาอัยการโจทก์ คดียิง ฮ.ทหารระหว่างชุมนุมปี ’53!


        เมื่อวันที่ 14 มี.ค. ศาลจังหวัดพระโขนง ได้อ่านคำสั่งศาลฎีกา คดียิงเฮลิปคอปเตอร์ทหาร ที่พนักงานอัยการจังหวัดพระโขนง เป็นโจทก์ฟ้องนางนฤมล วรุณรุ่งโรจน์ อายุ 56 ปี นายสุรชัย นิลโสภา (เสียชีวิตแล้ว) และนายชาตรี ศรีจินดา อายุ 30 ปี แนวร่วมกลุ่มประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ร่วมกันเป็นจำเลยที่ 1 -3 ฐานกระทำผิด พ.ร.บ. อาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด พ.ศ.2490 มาตรา 7, 55, 72, 78 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 265, 268 โดยจำเลยที่ 2 มีความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการปลอม
       
        คดีนี้ โจทก์ฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2553 เวลากลางวัน ขณะที่เกิดการปะทะกันระหว่างกลุ่ม นปช.กับเจ้าหน้าที่รัฐ จำเลยทั้งสามได้ร่วมกันครอบครองอาวุธปืนกลเล็ก (เอเค 47) จำนวน 5 กระบอก ปืนเอ็ม 16 อีก 1 กระบอก ปืนคาร์ไบน์ จำนวน 1 กระบอก ซองกระสุนปืน 17 อัน ลูกระเบิดขว้างชนิดสังหารจำนวน 8 ลูก ระเบิดเอ็ม 79 จำนวน 4 นัด ระเบิดแก๊สน้ำตาจำนวน 3 ลูก พร้อมเครื่องกระสุนปืนจำนวนมาก ระเบิดแสวงเครื่องประกอบเอง 10 ลูก ขวดเครื่องดื่มชูกำลังบรรจุน้ำมันเบนซินประกอบเป็นระเบิดเพลิง 102 ขวด นอกจากนี้ ในวันที่ 10 เม.ย. 2553 จำเลยที่ 2 ได้ปลอมและใช้แผ่นป้ายทะเบียนรถปลอม ต่อมาเจ้าหน้าที่ติดตามจับกุมจำเลยทั้งสามได้พร้อมของกลางที่บ้านเลขที่ 231 ซอยอ่อนนุช 17 แยก 3 แขวงและเขตสวนหลวง กทม. ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธ
       
        ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 26 ส.ค. 2554 ว่า แม้เจ้าพนักงานชุดจับกุมจะพบของกลางในบ้านที่เกิดเหตุก็ตาม แต่กลับไม่มีการรายงานเรื่องการจับกุมดังกล่าวไปยังกองอำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน(ศอฉ.) อีกทั้งหมายค้นก็ไม่ได้ระบุรายละเอียดว่า ยึดสิ่งของใด และขณะตรวจค้นมีการถ่ายภาพปืนกลเล็กที่ซ่อนไว้ในถุงกอล์ฟ ที่ตรวจพบจากท่อระบายน้ำไว้กว่า 20 ภาพ แต่กลับไม่มีการส่งภาพดังกล่าวให้พนักงานสอบสวน และไม่มีถุงกอล์ฟหรือถุงดำ ซึ่งเป็นพยานหลักฐานสำคัญ จึงให้สงสัยว่าเหตุใดเจ้าหน้าที่ไม่ส่งหลักฐานดังกล่าวให้พนักงานสอบสวนใช้ประกอบคดี อันเป็นข้อพิรุธ อีกทั้งจำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธมาตลอด จึงมีเหตุสงสัยตามสมควร
       
        ส่วนที่โจทก์มีพยานอ้างว่า เห็นจำเลยทั้งสามใช้อาวุธสงครามยิงใส่เฮลิคอปเตอร์ของเจ้าหน้าที่ระหว่างการชุมนุมนั้น ศาลเห็นว่า โจทก์ไม่มีหลักฐานมาแสดงว่า จำเลยทั้งสามครอบครองอาวุธปืน พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อพิรุธสงสัยว่า จำเลยทั้งสามกระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยทั้งสาม พิพากษายกฟ้อง แต่ให้ขังจำเลยไว้ระหว่างอุทธรณ์
       
        ต่อมาศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้ยกฟ้องพวกจำเลย ด้านอัยการโจทก์ยื่นฎีกา ขอให้ศาลฎีกาพิพากษาลงโทษพวกจำเลยด้วย ด้านศาลฎีกาพิเคราะห์ฎีกาของอัยการโจทก์แล้วเห็นว่า ฎีกาโจทก์เป็นฎีกาข้อกฎหมาย ซึ่งต้องห้ามฎีกา จึงมีคำสั่งไม่รับฎีกาของโจทก์
       
        ด้านนายอาคม รัตนพจนารถ ทนายความจำเลยซึ่งเดินทางมาฟังคำสั่งศาลเพียงคนเดียว กล่าวว่า คดีนี้จบแล้ว ถือว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์ และจำเลยคงไม่ฟ้องกลับเจ้าหน้าที่รัฐ เนื่องจากมีฐานะยากจน อยากให้เรื่องยุติจบๆ กันไป

 MGR Online       19 มีนาคม 2559