1. บิ๊กต๊อก สุดทน หลังดีเอสไอเจอทนายเล่นแง่ ไม่ให้สอบ สมเด็จช่วง จ่อออกหมายเรียก-หมายจับ หรือสรุปสำนวนโดยไม่ต้องสอบอีก!
ความคืบหน้ากรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) มีกำหนดเข้าสอบปากคำสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ หรือสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำภาษีเจริญ กรณีครอบครองรถหรูโบราณผิดกฎหมาย ในวันที่ 16 มี.ค.เวลา 20.00 น. ซึ่งวันและเวลาดังกล่าวกำหนดโดยทางสมเด็จช่วง และทีมทนายความที่อ้างว่าเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีกิจนิมนต์ และไม่ต้องการนัดเวลากลางวัน เพราะเกรงจะมีกลุ่มบุคคลมารวมตัวกัน อาจเกิดความวุ่นวายได้
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 15 มี.ค. พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ ซึ่งได้รับมอบหมายจากอธิบดีดีเอสไอให้เป็นผู้นำคณะเข้าสอบปากคำสมเด็จช่วง เผยว่า พนักงานสอบสวนได้เตรียมข้อมูลการสอบสวนสมเด็จช่วงเรียบร้อยแล้ว และว่า การสอบปากคำครั้งนี้ สมเด็จช่วงจะต้องให้ปากคำด้วยตนเองกับพนักงานสอบสวน ไม่สามารถให้ทนายความหรือผู้อื่นเข้าร่วมรับฟังการสอบสวนด้วย โดยดีเอสไอได้จัดชุดเข้าสอบปากคำ 7 คน ประกอบด้วย อัยการจากสำนักการสอบสวน 2 คน พนักงานสอบสวนดีเอสไอ 5 คน คาดว่าจะใช้เวลาสอบปากคำไม่เกิน 1 ชั่วโมง
ทั้งนี้ เมื่อถึงกำหนด(16 มี.ค.) นายสมศักดิ์ โตรักษา หัวหน้าทีมกฎหมายวัดปากน้ำฯ ให้สัมภาษณ์ในเวลา 17.30 น.ว่า สมเด็จช่วงจะลงมาพูดคุยกับดีเอสไอด้วยตัวเอง แต่จะเป็นการหารือเพื่อกำหนดกรอบในการสอบปากคำว่าเกี่ยวข้องกับความผิดในการจัดซื้อรถยนต์จดประกอบในขั้นตอนใดบ้าง จะยังไม่อนุญาตให้ดีเอสไอสอบปากคำสมเด็จช่วงตามที่ร้องขอ หากดีเอสไอต้องการให้เกิดความรวดเร็วในการสอบสวนต้องทำหนังสือถึงสมเด็จช่วงว่าจะมาสอบปากคำอย่างเป็นทางการอีกครั้งหนึ่ง
ต่อมา เวลา 19.30 น. พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ พร้อมทีมสอบสวนได้เดินทางโดยรถตู้มาถึงวัดปากน้ำฯ และเข้าพบสมเด็จช่วงทันที ขณะที่ทางวัดได้กันพื้นที่ให้สื่อมวลชนรออยู่ด้านนอก
หลังการพูดคุยเสร็จสิ้นโดยใช้เวลากว่า 1 ชั่วโมง นายสมศักดิ์ โตรักษา หัวหน้าทีมกฎหมายวัดปากน้ำ ได้เปิดแถลง ซึ่งดีเอสไอไม่ได้ร่วมแถลงด้วย โดยนายสมศักดิ์กล่าวว่า วันนี้(16 มี.ค.) เป็นวันแรกที่พนักงานสอบสวนของดีเอสไอเข้าพบสมเด็จช่วงเพื่อให้ถ้อยคำในฐานะพยาน โดยได้หารือในการกำหนดกรอบประเด็นคำถามที่ทางดีเอสไอจะสอบปากคำ ซึ่งดีเอสไอจะตั้งคำถามเป็นรายประเด็นไป โดยประเด็นคำถามหลักจะเน้นไปที่เช็คและเงินบริจาคเป็นหลัก ซึ่งประเด็นนี้สมเด็จช่วงสามารถชี้แจงได้หมด นอกจากนี้จะมีประเด็นการลงนามทะเบียนรถ เอกสาร หลักฐานเกี่ยวกับตัวรถ และการจดประกอบ อุปกรณ์การจัดซื้อจัดจ้าง ซึ่งการจัดซื้อจัดจ้างสมเด็จช่วงอาจจะทราบหรือไม่ทราบในรายละเอียด โดยดีเอสไอจะต้องกำหนดประเด็นคำถามที่สมเด็จช่วงสามารถชี้แจงและให้คำตอบได้ และว่า สมเด็จช่วงจะตอบข้อซักถามเป็นลายลักษณ์อักษร ทางดีเอสไอส่งเอกสารประเด็นสอบมาถึงวัดเมื่อไหร่ ทางวัดจะตอบข้อซักถามชี้แจงกลับไปภายใน 1 อาทิตย์
ด้าน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวถึงกรณีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเดินทางเข้าพบสมเด็จช่วง เพื่อสอบปากคำกรณีครอบครองรถเบนซ์โบราณ แต่ทีมกฎหมายของวัดไม่อนุญาตให้สอบปากคำและให้เจ้าหน้าที่กลับไปตั้งประเด็นคำถามอีกครั้งว่า ดีเอสไอส่งหนังสือเพื่อนัดสอบปากคำตามกำหนดก่อนหน้านี้ แต่เมื่อถึงวันนัดหมายกลับให้มีการส่งประเด็นคำถามกลับไป ซึ่งไม่สามารถทำเช่นนั้นได้ ไม่มีหลักกฎหมายใดบอกให้ทำแบบนั้นได้ ถ้าไม่ให้ปากคำก็จบ จากนี้ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่ทำตามกฎหมายอย่างเต็มรูปแบบเหมือนคดีอื่นๆ ถ้าจำเป็นต้องออกหมายเรียก ให้ออกหมายเรียกได้ หากออกหมายเรียกมาสอบปากคำแล้วไม่มา ขั้นต่อไปจะต้องออกหมายจับ
พล.อ.ไพบูลย์ กล่าวอีกว่า ก่อนเดินทางไปวัดปากน้ำฯ ตนกำชับดีเอสไอต้องให้เกียรติพระผู้ใหญ่ พร้อมนำดอกไม้ธูปเทียนแพไปเคารพ โดยมี พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นตัวแทนในนามผู้ใหญ่ของดีเอสไอ พาคณะพนักงานสอบสวนเข้าพบท่าน แต่เมื่อไม่ให้ความร่วมมือก็จบ หากพนักงานสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานสรุปสำนวนส่ง แล้วจะบอกว่าไม่ให้ความเป็นธรรมไม่ได้ เพราะให้เกียรติและทำตามทุกขั้นตอนแล้ว และว่า ได้รับรายงานจากพนักงานสอบสวนแล้วว่า เกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อวันที่ 16 มี.ค. ซึ่งบางเรื่องถ้าคนภายนอกทราบอาจมองว่ามากเกินไป ได้รับรายงานข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเมื่อวาน(16 มี.ค.) แล้ว บางเรื่องดูมากเกินไป เช่น สั่งให้พนักงานสอบสวนเก็บโทรศัพท์มือถือไว้ข้างนอกห้อง แต่ไม่เป็นไรผมรับได้ ไม่มีปัญหา รวมไปถึงเงื่อนไขต่างๆ ที่ต่อรองมายังพนักงานสอบสวน ต่อมา(ทีมกฎหมายของวัด) ก็ออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ผมว่าคุณควรหยุดได้แล้ว เพราะหลังจากนี้ผมสั่งการให้อธิบดีดำเนินการตามกฎหมาย
ด้าน พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ดีเอสไอดำเนินการตามนโยบายของ พล.อ.ไพบูลย์ พร้อมคาดว่า การสอบปากคำพระมหาศาสนมุนี หรือหลวงพี่แป๊ะ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำฯ และเลขานุการสมเด็จช่วง ซึ่งเป็นผู้ถวายรถดังกล่าว ในวันที่ 21 มี.ค.นี้ คงไม่เหมือนกรณีสมเด็จช่วง
2. เปิดข้อเสนอ คสช.ให้มี 250 ส.ว.สรรหาช่วงเปลี่ยนผ่าน-เลือกตั้ง ส.ส.ใช้บัตร 2 ใบ-พรรคไม่ต้องเสนอชื่อนายกฯ ด้าน กรธ.เตรียมเคาะ 21 มี.ค.!
ความคืบหน้าเกี่ยวกับการพิจารณาปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) เพื่อให้ได้ร่างรัฐธรรมนูญร่างสุดท้ายในวันที่ 29 มี.ค.หลังจากสัปดาห์ก่อน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.ได้ประชุมแม่น้ำ 4 สาย(ครม.-คสช.-สนช.-สปท.) ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ยอมรับว่า ที่ประชุมมีการหารือถึงแนวคิดให้มี ส.ว.สรรหา ในช่วงเปลี่ยนผ่าน ซึ่งก่อนหน้านี้ มีข่าวว่ารัฐบาลต้องการเสนอให้กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญที่ กรธ.กำลังร่าง เพื่อป้องกันปัญหาความขัดแย้งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ขณะที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ.ยังไม่แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการมี ส.ว.สรรหา โดยบอกว่า รอให้รัฐบาลส่งข้อเสนอที่เป็นลายลักษณ์อักษรมาให้ก่อน
ปรากฏว่า เมื่อวันที่ 14 มี.ค. นายมีชัย เผยก่อนประชุม กรธ.ว่า ได้รับหนังสือเกี่ยวกับความเห็นการปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญจาก คสช.แล้ว ลงนามโดย พล.อ.ธีรชัย นาควานิช ผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการ คสช. ทั้งนี้ นายมีชัยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียด เพียงแต่บอกว่า เป็นรายละเอียดจากการประชุมร่วมกันของแม่น้ำ 4 สาย และว่า ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับ โดยจะให้โฆษก กรธ.เป็นผู้เปิดเผย
อย่างไรก็ตาม หลังประชุม นายอุดม รัฐอมฤต โฆษก กรธ.แถลงว่า ที่ประชุม กรธ.ขอเวลาพิจารณาและศึกษารายละเอียดข้อเสนอของ คสช.ที่ส่งมา ส่วนสาระสำคัญของข้อเสนอนั้น ได้รับการประสานจากรัฐบาลว่า จะมีการนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุม ครม.วันที่ 15 มี.ค. จึงจะถือโอกาสแถลงชี้แจงเอง
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ แถลงหลังประชุม ครม.วันที่ 15 มี.ค.โดยยืนยันว่า ข้อเสนอที่ส่งให้ กรธ.เป็นข้อเสนอร่วมกันของแม่น้ำ 4 สาย ไม่ใช่ตนคนเดียว และเชื่อว่า กรธ.จะทำตาม ผู้สื่อข่าวถามว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่มี 16 ประเด็นที่ ครม.และ คสช.เคยเสนอไป จะทำอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ถ้า กรธ.ไม่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ เดี๋ยวผมเขียนไปใหม่ ทำจนกว่าจะพิจารณา
ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เกรงว่าคำให้สัมภาษณ์ที่ออกไป จะทำให้สื่อเข้าใจผิดว่าต้องการกดดัน กรธ.หรือมีความขัดแย้งกับ กรธ. จึงได้ให้ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เข้าชี้แจงเคลียร์ใจกับนายมีชัย ประธาน กรธ. ซึ่งนายมีชัยได้ฝากบอกนายกฯ ว่า อย่ากังวล กรธ.ทุกคนเข้าใจดี
ต่อมา มีรายงานว่า กรธ.ได้เผยแพร่เอกสารข้อเสนอของ คสช.เกี่ยวกับแนวทางการปรับปรุงบทเฉพาะกาลในร่างรัฐธรรมนูญ โดยระบุว่า ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่เริ่มจัดระเบียบทางการเมืองใหม่ คสช.เห็นว่า ควรเขียนรัฐธรรมนูญในบทเฉพาะกาลให้มี ส.ว.ชุดแรกมาจากการสรรหา ให้มีจำนวนกึ่งหนึ่งของ ส.ส.คือ 250 คน เพื่อใช้อำนาจร่วมกับ ส.ส.500 คนอย่างเหมาะสม โดย ส.ว.สรรหา มาจากคณะกรรมการที่เป็นอิสระและเป็นกลาง 8-10 คน มีวาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี และควรเปิดให้แต่งตั้งข้าราชการที่ไม่ใช่สมาชิก คสช.เข้าดำรงตำแหน่งได้ไม่เกิน 6 คน ประกอบด้วย ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และว่า ส.ว.สรรหาไม่มีอำนาจเลือกนายกรัฐมนตรี แต่มีหน้าที่พิทักษ์รัฐธรรมนูญ
นอกจากนี้ข้อเสนอ คสช.ยังขอให้กำหนดวิธีการเลือกตั้ง ส.ส.โดยใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ใบแรกเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต 350 คน และให้ใช้เขตเลือกตั้งใหญ่ขึ้น มี ส.ส.ไม่เกิน 3 คน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้สิทธิเลือกได้เพียง 1 คน แล้วนับคะแนนเรียงลำดับลดหลั่นจนได้ครบตามจำนวนที่ต้องการ ใบที่ 2 เลือก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 150 คน นอกจากนี้ยังไม่เห็นด้วยที่กำหนดให้พรรคการเมืองต้องเสนอรายชื่อนายกรัฐมนตรี 3 ชื่อ ก่อนการเลือกตั้ง เพราะอาจไม่เหมาะสมและอ่อนไหวต่อระยะเปลี่ยนผ่าน ทั้งนี้ คสช.ยืนยันว่า อย่าได้หวาดระแวงว่าจะมีการสืบทอดอำนาจ เพราะ คสช.ยินดีพ้นจากตำแหน่งและยุติอำนาจหน้าที่ตามกำหนดเวลาในโรดแมป และในร่างรัฐธรรมนูญ และจะไม่ก้าวก่ายแทรกแซงการจัดการเลือกตั้งและการจัดตั้งรัฐบาลใหม่
ทั้งนี้ ระหว่างที่ยังไม่ชัดเจนว่า กรธ.จะปรับแก้ร่างรัฐธรรมนูญตามข้อเสนอของ คสช.หรือไม่ มีข่าวลือว่า นายมีชัย ในฐานะประธาน กรธ.จะลาออก ซึ่งนายมีชัย ได้ออกมาปฏิเสธว่า ไม่จริง จะทำแบบนั้นได้อย่างไร ไม่ใช่ของเล่นเด็ก และว่า หากมีสิ่งใดสามารถพูดจากันได้ ทำได้หรือทำไม่ได้แค่ไหน ก็พูดกันได้ นายมีชัย เผยด้วยว่า เรื่องข้อเสนอของ คสช.ที่ส่งมาให้ กรธ.นั้น น่าจะได้ข้อยุติในการประชุม กรธ.วันที่ 21 มี.ค.นี้ และเมื่อข้อสรุปออกมาอย่างไร จะให้โฆษก กรธ.แถลงให้ทราบ
3. สลด ครั้งแรกของไทย สารดับไฟ ไพโรเจน คร่าชีวิตผู้รับเหมาปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยแบงก์ไทยพาณิชย์ 8 ศพ เจ็บอีก 8 !
เมื่อคืนวันที่ 13 มี.ค. เวลาประมาณ 21.30 น. ตำรวจได้รับแจ้งเหตุระเบิดและมีสารเคมีรั่วไหลที่ชั้นใต้ดิน ธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ หรือ SCB Park ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตหลายราย อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดจากผู้รับเหมาเข้าไปปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยของอาคารเพิ่มเติม และคาดว่า อาจเกิดประกายไฟ หรือฝุ่นละอองจากการเจาะผนัง ทำให้ไปกระตุ้นให้สารดับเพลิงหรือสารไพโรเจนทำงานอัตโนมัติ ซึ่งหลักการทำงานของสารไพโรเจนในการดับเพลิง คือจะทำให้ออกซิเจนในบริเวณดังกล่าวหมดไป หากมีคนอยู่บริเวณดังกล่าว และหนีออกมาไม่ทัน จะทำให้ขาดอากาศหายใจ และเสียชีวิตได้ ส่งผลให้ผู้รับเหมาที่เข้าไปปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยดังกล่าวเสียชีวิต 8 คน และบาดเจ็บอีก 8 คน
ด้านนายวิชิต สุรพงษ์ชัย ประธานกรรมการบริหารและกรรมการกิจกรรมเพื่อสังคม ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) ยืนยันว่า เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้เกิดเพลิงไหม้ และไม่มีการระเบิด แต่มีผู้รับเหมาเข้าไปทำงานในห้องดังกล่าว ทำให้เกิดการกระตุ้นให้ระบบป้องกันไฟไหม้ของธนาคารภายในชั้นใต้ดิน ซึ่งได้ติดตั้งระบบป้องกันไฟเพิ่มขึ้น จากระบบน้ำเป็นระบบก๊าซ โดยใช้สารไพโรเจน ทำงานผิดปกติ ซึ่งหากใช้ระบบน้ำป้องกันเพลิงไหม้ จะเป็นการทำลายเอกสาร และว่า ตนขอแสดงความเสียใจที่มีผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต ส่วนเอกสารสำคัญภายในห้องดังกล่าว ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
ขณะที่นายญนน์ โภคทรัพย์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า ธนาคารอยู่ระหว่างปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบดับเพลิงจากระบบไพโรเจน เป็นระบบไนโตรเจน ซึ่งเป็นระบบที่ดีที่สุด ปลอดภัยมากกว่าไพโรเจน เมื่อเกิดกลุ่มควันจะทำการดับไฟโดยไม่มีการปล่อยสารเคมี นายญนน์ ยืนยันด้วยว่า ขณะเกิดเหตุไม่ได้เกิดประกายไฟใดๆ และมีสัญญาณเตือนภัยดังแล้ว แต่ไม่มีเจ้าหน้าที่คนใดออกมา กระทั่งมีโฟร์แมนของธนาคารเข้าไปช่วยเหลือ
ด้าน พล.ต.ต.นพ.พรชัย สุธีคุณ ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยา โรงพยาบาลตำรวจ เผยผลชันสูตรพลิกศพผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์ที่ธนาคารไทยพาณิชย์ว่า ทั้ง 8 รายเสียชีวิตในลักษณะเดียวกัน โดยเบื้องต้นแพทย์ลงความเห็นว่าสมองขาดอากาศ ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ต้องรอผลตรวจอีกครั้ง และว่า ฤทธิ์ของสารไพโรเจนนั้น เบื้องต้นไม่ได้เป็นพิษร้ายแรง แต่ทำให้ออกซิเจนบริเวณใกล้เคียงน้อยลง ซึ่งคนสามารถอยู่ในบริเวณดังกล่าวได้ไม่เกิน 15 นาที ก่อนสมองจะขาดอากาศ
มีรายงานว่า จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุ พบตู้เชื่อมไฟฟ้านำมาเพื่อเชื่อมเปลี่ยนท่อจากท่อเก่าเป็นท่อใหม่ เนื่องจากทางผู้ว่าจ้างต้องการติดตั้งระบบใหม่ อีกทั้งในวันเกิดเหตุ มีการขุดเจาะ และมีประกายไฟขึ้นเล็กน้อย จึงอาจเป็นสาเหตุให้ระบบป้องกันอัคคีภัยโดยสารไพโรเจนทำงาน ซึ่งขณะเกิดเหตุ ผู้ที่ติดอยู่ภายในห้องดังกล่าวได้โทรศัพท์ขอความช่วยเหลือเพื่อนที่ทำงานอยู่ชั้น 23 แต่เนื่องจากประตูมีความแน่นหนามาก จึงไม่สามารถพังเข้าไปได้ โดยห้องที่เกิดเหตุ มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า ห้องซองดำ เป็นห้องที่เก็บเอกสารสำคัญของลูกค้า เช่น โฉนดต่างๆ
ส่วนในแง่คดีความนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายจับผู้บริหารบริษัท เมก้า แพลนเน็ต จำกัด ซึ่งรับปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัยให้ธนาคารไทยพาณิชย์ 2 คน คือ นายอดิศร โฟดา กรรมการผู้มีอำนาจลงนาม และนายณพงษ์ สุขสงวน กรรมการผู้จัดการใหญ่ของบริษัท เมก้า แพลนเน็ต ข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ซึ่งต้องระวางโทษจำคุก 10 ปี ปรับ 20,000 บาท อย่างไรก็ตาม ทั้งสองให้การปฏิเสธ ต่อมา ตำรวจได้นำตัวทั้งสองไปขอศาลฝากขังเมื่อวันที่ 15 มี.ค. พร้อมคัดค้านการประกันตัว เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และเกรงว่าผู้ต้องหาทั้งสองจะหลบหนี แต่ศาลพิจารณาแล้ว อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว โดยตีราคาประกันคนละ 5 แสนบาท
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นายณพงษ์ และนายอดิศร ผู้ต้องหาในคดีนี้ ได้เปิดแถลงข่าว โดยนายณพงษ์ กล่าวว่า วันเกิดเหตุตนอยู่ต่างประเทศ เมื่อทราบเหตุ จึงรีบเดินทางกลับมา พร้อมยืนยันจะให้ความช่วยเหลือผู้เสียชีวิตทั้ง 8 รายๆ ละ 150,000 บาท ส่วนผู้บาดเจ็บ จะให้เงินช่วยเหลือรายละ 50,000 บาท และว่า บริษัทไม่ได้กระทำผิดใดๆ เพราะบริษัทได้รับสัญญาว่าจ้างจากเจ้าของอาคาร SCB Park ให้เข้าปรับปรุงติดตั้งระบบป้องกันอัคคีภัยระบบใหม่ คือไนโตรเจน จากของเดิมคือก๊าซไพโรเจน ที่ติดตั้งไว้แล้วโดยบริษัทอื่น พร้อมย้ำว่า วันเกิดเหตุ ไม่มีพนักงานของบริษัทตนเข้าไปเชื่อมเหล็กภายในอาคารแต่อย่างใด
ด้านนายเนทิษฐ์ ประเสริฐวงษ์ ผู้อำนวยการสำนักงานสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานพื้นที่ 2 จตุจักร กระทรวงแรงงาน เผยหลังเจ้าหน้าที่ความปลอดภัยของบริษัท เมก้า แพลนเน็ต เข้าให้ข้อมูลระบบป้องกันอัคคีภัยอาคาร SCB Park เมื่อวันที่ 17 มี.ค.ว่า เจ้าหน้าที่ดังกล่าวยืนยันว่า ทางบริษัทฯ มีแผนปฏิบัติงานเพื่อความปลอดภัยทุกขั้นตอน แต่ยอมรับว่า วันเกิดเหตุ ทางบริษัทฯ ได้ส่งคนงานชุดใหม่เข้าไปทำงานเพิ่มจำนวน 9 คน โดยที่คนงานใหม่นี้ยังไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยหรือป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการทำงาน
เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากผู้ต้องหาสองรายที่เป็นผู้บริหารบริษัท เมก้า แพลนเน็ต แล้ว ตำรวจยังได้ขอศาลออกหมายจับผู้ต้องหาเพิ่มอีก 5 ราย ซึ่งศาลได้อนุมัติหมายจับแล้วเมื่อวันที่ 18 มี.ค. ประกอบด้วย นายจิระวัฒน์ เปรมปรีด์ วิศวกรโครงการปรับปรุงระบบป้องกันอัคคีภัย ของบริษัทเมก้า แพลนเน็ต, นายสมคิด ตันงาม กรรมการบริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ ประเทศไทย (จำกัด), นายสมคิด จันทร์หอม หัวหน้าช่างบริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ฯ, นายตรีภพ ยังประเสริฐกุล ผู้จัดการดูแลอาคาร บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ฯ และ น.ส.ขจรจิตร พรหมดีราช พนักงานบริษัท เอบิท มัลติซิสเต็ม จำกัด ในข้อหากระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ชีวิต
ทั้งนี้ มีรายงานว่า ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เกิดเหตุผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมากจากสารไพโรเจนในประเทศไทย ด้าน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.จึงได้สั่งการให้สำนักการโยธา ตรวจสอบจำนวนอาคารที่ติดตั้งระบบไพโรเจน และเตรียมเรียกผู้เกี่ยวข้องทั้งวิชาชีพวิศวกรและเจ้าของอาคารใน กทม.มาหารือเกี่ยวกับข้อกฎหมายและมาตรการป้องกัน เนื่องจากเป็นเรื่องใหม่