แสดงกระทู้

This section allows you to view all posts made by this member. Note that you can only see posts made in areas you currently have access to.


Messages - story

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 651
46
แพทย์หญิง เปิดใจทั้งน้ำตา เสียใจอดีตสามีปลิดชีพในรพ.ยันเลิกกันด้วยดี และไม่มีสัญญาณก่อเหตุ เผยอดีตสามีพิมพ์จดหมายสั่งเสีย

ภายหลังแพทย์หญิงพรนิภา ศรีประเสริฐ หรือ หมอแอม กุมารแพทย์โรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งย่านโชคชัย 4 เข้าให้ปากคำกับตำรวจนานเกือบ 2 ชั่วโมง ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ต่อสื่อมวลชนทั้งน้ำตา บอกว่า ก่อนเกิดเหตุวันนี้ตัวเองได้เดินทางไปทำงานตามปกติ แล้วต่อมานายสุทธิภัสส์ อดีตสามี ก็ได้มาหา ซึ่งตัวเองได้พูดคุยทักทาย ว่า “ พี่มาทำอะไร ” แต่อีกฝ่ายไม่ตอบ และนั่งรออยู่ในห้องตรวจ ตัวเองจึงเดินเข้าไปเตรียมพร้อมเพื่อออกตรวจคนไข้ในอีกห้องนึง ซึ่งเป็นห้องที่เชื่อมต่อกัน แล้วก็เห็นอีกฝ่ายแง้มประตู โผล่หน้าเข้ามาดู หลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงปืนดังขึ้น

 ขณะที่หลังเกิดเหตุ ตัวเอง พบว่า ฝ่ายชายได้นำเอกสารติดตัวมาด้วย โดยตอนแรกตัวเองไม่ทราบว่าเป็นเอกสารอะไร เพราะฝ่ายชายได้นำเอกสารคว่ำหน้าไว้ แต่หลังจากเกิดเหตุตรวจสอบพบว่า เอกสารที่ฝ่ายนำมา มีการเขียนที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ของพ่อแม่ฝ่ายไว้ แล้วมีการเขียนข้อความบางอย่างไว้ในเอกสารด้วย แต่ตัวเองไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดในข้อความได้ เพราะอยู่ในสำนวนกาาสอบสวน

หมอแอม ยืนยันว่า ก่อนเกิดเหตุตัวเองไม่ได้มีปัญหาหรือทะเลาะกันกับฝ่ายชาย เพราะเลิกกันด้วยดี และยังมีความปรารถนาดีต่อกันมาโดยตลอด โดยเมื่อวันที่ไปจดทะเบียนหย่าที่อำเภอ ก็ผ่านไปด้วยดี อีกทั้งต่างฝ่ายต่างยังอวยพรให้พบเจอแต่สิ่งดีๆเข้ามาในชีวิต ซึ่งก็ไม่คาดคิดว่าฝ่ายชายจะมาก่อเหตุแบบนี้

หมอแอม บอกด้วยว่า หลังจากจดทะเบียนหย่ากันประมาณ 10 วัน วันนี้เป็นครั้งแรกที่ได้เจอกับอดีตสามี โดยเป็นการพบกันแบบไม่ได้นัดหมาย จู่ๆฝ่ายชายก็เข้ามาหา ส่วนเรื่องอาวุธปืนที่ใช้ก่อเหตุ ยืนยันว่าระหว่างคบหากัน ไม่เคยเห็นอดีตสามีพกปืน และไม่มีพฤติกรรมชอบยิงปืน โดยอดีตสามี มีความสามารถด้านกีฬา แล้วมักจะชอบถ่ายทอดทักษะด้านกีฬาให้เด็กและเยาวชน ซึ่งก็จะชอบส่งภาพฝึกซ้อมกีฬามาให้ดู แม้ว่าจะเลิกรากันไปแล้ว

สำหรับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตัวเองก็ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง และไม่ทราบด้วยว่าอดีตสามีมีปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจหรือไม่ เพราะหลังจากแยกทางกันก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวเรื่องเงินหรือเรื่องส่วนตัวกันอีก

 ทั้งนี้ ตัวเองเสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น แล้วอยากฝากผ่านสื่อมวลชน เกี่ยวกับมาตรการป้องกันเหตุในโรงพยาบาล ซึ่งยืนยันว่าทางโรงพยาบาลมีมาตรการที่เข้มงวด แต่เนื่องจากอดีตสามีเคยไปหาตัวเองที่ทำงานประมาณ 2-3 ครั้งแล้วเจ้าหน้าที่เคยเห็นหน้า จึงให้เข้าไปนั่งรอ

ขณะที่ทีมข่าวตรวจสอบข้อมูลล่าสุดจากทางตำรวจ ทราบว่า เอกสารที่นายสุทธิภัสส์ คนตาย นำมามอบให้กับแพทย์หญิงพรนิภา หรือ หมอแอม อดีตภรรยา เป็นกระดาษ A4 ที่พิมพ์และปริ้นออกมาจากคอมพิวเตอร์ ซึ่งเป็นคำสั่งเสีย เกี่ยวกับเรื่องพินัยกรรม ระบุไว้ทำนองว่า ถ้าได้เจอจดหมายฉบับนี้แปลว่าตัวเองได้เสียชีวิตแล้ว และให้อดีตภรรยาช่วยติดต่อแม่และญาติตามเบอร์โทรศัพท์ที่พิมพ์ไว้ในเอกสาร เพื่อแจ้งให้ทราบเกี่ยวกับพินัยกรรม และการจัดการทรัพย์สินต่างๆ

โดยในเอกสารไม่ได้มีการพิมพ์ข้อความตัดพ้อหรือต่อว่าอดีตภรรยาแต่อย่างใด

Amarin TV News
26 มีค 2567

47
ด่วน !! ผัวเก่าง้อเมียหมอไม่สำเร็จ ลั่นไกตัวเองดับที่ชั้น 2 โรงพยาบาลดังย่านโชคชัย 4 พบเพิ่งหย่ากันได้ 1 สัปดาห์

ทีมข่าวอมรินทร์ทีวีออนไลน์ได้รับการเปิดเผยจาก ร้อยเวร สน.โชคชัย เปิดเผยว่าเกิดเหตุยิงกัน ภายใน ชั้น 2 โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง ย่านโชคชัย 4 จากการตรวจสอบพบว่าเป็นเหตุยิงตัวเองตาย ผู้ก่อเหตุเป็นสามี อายุ 46 ปี เดินทางมาหาอดีตภรรยา ซึ่งเป็นหมอ อายุ 36 ปี ใน รพ.ดังกล่าว

โดยก่อนก่อเหตุ ฝ่ายสามีได้ยื่นซองเอกสาร ให้อดีตภรรยา แล้วบอกว่า "พี่รออยู่ในห้องนี้นะ" ก่อนจะได้ยินเสียงปืนลั่นไกใส่ตัวเองเสียชีวิต

จากการตรวจสอบทราบว่าทั้งคู่เพิ่งหย่ากันได้เพียง 1 สัปดาห์ คาดว่าคงมาง้อขอคืนดี แต่เกิดเครียดจบชีวิตตัวเองเสียก่อน

ขณะนี้คุณหมอ อดีตภรรยาของผู้ก่อเหตุ อยู่ในอาการเศร้าเสียใจไม่พร้อมที่จะให้ข้อมูล

25 มี.ค. 67
www.amarintv.com

48
กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 1 Best City จากการจัดอันดับของนิตยสาร DestinAsian สุวรรณภูมิคว้าอันดับ 2 สนามบินที่ดีที่สุด เชื่อมั่นในการพัฒนาของนายกฯ ไทยเป็นศูนย์กลางการจัดอันดับต่อเนื่อง

เมื่อวันที่ 25 มี.ค.2567 นายชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ประเทศไทยยังคงได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก หลังนิตยสารท่องเที่ยวชื่อดัง DestinAsian ประกาศให้กรุงเทพฯ คว้าอันดับ 1 เมืองที่ดีที่สุด (Best Cities 2024) ในประเภทเมืองที่เป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยว (Destination) ในเอเชียแปซิฟิก

ตามมาด้วยกรุงโตเกียว สิงคโปร์ กรุงกัวลาลัมเปอร์ ฮ่องกง กรุงโซล นครซิดนีย์ นครเซี่ยงไฮ้ ไทเป และนครโฮจิมินห์ (https://destinasian.com/readers-choice-awards/2024-winners/best-cities)

การจัดอันดับครั้งนี้ เป็นผลมาจากการคัดเลือกของผู้อ่าน ของนิตยสาร DestinAsian ซึ่งได้ประกาศพร้อมจัดอันดับหมวดหมู่ต่างๆ ทั้งจุดหมายปลายทางประเภทเมือง เกาะ โรงแรมและรีสอร์ต สายการบิน สนามบิน และการเดินเรือ ที่ได้รับความนิยมจากผู้อ่านเป็นประจำทุกปี ซึ่งในประเภทเกาะที่ดีที่สุด เกาะของไทยก็ได้รับความนิยมในอันดับ 3 คือ ภูเก็ต ตามมาด้วย เกาะสมุย ในอันดับที่ 4 รองจากที่ 1 เกาะบาหลี และที่ 2 เกาะมัลดีฟส์

นอกจากนี้ ในประเภทสนามบิน สนามบินสุวรรณภูมิ ได้อันดับที่ 2 สนามบินที่ดีที่สุด รองจากสนามบินชางงีของสิงคโปร์ ที่ได้อันดับที่ 1 ส่วน อันดับ 3 คือ สนามบินนานาชาติฮ่องกง ทางด้านการจัดอันดับประเภทสายการบินที่ดีที่สุด การบินไทย ได้อันดับที่ 3 รองจาก สิงคโปร์ แอร์ไลน์ และเอมิเรตส์ ในอันดับ 1 และ 2 ตามลำดับ ส่วนประเภทสายการบิน Low-cost ที่ดีที่สุด สายการบิน บางกอก แอร์เวย์ส ได้อันดับที่ 2 รองจาก แอร์เอเชีย

ทั้งนี้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ให้ความสำคัญกับการพัฒนาด้านการท่องเที่ยวซึ่งเป็นอีกอุตสาหกรรมสำคัญของไทย นอกจากดำเนินมาตรการสำคัญ ทั้งมาตรการวีซ่าฟรี ให้กับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ แก้ไขกฎ ระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคการท่องเที่ยว รวมถึงการดูแลความปลอดภัยให้กับนักท่องเที่ยว เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ของนักท่องเที่ยวแล้ว

“นายกฯ กำหนดให้การท่องเที่ยว และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวอยู่ในวิสัยทัศน์ 8 ด้าน อาทิ ศูนย์กลางการบิน ศูนย์กลางอาหาร ศูนย์กลางด้านการแพทย์และสุขภาพ ที่จะผลักดันให้ไทยเป็น 1 ในภูมิภาค จึงเชื่อมั่นได้เลยว่าในการบริหารของรัฐบาล จะทำให้ไทยติดอยู่ในความสนใจของนักท่องเที่ยวจนได้รับการจัดอันดับด้านอื่นๆ ดีอย่างต่อเนื่อง” นายชัย กล่าว

25 มีค 2567
ข่าวสด

49
ช็อก! วงการ ‘ชีวะภาพ ชีวะธรรม’ มือปราบเบอร์ 1 ป่าไม้ ลาออกจากราชการ เผยป่าไม้ไทยหายไปวันละ 1 พันไร่ หรือ 200 สนามฟุตบอล

เมื่อวันที่ 23 มีนาคม นายชีวะภาพ ชีวะธรรม หัวหน้าผู้ตรวจราชการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) อดีตหัวหน้าชุดพยัคฆ์ไพร ให้สัมภาษณ์ มติชนออนไลน์ ว่า เดือนพฤษภาคมนี้ ตนตั้งใจจะลาออกจากราชการ ซึ่งอีกไม่กี่เดือนก็จะเกษียณอายุแล้ว แต่ยังมีความตั้งใจ มีจิตวิญญาณที่รักและหวงแหนในผืนป่าอยู่ คิดว่ายังมีประตูบานอื่นๆ ที่ให้ตนสามารถเข้าไปทำงานทางด้านนี้มากกว่านี้ คิดว่าประตูอีกบานที่จะทำให้ตนสามารถทำงานได้คือ การลงสรรหาสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ที่ จ.สิงห์บุรี

“ผมเป็นคนที่นี่ เป็นคนบางระจัน คนบางระจันเป็นคนกล้าหาญ ซึ่งนอกจากการใช้ความรู้ความสามารถแล้ว การทำงานด้านนี้ทุกวันนี้ ต้องใช้ความกล้าหาญด้วย เพื่อต่อสู้กับขบวนการและกลุ่มทุนที่ไม่หวังดี และคิดจะฮุบสมบัติชาติ” นายชีวะภาพกล่าว

เมื่อถามว่าที่ลาออกนั้น เป็นเพราะผิดหวังกับระบบราชการ โดยเฉพาะของกรมป่าไม้ และกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืชหรือไม่ นายชีวะภาพกล่าวว่า คิดว่าศักยภาพหลังจากนี้ของตนยังสามารถทำงานทางด้านการดูแลปกป้องทรัพยากรป่าไม้ได้อยู่และจะได้มากกว่านี้หากไปอยู่ตรงนั้น

นายชีวะภาพกล่าวว่า จากสถานการณ์ป่าไม้ล่าสุด ที่วิเคราะห์โดยการแปลข้อมูลภาพถ่ายทางอากาศ ปี 2566 พบว่า ป่าไม้ลดลง 3 แสนไร่เศษๆ ภายในเวลา 1 ปี เป็นตัวบ่งบอกว่ามีการบุกรุกป่าสมบูรณ์โดยเฉพาะไม่หยุด และจะน่าตกใจกว่านั้น หากได้เฉลี่ยออกมาแล้วพบว่า ในจำนวน 3 แสนกว่าไร่ที่หายไปในเวลา 1 ปีนั้น ป่าบ้านเราหายไป ตกเดือนละ 30,000 ไร่ หรือถ้าคิดเป็นวันก็ตกวันละ 1 พันไร่ หรือประมาณ 200 สนามฟุตบอล อันนี้เป็นข้อมูลที่ผ่านการตรวจสอบโดยเครื่องของคนทำงานมืออาชีพอย่างคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยข้อมูลนี้แสดงให้เห็นทิศทางข้างหน้าว่าจะมีการบุกรุกเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

เมื่อถามว่า สาเหตุหลักของการที่ป่าหายไปมากเช่นนี้เป็นเพราะอะไร นายชีวะภาพกล่าวว่า มีทั้งนายทุนและชาวบ้านที่เข้าไปทำลายป่า อีกส่วนหนึ่ง การเอาที่ที่ดินไปทำ ส.ป.ก.และ คทช. ซึ่งโครงการนี้ โดยหลักการแล้วถือว่าดี ที่เปิดโอกาสให้ประชาชนได้มีที่ดินทำมาหากินโดนไปเข้าไปบุกรุกพื้นที่ป่า แต่พวกนี้ก็ยังมีช่องว่าง ที่ทำให้เจตนารมณ์ของโครงการเปลี่ยนไป จึงต้องมาทบทวนว่าจะต้องทำอย่างไร จัดการกับพวกที่พยายามใช้ช่องว่างฉกฉวยผลประโยชน์อย่างไร

เมื่อถามว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ทั้งกรมป่าไม้และกรมอุทยานแห่งชาติเคยทำให้ป่าไม้ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นบ้างหรือไม่ นายชีวะภาพกล่าวว่า ครั้งหนึ่งเมื่อปี 2560-2561 คนป่าไม้เฮกันมาก เพราะพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นมาถึง 3 แสนไร่ สมัยนั้น มีนายธีรภัทร ประยูรสิทธิ เป็นอธิบดีกรมป่าไม้ และส่งต่อให้นายชลธิศ สุรัสวดี เป็นอธิบดีต่อ ขณะนั้นมีคำสั่ง คสช.เป็นแผนแม่บทแห่งชาติเรื่องการเพิ่มพื้นที่ป่าด้วย

“เราทำได้ไม่ใช่ทำไม่ได้เรื่องการเพิ่มพื้นที่ป่า เพราะครั้งหนึ่งเราทำได้แล้ว ตอนนั้นจังหวัดที่พื้นที่ป่าเพิ่มมากที่สุดคือ เพชรบูรณ์ รองลงมาคือ ชัยภูมิ และหลังจากนั้น ป่าก็ลดลงมาอีก แต่เป็นปีละหลักหมื่น แล้วก็มาช็อกหนัก เมื่อปีเดียวลดลง 3 แสนไร่ ตอนนี้แหละ เวลานี้ ป่าไม้เหลือประมาณ 101 ล้านไร่แล้ว” นายชีวะภาพกล่าว

23 มีนาคม 2567
มติชน

50
วันที่ 22 มี.ค.2567 ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจาก นางจันทร์เพ็ญ (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 39 ปี ครูโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งใน อ.หนองหงส์ จ.บุรีรัมย์ ว่า อยากเป็นสื่อกลางให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ไขระบบการทำงาน หลังแม่เสียชีวิตจากการผ่าตัดมะเร็งลำไส้

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวว่า เมื่อประมาณต้นเดือนมี.ค.ที่ผ่านมา นางบุญหนา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 58 ปี แม่ของตน มีอาการปวดท้อง จึงพาไปรักษาที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในอ.หนองหงส์ หมอบอกน่าจะเกิดจากยกของหนักทำให้ท้องเสีย จ่ายยาแก้ปวดและเกลือแร่ให้มากิน

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวต่อว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มี.ค. แม่มีอาการปวดท้องอย่างรุนแรง จึงพาไปพบหมอที่โรงพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในอ.ลำปลายมาศ เพราะมีความพร้อมมากกว่าโรงพยาบาลที่อ.หนองหงส์

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวอีกว่า หมอโรงพยาบาลลำปลายมาศ วิเคราะห์ว่าเป็น “ลำไส้อุดตัน” จะต้องมีการผ่าตัด จากนั้นหมอมาแจ้งอีกครั้งว่ามีเนื้องอกในลำไส้ จึงยอมให้ผ่าตัดเพื่อทำการรักษา หมอใช้เวลาในการผ่าตัดกว่า 5 ชั่วโมง

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวว่า หมอแจ้งอีกว่าได้ผ่าตัดลำไส้ใหญ่ออกไป 80 เปอร์เซ็นต์ หลังจากผ่าตัดหมอพาแม่เข้าห้อง ICU ทันที วันที่ 18 มี.ค. หมอที่โรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่า แม่เป็นมะเร็ง จะไปส่องกล้องด้วยกันไหม ส่วนตัวคิดว่าจะให้ไปส่องกล้องเพื่ออะไรเพราะแม่ผ่าตัดแล้ว

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวด้วยว่า จนกระทั่งมาทราบจาก รพ.สต.ในพื้นที่ว่า ตรวจพบเชื้อมะเร็งในลำไส้ใหญ่ของแม่ตั้งแต่ปี 2565 ทางญาติตกใจว่าทำไมหมอไม่เคยแจ้งให้ญาติทราบ อีกมุมหนึ่งมองว่าทำไมโรงพยาบาลที่อ.ลำปลายมาศ ทำไมกล้าผ่าตัดเคสใหญ่ขนาดนี้ สุดท้ายแม่ต้องเสียชีวิตลง

นางจันทร์เพ็ญ กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นได้มีตัวแทนโรงพยาบาลออกมาคุยว่าไม่อยากจะให้ไปร้องเรียนหรือฟ้องร้อง เพราะจะทำให้โรงพยาบาลเสื่อมเสียชื่อเสียง แต่ทำไมไม่คิดถึงสภาพจิตใจของญาติ

จึงอยากจะให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบว่าความผิดพลาดดังกล่าวตั้งแต่ตอนแรกมาจนถึงแม่เสียชีวิตเกิดจากอะไร เป็นการวิเคราะห์โรคผิด หรือขั้นตอนการดำเนินการไม่ถูกต้อง หรือเครื่องมือแพทย์ไม่เพียงพอ หรือให้แม่เป็นแค่หนูลองยาในการรักษา

22 มี.ค. 2567
ข่าวสด

51
งานวิจัยของ ดร.ราฟฟาเอล มาร์เฟลลาจากมหาวิทยาลัยกัมปาเนีย ในอิตาลี พบว่า 58% ของผู้ป่วยที่เข้ารับการผ่าตัดรักษาหลอดเลือดแดงคาโรติด ที่ทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงสมอง ใบหน้า และลำคอ มีชิ้นส่วนพลาสติกขนาดเล็กทั้งระดับไมโครพลาสติกและนานาพลาสติก โดยเฉพาะพลาสติกแบบโพลีเอทิลีน (PE) และโพลีไวนิลคลอไรด์ (PVC) ปะปนอยู่ในหลอดเลือด

“โพลีเอทิลีนและโพลีไวนิลคลอไรด์ถูกนำมาใช้งานในหลากหลายรูปแบบทั้งภาชนะบรรจุอาหาร เครื่องสำอาง หรือแม้กระทั่งท่อน้ำ” ผู้เขียนวิจัยกล่าวในบทความที่ตีพิมพ์ในวารสาร The New England Journal of Medicine
 
“ไมโครพลาสติก” เพิ่มความเสี่ยง “โรคหัวใจ”
จากการติดตามผลหลังจากผ่านไป 34 เดือน พบว่า 20% ของผู้ที่มีพลาสติกในหลอดเลือดแดงมีอาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หรือเสียชีวิตจากสาเหตุใด ๆ สูงกว่าคนที่ไม่มีพลาสติกในร่างกายถึง 4.5 เท่า โดยไม่รวมพิจารณาปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ของแต่ละบุคคล

นอกจากนี้ นักวิจัยยังพบว่าผู้ป่วยที่มีพลาสติกในไขมันภายในหลอดเลือดแดง และอาจทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ โรคหลอดเลือดในสมอง และเสียชีวิตได้มากกว่าด้วยเช่นกัน

การอุดตันของหลอดเลือดแดง โดยเฉพาะหลอดเลือดแดงที่คอ ถือเป็นสัญญาณอันตรายของโรคหลอดเลือดสมองและโรคหัวใจ เพราะเมื่อหลอดเลือดแดงที่คออุดตันจากไขมัน เลือดจะไหลเวียนไปยังสมองน้อยลง ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดโรคหลอดเลือดสมองหรือทำให้เสียชีวิตได้

“ผมเป็นหมอหัวใจมา 30 ปี ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีไมโครพลาสติกอยู่ในหลอดเลือดแดงของเรา และการมีมันอยู่จะเร่งให้เกิดภาวะหลอดเลือดแข็งตัวเร็วขึ้น” ดร.เอริค โทพอล แพทย์หทัยวิทยาและรองประธานบริหารของ Scripps Research ในสหรัฐกล่าว

พร้อมตั้งข้อสังเกตว่าไมโครพลาสติกเหล่านี้มีอยู่ทุกที่ทุกเวลาไม่ว่าจะเป็นน้ำดื่ม อาหาร และในอากาศ ซึ่งสามารถเข้าสู่ร่างกายได้อย่างง่ายได้

ก่อนหน้านี้มีการศึกษาหลายชนิดที่ ตรวจพบไมโครพลาสติกและนาโนพลาสติกหลายประเภทในเนื้อเยื่อของมนุษย์ รวมถึงลำไส้ใหญ่ ตับ ม้าม ต่อมน้ำเหลือง และรก
จากการทดลองในหนูแสดงให้เห็นว่าไมโครพลาสติกสามารถกระตุ้นให้เกิดการอักเสบของเซลล์หัวใจ ส่งผลประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดน้อยลง หัวใจเต้นผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดขึ้นแบบในร่างกายมนุษย์

อย่างไรก็ตาม การศึกษาดังกล่าวเป็นกลุ่มเล็ก ๆ ซึ่งเริ่มแรกประกอบด้วยผู้ป่วย 304 ราย แต่มีเพียง 257 คนเท่านั้นที่อยู่จนครบกระบวนการศึกษา จึงจำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อดูว่าไมโครพลาสติกก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์หรือไม่

กำจัดพลาสติก ลด “ไมโครพลาสติก”
ดร.ฟิลิป แลนดริแกน หนึ่งในผู้ร่วมเขียนงานวิจัย กล่าวว่า เราต้องตระหนักว่าถึงพลาสติกจะมีราคาถูกและทำให้เราสะดวกสบาย ในความเป็นจริงพลาสติกเหล่านั้นสร้างอันตรายให้แก่พวกเราได้

“เราจำเป็นต้องให้ผู้ป่วยลดการใช้พลาสติก โดยเฉพาะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งที่ไม่จำเป็น นานาชาติต้องมุ่งเน้นไปที่การจำกัดการใช้พลาสติกที่เป็นหนึ่งในปัญหาของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศด้วย” ดร.แลนดริแกนกล่าว

ในรายงานปี 2022 ขององค์การอนามัยโลก กล่าวว่าการกินและสูดดมไมโครพลาสติกส่งผลกระทบต่อสุขภาพของมนุษย์ในระยะยาว และพลาสติกไม่อยู่ในสิ่งแวดล้อม ควรดำเนินมาตรการอย่างเร่งด่วนเพื่อลดจำนวนพลาสติก

สนธิสัญญาระดับโลกว่าด้วยพลาสติก (Global treaty on plastic) จะมีการประกาศใช้โดย 175 ประเทศ ในปี 2568 มีเป้าหมายเพื่อลดมลพิษพลาสติกให้เป็นศูนย์ภายในปี 2040 และจำกัดการสัมผัสไมโครพลาสติกทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางหรือต่ำ และกลุ่มเด็ก ทั้งนี้สนธิสัญญาฉบับนี้ยังอยู่ในกระบวนการร่างแผนงาน

ขณะเดียวกันในหลายประเทศเริ่มนำร่องแก้ไขปัญหาขยะพลาสติก ด้วยการแบนพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว และถุงพลาสติกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ที่มา: Euro News, Reuters, The Conversation, USA Today

Bangkokbiznews
22มีค2567

52
ครอบครัวคาใจ จู่ๆ ลูกชายเสียชีวิตกะทันหัน สืบไปสืบมาช็อก ผู้ตายบริจาคเลือดถึง 16 ครั้งใน 8 เดือน แถมได้เงินจากศูนย์บริจาคเลือด

เว็บไซต์ต่างประเทศ รายงานเหตุการณ์สลดที่เกิดขึ้นในประเทศจีน เมื่อหนุ่มวัย 19 ปี เสียชีวิตแบบไร้สาเหตุ ทางครอบครัวรู้สึกติดใจ คุณพ่อจึงได้ค้นหาสาเหตุที่ทำให้ลูกชายต้องลาโลกไปก่อนวัยอันควร

ในขณะที่กำลังเก็บข้าวของภายในห้องลูกชายนั้น ก็ได้พบเอกสารบริจาคเลือดที่ระบุว่า ลูกชายของเขา ได้บริจาคเลือดถึง 16 ครั้ง ภายในระยะเวลา 8 เดือน โดยที่น่าตกใจยิ่งกว่า คือระยะห่างในการบริจาคเลือดบางรอบห่างกันแค่ 12 วันเท่านั้น ซึ่งปกติแล้วการบริจาคเลือดไม่ควรเกินปีละ 4 ครั้ง

อย่างไรก็ตาม จากการสอบถามศูนย์บริจาคโลหิตต้นทางผ่านโทรศัพท์ พบว่า ลูกชายมักจะไปบริจาคเลือดอยู่บ่อยครั้ง โดยทางศูนย์บริจาคโลหิต จะจ่ายค่าตอบแทนให้ลูกชาย เป็นจำนวนเงินระหว่าง 260-300 หยวนหรือราว 1,300-1,500

นอกจากนั้น คุณพ่อยังพบผลการตรวจสุขภาพ ที่ออกโดยโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่ตรวจไว้เมื่อ 10 วันก่อนที่ลูกชายของเขาจะเสียชีวิต พบว่า ลูกชายมีภาวะโลหิตจางอย่างรุนแรง รวมถึงมีภาวะไขกระดูกบกพร่องอีกด้วย

ด้วยสาเหตุนี้ทำให้คุณพ่อมั่นใจว่า ทางศูนย์บริจาคเลือดนั้น ประมาทเลินเล่อ ไม่ตรวจสอบสุขภาพของลูกชายให้ถี่ถ้วนก่อนที่จะให้ลูกบริจาคโลหิตทุกครั้ง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ลูกชายต้องเสียชีวิตอย่างกะทันหัน

ขณะเดียวกัน ทางศูนย์บริจาคโลหิต ได้ออกมาชี้แจงว่า ผู้ตายมีคุณสมบัติผ่านเกณฑ์ที่สามารถบริจาคเลือดได้ และทางศูนย์บริจาคโลหิต ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดของรัฐและถูกต้องทางกฎหมายอย่างเคร่งครัดทุกอย่าง หากทางผู้ปกครองติดใจสาเหตุการเสียชีวิต สามารถร้องเรียนหรือฟ้องร้องทางเราได้

ทั้งนี้ จากการสอบถามในประเด็นที่ว่า ทำไมทางศูนย์บริจาคเลือดถึงอนุญาตผู้เสียชีวิต บริจาคเลือดอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลเสียต่อสุขภาพและนำมาซึ่งการเสียชีวิต แต่ทางศูนย์บริจาคเลือดได้แต่อมพะนำ ไม่ได้ให้คำตอบแต่อย่างใด

นอกจากนี้ สำหรับความคืบหน้ากรณีดังกล่าว คณะกรรมการด้านสาธารณสุขของเขตหั่นฟู่ เมืองฮั่นโจว ประเทศจีน ระบุว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างการสอบสวนคดีอย่างละเอียด และกำลังจะมีบทสรุปอย่างเป็นทางการในเร็วๆ นี้

22 มี.ค. 2567
ข่าวสด

53
เกียว​โด​นิวส์​ (8​ มี.ค.)​ -​ สำนักพิมพ์ Shueisha​​ ประกาศ​วันนี้ว่า​ อากิระ โทริยามะ ผู้สร้างตำนานซีรีส์มังงะ "ดราก้อนบอล" และ​ "ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่" ​ เสียชีวิตแล้วจากภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมองเฉียบพลัน​ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม ในวัย 68 ปี​

คำแถลงบนเว็บไซต์ของสำนักพิมพ์​ Shueisha​ ประกาศว่า "อากิระ โทริยามะ​ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 1 มีนาคม จากภาวะเลือดออกใต้เยื่อหุ้มสมอง"

"เราเสียใจอย่างสุดซึ้ง เขายังมีผลงานอีกหลายชิ้นที่อยู่ระหว่างการสร้างสรรค์ และกระตือรือร้นกับอีกหลายสิ่งที่ต้องทำให้สำเร็จ

อย่างไรก็ตาม เขาได้ทิ้งมังงะ และผลงานศิลปะไว้มากมายให้โลกนี้ ด้วยการสนับสนุนจากผู้คนมากมายทั่วโลกตลอดเวลา 45 ปี

โลกแห่งการสร้างสรรค์อันเป็นเอกลักษณ์ของ อากิระ ยังคงอยู่ในใจของทุกคน​"

สำหรับพิธีศพจะจัดขึ้นในครอบครัวและพี่น้องไม่กี่คน ตามความปรารถนาของเขา โดยจะงดรับดอกไม้หรือสิ่งแสดงความอาลัยอื่นๆ รวมทั้งการคำนับ ทั้งยังขอให้งดสัมภาษณ์ครอบครัว

อย่างไรก็ตาม​ ในเพจสำนักพิมพ์​ได้มีผู้คนจำนวนมากไปร่วมแสดงความเสียใจต่อการจากไปของเขา

อากิระ โทริยามะ คือหนึ่งในตำนานนักวาดการ์ตูนญี่ปุ่น เริ่มมีชื่อเสียงจากมังงะ เรื่อง ดร.สลัมป์กับหนูน้อยอาราเล่ ในปี พ.ศ.2521 ก่อนจะสร้างผลงานยิ่งใหญ่เรื่อง ดราก้อนบอล ซึ่งครองใจแฟนมังงะตลอดทศวรรษ​แห่งซีรีส์​นี้​ (พ.ศ.2527 ถึง 2538)

8 มี.ค. 2567 ผู้จัดการออนไลน์

54
โรงพยาบาลหลายแห่งในจีนเริ่มหยุดให้บริการทำคลอดในปีนี้ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญออกมาเตือนภาวะ “ฤดูหนาวทางสูติศาสตร์” (obstetric winter) เนื่องจากคนจีนรุ่นใหม่ๆ นิยมมีบุตรกันน้อยลง ส่งผลให้อุปสงค์การทำคลอดในโรงพยาบาลต่างๆ ลดลงตามไปด้วย

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า โรงพยาบาลในหลายมณฑลของจีนเริ่มประกาศปิดแผนกสูติศาสตร์ในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาล The Fifth People's Hospital ในเมืองก้านโจว มณฑลเจียงซี ซึ่งประกาศผ่านบัญชี WeChat ว่าจะหยุดให้บริการด้านสูติศาสตร์ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. ขณะที่โรงพยาบาลแพทย์แผนโบราณเมืองเจียงซาน มณฑลเจ้อเจียง ก็โพสต์ WeChat ว่าจะปิดแผนกสูติศาสตร์เช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 1 ก.พ.

การปิดแผนกทำคลอดในโรงพยาบาลหลายแห่งสะท้อนให้เห็นว่า ผู้กำหนดนโยบายของจีนยังไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควรในการโน้มน้าวให้ประชาชนหันมามีบุตรเพิ่มขึ้น ในขณะที่จีนกำลังก้าวสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุอย่างรวดเร็ว และมีจำนวนเด็กเกิดใหม่ลดลงเรื่อยๆ

อัตราการเกิดที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ บวกกับจำนวนคนเสียชีวิตที่เพิ่มขึ้นจากโรคระบาดโควิด-19 ทำให้ประชากรจีนลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ในปี 2023 และภาครัฐเกรงว่าแนวโน้มเช่นนี้อาจส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของจีนในระยะยาว

ข้อมูลล่าสุดจากคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีน (NHC) พบว่า โรงพยาบาลแม่และเด็กในประเทศลดลงจาก 807 แห่งในปี 2020 เหลือเพียง 793 แห่งในปี 2021

สื่อจีนหลายสำนัก รวมถึงหนังสือพิมพ์ Daily Economic News รายงานว่า จำนวนเด็กเกิดใหม่ที่ลดลงทำให้การเปิดแผนกสูติศาสตร์กลายเป็นสิ่งที่ “ไม่คุ้มค่า” สำหรับสถานพยาบาลหลายแห่งในจีน

“ฤดูหนาวทางสูติศาสตร์กำลังจะมาถึงอย่างเงียบๆ” Daily Economic News รายงานเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว (15)

ผู้หญิงจีนจำนวนมากเลือกที่จะไม่มีบุตรเพราะกลัวเรื่องค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดู และบ้างก็ไม่อยากแต่งงาน เพราะกลัวจะถูกบังคับให้ต้องลาออกจากงานมาเป็นแม่บ้านเลี้ยงลูกตามค่านิยมดั้งเดิมของคนจีน

รัฐบาลจีนพยายามออกมาตรการต่างๆ เพื่อจูงใจคู่รักหนุ่มสาวให้มีบุตรกันมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มวันลาคลอด มอบสิทธิประโยชน์ทางการเงินและภาษีสำหรับคนมีบุตร รวมถึงอุดหนุนที่พักอาศัยด้วย

อย่างไรก็ตาม สถาบันคลังสมองชั้นนำแห่งหนึ่งในจีนระบุเมื่อเดือน ก.พ. ว่า จีนยังคงเป็นประเทศที่มีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูบุตรสูงเป็นอันดับต้นๆ ของโลกเมื่อเทียบ GDP ต่อหัวประชากร และผู้หญิงต้องสูญเสียต้นทุนเวลาและโอกาสไปมากในการที่จะให้กำเนิดบุตร

เว็บไซต์ข่าวการเงิน Yicai รายงานว่า การมาถึงของ “ปีมังกร” ซึ่งถือเป็นปีมงคลที่สุดตามความเชื่อของชาวจีนทำให้จำนวนเด็กเกิดใหม่ตามโรงพยาบาลต่างๆ เพิ่มขึ้นอย่างผิดหูผิดตา แต่กระนั้นนักประชากรศาสตร์ก็เชื่อว่ากระแส “เด็กปีมังกร” คงจะบูมแค่ในระยะสั้นๆ

ที่มา : รอยเตอร์

19 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์


55
รองโฆษกรัฐบาล เผย ครม.อนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนที่สธ.จ่ายให้แก่จนท.และบุคคลภายนอกซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคโควิด ตามที่ได้รับอนุญาตจากก.คลัง

วันนี้ (19มี.ค.) นางสาวเกณิกา อุ่นจิตร์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (19 มีนาคม 2567) คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติหลักการร่างกฎกระทรวง ฉบับที่ ... (พ.ศ. ...) ออกตามความในประมวลรัษฎากร ว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (การยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนที่กระทรวงสาธารณสุขจ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่และบุคคลภายนอกซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามที่ได้รับอนุญาตจากระทรวงการคลัง) ตามที่กระทรวงการคลัง (กค.) เสนอ ซึ่งมีสาระสำคัญเป็นการขยายระยะเวลาการยกเว้นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับค่าตอบแทนที่ สธ. จ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่และบุคคลภายนอกซึ่งปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยเป็นเงินได้พึงประเมินที่ไดรับยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณเพื่อเสียภาษีเงินได้ ออกไปอีก 1 ปีภาษี (สำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี 2566)

สาระสำคัญของร่างกฎกระทรวง
1.กำหนดให้เงินได้ดังต่อไปนี้ เป็นเงินได้พึงประเมินที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องรวมคำนวณ เพื่อเสียภาษีเงินได้

1.1 ค่าตอบแทนเสี่ยงภัยในการเฝ้าระวัง สอบสวน ป้องกัน ควบคุม และรักษาผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งสธ.จ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามที่ได้รับอนุญาตจาก กค.

1.2 ค่าตอบแทนในการให้คำปรึกษาด้านการแพทย์และสาธารณสุขเพื่อรับมือกับสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่ง สธ. จ่ายให้เจ้าหน้าที่และบุคคลภายนอกที่ปฏิบัติงานเกี่ยวกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามที่ได้รับอนุญาตจาก กค.

1.3 ค่าตอบแทนในการให้บริการฉีดวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่ง สธ. จ่ายให้แก่เจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานให้บริการฉีดวัคซีนโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 นอกสถานพยาบาลตามที่ได้รับอนุญาตจาก กค.

2. กฎกระทรวงนี้ให้ใช้บังคับสำหรับเงินได้พึงประเมินประจำปีภาษี พ.ศ. 2566

19 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

56
ถอดบทเรียน “ชุมชนน้ำล้อม”
แก้โจทย์ปัญหาเรื่องบ้าน ๆ

นอกจากสถานที่ท่องเที่ยวและพื้นที่สาธารณะตามที่กล่าวมาข้างต้น สสส. ยังลงไปสนับสนุนการขับเคลื่อนระดับพื้นที่ หนุนให้เกิดการปรับสภาพแวดล้อมและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ คนพิการ ตามแนวคิด UD ในพื้นที่ “บ้าน” ผ่านกำลังสำคัญอย่าง เครือข่ายศูนย์การออกแบบเพื่อทุกคน หรือ Universal Design Center ที่ถูกจัดตั้งขึ้นเพื่อเผยแพร่องค์ความรู้เกี่ยวกับการออกแบบ Universal Design แก่ผู้ที่สนใจ จัดอบรมช่างชุมชนให้มีความรู้ในประเด็น UD สามารถไปดำเนินการปรับสภาพแวดล้อมในส่วนบ้านพักและสถานที่สาธารณะ รวมทั้งสนับสนุนมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล เพื่อพัฒนาทูตอารยสถาปัตย์กว่า 300 คน มีทั้งผู้สูงอายุ คนพิการ สามารถเป็นตัวแทนในการให้ข้อมูลและร่วมขับเคลื่อนประเด็นการปรับสภาพแวดล้อมและจัดสิ่งอำนวยความสะดวกตามแนวคิด UD ในพื้นที่ต่าง ๆ

ตลอดจนให้คำปรึกษาในการปรับสภาพบ้านอย่างเหมาะสม รวมทั้งใน “ชุมชนน้ำล้อม” ที่เราลงพื้นที่ในครั้งนี้

ผศ.ดร.วุฒิกานต์ ปุระพรหม หัวหน้าศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน (UDC) มหาวิทยาลัยแม่โจ้
ผศ.ดร.วุฒิกานต์ ปุระพรหม หัวหน้าศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน (UDC) มหาวิทยาลัยแม่โจ้

ผศ.ดร.วุฒิกานต์ ปุระพรหม หัวหน้าศูนย์ออกแบบสภาพแวดล้อมเพื่อทุกคน (UDC) มหาวิทยาลัยแม่โจ้ และ ประธานเครือข่าย UDC ภาคเหนือ กล่าวว่า UDC ม.แม่โจ้ ภายใต้ สสส. เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างการพัฒนาเมืองน่าน เติมเต็มการออกแบบกายภาพ ซึ่งจะเน้นการพัฒนาร่วมกับเครือข่าย UDC ภาคเหนืออีก 4 แห่ง คือ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย มหาวิทยาลัยนเรศวร มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยพะเยา นอกจากนี้ยังมีเจ้าของพื้นที่อย่างโรงพยาบาลน่าน เทศบาลเมืองน่าน ชมรมผู้สูงอายุและภาคเอกชนร่วมด้วย

โดยอันดับแรกในการดำเนิน UDC จะเข้าไปประเมินและวิเคราะห์ โดยเน้นไปที่ ห้องน้ำและห้องนอน เป็นหลัก ซึ่งถือว่าเป็น 2 พื้นที่ที่ผู้สูงวัยใช้ชีวิตสูงที่สุดในรอบวัน

“น่านมีสัดส่วนของผู้สูงอายุค่อนข้างเยอะ เพราะฉะนั้นบ้านจึงถือได้ว่าเป็นหัวใจหลัก ซึ่งโครงสร้างบ้านของน่านค่อนข้างแตกต่างจากจังหวัดอื่นคือ เป็นบ้านพื้นถิ่นเกือบทุกหลัง มีอายุการสร้างไม่ต่ำกว่า 20 ปี มีลักษณะเป็นไม้ ยกใต้ถุนสูง 50 เมตร คนรอดเข้าไปไม่ได้ เพราะฉะนั้นการที่จะเข้าไปทำพื้นที่ใต้บ้านหรือบนบ้าน มันมีผลต่อโครงสร้างที่มีอยู่แล้ว ฉะนั้น การที่จะยกบ้านหรือดีดบ้านให้สูงขึ้นหรือการที่จะทำโครงสร้างใหม่มาพิงกับบ้านเดิม ต้องใช้วิชาชีพเฉพาะทางของฝ่ายกองช่อง ซึ่งสาธารณสุขของเมืองน่านก็เข้ามาช่วยในส่วนนี้เพื่อประเมินว่า โครงสร้างไหนทำได้หรือไม่ได้”

“ปัญหาส่วนใหญ่ที่พบคือ ห้องน้ำแสงส่วางไม่เพียงพอและเป็นพื้นคอนกรีต ไม่ได้ปูกระเบื้อง ซึ่งเมื่อประกอบกับแสงแดดที่เข้าไม่ถึงก็ส่งผลทำให้เกิดเชื้อรา เกิดตะไคร่ ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผู้ป่วยหรือผู้สูงวัยลื่นล้มหกล้มได้ โดยอันดับแรกก็ต้องเพิ่มแสงสว่าง ทำให้เขามองเห็นเยอะขึ้น พอเขามองเห็นเยอะขึ้น ก็ตามมาด้วยการอุปกรณ์ราวจับ ซึ่งต้องติดตั้งตามพฤติกรรมของเขาด้วย บางคนใช้วีลแชร์ บางคนนั่ง บางคนคลาน เราก็ต้องติดตั้งราวจับให้ได้ระดับเขา ปรับปรุงให้รับกับสภาพแวดล้อมในบ้านแต่ละหลังมากที่สุด”

“ปรับปรุง” แต่ไม่เปลี่ยนแปลง
แก้ไขความเคยชินไม่ใช่เรื่องง่าย

อย่างไรก็ตาม ตลอดการดำเนินงานที่ผ่านมา UDC มีปรับปรุงสภาพแวดล้อมบ้านไปกว่า 785 หลังในเทศบาลเมืองน่านเป็นหลัก โดยปัจจัยหลักของการทำงานภายใต้พื้นฐานการพัฒนาคือ “ปรับปรุงให้ดีขึ้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้อยู่อาศัยให้น้อย” โดยผศ.ดร.วุฒิกานต์ ให้เหตุผลว่า ถ้าเราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเขา เขาจะอยู่ไม่สนุก ซึ่งบั้นปลายสุดท้ายของคนคือบ้าน สถานที่ที่เขาอยู่อาศัยแล้วจะมีความสุขมากที่สุด

“UDC จะเข้าไปประเมินในขั้นแรกว่า พื้นที่ทำกิจกรรมของแต่ละคนเป็นอย่างไร ลักษณะพฤติกรรมของเขาตั้งแต่ตื่นเช้ายันเย็นเขาทำอะไรบ้างในบ้านหลังนั้น คือเราต้องศึกษาเรียนรู้เจ้าของบ้านจริง ๆ ก่อนพอรู้ว่า เขาเป็นยังไง เสร็จปุ๊บ ค่อยย้อนกลับมาดูว่า เราควรจะปรับปรุงอะไรแบบไหนให้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเขาน้อยที่สุด วิถีชีวิตของแต่ละพื้นที่ต่างกัน ภูมิภาคแต่ละภูมิภาคมีวิถีชีวิตต่างกัน ซึ่งอย่างที่นพ.พงศ์เทพบอก เราตัดเสื้อเชิ้ตชุดเดียวกันไม่ได้ เราต้องคล้อยไปตามพื้นที่นั้น ๆ อันนี้คือประเด็นหลักที่ผมมองเห็นมานานแล้วและคิดว่า ก็ต้องเรียนรู้กันต่อไปเรื่อย ๆ”

“ผมยกตัวอย่างบันไดนะ ระยะความสูงถ้าจะปรับให้เหมือน UD เลย มันทำไม่ได้ หลาย ๆ หลังเป็นบ้านไม้ยกใต้ถุนสูงเช่นเดียวกับ จังหวัดเชียงใหม่ พะเยา เชียงราย ซึ่งบันไดเป็นสิ่งแรกที่คุณยาย คุณตาในบ้านเขาบอกผมเลยว่า อาจารย์ปรับได้ทุกอย่างในบ้านยกเว้นบันได ถ้าอาจารย์ปรับเพื่อให้ยายไม่ล้ม อาจารย์ปรับบันไดวันนี้ พรุ่งนี้ยายล้มเลย เพราะว่าความเคยชินกับพฤติกรรมที่เขาใช้มาตั้งแต่เด็กจนแก่ เขาเคยชินกับพฤติกรรมแบบนี้ ถึงแม้ว่า เราจะมองว่ามันสูงไป แต่เราก็ต้องคล้อยตามพฤติกรรมของเขาด้วย”

ผศ.ดร.วุฒิกานต์ กล่าวว่า ปัจจุบัน จังหวัดน่าน มีการปรับภูมิทัศน์ ได้แก่ 1.ที่ชุมชนบ้านน้ำล้อม ต.ในเวียง อ.เมือง มีการจัดสภาพแวดล้อมบ้านผู้สูงอายุกลุ่มยากไร้และอยู่เพียงลำพัง โดยปรับปรุงห้องน้ำ บันได พื้นบ้าน จัดระเบียบของใช้ และเพิ่มสิ่งอำนวยความสะดวก 2.ศาสนสถาน มีการปรับปรุงพื้นที่ และอาคารสาธารณะ เช่น แก้ไขพื้นผิวทาง เพิ่มราวจับ 3.ตลาดชุมชนบ้านพระเนตร มีการปรับห้องน้ำสาธารณะ เพิ่มราวจับ 4.เตรียมสร้างศูนย์ดูแลผู้สูงวัย แบบไปเช้า-เย็นกลับ (DAYCARE) ที่โรงพยาบาลน่าน มีเนื้อที่ใช้สอย 700 ตารางเมตร เพื่อลดความแออัดในโรงพยาบาล โดยออกแบบให้เป็นสถานบริบาลให้ผู้สูงอายุมาตรวจเช็คร่างกาย ทำกายภาพบำบัด รับยา และจัดร่วมกิจกรรมที่เหมาะสมกับช่วงวัย เพื่อให้ผู้สูงอายุมีกิจกรรมทำนอกบ้าน ไม่ต้องอยู่บ้านเพียงลำพัง ช่วยลดความกังวลของบุตรหลาน

ทั้งนี้ สำหรับเส้นทางที่จะนำ “น่านโมเดล” ก้าวไปสู่ความเป็น “น่านที่ยั่งยืน” ผศ.ดร.วุฒิกานต์ ในฐานะคนทำงานคลุกคลีกับจังหวัดนี้มาพอสมควร มองว่า สุดท้ายแล้วสิ่งที่จะคงอยู่คู่กับน่านคือองค์ความรู้ที่ยั่งยืน ซึ่งถือเป็นหัวใจของ UDC อย่างไรก็ดี แผนอนาคตอันใกล้นี้คงมีการเตรียมขยายพื้นที่ไปอีก 15 อำเภอในจังหวัดน่าน

ตัวอย่างท้องถิ่นเข้มแข็ง
พัฒนาไปด้วยกัน ไปได้ไกล

นายณกรณ์ ศิริรัตน์พิริยะ รองนายกเทศบาลเมืองน่าน
นายณกรณ์ ศิริรัตน์พิริยะ รองนายกเทศบาลเมืองน่าน

ส่วนอีกหนึ่งความร่วมมือที่ขาดไม่ได้จากภาคท้องถิ่น นายณกรณ์ ศิริรัตน์พิริยะ รองนายกเทศบาลเมืองน่าน เล่าว่า เทศบาลเมืองน่านได้ปรับปรุงสถานที่เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้สูงอายุและผู้พิการ ด้วยการเพิ่มทางลาดในทุก ๆ อาคารรวมทั้งในจุดจอดรถ นอกจากนั้นยังมีวีลแชร์ รถราง รถสามล้อไฟฟ้า และรถ 1669 ไว้รอบริการประชาชน ปัจุบันเทสบาลเมืองน่านมีการปรับปรุง อาคารจามจุรี อาคารพญานาคของศูนย์ท่องเที่ยวเมืองน่าน และอาคารสำนักงานเทศบาลเมืองน่าน และยังบูรณาการทำงานกับหลายฝ่ายในการสำรวจชุมชนเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมตามความต้องการของประชาชน ทั้งนี้เทศบาลเมืองน่านได้ส่งทีมประเมินบ้านของผู้สูงอายุ คนพิการ เป็นประจำ และมีทีมอนุกรรมการลงพื้นที่สำรวจเยี่ยมบ้านทุกวันพุธ เพื่อนำข้อเสนอต่าง ๆ ของประชาชนนำไปวางแผนการพัฒนาให้เหมาะสม

นอกจากนี้ยังได้ทำบันทึกข้อตกลง (MOU) ร่วมกับ 4 หน่วยงาน ได้แก่ โรงพยาบาลน่าน จุฬาภรณ์ราชวิทยาลัย สมาคมสถาปัตย์ภาคเหนือ และวิทยาลัยชุมชนในการดูแลผู้สูงอายุ เพื่อพัฒนาแนวทางการทำงาน UD ในจังหวัดน่าน ให้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ประชาชนได้รับประโยชน์อย่างแท้จริง

“การดูแลประชาชนถือเป็นภารกิจของเทศบาลอยู่แล้วที่ต้องบำบัดทุกข์ บำรุงสุขประชาชน ซึ่งในวันนี้รู้สึกยินดีที่ สสส. ลงพื้นที่และให้ความรู้กับทีมงานของกองช่างและชุมชน เพื่อจะได้ป้องกันการหกล้มในบ้านพักอาศัย ทั้งนี้ บทบาทเทศบาลในการพัฒนาเมืองน่าน เราถือว่า เราเป็นผู้ปฏิบัติมากกว่า โดยร่วมกับหลายภาคีเครือข่าย ทั้งนี้ ส่วนสิ่งที่กังวลมากที่สุดคือวิธีแนวทางปฏิบัติ ซึ่งต้องยอมรับว่า มีบางส่วนที่ยังไม่สามารถดำเนินการได้แบบ 100% แต่ถึงอย่างนั้นเราในนามของท้องถิ่น เราก็จะดูแลพี่น้องประชาชนให้อยู่อย่างมีความสุข ครอบคลุมทุกมิติ โดยเริ่มจาการปรับปรุงพื้นที่ของเราให้ดีที่สุดก่อน” นายณกรณ์ กล่าวทิ้งท้าย

11 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์


57
เดลินิวส์

ฝากขังหมอศัลยกรรมชื่อดังระดับประเทศ พลาดทำ ‘พริตตี้สาว’ เป็นเจ้าหญิงนิทรา

เจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.สุทธิสาร คุมตัวหมอศัลยกรรมชื่อดังระดับประเทศ ไปฝากขังที่ศาลแขวงพระนครเหนือ พร้อมคัดค้านการประกันตัว หลังพลาดทำ 'พริตตี้สาว' เป็นเจ้าหญิงนิทรา

จากกรณีเมื่อวันที่ 29 ก.พ. ที่ผ่านมา “กัน จอมพลัง” พาพี่ชายของพริตตี้สาว เข้าติดตามคดี ที่ สน.สุทธิสาร หลังจากน้องสาวเข้าทำศัลยกรรมที่คลินิกแห่งหนึ่ง ก่อนเกิดความผิดพลาดจนน้องสาวกลายเป็นเจ้าหญิงนิทรา สูญเงินรักษาตัวหลายล้านบาท แต่ทางคลินิกไม่มีการดูแล ตามที่นำเสนอไปแล้วนั้น

เมื่อวันที่ 13 มี.ค. พนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร ควบคุม “นายแพทย์” ศัลยกรรมชื่อดังระดับประเทศ ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลแขวงพระนครเหนือที่ 130/2567 ลงวันที่ 8 มี.ค. 67 ข้อหา “กระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นเป็นอันตรายสาหัส” ภายหลังจับกุมได้ในพื้นที่ อ.เมือง จ.เชียงราย และเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวมาส่งให้พนักงานสอบสวน สน.สุทธิสาร เมื่อคืนวันที่ 12 มี.ค. ที่ผ่านมา โดยผู้ต้องหาให้การปฏิเสธข้อกล่าวหา ไปฝากขังที่ศาลแขวงพระนครเหนือ พร้อมคัดค้านการประกันตัว

ทั้งนี้ นายกัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวชย์ หรือ กัน จอมพลัง พร้อมด้วย นายอภิภู หิรัณยณิช อายุ 31 ปี พี่ชาย น.ส.ชาญาฎา หิรัณยณิช หรือน้องนิ้ง พร้อมทนายความ มาดูหน้าผู้ต้องหา ขณะออกจากห้องขังเดินมาที่รถควบคุมผู้ต้องหา

ต่อมาได้มีการโต้เถียงกันระหว่าง นายอภิภู พี่ชายของผู้เสียหาย กับ นายนคร สะอาด ทนายความของผู้ต้องหา ซึ่งนายนคร ยืนยันว่า ที่ผ่านมาทางคลินิกได้มีการเยียวยาชดใช้ไปแล้วกว่า 1 ล้านบาท และมีเงินจากทางกรมบังคับคดี ก็มีการยึดทรัพย์สินไปมูลค่าเกินคำพิพากษา และมีกระบวนการขายทอดตลาด และมีเงินเข้ามาในระบบ ซึ่งทางผู้เสียหายมีสิทธิไปยื่นร้องขอได้ ส่วนด้านคดีความนั้น ก็จะต้องต่อสู้กันต่อไป และยืนยันว่าที่ผ่านมา ลูกความของตนรู้สึกเสียใจและรู้สึกผิดมาโดยตลอด

ขณะที่ นายอภิภู ก็โต้แย้งว่า เรื่องนี้ควรมีวิธีที่รับผิดชอบน้องสาวตนที่ดีกว่านี้ เพราะมีการสู้คดีมาอย่างยาวนาน ทางแพทยสภาก็ได้ตัดสินแล้วว่าคลินิกมีความผิด เรื่องการบังคับคดีหรือการยึดทรัพย์เป็นเรื่องทางกฎหมาย แต่การเยียวยาที่แท้จริงยังไม่เกิดขึ้น เพราะครอบครัวผู้เสียหายต้องเสียค่าใช้จ่ายในการต่อสู้คดี ต้องไปกู้หนี้ยืมสินเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการเดินทาง แล้วรู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมที่จะต้องไปรับค่าเสียหายเองจากกรมบังคับคดี เพราะตนรู้สึกว่ามันไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเหนื่อยในการที่จะมาตามเรื่อง พร้อมกับฝากเป็นอุทาหรณ์ในการศัลยกรรม ให้เลือกสถานที่และเช็กข้อมูลแพทย์ให้ละเอียด พร้อมกับฝากถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่ดูแลในเรื่องการศัลยกรรม วันนี้ได้นำคำสั่งแพทยสภามายื่นตามที่แพทยสภาได้มีการวินิจฉัยแล้วว่า หมอเป็นผู้กระทำความผิดจริง และมีความผิดพลาดในการทำศัลยกรรมให้คนไข้

ทั้งนี้ กัน จอมพลัง ก็ได้เสนอว่า หลังจากนี้จะให้ทั้งสองฝ่ายมาพูดคุย เพื่อหาข้อยุติของเรื่องนี้ โดยจะประสานกับกระทรวงสาธารณสุข เป็นหัวหน้าหน่วยงานของแพทยสภา ส่วนเรื่องคดีความก็ต้องต่อสู้กันไป แต่เรื่องการเยียวยานั้น ยังอยากให้ฝั่งหมอและคลินิกแสดงความรับผิดชอบมากกว่านี้

https://www.dailynews.co.th/news/3253382/

58
"แข่งเรือลือเลื่อง เมืองงาช้างดำ จิตรกรรมวัดภูมินทร์ แดนดินส้มสีทอง เรืองรองพระธาตุแช่แห้ง" คำขวัญประจำจังหวัดที่บ่งบอกความเป็น เมืองเก่าที่ยังมีชีวิต ได้เป็นอย่างดี เรากำลังพูดถึงเมือง “น่าน” หมุดหมายเล็ก ๆ ในภาคเหนือที่ยังคงไว้ซึ่งความเรียบง่าย มีเอกลักษณ์โดดเด่นทั้งทางด้านวัฒนธรรมประเพณี แหล่งท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ และวิถีชีวิตคนท้องถิ่น

และอีกหนึ่งความน่าสนใจของ จังหวัดน่าน ที่ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงคือ “การพัฒนาที่เข้มแข็งแต่ยังคงซึ่งเสน่ห์ของเมืองน่านไว้”

น่าน…น่าอยู่ ปลดล็อกเมืองเก่าที่มีชีวิต
สร้างเมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล
“เรามั่นใจความเป็นน่านของเรา อธิบายความเป็นน่าน เสมือนน่านเป็นหนึ่งเดียว เรามีครบทุกมิติ มิติวิถีชีวิตความเป็นเมืองที่ปกครองตนเอง วิถีชีวิตของความเป็นคนน่าน วิถีชีวิตการเป็นอยู่ผสมผสานอารยธรรม วิถีชีวิตของประเพณีวัฒนธรรม ทุกมิติตรงนี้มันเอื้อต่อการที่เราจะเป็น 1 ใน 10 ต้นแบบเมืองสุขภาพดี (Healthy & Wellness City) ผมเชื่อว่า เราพร้อมแล้ว ซึ่งคนในประเทศก็กำลังให้ความสนใจว่า น่านกำลังจะเป็นดาวเด่นขึ้นมา เพราะฉะนั้นแรงขับเคลื่อนจากภายนอกเองก็จะเป็นพลังสำคัญเช่นกัน” นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รมว.สาธารณสุข กล่าวบนเวทีเปิดงาน “เมืองอารยสถาปัตย์ เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล จังหวัดน่าน” ในฐานะประธานเปิดงานและฐานะเจ้าบ้าน

"เมืองอารยสถาปัตย์ เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล" จึงเป็นอีกหนึ่งแนวทางที่เกิดขึ้น โดยมีเป้าหมายหลักเพื่อขับเคลื่อน “น่านโมเดล” สู่ 1 ใน 10 เมืองต้นแบบสุขภาพ โดยจะพัฒนาสถานที่ท่องเที่ยว สถานที่สาธารณะให้ครอบคลุมทุกมิติทั้งสภาพแวดล้อม อารยสถาปัตย์ สิ่งอำนวยความสะดวก เอื้อต่อกลุ่มเปราะบางอย่างผู้สูงอายุและคนพิการ ให้สามารถออกจากบ้านมาใช้ชีวิต ทำกิจกรรมร่วมกับคนในชุมชนได้อย่างสะดวกและปลอดภัย ภายใต้แนวคิดการออกแบบ Universal Design (UD) หรือการออกแบบเพื่อคนทั้งมวล ถือเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อขับเคลื่อนสู่ภาพใหญ่อย่างการเป็น เมืองมรดกโลก ในเร็ว ๆ นี้

โดยครั้งนี้เป็นการร่วมมือครั้งสำคัญของหลากหลายหน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น สํานักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) รวมพลังกับ มูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล จังหวัดน่าน การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เทศบาลเมืองน่าน(ทม.น่าน) องค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) และภาคีเครือข่าย

นพ.ชลน่าน กล่าวต่อว่า เมืองอารยสถาปัตย์ เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล มีเป้าหมายเพื่อขับเคลื่อนเมืองสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) ตลอดจนส่งเสริมสิทธิความเท่าเทียมของผู้ที่มีข้อจำกัดทางด้านร่างกายและรองรับสังคมผู้สูงอายุ โดยไม่มีข้อจำกัดเรื่องใด ๆ ทุกคนต้องมีสิทธิ์ ทุกคนต้องเข้าถึงการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล โดยจังหวัดน่านจะถือเป็นจังหวัดแรกของประเทศไทยภายใต้นโยบายเมืองสุขภาพดี (Blue Zone) ของกระทรวงสาธารณสุข

จากข้อมูล ปัจจุบันประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ด้วยจำนวนผู้สูงอายุกว่า 13 ล้านคน คิดเป็น 20 % ของประชากรไทย และมีคนพิการมากกว่า 2.1 ล้านคน คิดเป็น 3% ของประชากรไทย ในขณะที่จังหวัดน่าน มีจำนวนประชากรเพียง 476,727 คน เฉพาะเทศบาลเมืองน่าน มีประชากรเพียง 18,788 คน แบ่งเป็นผู้สูงอายุกว่า 5,769 หรือคิดเป็นร้อยละ 30.71 ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมาก

“เราใช้คำว่า อารยสถาปัตย์ หรือการออกแบบที่เป็นมิตรกับทุกคน เพื่อทำให้ทุกคนเข้าถึงการให้บริการได้ทุกที่ ทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ที่ท่องเที่ยว สถานที่ให้บริการในภาครัฐ บริการสุขภาพ วัดวาอาราม สนามบิน ซึ่งสถานที่เหล่านี้จำเป็นต้องถูกออกแบบเพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยในการเข้าถึงในการใช้บริการ นี่จะเป็นแผนทั้งระยะเฉพาะหน้า ระยะกลาง และระยะยาวที่ร่วมกันวางไว้”

“สิ่งที่เราคาดหวังคือ เมื่อเราทำตรงนี้มันเหมือนการเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้าถึงได้ ทุกคนที่มาน่านก็จะเห็นว่า น่านเป็นต้นแบบ ซึ่งเรามีจุดแข็งเรื่องนี้อยู่แล้วโดยเฉพาะผู้สูงอายุ ผู้มีข้อจำกัดทางการเข้าถึง ถ้าเราปรับช่องทางตรงนี้ให้ดีขึ้น เป็นที่ได้รับการยอมรับโดยเฉพาะในมิติสากล นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะไทยหรือสากลเขาก็มา ก็จะเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวอีกรูปแบบหนึ่ง”

อย่างไรก็ดี ในฐานะเจ้าบ้าน นพ.ชลน่าน ย้ำด้วยความมั่นใจว่า “เราจะทำให้น่านเป็นต้นแบบของเมืองอารยสถาปัตย์และเมืองสุขภาพดี (Healthy & Wellness City)”

ทั้งนี้ กิจกรรมเปิดเมืองอารยสถาปัตย์ เมืองท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล จังหวัดน่าน ยังถือเป็นโครงการที่ตอบสนองนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงสาธารณสุข ในการส่งเสริมการจัดบริการสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub and Wellness) และระบบโลจิสติก เพื่อขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นเลิศในผลิตภัณฑ์ และการบริการด้านสุขภาพการรักษาพยาบาลในภูมิภาคเอเชีย มีเป้าหมาย 4 ด้าน ประกอบด้วย 1.ขับเคลื่อนเมืองสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) 2.ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Health & Wellness Tourism) 3.การท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล (Tourism for All) ของจังหวัดน่าน 4.ส่งเสริมสิทธิความเสมอภาคเท่าเทียมของคนพิการรองรับสังคมผู้สูงวัย (Aging Society) สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติ พ.ศ. 2561-2580 ด้านการสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วยการสร้างความหลากหลายด้านการท่องเที่ยว

นพ.ชลน่าน เสริมว่า นอกเหนือจาก Healthy & Wellness City ต่อไปอาจมีการสนับสนุนให้เกิด Product Hub ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพจากคนในพื้นที่ Service Hub บริการการรักษาพยาบาลให้กับนักท่องเที่ยว และ ศูนย์แพทศาสตร์ศึกษา สำหรับด้านการแพทย์ที่จะลงสู่ชุมชน ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งที่สามารถนำไปสู่การขับเคลื่อนเมืองสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub)

สสส. หนุนสร้างพื้นที่สุขภาวะ ที่เอื้อต่อกลุ่มเปราะบาง
พบผู้สูงอายุหกล้มในบ้านเกือบ 9 แสนคนต่อปี

สำหรับภาพรวมความสำเร็จของการขับเคลื่อนเมืองอารยสถาปัตย์ฯ มากน้อยแค่ไหนนั้น นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. ให้ข้อมูลว่า ภาพรวมของจังหวัดน่านตอนนี้ประมาณ 60-70% บางสถานที่มีข้อจำกัด บางพื้นไม่สามารถเจาะได้ บางพื้นเป็นปัญหาเรื่องโบราณสถาน ซึ่งอาจจะมีความลำบากในการทำทางลาดอะไรต่าง ๆ เข้าไป รวมถึงบางพื้นที่ก็อาจจะเป็นพื้นที่ที่ไม่ใช่พื้นที่ท่องเที่ยว 100% นักท่องเที่ยวไม่เยอะ ทั้งนี้ การที่จะพัฒนาทุกพื้นที่ให้เข้าถึงหมดอาจใช้งบประมาณจำนวนมาก ดังนั้น ในส่วนของท้องถิ่นจำเป็นต้องเลือกว่า พื้นที่ไหนเป็นพื้นที่ที่มีความสำคัญเป็นอันดับต้น ๆ และดำเนินการก่อนเพื่อทำให้เกิดการเข้าถึงที่มากขึ้น ตลอดจนสามารถพัฒนาสู่การเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวลได้ในลำดับต่อไป

แต่จะทำอย่างไรให้ทุกพื้นที่ ทุกภาคให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยวเพื่อคนทั้งมวล นั่นก็ยังเป็นโจทย์สำคัญที่ สสส. และภาคีเครือข่ายกำลังร่วมกันมองหาทางออก

นพ.พงศ์เทพ กล่าวต่อว่า การจัดกิจกรรมเปิดเมืองอารยสถาปัตย์ฯ เกิดจากความร่วมมือของทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดย สสส. มีบทบาทในการจุดประกาย กระตุ้น สาน และเสริมพลังภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน โดยเป้าหมายหลัก สสส. สนับสนุนให้ผู้สูงอายุและคนพิการได้ออกมาใช้ชีวิตในพื้นที่ต่าง ๆ อย่างมีอิสระ สนับสนุนองค์ความรู้เรื่องการออกแบบเพื่อทุกคน ปรับปรุง พัฒนา อาคาร สถานที่ ให้มีสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้สูงอายุ คนพิการและคนทั้งมวล ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ เอกชน ธุรกิจท่องเที่ยว โรงแรมต่าง ๆ โดยอาศัยภาคประชาสังคม ภาครัฐ ภาคประชาชน รวมทั้งภาควิชาการอย่างเครือข่ายสถาบันการศึกษาเข้าช่วย

จากข้อมูลพบว่า ปี 2564 มีผู้สูงอายุ 853,390 คน ระบุว่า เคยหกล้มในบริเวณบ้าพักมากที่สุด ผู้สูงอายุ 216,078 คน ที่เคยหกล้มภายในตัวบ้าน หกล้มในห้องน้ำมากที่สุด รองลงมาคือ ห้องนอน ระเบียงบ้าน และบันได ตามลำดับ

ขณะที่ข้อมูลคนพิการ ปี 2566 มีคนพิการที่มีบัตรประจำตัวคนพิการทั่วประเทศ 2.18 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นคนพิการทางการเคลื่อนไหวหรือทางร่างกาย ทั้งผู้สูงอายุและคนพิการ ถือเป็นกลุ่มที่มีความเปราะบางในการดำเนินชีวิต จากความเสื่อมถอยของร่างกายตามวัยของผู้สูงอายุ และข้อจำกัดในการใช้ชีวิตประจำวัน ทั้งการเดินทางผ่านระบบขนส่งสาธารณะ และการเข้าถึงสถานที่สาธารณะ

“น่านมีอีกหลายพื้นที่ที่จำเป็นต้องพัฒนาเพื่อสามารถทำให้ผู้สูงอายุและกลุ่มผู้พิการสามารถเข้าถึง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็จะเป็นการท่องเที่ยวในอนาคตเพราะว่า พอเราก้าวสู่สังคมสูงวัย แน่นอนว่า การติดบ้าน ติดเตียงก็จะตามมาในที่สุดก็จะส่งผลให้สุขภาพเสื่อมถอยมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ถ้าสามารถส่งเสริมให้ผู้สูงอายุสามารถที่จะไปท่องเที่ยวอย่างมีความสุขก็จะลดเรื่องภาวะซึมเศร้า ลดความรู้สึกถูกทอดทิ้ง แต่เขาสามารถที่จะรวมกลุ่มกันและไปในสถานที่ไหนก็ได้อย่างมีอิสระ ตรงนี้เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่สังคมไทยพยายามผลักดันนั่นก็คือสังคมเอื้ออาทรที่จะไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง” นพ.พงศ์เทพ เสริม

ดังนั้น สสส. คาดหวังว่า จังหวัดน่านในฐานะประตูบานแรก จะมีการพัฒนาและขับเคลื่อนเรื่องภูมิสถาปัตย์ อารยสถาปัตย์ ตลอดจนสามารถเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่น ๆ ได้เรียนรู้ จนกระทั่งครอบคลุมทั้งประเทศได้ อย่างไรก็ดี สสส. มองไปถึงการเป็นเมืองท่องเที่ยวที่เป็น Standard โลก หมายความว่า คนทั้งโลกเดินทางมาก็รู้สึกว่า ได้รับความสะดวกสบาย อำนวยความสะดวกเพื่อทุกกลุ่ม และสามารถไปโฆษณาประชาสัมพันธ์ประเทศไทยว่า มีการออกแบบเพื่อคนทั้งมวลที่เป็นมาตรฐานสากลได้

ทั้งนี้ เมืองอารยสถาปัตย์ฯ จะถูกขยายพื้นที่ต้นแบบไปอีกอย่างน้อย 10 จังหวัด ในประเทศไทย

มาเตอะ! วัดภูมินทร์ และ วัดสวนตาล
พลิกภาพจำเมืองเก่า ใคร ๆ ก็เที่ยวได้

จังหวัดน่านถือเป็นอีกหนึ่งจังหวัดที่มีสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อมากมาย อาทิ วัดพระธาตุเขาน้อย วัดภูมินทร์ ปู่ม่านย่าม่านกระซิบรัก วัดสวนตาล วัดพระธาตุเขาน้อย วัดช้างล้อม วัดช้างค้ำ วัดพระธาตุแช่แห้ง ที่ปี ๆ หนึ่งสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวกว่า 1,570,213 คน โดยเป็นข้อมูลในปี 2566 แบ่งเป็นนักท่องเที่ยวชาวไทย 1,554,216 คนและชาวต่างชาติ 15,997 คน สร้างรายได้ให้จังหวัดมากถึง 4,415 ล้านบาท

นายกฤษณะ ละไล ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล
นายกฤษณะ ละไล ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล

จุดมุ่งหมายแรกที่ทำคือ “วัดภูมินทร์” และ “วัดสวนตาล” นายกฤษณะ ละไล ประธานมูลนิธิอารยสถาปัตย์เพื่อคนทั้งมวล ให้เหตุผลว่า วัดภูมินทร์ ถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพื่อคนทั้งมวล เพราะเป็นสถานที่สำคัญที่อยู่คู่เมืองมามากกว่า 400 ปี นำแนวคิดอารยสถาปัตย์ ปรับบริเวณจุดทางลาดให้ถูกต้องหรือแพลตฟอร์มลิฟต์สำหรับขึ้นวิหาร ชมจิตรกรรมปู่ม่านย่าม่าน ปรับปรุงทางลาดบริเวณฟุตบาทรอบวัดและทำทางลาดจุดเชื่อมต่อต่าง ๆ ให้ผู้ที่ใช้วีลแชร์เข้าถึงได้ สะดวก ปลอดภัย ได้มาตรฐาน

ตามหลักอารยสถาปัตย์ 7 ประการ คือ 1.ความเสมอภาค ทุกคนใช้งานได้ ไม่เลือกปฏิบัติ 2.ความยืดหยุ่น ใช้งานได้กับผู้ที่ถนัดซ้ายและขวา หรือปรับสูงต่ำได้ตามความสูงของผู้ใช้ 3.เรียบง่ายและเข้าใจได้ดี เช่น มีภาพ คำอธิบาย สัญลักษณ์สากล สำหรับทุกกลุ่มไม่ว่าจะมีความรู้ระดับไหน อ่านหนังสือออกหรือไม่ 4.เข้าใจง่าย มีข้อมูลคำอธิบายหรือรูปภาพประกอบการใช้ 5.ปลอดภัยขณะใช้งานทนทาน 6.ทุ่นแรง สะดวก 7.มีขนาด-สถานที่ที่เหมาะสม ออกแบบคิดเผื่อสำหรับคนร่างกายใหญ่โต คนที่เคลื่อนไหวร่างกายยาก

“ที่ผ่านมาหลายท่าน หลายครอบครัวโดยเฉพาะครอบครัวที่มีผู้สูงอายุ ผู้พักฟื้นสุขภาพ ผู้พิการนั่งวิลแชร์ หรือใช้เครื่องอุปกรณ์ต่าง ๆ อาจจะไม่ค่อยกล้ามาเพราะด้วยภาพลักษณ์ของน่าน ด้วยความเป็นเมืองคลาสสิค เมืองเก่าโบราณ เกรงว่า มาแล้วก็จะต้องอุ้ม ต้องแบก ต้องหาม แต่ว่าปัจจุบันนี้น่านที่ผมมา ต้องบอกเลยว่า มันสะดวกขึ้นมากซึ่งผมเองก็นั่งวิลแชร์มาเหมือนกัน จังหวัดเขาพัฒนาทุกวันโดยเฉพาะเรื่องอารยสถาปัตย์ เพื่อจะตอบโจทย์และรองรับการท่องเพื่อคนทั้งมวล นี่เป็นเป้าหมายหลักที่ทุกภาคส่วนมาร่วมมือกัน”

นอกจากนั้น การเปิดเมืองฯ ในครั้งนี้ ยังถือเป็นการเปิดพื้นที่แลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างภาคีเครือข่ายภาครัฐ ภาคประชาสังคม ตลอดจนภาคประชาชน ตัวแทนจากโรงแรมที่พัก ร้านอาหาร ร้านกาแฟ และชุมชนท่องเที่ยวร่วมด้วย

“เราก็มีภารกิจไปอีกหลายจังหวัด ถ้าเป็นไปได้ก็อยากไปทั่วประเทศ ทุกเมืองท่องเที่ยว ทุกอำเภอ ทุกตำบลถ้าเป็นไปได้ แต่เฉพาะเร่งด่วน 2-3 ปีนี้ เราวางเป้าไว้ประมาณ 10 กว่าจังหวัด นอกจากน่านก็จะมีอุดรธานี เพราะอีก 3 ปี อุดรธานีมีโจทย์สำคัญคือการจัดงานอีเวนท์ระดับโลกอย่างพืชสวนโลก ดังนั้น จำเป็นต้องมีโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นสากลนั่นคืออารยสถาปัตย์ อย่างทางลาด ห้องสุขา ที่จอดรถ รถติดลิฟต์ และสายการบินก็ต้องพร้อม แน่นอนว่า ทุกจังหวัดจะได้รับประโยชน์พื้นฐานนั่นคือโอกาสทางธุรกิจ สังคมและการลงทุนที่เพิ่มมากขึ้น” นายกฤษณะ กล่าวถึงความตั้งใจต่อไป


11 มี.ค. 2567  ผู้จัดการออนไลน์

59
“พล.ต.ต.วิชัย” ยื่น ผู้ตรวจการแผ่นดิน ร้อง นพ.ชลน่าน ออกกฎหมายยาบ้า 5 เม็ด ชี้ขัด รธน.ยึดตรรกะคนล้นคุก ผลักภาระให้สังคม ท้าลงพื้นที่ถามความเห็นประชาชนด้วยกัน เชื่อร้อยคนไม่มีใครเห็นด้วย มอง คนเสพเป็นคนป่วยเป็นคำสวยหรู แท้จริงคือสันดาน

วันที่ 8 มีนาคม 2567 พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีกระทรวงสาธารณสุข ออกประกาศกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. 2567 หรือกฎหมายใหม่ที่ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าการครอบครองยาเสพติดต่ำกว่ากำหนด เช่น ยาบ้าไม่เกิน 5 เม็ดหรือยาไอซ์ไม่เกิน 100 mg เป็นการครอบครองเพื่อเสพ ให้ถือว่าผู้นั้นเป็นผู้ป่วย โดยมี พ.ต.ท.กีรป กฤตธีรานนท์ เลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เป็นผู้รับหนังสือ

พล.ต.ต.วิชัย กล่าวว่า ตนมาในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เห็นว่ากฎกระทรวงนี้เป็นผลร้ายต่อประชาชนมากกว่าผลดี เพราะเป็นการเปิดช่องให้เกิดผู้ค้ารายย่อยจำนวนมากขึ้น จำนวนคนเสพเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลร้ายต่อสังคม สร้างความเดือดร้อนให้แก่ประชาชน ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน ทั้งที่ประมวลกฎหมายยาเสพติดวางหลักไว้อย่างชัดเจนว่า ผู้ครอบครองยาเสพติดจะต้องได้รับโทษ ส่วนคนเสพก็เข้าสู่กระบวนการบำบัด แต่ทว่ากฎกระทรวงนี้เปิดช่องให้ผู้ครอบครองยาเสพติด 5 เม็ดเป็นผู้เสพ ต้องเข้าสู่กระบวนการบำบัด ซึ่งเป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ถูกจุด

นอกจากนี้ กฎกระทรวงดังกล่าวจะเปิดช่องให้เจ้าหน้าที่รัฐทุจริตเรียกรับเงินจากผู้กระทำความผิด ครอบครองยาเสพติด ให้สามารถปรับข้อหาสถานหนักให้กลายเป็นสถานเบาได้ เมื่อกฎหมายเปิดช่องเช่นนี้ ก็จะทำให้เกิดผู้ค้ารายย่อยเพิ่มมากขึ้น ผู้ติดยาเพิ่มมากขึ้น ยาเสพติดถูกนำเข้ามามากขึ้น และส่งผลให้อาชญากรรมเกิดมากขึ้น

ดังนั้น ตนจึงถือว่ากฎกระทรวงดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ เนื่องจากทำให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยและขัดศีลธรรมอันดีของประชาชน อีกทั้งขัดต่อกฎหมายอื่นๆ ได้แก่ ประมวลกฎหมายยาเสพติด วันนี้ตนจึงมายื่นหนังสือให้ทางผู้ตรวจการแผ่นดิน ดำเนินการแก้ไขปัญหาและตรวจสอบเรื่องนี้ก่อนพิจารณาส่งศาลปกครอง เพื่อเพิกถอนกฎกระทรวงดังกล่าวไม่ให้มีผลบังคับใช้ต่อไป

พล.ต.ต.วิชัย ระบุต่อว่า ในฐานะที่ตนเป็นอดีตนายตำรวจ การลดอาชญากรรมและปัญหายาเสพติดที่ถูกต้อง คือต้องลดจำนวนผู้เสพลง ไม่ใช่เพิ่มจำนวนยาที่ทำให้ถูกกฎหมาย กฎกระทรวงฉบับนี้ไม่ก่อประโยชน์อันใดแก่ประชาชน เพราะถึงขนาดทำให้เฮโรอีน ซึ่งถือเป็นยาเสพติดร้ายแรงและไม่สามารถบำบัดได้ ต้องมาพิจารณาว่า หากครอบครองไม่เกิน 300 มิลลิกรัม ให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นผู้เสพนั้น ตนมองว่า ยาเสพติดต่อให้เข้าสู่ร่างกายก็ถือว่าเป็นผู้เสพแล้ว จะมากำหนดจำนวนทำไม อีกทั้งผลงานวิจัยที่บอกว่า หากเสพเกิน 5 เม็ดขึ้นไป จะทำให้ผู้เสพเกิดอาการคุ้มคลั่งนั้น ตนมองว่านี่เป็นเรื่องในเชิงวิชาการ แต่ในความเป็นจริงนั้น มันไม่มีใครที่เสพเกินห้าเม็ดทีเดียว มีแต่เสพวันละเม็ดสะสมไปเรื่อยๆ จนทำให้เกิดอาการคุ้มคลั่ง จะมาพูดจาสวยหรูว่า มียาเสพติดเม็ดเดียวถือว่าจำหน่าย มันไม่ใช่ มียาเสพติดแค่เสี้ยวเดียวก็ถือว่าจำหน่ายได้ ต้องไปดูกฎหมายให้ชัดว่า แค่การแจกจ่ายก็ถือว่าเป็นการจำหน่าย

ส่วนที่ว่ามีกฎกระทรวงฉบับนี้เพื่อลดปริมาณคนล้นคุกนั้น ตนมองว่ายิ่งทำให้ประชาชนเดือดร้อน เพราะกลายเป็นการปล่อยให้คนเสพยาหลุดออกมาใช้ชีวิตในสังคม ก็ทำให้อาชญากรรมพุ่งขึ้น ตอนนี้แต่ละสถานีตำรวจต้องควบคุมคนคุมคลั่ง 4-5 รายต่อวัน และสิ่งที่น่าสงสัยก็คือ ถ้ามีนโยบายนำผู้เสพไปบำบัด แล้วทางรัฐบาลมีข้อมูลตัวเลขไหมว่าสามารถบำบัดผู้เสพยาเสพติดไปแล้วเท่าไร และศูนย์บำบัดยาเสพติดอยู่ที่ไหน ดังนั้นตนยืนยันว่า จะต่อสู้เรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

ด้านเลขาธิการสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน เปิดเผยว่า จะรับเรื่องนี้ไว้พิจารณา โดยถือว่าประเด็นหลักของเรื่องนี้คือ การขอให้ยกเลิกกฎกระทรวงฉบับดังกล่าว ซึ่งการยกเลิกกฎกระทรวงนั้นสามารถทำได้ 2 วิธีคือ หากผู้ตรวจการแผ่นดินพิจารณาแล้วพบว่า กฎกระทรวงดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญหรือขัดต่อกฎหมายอื่นๆ ก็จะส่งเรื่องให้ศาลปกครองดำเนินการยกเลิกกฎหมายดังกล่าว อีกวิธีการหนึ่งคือ หากผู้ตรวจการแผ่นดินเห็นว่า กฎกระทรวงฉบับนี้ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยและขัดศีลธรรมอันดีของประชาชน ก็จะเป็นอำนาจของผู้ตรวจการแผ่นดินที่สามารถวินิจฉัยยกเลิกกฎหมายได้

โดยหลังจากนี้ ทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดินจะส่งหนังสือให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ซึ่งในที่นี้ก็คือกระทรวงสาธารณสุข ชี้แจงภายใน 30 วัน หากข้อมูลเพียงพอต่อการวินิจฉัย ผู้ตรวจการแผ่นดินก็สามารถวินิจฉัยได้ทันที แต่ถ้าหากข้อมูลยังไม่เพียงพอ อาจจะมีการขอความเห็นจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ป.ป.ส. ในประเด็นเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐหรือในความเห็นอื่นๆ เพิ่มเติมมาประกอบการวินิจฉัยต่อไป

หลังจากที่หนังสือต่อผู้ตรวจการแผ่นดินเสร็จ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้กล่าวท้าทายไปยัง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกฎนี้ ให้ส่งตัวแทนของกระทรวง ร่วมลงพื้นที่ชุมชนไปพร้อมกับตัวแทนของตน เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับนโยบายยาบ้า 5 เม็ด ว่าประชาชนคิดเห็นเป็นเช่นไร โดยให้สื่อมวลชนไปร่วมทำข่าวและเป็นผู้เลือกสถานที่สำรวจ เพื่อที่จะได้ยืนยันว่า ไม่มีฝ่ายใดเตรียมการไว้ก่อน

ส่วนที่ถูกตั้งคำถามว่า เหตุใดถึงไม่มีการเข้าไปพูดคุยกับ นพ.ชลน่าน ที่กระทรวงสาธารณสุข พล.ต.ต.วิชัย ตอบว่า ตนไม่ได้มีอำนาจอะไร ขอเป็นประชาชนคนหนึ่งที่จะทำหน้าที่กระบอกเสียงในการดำเนินการเรื่องนี้ ขณะนี้เองตนก็กำลังหาช่องทางที่จะปรึกษา กกต. ในการถอดถอน นพ.ชลน่าน จากตำแหน่งรัฐมนตรี พร้อมทั้งระบุถึงท่าทีของ นพ.ชลน่าน ว่าไม่ได้มีการรับฟังอะไรจากตน เพราะเชื่อในงานวิจัยนักวิชาการกับตรรกะที่มองว่าคนล้นคุก จึงเป็นเหตุให้ต้องใช้กฎหมายฉบับนี้

พล.ต.ต.วิชัย ยังกล่าวทิ้งท้ายว่า การที่กระทรวงสาธารณสุขใช้คำนิยามว่า “ผู้ป่วยคือผู้เสพ” นั้นเป็นคำพูดที่สวยหรู แต่ความจริงคือมีคนเสพที่ติดเป็นสันดาน ติดเข้าเส้นเลือดแล้ว

8 มี.ค. 2567
ไทยรัฐออนไลน์

60
อดีตนายก ทต.ห้วยกระเจา โวย รพ.เอกชนชื่อดัง จ.สุพรรณบุรี ลูกชายแน่นหน้าอกกลางดึก รีบนำตัวไปรักษา ได้แต่กินยากรดไหลย้อน ปั๊มหัวใจนับชั่วโมงเพื่อรอหมอ สุดท้ายลูกชายตายคามือ เผยสุดเสียใจมารู้ทีหลังว่า รพ.ไม่มีหมอ

วันที่ 8 มี.ค. 67 นายสิริพงศ์ สืบเนียม หรือนายกพันธ์ อายุ 63 ปี อยู่บ้านเลขที่ 99/1 หมู่ 6 ต.ห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี อดีตนายกเทศมนตรีตำบลห้วยกระเจา อ.ห้วยกระเจา จ.กาญจนบุรี เปิดเผยว่า ช่วงเวลาเช้ามืดของวันที่ 6 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่นายศาสตรา สืบเนียม หรือฮาร์ท อายุ 42 ปี ลูกชายของตนกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ที่บ้าน อยู่ๆ ก็เกิดอาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออก จากนั้นภรรยาของลูกชายจึงรีบนำตัวส่งไปรักษาอาการที่โรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี โดยตนได้เดินทางไปดูอาการของลูกชายด้วยตนเอง

เมื่อลูกชายไปถึงโรงพยาบาลสภาพร่างกายยังคงแข็งแรง สามารถเดินขึ้นเปลเองได้ แต่ระหว่างที่นอนรอหมออยู่บนเปล อาการแน่นหน้าอกหายใจไม่ออกได้รุนแรงขึ้นถึงต้องดิ้นทุรนทุราย แต่ก็ยังไม่มีหมอมาดูอาการ มีเพียงพยาบาลเท่านั้นที่คอยดูและและนำยาแก้กรดไหลย้อนให้ลูกชายกิน แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น มีแต่จะทรุดลง ซึ่งทุกคนต้องช่วยกันปั๊มหัวใจอยู่ตลอดเวลานานนับชั่วโมงจนกระทั่งเวลาประมาณ 06.00 น. ลูกชายของตนได้เสียชีวิตลง

นายสิริพงศ์ กล่าวว่า ก่อนที่ลูกชายจะเสียชีวิตลงนั้น ตนได้พยายามพูดคุยกับทางโรงพยาบาลเอกชนแห่งนั้น เพื่อขอให้นำรถของโรงพยาบาลส่งตัวลูกชายไปรักษาที่โรงพยาบาลสนามจันทร์ ซึ่งตนได้โทรศัพท์ไปที่โรงพยาบาลสนามจันทร์แล้ว แต่ทางโรงพยาบาลเอกชนก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร ได้แต่บอกว่าให้รอทำเอกสารส่งตัวก่อน ซึ่งขณะนั้นได้พูดคุยกับลูกสะใภ้และลูกชายคนโตว่าจะเอารถส่วนตัวนำลูกชายไปส่งโรงพยาบาลสนามจันทร์ด้วยตัวเอง แต่ก็กลัวว่าลูกชายจะเป็นอะไรระหว่างเดินทาง หากได้รถโรงพยาบาลไปส่งก็น่าจะปลอดภัยกว่าเพราะมีทั้งพยาบาลและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่พร้อมกว่าที่ตนจะเอารถไปส่งลูกชายเอง

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ลูกชายเสียชีวิตลง ครั้งแรกตนไม่ได้คิดอะไรมาก โดยแพทย์ได้เขียนในใบมรณะระบุว่า สาเหตุที่ลูกชายเสียชีวิต เป็นเพราะเกิดจาก “กล้ามเนื้อหัวใจตาย” จึงนำศพลูกชายไปตั้งบำเพ็ญกุศลที่บ้าน ซึ่งก็มีครอบครัวรวมทั้งญาติและผู้ที่รู้จักมักคุ้นไปมาร่วมแสดงความเสียใจจำนวนมาก และเมื่อวันที่ 7 มี.ค.ที่ผ่านมาได้มีเพื่อนที่เป็นนักการเมืองท้องถิ่นคนหนึ่งในพื้นที่ อ.อู่ทอง จ.สุพรรณบุรี เดินทางมาร่วมงานศพของลูกชาย มีการพูดคุยสอบถามถึงสาเหตุการเสียชีวิต ซึ่งตนก็เล่าให้ฟัง เมื่อเพื่อนคนนั้นฟังว่าตนนำลูกชายไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนดังกล่าว เพื่อนถึงกับตกใจพร้อมกับเล่าว่าโรงพยาบาลที่นำลูกชายไปรักษานั้นเป็นโรงพยาบาลที่แทบจะไม่มีหมอ หรือมีก็น้อยมาก คนในพื้นที่ต่างก็รู้ดี หากไม่จำเป็นก็ไม่ไปรักษาที่โรงพยาบาลนี้แต่จะไปรักษาที่โรงพยาบาลอื่นแทน เพราะมีหมอที่พร้อมกว่า

หลังจากทราบข้อมูลดังกล่าวจากเพื่อน ตนกับครอบครัวต่างรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เพราะหากทางโรงพยาบาลเล่าความจริงให้ทราบตั้งแต่แรกลูกชายก็คงจะไม่เสียชีวิตลงเช่นนี้ สิ่งที่ทางครอบครัวติดใจ คือทำไมโรงพยาบาลจึงไม่ยอมบอกให้เราทราบความจริงว่าโรงพยาบาลไม่มีหมอในการรักษา เท่านั้นเอง หลังจากนี้จะปรึกษากับครอบครัวและญาติ รวมทั้งจะร้องเรียนไปยังนายศักดิ์ดา วิเชียรศิลป์ สส.กาญจนบุรี เขต 4 พรรคเพื่อไทย เพื่อหารือว่าจะทำอย่างไรต่อไปกับโรงพยาบาลแห่งนี้

8 มี.ค.2567
ไทยรัฐ

หน้า: 1 2 3 [4] 5 6 ... 651