4. ศาล พิพากษาจำคุก 2 คนร้ายปาบึ้มศาลอาญา ฐานละเมิดศาล คนละ 5 เดือน ด้าน ตร.ออกหมายจับผู้จ้างวาน-ผู้ร่วมขบวนการ 19 คนแล้ว!
ความคืบหน้าคดีคนร้ายปาระเบิด RGD-5 ใส่ศาลอาญา ถนนรัชดา เมื่อคืนวันที่ 7 มี.ค. โดยเจ้าหน้าที่สามารถจับกุมคนร้ายได้ทันควัน คือ นายมหาหิน ขุนทอง คนขี่รถจักรยานยนต์ และนายยุทธนา เย็นภิญโญ คนทำหน้าที่ปาระเบิด จากนั้นมีการสอบขยายผล จนนำไปสู่การออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการเพิ่มเติม ประกอบด้วย น.ส.ณัฏฐ์พัชร์ อ่อนมิ่ง ภรรยานายมหาหิน ,น.ส.ธัชพรรณ ปกครอง ภรรยานายยุทธนา ,นายสรรเสริญ ศรีอุ่นเรือน ,นายวิชัย หรือตั้ม อยู่สุข ,นายณเรศ อินทรโสภา เจ้าของร้านนมสดใน จ.ขอนแก่น สถานที่ประชุมวางแผน และรับค่าจ้าง 20,000 บาท ,นางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือเดียร์ ผู้จ้างวานทางไลน์ ,นายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือ ใหญ่ พัทยา ผู้จัดหาอาวุธ ,นายชาญวิทย์ จริยานุกูล ,นายนรภัทร เหลือผล หรือบาส ,นายมนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน ผู้จ้างวานและผู้ต้องหากระทำผิดมาตรา 112 ,นางวาสนา บุษดี ,นายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ รวม 14 ราย ซึ่งบางส่วนจับกุมได้แล้ว บางส่วนยังหลบหนี ขณะที่เจ้าหน้าที่ยังคงสอบขยายผลเพิ่มเติมนั้น
เมื่อวันที่ 17 มี.ค. เจ้าหน้าที่ทหารกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 ได้คุมตัวผู้เกี่ยวข้องกับการปาระเบิดใส่ศาลอาญาส่งให้ตำรวจเพิ่มเติม 3 ราย คือ นางวาสนา บุษดี ,นายณเรศ อินทรโสภา และ น.ส.ณัฏฐธิดา มีวังปลา หรือแหวน โดยก่อนหน้าทหารจะนำตัวทั้งสามมาส่งมอบให้ตำรวจดำเนินคดี นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ นปช.ซึ่งสังกัดกลุ่มนักกฎหมายอาสาเพื่อสิทธิมนุษยชน ได้ออกมาระบุว่า น.ส.ณัฏฐธิดา หรือแหวน ซึ่งเป็นพยาบาลอาสาสมัคร และพยานปากเอกในคดี 6 ศพวัดปทุมวนาราม ถูกทหารนำตัวไปจากบ้านที่ จ.สมุทรปราการ ตั้งแต่วันที่ 11 มี.ค. โดยไม่ทราบว่านำตัวไปไหนและด้วยเหตุผลใด
ด้านตำรวจ หลังรับมอบตัวและสอบปากคำผู้ต้องหาทั้งสามแล้ว ได้ดำเนินคดีนายณเรศ ข้อหาร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนนางวาสนาและ น.ส.ณัฏฐธิดา ดำเนินคดีข้อหาร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันจ้างวานให้ผู้อื่นกระทำผิดฐานพยายามฆ่า
ต่อมา พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้นำทีมตำรวจแถลงข่าว โดย พล.ต.ต.ชยพล ฉัตรชัยเดช ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 6 แจกแจงพฤติการณ์ของกลุ่มผู้ต้องหาคดีปาระเบิดใส่ศาลอาญาว่า คนร้ายมีการดำเนินการ 2 ครั้ง ครั้งแรกจ้างวานเมื่อเดือน ก.พ. กลุ่มที่จ้างวานเป็นชุดเดียวกัน คือ นายมนูญ ชัยชนะ หรือเอนก ซานฟราน โอนเงินล็อตแรก โดยประสานกับนางสุภาพร หรือเดียร์ พบการโอนเงินให้นายวสุ เอี่ยมละออ 50,000 บาท นายวสุโอนเงินให้นางวาสนาเมื่อวันที่ 3 ก.พ.จำนวน 47,000 บาท มี น.ส.ณัฏฐธิดาที่รู้จักกันเป็นคนหาบุคคลที่จะลงมือวางระเบิด คือนายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ
ซึ่งนายสุรพลให้การว่า สามารถที่จะวางระเบิดได้ 5 จุด ได้แก่ กรมทหารราบที่ 11 สวนลุมพินี ทางลงรถไฟฟ้าใต้ดินสถานีจตุจักร ศาลอาญา และลานจอดรถโรงแรมสยามเคมปินสกี้ โดยตกลงเงินจุดละ 10,000 บาท แต่หลังจากโอนเงินให้ล่วงหน้า 15,000 บาทแล้ว นายสุรพลไม่สามารถก่อเหตุได้ตามที่ตกลงไว้ ซึ่งถือว่าความผิดฐานจ้างวานเรื่องก่อการร้าย เป็นความผิดสำเร็จแล้วในครั้งแรก
ส่วนการจ้างวานครั้งที่สอง นายเอนก-นางสุภาพร และนางวาสนา ได้เปลี่ยนตัวผู้ลงมือก่อเหตุใหม่ โดยประสานไปทางนายวิระศักดิ์ หรือใหญ่ พัทยา ให้จัดหาระเบิดและปืน นำไปให้นายมหาหินและนายยุทธนาก่อเหตุ โดยก่อเหตุได้ 1 จุดที่ศาลอาญาเมื่อคืนวันที่ 7 มี.ค. ซึ่งเห็นได้ว่า การวางแผนก่อเหตุทั้ง 2 ครั้งทำกันเป็นขบวนการ มีการวางแผนใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน รวมทั้งจะระเบิดทั่วประเทศ 100 จุด น.ส.ณัฏฐธิดาอยู่ในเรื่องของการโอนเงินเข้าไป ซึ่ง น.ส.ณัฏฐธิดารู้จักกับนายสุรพล จากนั้นก็แนะนายสุรพลให้รู้จักกับคนในกลุ่ม
หลังสอบปากคำ ตำรวจได้นำตัวผู้ต้องหาทั้งสามไปขอศาลทหารฝากขัง ขณะที่นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนาย นปช.ยื่นหลักทรัพย์ขอประกันตัว น.ส.ณัฏฐธิดา และนางวาสนา แต่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัว เนื่องจากคดีมีความร้ายแรง เกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี
สำหรับ น.ส.ณัฏฐธิดานั้น นอกจากโดนข้อหาร่วมกันก่อการร้ายแล้ว ยังถูกทหารแจ้งความดำเนินคดีข้อหาหมิ่นสถาบันด้วย เนื่องจากเมื่อวันที่ 8 มี.ค. น.ส.ณัฏฐธิดา ได้นำข้อความที่มีผู้โพสต์ในไลน์ กลุ่มไทยภาคี ที่เป็นข้อความหมิ่นเบื้องสูง ไปโพสต์ต่อในกลุ่ม DNP แอนด์เพื่อนแม้ว ซึ่งกลุ่มไลน์ดังกล่าวมีนางสุภาพร หรือเดียร์ ร่วมอยู่ด้วย นอกจากนี้ยังนำข้อความดังกล่าวไปโพสต์ลงในกลุ่มไลน์ GERRARD ด้วย
วันต่อมา(18 มี.ค.) ทหารจากกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 ได้นำตัวผู้ต้องหาที่ครบกำหนดควบคุมตัว 7 วันตามกฎอัยการศึกมาส่งมอบให้ตำรวจเพิ่มเติมอีก 2 ราย คือนายเจษฎาพงษ์ วัฒนพรชัยสิริ และนางสุภาพร มิตรอารักษ์ หรือเดียร์ จากนั้นตำรวจได้สอบปากคำผู้ต้องหาทั้งสอง โดยมี พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ร่วมสอบด้วย โดยตำรวจระบุว่า นางสุภาพร ถือเป็นกลุ่มทุนสำคัญในประเทศ ขณะที่นายเอนก ซานฟราน เป็นกลุ่มทุนสำคัญต่างประเทศที่สนับสนุนเงินในการก่อเหตุ นอกจากนี้นางสุภาพรยังเป็นมีประวัติเป็นระดับแกนนำในกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองด้วย ทั้งนี้ วันเดียวกันตำรวจได้นำตัวนางสุภาพร นายมหาหิน และนายยุทธนา ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ จ.มุกดาหาร ก่อนนำตัวนางสุภาพรและนายเจษฎาพงษ์ไปขอศาลฝากขังในเวลาต่อมา
ล่าสุด เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ทหารจากกองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ 11 ได้นำตัวผู้ต้องหามาส่งมอบให้ตำรวจเพิ่มอีก 3 ราย คือ นายวสุ เอี่ยมละออ ,นายสุรพล เอี่ยมสุวรรณ และนายสมชัย อภินันท์ถาวร หลังสอบปากคำ ตำรวจได้แจ้งข้อหาร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันเป็นอั้งยี่ ร่วมกันจ้างวานใช้ ร่วมกันพยายามฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน มีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และพกพาอาวุธปืนไปในเมืองโดยไม่มีเหตุอันควร
ด้าน พล.ต.ท.ประวุฒิ ถาวรศิริ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยว่า ขณะนี้ได้ออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการแล้ว 19 ราย ตามจับได้แล้ว 16 ราย ยังเหลืออีก 3 ราย คือ นายมนูญ ชัยชนะ หรืออเนก ซานฟราน ,นายวิระศักดิ์ โตวังจร หรือใหญ่ พัทยา และนายธนาวุฒิ อภินันท์ถาวร โดยในส่วนของนายมนูญ หรือเอนก ซานฟราน นั้น ตำรวจอยู่ระหว่างประสานงานกับตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพล เพื่อขอทราบว่าหลบหนีอยู่เมืองใดประเทศใด ก่อนส่งหมายแดงให้ประเทศนั้นเพื่อส่งตัวกลับมาตามสนธิสัญญาส่งผู้ร้ายข้ามแดน โดยมีความเป็นไปได้สูงที่ไทยจะได้ตัวนายเอนก ซานฟราน เพราะข้อหาก่อการร้ายถือเป็นข้อหาสากลที่ประเทศสมาชิกในสนธิสัญญาฯ มีข้อหานี้อยู่ทั้งสิ้น
สำหรับคดีปาระเบิดใส่ศาลอาญานี้ เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ศาลอาญาได้มีคำพิพากษาคดีแรกในส่วนของนายมหาหิน คนขี่จักรยานยนต์ และนายยุทธนา คนปาระเบิด ฐานละเมิดอำนาจศาลแล้ว เนื่องจากการกระทำดังกล่าวเป็นการสร้างความเดือดร้อนวุ่นวายภายในศาล และสร้างความตระหนกตกใจแก่ประชาชน พิพากษาจำคุกทั้งสองคนๆ ละ 5 เดือน ไม่รอลงอาญา
5. อัยการ ส่งฟ้อง 11 ผู้ต้องหายักยอกเงิน สจล. 1,600 ล้านแล้ว ประสาน ตร.ออกหมายจับอีก 3 ที่ยังหลบหนี!
ความคืบหน้าคดียักยอกเงินสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง(สจล.) กว่า 1,600 ล้านบาท เมื่อวันที่ 17 มี.ค. พนักงานอัยการคดีอาญา 11 (อัยการจังหวัดมีนบุรี) ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายทรงกลด ศรีประสงค์ อดีตผู้จัดการธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์, น.ส.อำพร น้อยสัมฤทธิ์ ผอ.ส่วนกลางคลัง สจล. , นายพูนศักดิ์ บุญสวัสดิ์, น.ส.จันทร์จิรา โสประดิษฐ์, นายสมบัติ โสประดิษฐ์, นางระดม มัทธุจัด, นายจริวัฒน์ สหพรอุดมการ, นายภาดา บัวขาว, นายถวิล พึ่งมา อดีตอธิการบดี สจล. , นายสรรพสิทธิ์ ลิ่มนรรัตน์ อดีตผู้ช่วยอธิการบดี สจล. และนายศรุต ราชบุรี อาจารย์คณะครุศาสตร์อุตสาหกรรม สจล. เป็นจำเลยที่ 1-11 ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์, ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารสิทธิปลอม, ร่วมกันปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอม, เป็นพนักงานร่วมกันเบียดบังทรัพย์นั้นเป็นของตน หรือผู้อื่นโดยทุจริต, เป็นพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ, ร่วมกันฟอกเงิน และอื่นๆ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147, 157, 264, 265, 266, 268, 335, พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์กร หรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 มาตรา 3, 4, 8, 11 และ พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปราบการฟอกเงิน พ.ศ. 2542 มาตรา 3, 5, 7, 10 และ 60
ทั้งนี้ คำฟ้องสรุปว่า เมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 55 น.ส.อำพร ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการส่วนการคลัง สจล. ได้ทำบันทึกถึงนายสมศักดิ์ คูหาสวรรค์เวช ผู้ช่วยอธิการบดี ปฏิบัติหน้าที่แทนอธิการบดี (ในขณะนั้น) ขอถอนเงินของ สจล.จากบัญชีออมทรัพย์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา สาขา สจล.รวม 4 บัญชี เป็นเงิน 510 ล้านบาท เพื่อนำไปฝากบัญชีประเภทฝากประจำที่ธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์ ที่นายทรงกลดเป็นผู้จัดการในขณะนั้น โดยอ้างว่าจะได้ผลประโยชน์สูงกว่าเดิม ซึ่งอธิการบดีขณะนั้นได้ลงนามอนุมัติ กระทั่งวันที่ 26 มิ.ย. 55 น.ส.อำพร ได้นำเงินดังกล่าวไปฝากเข้าบัญชีธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาบิ๊กซี สุวินทวงศ์ โดยให้ น.ส.อำพร นายถวิล นายสรรพสิทธิ์ และ น.ส.ระวิวรรณ นักวิชาการการเงินและบัญชี เป็นผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินในบัญชีดังกล่าวได้
ต่อมา 19 ก.ค. 2555 - 12 พ.ย.2555 น.ส.อำพร และนายถวิล ได้ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ และมีจำเลยที่ 1, จำเลยที่ 3-8 และจำเลยที่ 10 - 11 ร่วมกันให้ความช่วยเหลือสนับสนุน น.ส.อำพร และนายถวิล ลักทรัพย์เอาเงินของ สจล. ไปหลายครั้งหลายหน โดยนายถวิล รู้เห็นและยินยอมให้นายสรรพสิทธิ์ ซึ่งไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการเงินได้ร่วมกับ น.ส.อำพร ถอนเงินออกจากบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ไป นอกจากนี้จำเลยยังร่วมกันฟอกเงินด้วยการนำเงินของ สจล.จำนวนกว่า 303 ล้านบาท โอนกลับเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขา สจล. เพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่มาของทรัพย์สิน เพื่อไม่ต้องให้รับโทษหรือรับโทษน้อยลงด้วย โดยศาลประทับรับฟ้อง พร้อมนัดสอบคำให้การจำเลยในวันที่ 23 มี.ค. เวลา 13.00 น.
สำหรับผู้ต้องหาอีก 3 คนที่ยังหลบหนี ประกอบด้วย นายกิตติศักดิ์ มัทธุจัด, นายสมพงษ์ สหพรอุดมการ และ นายธวัชชัย ยิ้มเจริญ ซึ่งทางอัยการจะประสานไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อให้ขอศาลออกหมายจับและติดตามจับกุมตัวมาฟ้องศาลต่อไป
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 มีนาคม 2558