รอแก้ก.ม.หวั่นเจอฟ้อง
นายวิรุฬ เตชะไพบูลย์ รมช.คลัง เปิดเผยว่า ในการประชุมครม.สัปดาห์หน้า กระทรวงการคลังเตรียมเสนอการปรับรายได้ให้แก่บุคลากรของภาครัฐ ได้แก่ ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ พนักงานราชการ ลูกจ้างชั่วคราวที่จ้างจากเงินงบประมาณรายจ่าย และทหารกองประจำการ เป็นต้น โดยระยะสั้นจะจ่ายเป็นเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว (พ.ช.ค.) ก่อน ส่วนการปรับโครงสร้างฐานเงินเดือนนั้น ได้มอบหมายให้กรมบัญชีกลางร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ดำเนินการในขั้นตอนต่อไป คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ภายในต้นปีหน้า ทั้งนี้เพื่อไม่ให้ข้าราชการมาฟ้องร้องภายหลังได้
กระทรวงการคลังได้แก้ไขปรับปรุงระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการเบิกจ่ายเงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราวของข้าราชการและลูกจ้างประจำของส่วนราชการ พ.ศ. 2548 โดยแก้ไขเพิ่มเติม 3 ข้อ โดยให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 55 เป็นต้นไป เพื่อให้เป็นไปตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาล ซึ่งคาดว่าจะมีบุคลากรภาครัฐได้ประโยชน์จากโครงการดังกล่าวทั้งสิ้น 649,323 คน คิดเป็นเงินงบประมาณปี 55 จำนวนทั้งสิ้น 18,396 ล้านบาท และใช้เงินในการใช้จ่ายในโครงการนี้ต่อปีปีละประมาณ 24,533 ล้านบาท
สำหรับ 3 ข้อที่แก้ไข ประกอบไปด้วย ผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไป ที่มีเงินเดือนหรือค่าจ้างค่าแรงไม่ถึงเดือนละ 15,000 บาท ให้รับ พ.ช.ค. เพิ่มอีก และเมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วเท่ากับมีรายได้รวมทั้งสิ้น 15,000 บาท
ส่วนผู้สำเร็จการศึกษาระดับต่ำกว่าปริญญาตรี หรือผู้ที่มีีเงินเดือนหรือค่าจ้างไม่ถึง เดือนละ 9,000 บาท ให้รับพ.ช.ค. เพิ่มอีก เมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้วเท่ากับมีรายได้รวมทั้งสิ้น 9,000 บาท และทหารกองประจำการ ซึ่งเดิมเงินเดือนในระดับ พ.1 รวมกับเบี้ยเลี้ยงประจำตามข้อบังคับกระทรวงกลาโหม และ พ.ช.ค.ขั้นต่ำเดือนละ 8,610 บาท ให้เพิ่มเป็นเดืิอนละ 9,000 บาท
ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้เป็นการรอนสิทธิฯ ผู้ที่มีวุฒิการศึกษาต่ำกว่าระดับปริญญาตรีที่เคยมีสิทธิได้รับ พ.ช.ค. เดือนละ 1,500 บาท โดยเมื่อรวมกับเงินเดือนหรือค่าจ้างแล้ว ไม่เกินเดือนละ 12,285 บาท ยังคงให้ได้รับ พ.ช.ค. 1,500 บาท เช่นเดิมในส่วนของพนักงานราชการ การได้รับ พ.ช.ค. เป็นไปตามประกาศของคณะกรรมการบริหารพนักงานราชการ เมื่อครม.เห็นชอบตามร่างระเบียบฯ ที่เสนอเรียบร้อยแล้ว จะให้สำนักงาน ก.พ. รับไปดำเนินการภายใต้หลักการเดียวกันต่อไป
นายรังสรรค์ ศรีวรศาสตร์ อธิบดีกรมบัญชีกลาง กล่าวว่า กรมฯ ได้หารือร่วมก.พ.แล้ว พบว่าแม้แนวทางการปรับขึ้นเงินเดือนนั้น จะมีประโยชน์มากกว่าการเพิ่มค่าครองชีพ แต่มีปัญหาในการขึ้นเงินเดือนว่า ต้องแก้กฎหมายพ.ร.บ.เงินเดือนข้าราชการพลเรือน ซึ่งต้องเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภา จึงอาจล่าช้า และดำเนินการไม่ทันวันที่ 1 ม.ค. 55 ตามที่รัฐบาลสัญญาไว้ ดังนั้น แนวทางที่จะหาทางออกได้ดีที่สุดคือการดำเนินการ 2 แนวทางควบคู่ โดยตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 55 เป็นต้นไป กรมฯจะจัดสรรเงินพ.ช.ค.ให้ไปก่อน ซึ่งจะใช้เงินในปีงบประมาณรายจ่าย 55 จำนวน 24,000 ล้านบาทตามเดิม
ขณะเดียวกันก.พ. จะทำเรื่องเสนอถึงรัฐบาลในการแก้กฎหมายปรับฐานเงินเดือนข้าราชการทั้งระบบ โดยผ่านกระบวนการรัฐสภา ซึ่งคาดว่า จะต้องใช้เวลาในการดำเนินการนานพอสมควร และคาดว่าจะมีผลบังคับใช้ได้เดือน เม.ย. 55 เมื่อกฎหมายดังกล่าวมีผลบังคับใช้เรียบร้อยแล้ว การจ่ายเงินพ.ช.ค.จะทยอยลดลง และกลับมาเป็นการจ่ายเงินเดือนแทนภายใน 4 ปี ซึ่งคาดว่าการดำเนินการดังกล่าว จะไม่ส่งผลกระทบรายได้ต่อเดือน
“การปรับฐานเงินเดือนนั้น จะไม่ใช่ปรับเงินเดือนขึ้นในคราวเดียวเป็น 15,000 บาท แต่จะเป็นการทยอยปรับฐานเงินเดือนจาก 9,600 บาท เป็น 10,300 บาทในปี 55 และ 12,000 บาทปี 56 และ 13,500 ปี 57 สุดท้าย 15,000 ปี 58 ซึ่งระหว่างที่การปรับฐานเงินเดือน ยังทำให้รายได้ไม่ถึง 15,000 บาทนั้น จะใช้การจ่ายเงินพ.ช.ค.ร่วมไปก่อน เพื่อให้มีรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยในแง่ของงบประมาณนั้น ถือว่าใช้เงินที่ไม่ต่างกันมากนัก แต่ในแง่ภาพรวมของระบบ จะมีความยุติธรรมต่อผู้ที่เข้ามาก่อน และจะทยอยปรับเงินเดือนของวุฒิปริญญาโท และเอกตามไปด้วยเพื่อให้มีความสอดคล้องกัน”.
เดลินิวส์ 10 กันยายน 2554
