ตอนที่ 1
"ขบวนการนักฉวยโอกาส" - อภิชาติ ทองอยู่
"วิกฤติสีขาวกับการเปลี่ยนระบบประเทศ"- นาวิก การเกิด
"เครือข่ายของการเชื่อมโยงองค์กรอิสระ --> เปลี่ยนประเทศไทย" จาก คสน.
ตอนที่ 2
"เป็นความพยายามสร้างอำนาจใหม่ขึ้นมา" -สส.นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ปชป.
"ผมว่าวันนี้ตัวใครตัวมัน" -นพ.วิชัยโชควิวัฒน
"เมื่อเขามาจากกฎหมาย เราก็เอากฎหมายนี่แหละจัดการเขา" -พญ.อรพรรณ์ ดิลกเมธากุล
ตอนที่3
"กองทุนอิสระ" -แก้วสันต์ อติโพธิ
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 1
ขบวนการนักฉวยโอกาสอภิชาติ ทองอยู่
http://bit.ly/dgPKvVการทำงานภายใต้แบรนด์ ‘เอ็นจีโอ’ ตั้งแต่ ต้นทศวรรษ 2520 เป็นการทำงานตามอุดมคติ หรืออุดมการณ์ ที่ซึมซับมาจากความเคลื่อนของนักศึกษาปัญญาชนฝ่ายซ้าย ความโดดเด่นของการทำงานเพื่อสังคมยุคนั้น เพราะเบื่อการพล่ามพูดของบรรดาอภิชน ข้าราชการ และนักวิชาการขี้โม้มากเรื่องทั้งหลาย จึงผันตัวเองไปทำงานขลุกอยู่ในหมู่บ้านชนบท ขับเคลื่อนตัวเองแบบนักแสวงหา
เนื่องจากเป็นช่วงเวลาที่ความเคลื่อนไหวของฝ่ายซ้ายปิดฉากตัวเองลง เกือบสิ้นเชิง ลมหายใจสุดท้ายในการต่อสู้ของกลุ่มปัญญาชนและพรรคคอมมิวนิสต์ไทย มีสัญญาณจะยุติลงตั้งแต่ช่วงปี 2518 เป็นต้นมา ช่วงเวลานั้นเป็นการดิ้นเฮือกสุดท้ายของอุดมการณ์ฝ่ายซ้าย
เอ็นจีโอ จึง กลายเป็นคลื่นใหม่ของการทำงานเพื่อสังคม รับบทบาทการแสวงหาแนวทางการพัฒนา ซึ่งแน่นอนว่า ความคิดของคนทำงานกลุ่มใหญ่ยังอิงอยู่กับคราบไคลของฝ่ายซ้ายแบบ มาร์กซ์ - เหมา ไม่มากก็น้อย การทำงานของกลุ่ม เอ็นจีโอ ใน ช่วงต้นทศวรรษ 2520 ถึงกลางทศวรรษ 2530 เป็นการทำงานพัฒนาชนบทที่สวนกระแสการพัฒนาของรัฐ ซึ่งมีทิศทางแบบสั่งการ มุ่งขับเคลื่อนสังคมชนบทให้เข้าไปซุกอยู่ใต้ระบบทุนและประชาธิปไตยที่อำพราง อยู่ภายใต้เผด็จการราชการและอภิชนในสังคมไทย
การทำงานของกลุ่ม เอ็นจีโอ ยุค นั้นได้สร้างบทบาทและการยอมรับขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ค่อยๆ เปลี่ยนแปลงคลี่คลายปัญหาในการทำงานพัฒนาในแบบสั่งการของรัฐ และการทำงานสงเคราะห์แบบมักง่ายของบรรดาอภิชนและชนชั้นสูงทั้งหลาย ให้ค่อยๆ หมดบทบาทลง พร้อมหันมาสู่กระบวนการทำงานแบบมีส่วนร่วมมากขึ้น
รวมไปถึงกระตุ้นให้กลุ่มวิชาการในสถาบันต่างๆ เข้าร่วมพัฒนาองค์ความรู้ เปิดพื้นฐานความเข้าใจในเรื่องความต่างทางวัฒนธรรมและความหลากหลายทาง วัฒนธรรมขึ้น ซึ่งได้นำไปสู่การแตกตัวต่อยอดการทำงานเพื่อสังคมขึ้นอีกหลากหลายแนวทาง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเด็ก สตรี สิทธิมนุษยชน สิ่งแวดล้อม จนถึงเรื่องการพัฒนาประชาธิปไตย ฯลฯ
อย่างไรก็ตามการพัฒนาองค์ความรู้ที่สร้างขึ้นนั้นยังไม่สมบูรณ์ ยังอยู่ในช่วงกำลังพัฒนา ความไม่สุกงอมทางความคิด ความอ่อนเยาว์วุฒิภาวะของคนทำงาน ความจำกัดของทุนสนับสนุนการทำงาน และแรงกระแทกของกลุ่มที่เสียประโยชน์ทางสังคมเศรษฐกิจ ฯลฯ
มูลเหตุหลากหลายเหล่านี้ได้เปิดช่องโหว่ให้เกิดความขัดแย้งในกลุ่ม เอ็นจีโอ ทำให้มีการแทรกตัวของบรรดา ‘นักฉวยโอกาส’ ซึ่งโดดเข้ามาในกระแสงานที่กำลังเคลื่อนตัวอยู่
ขณะเดียวกันกระแสการเปลี่ยนแปลงของทุนที่สนับสนุนทุนการทำงาน โดยเฉพาะทุนจากต่างประเทศได้ปรับเปลี่ยนทิศทางจากการให้เปล่าเป็นการสมทบแบบ มีส่วนร่วม
เหตุปัจจัยโดยรวมนี้ มีผลทำให้เกิดความสับสนแตกแยกในหมู่เอ็นจีโอขึ้น การทำงานเกาะติดหมู่บ้านชนบทต้องสะดุดหยุดลง ขาดความต่อเนื่องไปโดยปริยาย การทำงานแบบเปิดตัวรณรงค์โหมกระแสประเด็นต่างๆ เป็นช่วงๆ กลายเป็นงานที่หาทุนได้ สร้างภาพ สร้างตัวตนได้เหมาะกับกำพืดของการหาอยู่หากินมากกว่า การทำงานที่มุ่งคุณภาพจึงหมดบทบาทลง
การ เติบโตของการทำงานในทิศทางใหม่กับการหาอยู่หากินแบบใหม่ เปิดทางให้บรรดานักฉวยโอกาสเข้ามาใช้กระแสการทำงานเพื่อสังคมสร้างภาพ สร้างทุนทางสังคมให้ตัวเอง บางคนเปิด ตัวได้ไม่นานก็ได้รับการยอมรับ สร้างทุนทางสังคมได้ต่อเนื่อง! ประดิษฐ์ภาพตัวเองให้เป็นผู้ทรงคุณธรรมบ้าง ผู้รอบรู้ล้ำลึกบ้าง ผู้ยืนหยัดทำงานกับผู้ยากไร้บ้าง ผู้รู้ดีในเรื่องสื่อเรื่องแส่สารพัดเรื่อง จนบางคนสถาปนาตัวเป็นราษฎรอาวุโส ขึ้นชั้นเทพไปนู่นเลยก็ไม่น้อย!
การไต่เต้าทางลัดเส้นทางนี้ สามารถเชื่อมต่อกับอำนาจการบริหารประเทศได้ไม่ยาก อาศัยใช้กลุ่มคนทำงานในสังคมฐานล่างหนุนเสริม และจัดการวางแผนออกแบบสร้างเรื่อง สร้างองค์กร แล้วเชื่อมต่อกับฝ่ายบริหารเพื่อจัดตั้งล้วงงบรัฐมาใส่องค์กร ขณะเดียวกันก็ปั่นข่าว ทำเรื่องที่ประดิษฐ์คิดสร้างขึ้นมาให้กลายเป็นเรื่องจำเป็นคอขาดบาดตายของ สังคม
จากนั้นก็ตั้งองค์กร ตั้งกติกา ตั้งพรรคพวกเข้าไปทำงาน ที่สำคัญคือ ต้องสร้างภาพเป็นผู้ทรงคุณธรรมเพื่อลดภาพเละเทะมูมมามลง จากงานหนึ่งสู่อีกงานหนึ่ง จากองค์กรหนึ่งสู่อีกองค์กรหนึ่ง เรื่อยไป โดยเรียกกันว่าองค์กรอิสระบ้าง กองทุนอิสระบ้าง หรืออะไรก็ได้เพื่อดึงงบหลวงออกมาใช้กัน ที่สำคัญคือต้องใช้กันแบบอิสระ อย่าให้ตรวจสอบได้ง่ายๆ และต้องใช้ชื่อกลุ่มหรือองค์กรที่ดูดีมีคุณธรรม สังคมฟังแล้วน้ำหูน้ำตาไหล มาจนถึงวันนี้ก็ยังเตรียมคลอดกันอีกหลายองค์กร!
ขบวนการแอ๊บงบทางลัดฝูงนี้ เล่นกันหนักข้อน่าวิตกยิ่ง ประเทศต้องเสียงบก้อนใหญ่ให้เครือข่ายอุปถัมภ์นักแอ๊บจอมฉวยโอกาสไปถลุงกัน มันมือ แถมสร้างความป่วยไข้ฟูมฟายให้สังคมตลอดเวลา เล่นกันอย่างนี้ยังมีหน้าไปมองคนอื่น กลุ่มอื่น ว่าเลวกว่าพวกตัวอีกต่างหาก ถ้าขบวนการที่ทำกันอยู่เป็นเรื่องถูก ดี เป็นความก้าวหน้าของสังคมแล้วล่ะก็ รับรองไม่มีเรื่องอะไรจะสามานย์ไปกว่านี้อีกแล้ว! เชื่อเถอะ
เชิญเสพ ไทยแลนด์ ฟอรัม ว่าด้วยประเด็น กองทุนอิสระ ได้ตามอัธยาศัยเทอญ
วิกฤติสีขาว กับการเปลี่ยนระบบประเทศนาวิก การเกิด
http://bit.ly/c5IFVV ในขณะที่ความปรองดอง และการปฏิรูปการเมือง กำลังถูกขับเคลื่อน (เท่าที่ทำได้) โดยที่ฝ่ายรัฐบาลพยายามผลักภาระ และ ‘จัด’ เป้าหมายให้ฝ่ายที่เรียกได้ว่า มี ‘ต้นทุน’ เป็นผู้ขับเคลื่อน
ฝ่ายที่เรียกได้ว่ามีต้นทุนทางสังคม ก็กำลังถูกตรวจสอบอย่างเข้มข้น จากผู้ร่วมวิชาชีพ โดยอาศัยจุดเริ่มต้นจากความขัดแย้งระหว่าง หมอกับหมอ เอ็นจีโอและผู้ป่วย โดยมีสมรภูมิหลักอยู่ที่กระทรวงสาธารณสุข และค่อยๆ ขยับขยายพื้นที่การปะทะไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ
ฝ่ายหนึ่งมีเครือข่ายเป็นแพทย์ชนบท และองค์กรเอกชน รวมทั้งมูลนิธิต่างๆ ที่จัดตั้งขึ้นมาโดยไม่แสวงหาผลกำไร
อีก ฝ่ายเป็นกลุ่มแพทย์ในกระทรวงสาธารณสุข และกลุ่มแพทย์พยาบาลที่ประจำอยู่ในโรงพยาบาลศูนย์ โรงพยาบาลจังหวัด รวมไปถึงระดับอนามัยชุมชน
ทั้ง 2 ฝ่ายต่างมองหาจุดอ่อนของแต่ละฝ่ายมาโจมตีกันและกัน
โดยผ่ายแรกนั้นมองว่า ข้อโต้แย้ง หรือการไม่เห็นด้วยกับการขับเคลื่อนเพื่อให้ประชาชนเข้าถึงบริการทางการ แพทย์ และการชดเชยความเสียหายของประชาชนนั้น เป็นเพราะฝ่ายคัดค้านมีผลประโยชน์แอบแฝง หรือไม่ก็เพราะไม่ต้องการสูญเสียผลประโยชน์ที่มีอยู่ในมือ
เพราะ หน่วยงานที่จะเกิดขึ้นใหม่ตามร่างกฎหมายนั้น จะต้องมีกองทุนที่จะดึงเอาเม็ดเงินส่วนหนึ่งมาจากโรงพยาบาลเหล่านั้น รวมทั้งโรงพยาบาลเอกชน เพื่อไปตั้งเป็นกองทุน และมีคณะกรรมการกองทุนเป็นผู้อนุมัติการใช้จ่าย
ขณะที่ฝ่ายคัดค้านกลับมองว่า สิ่งที่ได้รับการผลักดันจากฝ่ายตรงกันข้ามคือการทำลายระบบสาธารณสุขโดยรวม และทำลายระบบการบริหารราชการแผ่นดิน ซึ่งแต่เดิมขับเคลื่อนโดยกระทรวงสาธารณสุข ที่มีระบบการจัดการงบประมาณอิงกับระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน การเบิกจ่ายเงินงบประมาณต้องขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับปัญหาในพื้นที่ ความเหมาะสมที่ใช้จำนวนประชากรเป็นตัวตั้ง และมีการประเมินผลโดยเอาสุขภาวะของประชาชนเป็นหลัก
ที่สำคัญ ฝ่ายหลังนี้ยืนยันว่าระบบการอนุมัติเม็ดเงินงบประมาณ การจัดซื้อจัดจ้างถูกตรวจสอบ โดยยึดเข้ากับประชาชน เพราะมีตัวแทนประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมทั้งทางตรงและทางอ้อม
ขณะ เดียวกันก็โจมตีว่า ฝ่ายที่ผลักดันนั้น พยายามจะทำให้ระบบที่จะสร้างขึ้นใหม่นั้น เหมือนกับองค์กรที่ตั้งขึ้นมาในก่อนหน้านี้ ที่เรียกว่า ‘ตระกูล ส.’ ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น สวรส. สปสช. สช. สสส. ที่การอนุมัติเงินงบประมาณใช้ระบบของคณะกรรมการ โหวตเสียงข้างมาก และให้อำนาจเลขาธิการมีอำนาจอนุมัติเม็ดเงินสูงถึง 1 พันล้านบาท
แต่เมื่อการเรียกร้องคัดค้านไม่เป็นผล เพราะกฎหมายเดิมที่มีอยู่นั้น ให้อำนาจของคณะกรรมการเป็นไปในรูปแบบที่ว่า การฟ้องร้อง การเรียกร้องให้มีการตรวจสอบการใช้เงิน โดยหน่วยงานที่เชื่อว่าน่าจะเกี่ยวข้องจึงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง และยังไม่รู้ว่าจุดสิ้นสุดจะอยู่ที่ใด
เมื่อต่างฝ่ายต่างเรียกร้อง ต่างฝ่ายต่างมองว่า ตนเองทำเพื่อประชาชน
‘วิกฤติสีขาว’ จึงก่อตัวขึ้นอย่างเงียบๆ และน่าเชื่อว่า จะบานปลายกระทบต่อภาพรวมของประเทศในไม่ช้านี้
เพราะ แม้แต่ฝ่ายการเมือง ซึ่งจะเข้าไปกำกับดูแลหน่วยงานในกระทรวงสาธารณสุขทั้งหมด แต่เอาเข้าจริง เมื่อเผชิญหน้ากับ ‘ตระกูล ส.’ ฝ่ายการเมืองก็ไม่มีหนทางเดินไปในทิศทางอื่น เพราะระบบ ‘คณะกรรมการ’ ที่อิงเสียงข้างมากได้พันธนาการเอาไว้ จนทำให้ ‘เสียงเดียว’ ในที่ประชุมไม่อาจแข็งขืนต่อ 12 เสียง ที่มาจากเครือข่ายอันเข้มแข็งของทางฝ่ายนี้
ถึงแม้ว่าหากนับเอาตามมือที่มีเพียงแค่ 12 เสียง อาจไม่ถึงกึ่งหนึ่งของ 30 เสียง แต่ในทางปฏิบัติ นอกเหนือจาก 12 เสียง ก็มีเพียงแต่ผู้แทนจากสำนักงบประมาณ ที่คอยคัดค้าน หรือโต้แย้งความเป็นไปได้ในการใช้งบประมาณโดยผ่านระบบที่เรียกว่า ‘คณะกรรมการ’ ที่ว่า
ผลที่ออกมาหลายโครงการจึงกลายเป็นความเคลือบแคลงว่า ที่อนุมัติไปนั้น ทำได้มากน้อยเพียงใด ขัดต่อระบบการเบิกจ่ายงบประมาณแผ่นดินหรือไม่
และ คำถามที่ยังไม่มีคำตอบก็คือ การอนุมัติโครงการต่างๆ นั้น เกี่ยวกับการเสริมสร้างสุขภาวะของประชาชนทั้งประเทศหรือไม่ ขณะเดียวกัน ใช้ดัชนีตัวไหนมาชี้วัดว่า จะดำเนินการโครงการเหล่านั้นต่อ หรือยกเลิกเพราะล้มเหลวในการเสริมสร้างสุขภาวะของประชาชน
ในแง่ของการเมืองนั้น กระแสและมุมมองค่อยๆ ถูกปรับเปลี่ยนทีละน้อย ภาพลักษณ์ของเอ็นจีโอ ที่ไม่แสวงหาผลกำไรกำลังถูก ‘การเมือง’ เขม้นมองว่า มีเบื้องหลังที่ยิ่งใหญ่ไปกว่านั้นหรือไม่
ถึง แม้ว่าฝ่ายการเมืองในวันนี้ จะถูกตรึงด้วยหัวขบวนของเอ็นจีโอ ที่เปิดทางให้พึ่งพาอาศัยบารมีเพื่อดับกระแสร้อน และสร้างความปรองดองในบ้านเมือง
แต่ก็น่าเชื่อว่า เมื่อใดที่กระทรวงสาธารณสุขถูกกลืนไปทั้งหมด ฝ่ายการเมืองเป็นเพียงพระอันดับในการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขอย่างเด็ดขาด และกลไกเดียวกันนั้นกำลังจะเบนเป้าไปปรับเปลี่ยนองคาพยพอื่นๆ ที่วางเป้าหมายไว้แต่แรก ไม่ว่าจะเป็นระบบยุติธรรม ระบบการเมือง
วันนั้นอาจจะเกิดความตระหนักว่า ระบบสาธารณสุขนั้นเป็นระบบที่เอื้อต่อการสร้างเครือข่าย โดยเฉพาะที่เรียกว่า เครือข่ายภาคประชาชน และไม่ใช่เรื่องยากที่จะให้เครือข่ายนี้ขับเคลื่อนไปในทุกทิศทาง แม้กระทั่งประกบ หรือปะทะกับภาคการเมือง หรือกระทั่งระบบราชการทั้งหมด
ความ สำเร็จของ ‘ตระกูล ส.’ ที่ยึดกุมเม็ดเงินงบประมาณของกระทรวงสาธารณสุขในก่อนหน้านี้ และกำลังรุกคืบเอาส่วนแบ่ง จากราว 500 บาทต่อหัว ที่ได้ส่งไปยังโรงพยาบาลรัฐในต่างจังหวัด ผ่านรูปแบบของจำนวนครั้งในการรักษาพยาบาลเพื่อเข้ากองทุนตามร่างกฎหมายใหม่ จะยิ่งทำให้การบริหารงานโดยกระทรวงสาธารณสุขในรูปแบบเดิมเป็นไปอย่างยาก ลำบากมากยิ่งขึ้น
ใน เมื่อต่างฝ่ายต่างอ้างถึงประชาชน ต่างฝ่ายต่างก็มีเหตุมีผลของตนเองว่า ที่ทำไปนั้นเพื่อสุขภาพประชาชน เรา-ท่านทั้งหลาย จึงต้องใช้วิจารณญาณในการฟัง อ่าน ว่าสิ่งใดดีที่สุด เหมาะสมที่สุด
ขณะ เดียวกันภายใต้หลักสากล และหลักการปกครองประเทศ แม้จะมีระบบเสียงข้างมากที่เข้มแข็ง แต่ก็ยังต้องมีระบบตรวจสอบที่ดีไว้รองรับ หาไม่แล้วเรื่องทุกเรื่องไม่ว่าจะเกิดขึ้นในที่ใด ‘วิกฤติ’ ก็จะยังคงเกิดขึ้นในที่นั้น นั่นย่อมหมายความว่า แม้เราจะเปลี่ยนแปลงจากสิ่งหนึ่งไปสู่อีกสิ่งหนึ่งได้ เราก็จะยังคงเผชิญวิกฤติใหม่กันอยู่ดี
//////////////////////////
คศน. มีชื่อเต็ม ๆ ว่า 'เครือข่ายร่วมพัฒนาศักยภาพผู้นำการสร้างสุขภาวะแนวใหม่' เป็นความร่วมมือระหว่างหลายองค์กร เพื่อสานเครือข่ายและสร้างกระบวนการแบบใหม่ ๆ เพื่อพัฒนาศักยภาพ 'ผู้นำ' แบบใหม่
โครงการนี้อยู่ภายใต้การสนับสนุนของ สสส. เริ่มขึ้นเมื่อปี 2552 หลังจากที่ได้หาแนวทางใหม่ๆ เพื่อให้เกิดความชัดเจน และได้ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม ก็นำมาซึ่งผลสรุปในการขับเคลื่อนกลไก ภายใต้การริเริ่มโดยการสร้างสุขภาวะ จึงได้แผนภูมิว่า หากจะเปลี่ยนประเทศไทยโดยผ่านระบบสาธารณสุขนั้น จะต้องมีส่วนใดบ้างที่จะต้องได้รับการปรับเปลี่ยน
ดังแผนภูมิ (ทำเมื่อ 24 เมษายน 2553) นั้น ระบุว่า จะต้องจัดการปรับเปลี่ยนระบบสุขภาพ ระบบสื่อสารมวลชน ระบบการเมืองภาคประชาชน ระบบยุติธรรม และระบบคุ้มครองผู้บริโภค รวมไปถึงส่วนย่อยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งหากเป็นไปตามกำหนด การเปลี่ยนประเทศไทยน่าจะเกิดขึ้นได้ในปี 2563 หรือในอีก 10 ปีข้างหน้า
ที่มา : จากเอกสาร คศน. (เครือข่ายร่วมพัฒนาศักยภาพผู้นำการสร้างสุขภาวะแนวใหม่)
http://www.wasi.or.th/wasi/index.php?page=news&group_=01&code=07&idHot_new=3275