1. สลด! ฮ.ตกที่พะเยา รองแม่ทัพภาค 3 พร้อมคณะดับ 9 นาย ด้านกองทัพภาค 3 สั่งงดบิน เบลล์ 212 ชั่วคราว หวั่นไม่ปลอดภัย!
เมื่อวันที่ 17 พ.ย. เวลา 17.30น. ได้เกิดอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์รุ่นเบลล์ 212 ของกองทัพภาคที่ 3 ตกกลางทุ่งนาบริเวณบ้านดอกบัว ต.ท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา ส่งผลให้ พล.ต.ทรงพล ทองจีน รองแม่ทัพภาคที่ 3 และคณะอีก 4 นาย รวมทั้งนักบินและช่างเครื่องอีก 4 นาย เสียชีวิตทั้งหมดรวม 9 นาย ประกอบด้วย พล.ต.ทรงพล ทองจีน รองแม่ทัพภาคที่ 3 (ตท.16) ,พ.อ.กิตติ สุวรรณเจริญ ,พ.อ.ยุทธพงษ์ เพื่อนฝูง ,พ.ท.วุฒิศักดิ์ สุนทรสุข ,จ.ส.อ.อนันต์ ชมเชียงคำ ,พ.ท.มานิต สุรเสนา (นักบิน) ,ร.อ.วรพงษ์ ช่างสลัก (นักบิน) ,จ.ส.อ.สมภพ มาลัยวงษ์ (ช่างเครื่อง) และ จ.ส.อ.พิรุณ แสนดอนคู่ (ช่างเครื่อง)
ทั้งนี้ เหตุเกิดขณะ พล.ต.ทรงพล และคณะ เดินทางด้วย ฮ.ลำดังกล่าวไปปฏิบัติภารกิจตรวจหน่วยในสายงานการส่งกำลังบำรุงที่ จ.พะเยา หลังภารกิจแล้วเสร็จ ได้เดินทางด้วย ฮ.ดังกล่าวออกจากค่ายขุนเจืองธรรมิกราช จังหวัดทหารบกพะเยา แต่หลังจากเครื่องบินได้ไม่ถึง 10 นาที ก็ประสบอุบัติเหตุตกดังกล่าว
ด้านนายเสนีย์ มานนท์ นายกเทศมนตรี ต.ท่าวังทอง อ.เมือง จ.พะเยา เล่าว่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า ได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรตกลงมาในทุ่งนา แล้วเกิดระเบิด มีไฟลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จึงได้สั่งการให้รถดับเพลิงของเทศบาลไปยังที่เกิดเหตุทันที บางศพถูกไฟไหม้เกรียม บางศพไหม้เพียงบางส่วน ยังสามารถสืบค้นได้ว่าเป็นบุคคลใด
ขณะที่ พ.อ.อโนทัย ชัยมงคล รอง เสธ.จังหวัดทหารบก(จทบ.) พะเยา เผยว่า คณะของ พล.ต.ทรงพลเดินทางมาตรวจราชการด้านการส่งกำลังบำรุงของทหาร ณ จทบ.พะเยา เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ จึงเดินทางด้วย ฮ.ออกจาก จทบ.พะเยา เวลา 17.27น. และเกิดอุบัติเหตุในเวลา 17.30 น.
ด้าน พล.ต.นพพร เรือนจันทร์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 4 เผยว่า กองทัพภาคที่ 3 ได้สั่งงดใช้เฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 และฮิวอี้ชั่วคราว เพื่อตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัยของเครื่องบิน และว่า เครื่องลำดังล่าวได้ใช้งานมาตลอดและเปลี่ยนอะไหล่ตามวงรอบ เมื่อเกิดเหตุ ต้องหาสาเหตุว่าเกิดอะไรขึ้น
ขณะที่ พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ได้สั่งการให้คณะกรรมการนิรภัยการบินลงพื้นที่ตรวจสอบสาเหตุของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยละเอียด พร้อมย้ำว่า ไม่ได้สั่งให้งดใช้เบลล์ 212 เพราะยังมีภารกิจต่างๆ ที่ต้องดำเนินการอีกมาก และยังมีความจำเป็นต้องใช้ โดยสั่งการให้ผู้บัญชาการศูนย์การบินทหารบก พร้อมชุดตรวจสอบลงพื้นที่แล้ว และกำลังรอฟังผลตรวจสอบ พล.อ.อุดมเดช ยังเผยด้วยว่า เฮลิคอปเตอร์แบบเบลล์ 212 รับมาเมื่อปี 2538 อายุการใช้งาน 19 ปี ถือว่าไม่เก่า เพราะทั่วโลกก็ใช้แบบนี้อยู่
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้แสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมย้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอุบัติเหตุ ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น ส่วนประเด็นที่บอกว่า เฮลิคอปเตอร์รุ่นดังกล่าวเป็นรุ่นเก่า ก็ยอมรับ แต่ทุกประเทศก็ใช้รุ่นนี้ และยังมีที่เก่ายิ่งกว่านั้น คือรุ่นเอชยูเอช ดี ซึ่งเป็น ฮ.ท.1(เฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป แบบ1) อายุ 30-40 ปี ก็ยังบินได้อยู่ โดยเราซ่อมแซมและเปลี่ยนเครื่องยนต์ต่างๆ ให้ใช้การได้ ขณะนี้กำลังจัดหาเครื่องและมีแผนจัดหาเพื่อเอามาทดแทน ฮ.ท.1 ก่อน จากนั้นจึงจะหามาแทนรุ่นเบลล์ 212
สำหรับผู้เสียชีวิตทั้ง 9 นายนั้น ได้มีการประกอบพิธีบำเพ็ญกุศลอย่างสมเกียรติที่วัดคูหาสวรรค์ อ.เมือง จ.พิษณุโลก โดย พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ได้เป็นประธานพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพทหารทั้ง 9 นายเมื่อวันที่ 18 พ.ย. จากนั้นวันต่อมา(19 พ.ย.) พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี ได้อัญเชิญพวงมาลาหลวงพระราชทานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ 13 พระองค์ ไปวางหน้าหีบศพทหารที่เสียชีวิตที่วัดคูหาสวรรค์ ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโกศ 8 เหลี่ยมให้แก่ พล.ต.ทรงพล ทองจีน รองแม่ทัพภาคที่ 3 ด้วย
ด้าน พ.อ.หญิง ศิริจันทร์ งาทอง รองโฆษกกองทัพบก แถลงถึงกรณีที่เฮลิคอปเตอร์เบลล์ 212 ของกองทัพภาคที่ 3 ตกว่า นับเป็นการสูญเสียบุคลากรที่มีคุณค่ายิ่งของกองทัพบก ซึ่งกองทัพบกได้ดำเนินการเกี่ยวกับพิธีศพอย่างสมเกียรติ นอกจากนี้ยังได้มอบเงินช่วยเหลือตามสิทธิของทางราชการ โดยได้รับประมาณ 2-6 ล้านบาท พร้อมปูนบำเหน็จพิเศษ 7 ขั้น และขอพระราชทานยศเป็นกรณีพิเศษให้แก่ผู้เสียชีวิต โดยปรับตามขั้นเงินเดือนและอายุราชการ พล.ต.ทรงพล ,พ.อ.กิตติ ,พ.อ.ยุทธพงษ์ ,พ.ท.วุฒิศักดิ์ และ พ.ท.มานิต ทั้ง 5 ท่านจะได้รับพระราชทานยศสูงขึ้นเป็น พล.อ. ร.อ.วรพงษ์ ได้รับพระราชทานยศเป็น พ.อ. จ.ส.อ.อนันต์ ได้รับพระราชทานยศเป็น พล.ท. จ.ส.อ.พิรุณ ได้รับพระราชทานยศเป็น พล.ต. และ จ.ส.ท.สมภพ ได้รับพระราชทานยศเป็น พ.ท.
2. ศาลปกครองสูงสุด พิพากษายืนให้กรมควบคุมมลพิษจ่ายค่าโง่คลองด่านแก่เอกชนนับหมื่นล้านภายใน 90 วัน!
เมื่อวันที่ 21 พ.ย. ศาลปกครองสูงสุด ได้อ่านคำพิพากษาคดีพิพาทระหว่างบริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด, บริษัท สี่แสงการโยธา (1979) จำกัด, บริษัท ประยูรวิศว์ จำกัด, บริษัท กรุงธนเอนยิเนียร์ จำกัด, บริษัท เกตเวย์ ดิเวลลอปเมนท์ จำกัด และบริษัท สมุทรปราการ ออพเปอร์เรทติ้ง จำกัด รวม 6 ราย กับกรมควบคุมมลพิษ เกี่ยวกับการก่อสร้างโครงการจัดการน้ำเสียในเขตควบคุมมลพิษจังหวัดสมุทรปราการ หรือโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน โดยศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษายืนตามคำพิพากษาของศาลปกครองชั้นต้น ให้บังคับตามคำชี้ขาดของคณะอนุญาโตตุลาการ และให้กรมควบคุมมลพิษ ชำระเงินค่าจ้าง ค่าเสียหาย รวมดอกเบี้ยแก่บริษัท วิจิตรภัณฑ์ก่อสร้าง จำกัด กับพวกรวม 6 ราย เป็นเงิน 4,983,342,383 บาท กับอีก 31,035,780 เหรียญสหรัฐ พร้อมดอกเบี้ย 7.5 ต่อปี (801,229,599 บาท) นับตั้งแต่วันที่ 28 ก.พ. 2546 ให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน นับแต่วันที่คดีถึงที่สุด รวมทั้งให้คืนค่าธรรมเนียมศาลทั้งหมดแก่ผู้ร้องทั้งหก
สำหรับโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่านนั้น กรมควบคุมมลพิษได้ว่าจ้างบริษัททั้งหก ให้ออกแบบและก่อสร้างเมื่อวันที่ 20 ส.ค. 2540 มูลค่าการก่อสร้างทั้งสิ้น 22,949,984,020 บาท แบ่งเป็นเงินบาทจำนวน 19,506,096,607 บาท และเงินเหรียญสหรัฐ 134,421,835 เหรียญ
ต่อมา นายอภิชัย ชวเจริญพันธุ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษในขณะนั้นได้มีหนังสือเมื่อวันที่ 28 ก.พ. 2546 ให้บริษัททั้งหกยุติการก่อสร้างใดๆในโครงการ เพราะสัญญาตกเป็นโมฆะ เนื่องจากกรมฯ ได้ทำนิติกรรมโดยสำคัญผิดในตัวบุคคล ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม โดยขณะนั้น ทั้ง 6 บริษัทดังกล่าวได้ดำเนินโครงการไปแล้ว 98% และเบิกค่าจ้างไปแล้ว 17,045,889,431.40 บาท เป็นเงินเหรียญสหรัฐจำนวน 121,343,886.19 เหรียญ
หลังจากนั้น บริษัทวิจิตรภัณฑ์ก่อสร้างกับพวก 6 คน ซึ่งเป็นผู้รับจ้างตามโครงการ จึงได้ยื่นข้อพิพาทต่อสำนักงานอนุญาโตตุลาการเมื่อวันที่ 5 ก.ย.2546 เรียกค่าเสียหายจากกรมควบคุมมลพิษเป็นเงินบาทจำนวน 4,983,342,383 บาท และเงินเหรียญสหรัฐ จำนวน 31,035,780 เหรียญสหรัฐ ซึ่งอนุญาโตตุลาการมีคำสั่งให้กรมควบคุมมลพิษจ่ายเงินชดเชยแก่บริษัทเอกชนดังกล่าววงเงิน 4,400 ล้านบาท และเงินเหรียญสหรัฐอีก 26 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านกรมควบคุมมลพิษได้ยื่นคัดค้านคำสั่งอนุญาโตตุลาการต่อศาลปกครองกลาง พร้อมยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาไปยังศาลปกครองสูงสุดเมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 2555 เพื่อระงับคำสั่งชดเชยค่าเสียหายของอนุญาโตตุลาการ ก่อนที่ศาลปกครองสูงสุดจะพิพากษายืนดังกล่าว
ทั้งนี้ มีรายงานว่า หลังจากนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในฐานะกระทรวงต้นสังกัดของกรมควบคุมมลพิษ ต้องของบประมาณจากรัฐบาลและกระทรวงการคลัง เพื่อนำมาจ่ายชดเชยให้กับบริษัทเอกชนดังกล่าว ซึ่งเบื้องต้น นายวิเชียร จุ่งรุ่งเรือง อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ ปฏิเสธที่จะพูดเรื่องนี้ โดยขออ่านและศึกษาคำตัดสินของศาลปกครองให้ละเอียดก่อน
3. บิ๊กตู่ ขอ 5 ฝ่ายพร้อมใจเดินหน้าปฏิรูปตามโรดแมป ไม่เลิกกฎอัยการศึก-ไม่ติดใจ นศ.ชู 3 นิ้ว!
เมื่อวันที่ 18 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้นัดประชุมตัวแทน 5 ฝ่าย ประกอบด้วย คณะรัฐมนตรี(ครม.) ,คสช. ,สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ,สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) และคณะกรรมาธิการ(กมธ.) ยกร่างรัฐธรรมนูญ ประชุมหารือที่อาคารรับรองเกษะโกมล ท่ามกลางการคาดหมายของบางฝ่ายว่า อาจมีการหารือเรื่องจะยกเลิกประกาศกฎอัยการศึกหรือไม่ และจะยกเลิกประกาศ คสช.ฉบับที่ 97 และ 103 เกี่ยวกับข้อห้ามในการทำงานของสื่อมวลชนหรือไม่ หลังมีสมาคมวิชาชีพสื่อเรียกร้องให้ คสช.ยกเลิกประกาศทั้ง 2 ฉบับดังกล่าว หลังเกิดปัญหาระหว่างทหารกับผู้ดำเนินรายการของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสบางคน ที่ไปจัดเสวนาปฏิรูปแล้วพาดพิงการรัฐประหาร ส่งผลให้ทหารบางนายไปขอให้ทางไทยพีบีเอสเปลี่ยนตัวผู้ดำเนินรายการดังกล่าว
ทั้งนี้ หลังประชุม 5 ฝ่าย พล.อ.เลิศรัตน์ รัตนวานิช โฆษก กมธ.ยกร่างรัฐธรรมนูญ เผยว่า ทั้ง 5 องค์กรมารายงานการดำเนินงานให้นายกรัฐมนตรีทราบ ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์อยากให้การปฏิรูปเดินหน้าได้ตามโรดแมปทั้ง 11 ด้าน โดยแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนที่ คสช.หรือรัฐบาลสามารถดำเนินการได้ทันที และอยากให้คณะกรรมาธิการทั้ง 18 คณะส่งให้ พล.อ.ประยุทธ์เพื่อเร่งรัดให้เป็นผลโดยเร็ว โดยไม่จำเป็นต้องรอให้ครบปี เรื่องใดที่จะต้องตราเป็น พ.ร.บ.ก็ให้ดำเนินการผ่าน สนช.หรือ ครม. พล.อ.เลิศรัตน์ เผยด้วยว่า ในที่ประชุมไม่มีการพูดถึงการยกเลิกกฎอัยการศึกและไม่ได้พูดถึงการยกเลิกคำสั่ง คสช.แต่อย่างใด
ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ เผยผลประชุมดังกล่าวในวันต่อมา(19 พ.ย.) ว่า เป็นการหารือว่าจะทำอย่างไรให้การปฏิรูปประเทศเรียบร้อย ทำตามโรดแมปที่วางไว้ และวางพื้นฐานประเทศระยะยาวได้ ซึ่งเกี่ยวพันทั้งรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกที่ต้องออกให้ทันกรอบเวลา อะไรที่ปฏิบัติได้เลยไม่ต้องใช้กฎหมาย ก็ให้แจ้งมายังรัฐบาล จะได้นำไปเคลื่อนทันที ส่วนที่ทำไม่ทัน ก็ต้องเขียนในรัฐธรรมนูญเพื่อส่งต่อการปฏิรูปให้กับรัฐบาลใหม่ ยืนยันว่ารัฐบาลและ คสช.จะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องในการสั่งการใดๆ ทั้งสิ้นกับ สนช. สปช. เป็นเรื่องของกฎหมาย จะไปชี้นำอะไรไม่ได้
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 19 พ.ย. พล.อ.ประยุทธ์ ได้เดินทางลงพื้นที่ภาคอีสาน 2 จังหวัด คือ จ.ขอนแก่น และกาฬสินธุ์ พร้อมกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง เพื่อตรวจเยี่ยมการเตรียมการช่วยเหลือผู้ประสบภัยแล้งและการดำเนินการของศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดขอนแก่นและกาฬสินธุ์ ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนที่คณะของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเดินทางไปถึงศาลากลางจังหวัดขอนแก่น ได้มีมือมืดโปรยใบปลิวต่อต้านการลงพื้นที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ที่ถนนศูนย์ราชการรอบศาลากลาง จ.ขอนแก่น และถนนศรีจันทร์ อ.เมืองขอนแก่น โดยมีข้อความว่า อีสานไม่ต้อนรับเผด็จการ ซึ่งตำรวจได้รีบเก็บและเคลียร์พื้นที่ก่อนที่คณะของนายกฯ จะเดินทางไปถึง
นอกจากนี้ หลังจาก พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางมาถึงศาลากลาง จ.ขอนแก่น และได้ขึ้นกล่าวเปิดงานบนเวทีในหอประชุม ปรากฏว่า ได้มีนักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น 5 คน ซึ่งยืนปะปนอยู่กับผู้ร่วมงาน ลุกขึ้นยืนด้านหน้าเวที พร้อมถอดเสื้อคลุมสีดำออก เพื่อให้เห็นเสื้อยืดสีดำข้างใน ที่สกรีนข้อความว่า ไม่-เอา-รัฐ-ประ-หาร โดยนักศึกษาดังกล่าวได้ชู 3 นิ้ว เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการต่อต้านรัฐประหารด้วย ด้านเจ้าหน้าที่ได้รีบเข้าไปคุมตัวนักศึกษาดังกล่าวออกจากห้องประชุมทันที
ระหว่างนั้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ไม่เป็นไร ค่อยๆ พาเขาไป... ปัญหาทั้งหมด ไม่ค่อยเข้าใจกันก็ลำบากนะ มีใครมาประท้วงอีกไหม มาเร็วๆ จะได้พูดทีเดียว ถ้าประท้วงกัน ก็ไม่ต้องทำอะไรแล้ว... ผมว่าคนส่วนใหญ่เข้าใจพวกเรานะ เข้าใจว่าวันนี้เราจะทำอะไรกัน
ทั้งนี้ คำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์ เรียกเสียงปรบมือดังลั่นจากผู้ร่วมงาน ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวขอบคุณ พร้อมบอกว่า วันนี้เราต้องการเข้ามาทำทุกอย่างให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ ผมเคยเป็น ผบ.ทบ.ทุกคนก็เคยรับราชการ เข้าใจงานดี
พล.อ.ประยุทธ์ ยังกล่าวติดตลกด้วยว่า ผมไม่ใช่คนก้าวร้าวหรือชอบความรุนแรง ก็เห็นตัวตนของผมวันนี้แล้ว... ขอให้ทุกฝ่ายช่วยกัน ถ้ายังขัดแย้งกันเหมือนเหตุการณ์เมื่อสักครู่ มันก็ทำอะไรไม่ได้ทั้งหมด เมื่อสักครู่ผมนึกว่ามีการเอาการแสดงมารับผม นึกว่ามาเต้นกระตั้วแทงเสือ นึกว่าพี่น้องมาแสดงกัน ไม่เป็นไร ไม่โกรธแค้นกัน พี่น้องกันทั้งนั้น คนไทยทั้งสิ้น คนไทยไม่รักคนไทยด้วยกัน แล้วใครจะมารักเรา ถ้าเราไม่ร่วมมือกัน แล้วใครจะมาทำให้เรา ถ้ารัฐบาลไม่ช่วยและดูแลประชาชน ใครจะดู
สำหรับนักศึกษาทั้ง 5 คนดังกล่าว เป็นนักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งตำรวจและทหารได้นำตัวไปทำความเข้าใจและปรับทัศนคติ โดยไม่ได้ดำเนินคดีแต่อย่างใด ขณะที่นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา 1 ใน 5 นักศึกษาดังกล่าว บอกว่า ทหารขอให้หยุดเคลื่อนไหว แต่ตนยืนยันจะเคลื่อนไหวต่อไป มีข้อเสนอข้อตกลงให้พวกผมเซ็นรับทราบ คือ 1.ยอมรับสิ่งที่เราทำ 2.ไม่เคลื่อนไหวไม่ทำกิจกรรมอะไรคัดค้านผู้นำประเทศ 3.ถ้าเคลื่อนไหว จะยอมรับในการดำเนินคดี พวกผมไม่เซ็นยอมรับ แต่ก็ได้รับการปล่อยตัว และไม่มีการดำเนินคดีอีกด้วย
เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากการแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการรัฐประหารของ 5 นักศึกษาดังกล่าวที่ขอนแก่นแล้ว ใน กทม.เอง ก็มีนักศึกษาบางกลุ่มอาศัยจังหวะที่ภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games : Mockingjay Part 1 ที่กำลังเข้าฉายในเมืองไทย จัดกิจกรรมแสดงสัญลักษณ์ต่อต้านการรัฐประหาร โดยเมื่อวันที่ 20 พ.ย. กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีประชาธิปไตย ได้จัดกิจกรรม รำกระตั้ว คั่วป๊อบคอร์น นอนดูหนัง ด้วยการแจกตั๋วหนัง 160 ใบให้แก่ผู้ร่วมกิจกรรม เพื่อเข้าดูหนัง The Hunger Games ที่โรงภาพยนตร์ลิโด้และสกาล่า แต่ทางโรงภาพยนตร์ได้ตัดสินใจถอดภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวออกชั่วคราว
ขณะที่สมาชิกกลุ่มธรรมศาสตร์เสรีประชาธิปไตยบางคน ยังพยายามเดินหน้าจัดกิจกรรมดังกล่าวที่โรงภาพยนตร์แห่งอื่น เช่น โรงภาพยนตร์พารากอนซินีเพล็กซ์ เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเข้าพูดคุยและเชิญตัวไป ที่ สน.ปทุมวัน นอกจากนี้ยังมีวัยรุ่นชายแต่แต่งกายคล้ายหญิงคนหนึ่งเดินชู 3 นิ้ว และกำลังเดินไปดูภาพยนตร์ที่โรงภาพยนตร์ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ก็ได้เชิญตัวไป สน.ปทุมวันเช่นกัน ทราบภายหลังว่าเป็นนักศึกษาชั้นปี 1 คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ ชื่อ นายนัชชชา กองอุดม โดยยืนยันว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองใดๆ แต่ส่วนตัวมีแนวคิดในหลักการประชาธิปไตย มาดูหนังที่โรงภาพยนตร์ เพื่อแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ เพราะภาพยนตร์เรื่องนี้มีสิ่งที่ตรงกับสถานการณ์ในประเทศไทยในปัจจุบัน และรู้อยู่แล้วว่าการชู 3 นิ้วจะทำให้โดนจับกุม ทั้งนี้ หลังจากตำรวจและทหาร ได้ทำความเข้าใจกับนายณัชชชา แล้ว ได้ปล่อยตัว โดยไม่มีการดำเนินคดีแต่อย่างใด