ผู้เขียน หัวข้อ: แพทย์หญิงช็อกกลางสนามบิน จะไปเที่ยวแต่ติด ตม. เพราะมีหมายจับ ทั้งที่ไม่ได้ทำผิด  (อ่าน 154 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
แพทย์หญิงอายแทบแทรกแผ่นดิน จะบินไปเที่ยวแต่ติด ตม. เพราะมีหมายจับ ทั้งที่ทำงานสุจริต ไม่ได้ทำอะไรผิด

กลายเป็นประเด็นร้อนวงการแพทย์เลยทีเดียว เมื่อแพทย์หญิงรายหนึ่งได้โพสต์ข้อความผ่านทางเฟซบุ๊กด้วยหัวข้อว่า "หมอทำงานโดยสุจริต ก็มีสิทธิ์ติดคดี โดนหมายจับได้ !" ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้

เราเป็นแพทย์ประจำ รพ.ประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในเขตปริมณฑล รับราชการมานาน 13 ปี ตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต และที่อยากจะพูดเลยคือ ไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวแบบใครๆ เขา อย่างปีใหม่ที่ผ่านมานี้ ถึงไม่ได้อยู่เวร ก็ยังต้องไปสแตนด์บายงานราชการนอกสถานที่ ก็ยินดีไปนะเพื่อช่วยราชการแต่แล้ว เราก็มีโอกาสพาครอบครัวได้ไปเที่ยวกับเขาบ้าง .. โดยอาศัยช่วงวันหยุดสงกรานต์ พอเรามีแผนที่จะได้ไป ก็หาเวลาไปทำพาสปอร์ตของคุณแม่ เรา และลูกๆ จองทัวร์ จ่ายเงินเรียบร้อยทุกอย่างผ่านฉลุย

จนวันเดินทางวันที่ 13 เมย 66 ที่ผ่านมา เราและครอบครัวไปเจอที่จุดนัดพบของกลุ่มทัวร์ แล้วจึงเข้าเช็กอินกับสายการบิน จากนั้นจึงไปที่ด่าน ตม. แล้วก็ต้องเจอเรื่องช็อกค่ะ!! ติด ตม.เว้ย!!! มีหมายจับจากศาลแพ่ง หน้านี่ลงไปเหลือสองนิ้ว ความภาคภูมิใจในวิชาชีพ ความมั่นใจในความสามารถ ลงไปกองกับคุกกับตาราง!!? อับอายต่อกลุ่มทัวร์ และคนผ่านไปผ่านมาขนาดไหนไม่ต้องพูดถึง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พึ่งเคยเข้าใจคำว่าอยากแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ

ลูกๆ เราก็ผิดหวังมากนะก็ไม่ได้เที่ยวต่างประเทศมาตั้งแต่ 2019 และสุดท้ายทริปเราก็ล่มลงแล้วมันเกิดขึ้นได้ไง?????

หมายจับที่ว่า มาจากการถูกออกหมายเรียกเพื่อเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคดี

หมายแรก มาที่ รพ. และเราได้ทำหนังสือขอเลื่อนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะติดภารกิจไปไม่ได้จริงๆ และการจะทิ้งงานเพื่อไปตอบคำถามประกอบคดีเรายินดีทำนะ ทำมาตลอดนั่นแหล่ะ บ่อยด้วยหนังสือเลื่อนศาลท่านก็ได้รับอยู่ในสำนวนด้วย

หมายที่สอง ส่งไปที่บ้านเราเฉยเลย ทั้งที่หมายแรกก็ติดต่อเราได้นี่นา ตอนนั้นก็งง แต่เค้าก็ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย เออ!!กระบวนการยุติธรรม

หมายที่สามเนี่ยสิ ส่งไปที่เดิม แต่เรามีการย้ายบ้านไปก่อนหน้านั้นแล้วเป็นเดือนเลยนะ แล้วส่งไปหาใครล่ะ? แต่สรุปว่าเราก็โดนหมายจับไง โดนพร้อมกับหมออีกคน แถมส่งไปที่บ้านเก่าด้วย หึ

ใบคดีเราเขียนให้เพียบ คนไข้คดีก็ตรวจให้หมดไม่เคยเกี่ยง หมายศาลก็เพียบ เพราะเราเชื่อมั่นในความยุติธรรม

จากประสบการณ์การขึ้นศาลทำให้เรารู้สึกว่า ผู้พิพากษา อัยการ และทนายทุกคนต่างเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และใจรักในความยุติธรรมทั้งสิ้นต่างคนต่างตั้งใจทำในบทบาทของตนเองอย่างเต็มความสามารถ เราเชื่อเสมอว่าถ้าเราอยู่ข้างความถูกต้อง เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร ทำให้เราไม่กลัวการขึ้นศาลและยินดีให้ความร่วมมือมาตลอด

เราเป็นคนเคารพวิชาชีพตัวเองมากนะ ทุกอย่างเราทำด้วยความตั้งใจเสมอมา ไม่มีสักนิดที่คิดไว้ว่าจะต้องมาเจอกับเรื่องพวกนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พี่น้องนิติเวชเราๆ ที่ต้องขึ้นศาลกันบ่อยกว่าขึ้นเครื่องไปต่างประเทศแล้ว คิดเห็นประการใดบ้าง

ที่ทำให้เราอยากออกมาเล่า เพราะเรามองว่าเรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นกับหมอคนไหนก็ได้ รวมไปถึงอาจจะเกิดขึ้นกับเราอีกเมื่อไหร่ก็ได้เช่นเดียวกัน!!

อยากให้หมอๆและทุกคนระวังเอาไว้จะได้ไม่เสียหายเหมือนเรา

ปล ในส่วนที่งงคือผู้ใหญ่วันที่เราไปขึ้นศาลกล่าวว่า หมายจับที่ส่งไปที่อยู่เก่าเรา.. เค้าก็ชอบออกหมายกันแบบนี่แหละ ไม่จำเป็นต้องออกถูกที่ ไม่งั้นผู้ร้ายก็จะหลบหนี จริงดิ จากหมอกลายเป็นนักโทษหนีคดี ก็ได้เหรอส่วนตัวที่ออกมาเล่าเพราะยังเชื่อมั่นในความยุติธรรมนะ แม้สิ่งที่เราเจอมันจะเฮงซวย!!!!

แต่เชื่อและอยากพิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้ว่าความยุติธรรมมันจะยังมีอยู่จริง

มาถึงจุดๆนี้คำขอโทษ ไม่ขอรับปากเปล่า หรือตัวอักษรแล้วนะคะ เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้รับสักคำขอรับเป็นค่าดำเนินการ ค่าเสียศักดิ์ศรี ค่าถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ค่าเสียหาย แล้วกันนะคะ แต่มันประเมินค่าได้ยากนะคะ

10 มิ.ย. 66
https://www.sanook.com/news/8886046/

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
แพทย์หญิงรับราชการมา 13 ปี โพสต์เล่าประสบการณ์ โดนหมายจับไม่รู้ตัว หลังถูกออกหมายเรียก 3 ครั้ง แถมส่งไปบ้านเก่า เพื่อเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคดีกลายเป็น “นักโทษหนีคดี” ด้านนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย วอนตรวจสอบกรณีดังกล่าวด้วย

เป็นประเด็นร้อนวงการแพทย์ที่ถูกจับตามองไม่แพ้หมอจบใหม่ลาออก หลังวันที่ 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา แพทย์หญิงท่านหนึ่งออกมาโพสต์ผ่านบัญชีเฟชบุ๊ก หลังจากถูกออกหมายจับไม่รู้ตัว โดยมีใจความว่า เป็นหมอทำงานโดยสุจริต ก็มีสิทธิ์ติดคดี โดนหมายจับได้!? คุณหมอรับราชการมานาน 13 ปี เป็นแพทย์ประจำ รพ.ประจำจังหวัดแห่งหนึ่งในเขตปริมณฑล ตั้งใจทำงานด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต นอกจากการทำหน้าที่ประจำก็ยังต้องไปสแตนด์บายงานราชการนอกสถานที่ซึ่งก็ยินดีเพื่อช่วยราชการ

แต่แล้วคุณหมอได้มีโอกาสพาครอบครัวได้ไปเที่ยวกับเขาบ้าง โดยอาศัยช่วงวันหยุดสงกรานต์ที่่ผ่านมาจึงวางแผนพาครอบครัวบินเที่ยวพักผ่อนบ้างซึ่งทุกขั้นตอนผ่านฉลุย แต่เมื่อเข้าเช็คอินกับสายการบินกลับติดด่าน ตม. และเจอเรื่องช็อกว่ามีหมายจับจากศาลแพ่งธนบุรี
"หน้านี่ลงไปเหลือสองนิ้ว ความภาคภูมิใจในวิชาชีพ ความมั่นใจในความสามารถ ลงไปกองกับคุกกับตาราง!!? อับอายต่อกลุ่มทัวร์ และคนผ่านไปผ่านมาขนาดไหนไม่ต้องพูดถึง เป็นครั้งแรกในชีวิตที่พึ่งเคยเข้าใจคำว่าอยากแทรกแผ่นดินหนีจริงๆ ลูกๆเราก็ผิดหวังมากนะก็ไม่ได้เที่ยวต่างประเทศมาตั้งแต่ 2019 และสุดท้ายทริปเราก็ล่มลง แล้วมันเกิดขึ้นได้ไง?????"

หมายจับที่ว่า มาจากการถูกออกหมายเรียกเพื่อเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคดี หมายแรกมาที่ รพ. และเราได้ทำหนังสือขอเลื่อนไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เพราะติดภาระกิจไปไม่ได้จริงๆและการจะทิ้งงานเพื่อไปตอบคำถามประกอบคดีเรายินดีทำนะ ทำมาตลอดนั่นแหล่ะ บ่อยด้วย หนังสือเลื่อนศาลท่านก็ได้รับอยู่ในสำนวนด้วย
หมายที่สอง ส่งไปที่บ้านเราเฉยเลย ทั้งที่หมายแรกก็ติดต่อเราได้นี่นา ตอนนั้นก็งง แต่เค้าก็ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย เออ!!กระบวนการยุติธรรม
หมายที่สามเนี่ยสิ ส่งไปที่เดิม แต่เรามีการย้ายบ้านไปก่อนหน้านั้นแล้วเป็นเดือนเลยนะ แล้วส่งไปหาใครล่ะ?
คุณหมอระบุต่อว่าหมายจับที่ว่า มาจากการถูกออกหมายเรียกเพื่อเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ ไม่มีส่วนได้ส่วนเสียกับคดี โดนพร้อมกับหมออีกคน แถมส่งไปที่บ้านเก่าด้วย ที่ผ่านมาใบคดีเราเขียนให้เพียบ คนไข้คดีก็ตรวจให้หมดไม่เคยเกี่ยง หมายศาลก็เพียบ เพราะเชื่อมั่นในความยุติธรรม จากประสบการณ์การขึ้นศาลทำให้เรารู้สึกว่า ผู้พิพากษา อัยการ และทนายทุกคนต่างเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และใจรักในความยุติธรรมทั้งสิ้นต่างคนต่างตั้งใจทำในบทบาทของตนเองอย่างเต็มความสามารถ เราเชื่อเสมอว่าถ้าเราอยู่ข้างความถูกต้อง เราก็ไม่ต้องกลัวอะไร ทำให้เราไม่กลัวการขึ้นศาลและยินดีให้ความร่วมมือมาตลอดเราเป็นคนเคารพวิชาชีพตัวเองมากนะ ที่ทำให้เราอยากออกมาเล่า เพราะเรามองว่าเรื่องพวกนี้มันเกิดขึ้นกับหมอคนไหนก็ได้ รวมไปถึงอาจจะเกิดขึ้นกับเราอีกเมื่อไหร่ก็ได้เช่นเดียวกัน!! อยากให้หมอๆและทุกคนระวังเอาไว้จะได้ไม่เสียหายเหมือนเรา

ในส่วนที่งงคือผู้ใหญ่วันที่เราไปขึ้นศาลกล่าวว่า หมายจับที่ส่งไปที่อยู่เก่าเรา.. เค้าก็ชอบออกหมายกันแบบนี่แหละ ไม่จำเป็นต้องออกถูกที่ ไม่งั้นผู้ร้ายก็จะหลบหนี  จริงดิ จากหมอกลายเป็นนักโทษหนีคดี ก็ได้เหรอส่วนตัวที่ออกมาเล่าเพราะยังเชื่อมั่นในความยุติธรรมนะ แม้สิ่งที่เราเจอมันจะเฮงซวย!!!!แต่เชื่อและอยากพิสูจน์ให้ทุกคนได้รู้ว่าความยุติธรรมมันจะยังมีอยู่จริงมาถึงจุดๆนี้คำขอโทษ ไม่ขอรับปากเปล่า หรือตัวอักษรแล้วนะคะ  เพราะก่อนหน้านี้ไม่ได้รับสักคำ ขอรับเป็นค่าดำเนินการ ค่าเสียศักดิ์ศรี ค่าถูกดูหมิ่นเหยียดหยาม ค่าเสียหาย แล้วกันนะคะ แต่มันประเมินค่าได้ยากนะคะ

ขณะที่ นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ แพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล และนายกสมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทย โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊ก Smith Fa Srisont เกี่ยวกับกรณีดังกล่าวด้วย และมองว่าเป็นเรื่องใหญ่ระดับหนึ่ง เพราะหมอเหมือนโดนกลั่นแกล้ง จากระบบยุติธรรมครับ สรุปสั้นๆ “แพทย์โรงพยาบาลรัฐโดนหมายจับ เพราะมีหมายเรียกให้มาเป็นพยานในศาลกรณีคดีแพ่ง แล้วแพทย์ไม่ได้ไป โดยหมายเรียกถูกติดหมายที่บ้านซึ่งแพทย์คนนั้นไม่อยู่แล้ว ทั้งๆที่ตามกฎหมายควรส่งไปโรงพยาบาลที่ถือเป็นภูมิลำเนาของข้าราชการ”
ผมอยากถามว่าการกระทำแบบนี้ ถือว่าเป็นการให้หมายเรียกโดยชอบ จนออกหมายจับได้หรือไม่? แล้วมีความจำเป็นแค่ไหนที่ต้องออกหมายจับว่าขัดขืนไม่มาศาลกับแพทย์ที่มีที่ทำงานชัดเจน เพื่อให้มาเป็นพยานในคดีแพ่ง?
สุดท้ายแพทย์ทราบว่าตนเองโดนหมายจับ ในขณะเดินทางกับลูกเพื่อออกนอกประเทศ แล้วติด ตม. ทำให้เดินทางออกไม่ได้ จนสูญเสียค่าใช้จ่ายในการเดินทางของทั้งครอบครัว เป็นแสน และโชคดีที่ ตม. ใจดี ไม่จับเข้าคุกด้วยหลังจากทราบแล้ว แพทย์ได้ไปติดต่อกับทนายและศาล กลับไม่มีคำขอโทษใดๆ จากทั้งสองฝ่าย และระหว่างเพิกถอนหมายจับ เจ้าหน้าที่ศาลยังพูดกับแพทย์ว่า “สมควรถูกออกหมายจับแล้ว เพราะรับหมายเรียก 3 ครั้งก็ไม่มา” แล้วคดีนี้ แพทย์ที่โดนหมายจับไม่ได้มีคนเดียว มีแพทย์อีกคนที่ทำงานโรงพยาบาลเดียวกันโดนหมายจับด้วย แต่โชคดีที่แพทย์คนแรกทำการตรวจสอบจนพบว่าแพทย์อีกคนก็โดนหมายจับ (หมายเรียกไม่ได้ส่งไปที่โรงพยาบาลเช่นเดิม) ไม่งั้นแพทย์อีกคนก็ติดที่ ตม. เหมือนแพทย์คนแรก เพราะมีกำหนดเดินทางไปประชุมที่ ตปท. ในอีกไม่นาน
ผมเศร้าใจครับ สักวันแพทย์ที่ทำหน้าที่โดยปกติ อยู่ดีๆ อาจโดนหมายจับ โดยไม่มีความจำเป็นแบบนี้ อยากเรียกร้องไปถึงสภาทนายความ กับ คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม ให้ตรวจสอบเรื่องนี้ด้วยครับ

โดยภายหลังได้มีการตีแผ่เรื่องราวออกไป มีผู้เข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมากและหลากหลายถึงความเป็นธรรมและข้อกฎหมายต่างๆ

10 มิ.ย. 2566
https://www.pptvhd36.com/health/news/3483

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
ศาลแพ่งธนบุรี ชี้แจงออกหมายจับหมอ ในฐานะพยานผู้เชี่ยวชาญ เพื่อให้มาเบิกความต่อศาล เป็นประโยชน์แก่คดีเท่านั้น เมื่อมาศาลก็ยกเลิกหมายจับ แต่ไม่ได้ออกหมายจับในฐานะผู้ต้องหาแต่อย่างใด

กรณีแพทย์หญิง รพ.ของรัฐ น้อยใจที่ปฏิบัติราชการมา 13 ปี ทำงานหนัก ไปพักผ่อนกับครอบครัวกลับมา เจอศาลออกหมายจับในฐานะเป็นพยานผู้เชี่ยวชาญ คดีรถยนต์ชนจักรยานยนต์ ผู้ขับขี่ จยย.ตาย เพราะพยานไม่ไปศาล และส่งหมายผิดที่เกิดความเสียใจเลยโพสต์ทำนองว่า ทำงานหนัก สุจริต มีสิทธิติดคดีโดนหมายจับได้ จากนั้นก็มีแพทย์ทยอยแสดงความคิดเห็นท้ายโพสต์ ทำนองเห็นใจ และถือว่าเป็นการกลั่นแกล้งแพทย์ ประเด็นนี้สร้างความกระทบกระเทือนต่อสังคมต่อการทำงานของศาลยุติธรรมนั้น

เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. ศาลแพ่งธนบุรี ได้ทำเอกสารข่าวเผยแพร่ มีใจความว่า คดีนี้เป็นคดีดำที่ พ.1524/2564 โจทก์เป็นผู้รับบาดเจ็บจากรถชน ได้ฟ้องจำเลยผู้ทำละเมิด กับ จำเลยร่วมซึ่งเป็นบริษัทผู้รับประกันภัย เป็นคดีละเมิด เรียกให้ประกันภัยรับผิดใข้ค่าสินไหมทดแทน 1.3 ล้านบาท จำเลยร่วมให้การว่าได้ชดใช้สินไหมเต็มตามวงเงินแล้ว การตายของฝ่ายโจทก์เกิดจากโรคประจำตัว

ศาลชี้แจงว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำละเมิดรถชนตาย จำเลยสู้ว่าไม่ได้ตายเพราะละเมิด ประเด็นแห่งคดีคือตายเพราะอุบัติเหตุ หรือโรคประจำตัว ดังนั้น ความเห็นของแพทย์จึงเป็นประเด็นสำคัญแห่งคดี โจทก์อ้างแพทย์ รพ.นครปฐม โดยระบุในบัญชีพยานและส่งหมายเรียกไปตามภูมิลำเนา ซึ่งโจทก์ยืนยันแล้ว 2 ครั้ง เมื่อส่งหมายเรียกไม่มา โจทก์ก็ยังยืนยันตามที่อยู่ที่อ้าง ซึ่งศาลไม่อาจรู้ได้เอง ศาลจึงออกหมายเรียก เมื่อพยานไม่มาศาลตามนัด ฝ่ายทนายโจทก์ยืนยันว่าพยานรับหมายแล้วไม่มา และยืนยันว่า ต้องการให้พยานเบิกความในประเด็นสำคัญ ศาลเห็นว่า พยานไม่มาศาลโดยไม่อ้างเหตุขัดข้อง จึงออกหมายจับไปตามนั้น โดยเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาตามกฎหมายปวิแพ่งมาตรา 111 อนุ 2 ก็เพื่อให้พยานมาเบิกความอันเป็นประโยชน์ต่อคดี ศาลไม่มีส่วนได้เสียกับบุคคลใด ศาลไม่ประสงค์ออกหมายจับให้เกิดข้อโต้แย้งขึ้น

การออกหมายจับก็เพื่อให้ได้ตัวพยานมาเบิกความในประเด็นแห่งคดีตามที่โจทก์ยืนยัน มิใช่เป็นการออกหมายจับในฐานะเป็นผู้ต้องหา หรือจำเลยในคดีอาญา โดยเป็นการปฏิบัติโดยมีกฎหมายรองรับ และใช้ความรอบคอบเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย เป็นการอำนวยความยุติธรรมภายใต้กฎหมายและจริยธรรมแล้ว

14 มิ.ย. 2566
https://mgronline.com/crime/detail/9660000054135

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
สำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) รายงานว่า เมื่อวันที่ 13 มิ.ย. 2566 ศาลเเพ่งธนบุรี ออกเอกสารเเถลงข่าวชี้เเจงกรณีตามที่ปรากฏข่าวต่อสาธารณะว่า 'หมอทำงานโดยสุจริตก็มีสิทธิติดคดีโดนหมายจับได้' ซึ่งเป็นกรณีที่ศาลแพ่งธนบุรีออกหมายจับนางสาว อ. เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2566 คดีหมายเลขดำที่ พ.1524/2564 นั้น

ศาลแพ่งธนบุรีขอชี้แจงข้อเท็จจริงอันเป็นการตอบข้อสงสัยเบื้องต้นดังนี้ คดีนี้โจทก์ทั้งสอง ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 9 กันยายน 2564 เรื่องละเมิด ประกันภัย โดยโจทก์ทั้งสองฟ้องจำเลยในฐานะ ผู้รับประกันรถยนต์คันที่เกิดเหตุเฉี่ยวชนกับรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายเป็นผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บสาหัสและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมาขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 1,300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว จำเลยให้การต่อสู้ว่าจำเลยเป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์คันเกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยจ่ายค่าเสียหายจำนวน 80,000 บาท แก่ฝ่ายผู้ตาย กรณีผู้ตายได้รับบาดเจ็บเสียหายแก่ร่างกายอนามัยเต็มตามกรมธรรม์แล้ว ผู้ตายไม่ได้ถึงแก่ความตายจากสาเหตุรถชน แต่ผู้ตายถึงแก่ความตายจากสาเหตุโรคประจำตัว จำเลยไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ทั้งสองตามฟ้อง ขอให้ยกฟ้อง

นัดแรกเป็นวันนัดชี้สองสถานหรือสืบพยานโจทก์ในวันที่ 13 ธันวาคม 2564 องค์คณะพิจารณาพิพากษาคดีก่อนเข้าระบบพิจารณาคดีต่อเนื่อง ทำการพิจารณาไกล่เกลี่ยแล้วคู่ความไม่สามารถตกลงกันได้ ทนายจำเลยสละประเด็นเรื่องอำนาจฟ้อง จึงได้ทำการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาท ดังนี้ จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์ทั้งสองหรือไม่ เพียงใด ทนายโจทก์ทั้งสองแถลงประสงค์สืบพยาน 3 ปาก และพยานอันดับที่ 6 เป็นแพทย์ผู้รักษา โรงพยาบาลนครปฐม เป็นพยานสำคัญที่จะนำมาสืบถึงสาเหตุการตายของผู้ตาย ศาลนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองและจำเลย 1 นัด ในวันที่ 6 พฤษภาคม 2565

เมื่อพิจารณาคำฟ้อง คำให้การ และประเด็นข้อพิพาทที่ศาลกำหนดแล้ว คดีนี้มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยว่า การตายของผู้ตายเป็นผลโดยตรงมาจากสาเหตุการกระทำละเมิดที่จำเลยจะต้องรับผิดชำระค่าเสียหายตามฟ้องโจทก์ทั้งสองหรือไม่เพียงใด และปรากฎในสำเนาหนังสือรับรองการตายและสำเนามรณบัตรเอกสารท้ายฟ้องว่าแพทย์ลงความเห็นถึงสาเหตุการตายว่า มีสาเหตุจากถุงลมโป่งพอง กรณีจึงมีความจำเป็นต้องมีแพทย์ผู้ตรวจรักษาและแพทย์นิติเวชมาเบิกความในประเด็นดังกล่าวตามที่ทนายโจทก์ทั้งสองแถลง

เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2565 ทนายโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอหมายเรียกพยานบุคคล ลำดับที่ 6 และพยานเอกสาร ลำดับที่ 25 ตามบัญชีระบุพยานฉบับลงวันที่ 9 กันยายน 2564 โดยระบุในหมายเรียกพยานลำดับที่ 6 ในหมายเรียกว่า แพทย์หญิงอ. หรือ/แพทย์หญิงก. หรือ/แพทย์โรงพยาบาลนครปฐม และขอรับหมายไปส่งให้พยานด้วยตนเอง ผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่เวรสั่งในวันดังกล่าว มีคำสั่ง หมายเรียกพยานบุคคล คำสั่งเรียกพยานเอกสาร

เมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2565 ทนายโจทก์ทั้งสองยื่นบัญชีพยานเพิ่มเติมระบุอ้าง แพทย์หญิงอ. เป็นพยาน ระบุที่อยู่ของพยานเป็นบ้านเลขที่ ๕ พร้อมกับแนบแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎรของแพทย์หญิงอ. กับขอหมายเรียกแพทย์หญิงอ. มาเป็นพยานโดยขอให้เจ้าพนักงานศาลเป็นผู้ส่งไปตามที่อยู่ดังกล่าว ผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่เวรสั่งมีคำสั่งให้ส่งโดยเจ้าพนักงานศาล หากไม่มีผู้รับโดยชอบให้ปิดหมาย

ต่อมาวันที่ 20 เมษายน 2565  โรงพยาบาลนครปฐมมีหนังสือแจ้งว่าแพทย์หญิงอ. มีภารกิจทางราชการไม่สามารถมาเป็นพยานศาลได้ ศาลมีคำสั่งรวมเอกสารดังกล่าวและเมื่อถึงวันนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองนัดแรกวันที่ 6พฤษภาคม 2565 ได้แจ้งเหตุขัดข้องให้ทนายโจทก์ทั้งสองทราบแล้ว

ประกอบกับทนายโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอเรียกผู้ขับรถอีกฝ่ายซึ่งเป็นคู่กรณีกับผู้ตายเข้ามาเป็นจำเลยร่วมศาล มีคำสั่งให้เรียกคู่กรณีเข้ามาเป็นจำเลยร่วม จึงยังไม่มีการสืบพยานโดยเลื่อนคดีไปและมีการเลื่อนคดีอีก 2 ครั้ง คือในนัดวันที่ 11 กรกฎาคม 2565 เนื่องจากยังอยู่ในระยะเวลาจำเลยร่วมยื่นคำให้การ และในนัดวันที่ 15 สิงหาคม 2565 คู่กรณีซึ่งศาลหมายเรียกเข้ามาเป็นจำเลยร่วมสามารถตกลงกับโจทก์ทั้งสองได้ โจทก์ทั้งสองจึงถอนฟ้องจำเลยร่วมไป และกำหนดวันนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองและจำเลยอีกครั้งในวันที่ 31 ตุลาคม 2565 ศาลมีคำสั่งให้คู่ความดำเนินการขอหมายเรียกพยานแต่เนิ่น ๆ

ต่อมาวันที่ 5 กันยายน 2565 ทนายโจทก์ทั้งสองยื่นคำร้องขอหมายเรียกพยานปากคือ แพทย์หญิงอ. เป็นพยานโดยระบุที่อยู่พยานปากแพทย์หญิงอ.บ้านเลขที่ 5 ผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่เวรสั่งอนุญาต ผลการส่งหมายของศาลแพ่งตลิ่งชันระบุว่าวันที่ 18 กันยายน 2565 ส่งได้โดยพบสถานที่ตามหมายไม่มีผู้รับแทนจึงปิดหมายไว้ตามคำสั่งศาล และปรากฏภาพถ่ายหลักฐานการส่งหมายที่ปิดไว้ตามที่อยู่ดังกล่าว เป็นอาคารพาณิชย์ มีประตูเหล็กยืดเปิดอยู่ ภายในกั้นกระจกลักษณะคล้ายสำนักงาน ด้านหน้ามีรองเท้าถอดวางอยู่ 1 คู่ เชื่อว่ามีคนพักอาศัยอยู่ในขณะไปส่งหมาย

การส่งหมายเรียกดังกล่าวจึงเป็นการออกและส่งหมายเรียกโดยชอบ แต่เมื่อถึงวันนัดที่ 31 ตุลาคม 2565 แพทย์หญิงอ. ไม่ได้ไปศาลและไม่มีการแจ้ง เหตุขัดข้อง ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนทำการสืบพยานโจทก์ทั้งสองปากอื่นไปและคงเหลือแพทย์หญิงอ. และพยานอีกปากที่ไม่มาศาล

ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนไม่ได้ออกหมายจับแพทย์หญิงอ. ในทันทีและได้ทราบจากทนายโจทก์ทั้งสองว่าไม่สามารถติดต่อแพทย์หญิงอ. ได้ ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจึงกำชับทนายโจทก์ทั้งสองให้เร่งติดต่อพยานเพื่อให้ได้ตัวมาเบิกความ และเลื่อนไปนัดสืบพยานโจทก์ทั้งสองและจำเลยอีกครั้งในวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 เมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2565 เสมียนทนายโจทก์ทั้งสองขอหมายเรียกแพทย์หญิงอ. ไปตามที่อยู่บ้านเลขที่ 5 และขอให้ปิดหมาย ผู้พิพากษาปฏิบัติหน้าที่เวรสั่งอนุญาตให้ปิดหมาย

ผลการส่งหมาย ระบุว่าวันที่ 3 ธันวาคม 2565 ส่งหมายได้โดยพบสถานที่ตามหมาย ไม่มีผู้รับแทน จึงปิดหมายตามคำสั่งศาล โดยมีการวาดแผนที่ที่ส่งหมายและถ่ายภาพสถานที่ปิดหมายประกอบการส่งไว้ สถานที่ดังกล่าวมีลักษณะเป็นอาคารพาณิชย์ ประตูเหล็กยืดด้านหน้าเปิดอยู่และด้านในมีกระจกกั้นคล้ายเป็นสำนักงานภายใน

มีไฟเปิดอยู่ที่เพดาน เชื่อว่ามีผู้พักอาศัยอยู่ในขณะที่มีการส่งหมาย แต่ไม่ยอมรับหมาย เจ้าพนักงาน จึงปิดหมายไว้ ซึ่งเป็นการออกและส่งหมายโดยชอบแล้ว เมื่อถึงวันนัดที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 แพทย์หญิงอ. ไม่มาศาลและไม่ปรากฏว่ามีการแจ้งเหตุขัดข้องใด ๆ

ทนายโจทก์ทั้งสองจึงยื่นคำร้องอ้างว่ามีการส่งหมายให้พยาน 2 ครั้ง พยานได้รับแล้วไม่มาศาลและไม่แจ้งเหตุขัดข้อง ถือว่าจงใจขัดหมายเรียกขอให้ออกหมายจับแพทย์หญิงอ. ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนสอบทนายโจทก์ทั้งสองแล้ว ทนายโจทก์ทั้งสองยืนยันว่าปากแพทย์หญิงอ. เป็นพยานสำคัญในคดีของโจทก์ทั้งสอง เพราะคดีนี้โจทก์ทั้งสองฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนการทำละเมิดจากการที่ผู้ขับรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้ชนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยให้การต่อสู้ว่าผู้ตายถึงแก่ความตายหลังเกิดเหตุหลายเดือน และหนังสือรับรองการตายระบุเหตุการตายว่าถุงลมโป่งพอง ไม่ได้เกิดจากการทำละเมิดดังกล่าว โจทก์ทั้งสองประสงค์จะนำสืบ ให้เห็นว่าการตายเป็นผลมาจากการกระทำละเมิดจึงจำต้องให้แพทย์หญิงอ. ซึ่งเป็นแพทย์ที่ทำความเห็นในการชันสูตรมาเบิกความ

การออกหมายเรียกแพทย์หญิงอ. ในคดีนี้ก็เป็นการออกและส่งโดยชอบทุกครั้ง แม้ผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนจะไม่ได้เป็นผู้อนุญาตออกหมายเรียกเองก็ตาม เนื่องจากในครั้งแรกที่ทนายโจทก์ทั้งสองขอออกหมายเรียกก็มี การระบุที่อยู่และแนบแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎรที่เป็นปัจจุบันมาแสดงและระบุว่าแพทย์หญิงอ. เป็นเจ้าบ้านบ้านเลขที่ 5 และเมื่อไปส่งหมายเรียก ได้มีการถ่ายภาพการปิดหมายเรียกไว้ปรากฏว่า บ้านพักดังกล่าวมีลักษณะมีผู้พักอาศัยอยู่ ในการขอหมายเรียกครั้งที่ 2 ก็ส่งไปตามที่อยู่เดิมก็ปรากฎภาพถ่ายเป็นไปตามลักษณะที่อยู่เช่นเดียวกับในครั้งแรกโดยทั้งสองครั้งประตูเหล็กยึดด้านหน้าก็เปิดอยู่ จากการตรวจสอบแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎรบ้านที่อ้างว่าย้ายที่อยู่แล้วนั้น

ปัจจุบันก็ปรากฏว่ายังมีชื่อบุตรทั้งสองของแพทย์หญิงอ. อยู่ในทะเบียนบ้านดังกล่าวหากแพทย์หญิงอ. ย้ายที่อยู่จริงบุคคลภายในที่พักอาศัยนั้น ก็จะต้องแจ้งแก่เจ้าพนักงานที่ไปปิดหมายให้ทราบแล้ว ดังนี้เมื่อส่งหมายเรียกให้ พยานโดยชอบแล้ว เมื่อพยานไม่มาศาลตามหมายเรียกโดยไม่ปรากฏเหตุขัดข้อง จึงได้ดำเนินการออกหมายจับพยานตามคำร้องของทนายโจทก็ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 111(2)

การทำละเมิดจากการที่ผู้ขับรถคันที่จำเลยรับประกันภัยไว้ชนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย ส่วนจำเลยให้การต่อสู้ว่าผู้ตายถึงแก่ความตายหลังเกิดเหตุหลายเดือน และหนังสือรับรองการตายระบุเหตุการตายว่าถุงลมโป่งพอง ไม่ได้เกิดจากการทำละเมิดดังกล่าว โจทก์ทั้งสองประสงค์จะนำสืบ ให้เห็นว่าการตายเป็นผลมาจากการกระทำละเมิดจึงจำต้องให้แพทย์หญิงอ. ซึ่งเป็นแพทย์ที่ทำความเห็นในการชันสูตรมาเบิกความ

ในการดำเนินกระบวนพิจารณาคดีแพ่ง การอ้างพยานและที่อยู่ของพยานรวมถึงการดำเนินการให้ได้ตัวพยานมาเบิกความ ล้วนเป็นหน้าที่ของคู่ความและทนายความฝ่ายนั้น ศาลเพียงแต่หมายเรียกไปตามที่อยู่หรือสถานที่ที่คู่ความระบุไว้ในบัญชีระบุพยานและคำแถลงขอออกหมายเรียก ศาลไม่อาจทราบที่อยู่ของพยานได้เอง ซึ่งในทางปฏิบัตินั้นคู่ความจะอ้างชื่อและที่อยู่ของพยานมาในบัญชีระบุพยานและขอออกหมายเรียกไปตามที่อยู่นั้นโดยไม่ได้มีการแนบแบบรับรองรายการทะเบียนราษฎรประกอบ แต่ในกรณีนี้ฝ่ายโจทก์ได้แนบแบบรับรองทะเบียนราษฎรที่มีการคัดถ่ายไม่เกิน 1 เดือน ประกอบในการขอออกหมายเรียกพยานเพื่อยืนยันที่อยู่ของพยาน อันเป็นการปฏิบัติการออกหมายเรียกพยานและส่งหมายเรียกให้พยานโดยชอบแล้ว

และศาลก็จะดำเนินการออกหมายเรียกให้ตามนั้น เพราะเหตุที่คู่ความและพยานจะต้องมีการประสานงานกันเพื่อมาเบิกความต่อศาลอันเป็นประโยชน์ต่อคู่ความฝ่ายนั้น ศาลไม่มีส่วนได้เสียกับบุคคลใด ในคดีรวมถึงพยานทั้งสองฝ่าย หากไม่มีเหตุขัดข้องดังกล่าวข้างต้น ไม่มีความประสงค์ที่จะออกหมายจับแพทย์ให้เกิดข้อโต้แย้งแต่อย่างใด การที่ศาลปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 111(2) ก็เพื่อให้ได้ตัวพยานมาเบิกความในประเด็นสำคัญแห่งคดีที่ฝ่ายโจทก์แถลงยืนยันที่จะให้มี

การสืบพยานปากนี้ มิใช่เป็นการออกหมายจับในฐานะผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาแต่อย่างใด เป็นการปฏิบัติไปตามกระบวนพิจารณาซึ่งมีกฎหมายรองรับให้อำนาจไว้ และศาลได้ใช้ดุลพินิจในการใช้อำนาจตามกฎหมายดังกล่าวด้วยความรอบคอบและเป็นธรรมแก่คู่ความในคดีทุกฝ่าย อันเป็นการอำนวยความยุติธรรมตามกรอบของกฎหมายและจริยธรรมโดยชอบ มิได้มีเจตนากลั่นแกล้งผู้ใด เนื่องจากศาลต้องวางตัวเป็นกลางและมิใช่เป็นการออกหมายจับในฐานะผู้ต้องหาหรือจำเลยในคดีอาญาแต่อย่างใด

13 มิถุนายน 2566
https://www.isranews.org/article/isranews-short-news/119309-isranewss-63.html