4. ตำรวจนำตัว สรยุทธ กับพวกส่งอัยการฟ้องข้อหาฉ้อโกง-ปลอมเอกสารกรณีโกงค่าโฆษณา อสมท 138 ล้าน ด้านอัยการนัดสั่งคดี 2 มิ.ย.นี้!
เมื่อวันที่ 24 พ.ค. พนักงานสอบสวน สน.พญาไท ได้นำนายสรยุทธ สุทัศนะจินดา พิธีกรชื่อดัง และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไร่ส้ม จำกัด, บริษัท ไร่ส้ม จำกัด, น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่ บริษัท ไร่ส้ม และนางพิชชาภา เอี่ยมสะอาด หรือนางชนาภา บุญโต อดีตพนักงานจัดทำคิวโฆษณาของบริษัท อสมท จำกัด (มหาชน) ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฉ้อโกง, ร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย และทำลายเอกสารของผู้อื่น พร้อมสำนวนและความเห็นสมควรสั่งฟ้อง ส่งให้อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 3 เพื่อมีความเห็นสั่งคดี สืบเนื่องจากบริษัท ไร่ส้ม ของนายสรยุทธ แก้ไขเอกสารและไม่รายงานการโฆษณาเกินเวลา ส่งผลให้บริษัท อสมท ได้รับความเสียหายเป็นเงิน 138,790,000 บาท
ด้านทนายความนางพิชชาภากล่าวว่า ในส่วนของนางพิชชาภาได้ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่ออัยการ เนื่องจากเห็นว่าคดีนี้เป็นการฟ้องซ้ำกับคดีอาญาที่มีคำพิพากษาไปก่อนหน้านี้ และคดีที่ศาลแขวงพระนครเหนือ อีกทั้งเห็นว่าพนักงานสอบสวนไม่มีอำนาจดำเนินคดี เพราะนางพิชชาภาเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งหลังจากนี้ ต้องรอพนักงานอัยการมีความเห็นต่อไป
นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา กล่าวว่า พนักงานอัยการได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนไว้เพื่อพิจารณาแล้ว โดยอธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญาได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานอัยการเพื่อพิจารณาสำนวน 7 คน พร้อมนัดประชุมคณะทำงานครั้งแรกในวันที่ 25 พ.ค.
วันต่อมา(25 พ.ค.) คณะทำงานอัยการที่ได้รับการแต่งตั้งให้พิจารณาสำนวนคดีนายสรยุทธได้ประชุมที่สำนักงานอัยการสูงสุด หลังประชุม นายณัฐจักร ปัทมสิงห์ ณ อยุธยา อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม และนายวิเชียร ถนอมพิชัย รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ในฐานะหัวหน้าคณะทำงาน ได้แถลงความคืบหน้าการสั่งคดีว่า ที่ประชุมสรุปความเห็นสมควรสั่งฟ้องนายสรยุทธ, บริษัท ไร่ส้ม, น.ส.มณฑา และนางพิชชาภา ผู้ต้องหา ฐานร่วมกันฉ้อโกง และร่วมกันปลอมและใช้เอกสารปลอม ทำให้ผู้อื่นได้รับความเสียหาย และทำลายเอกสารของผู้อื่น จากกรณีที่ไม่ชำระค่าโฆษณาส่วนเกินแก่ อสมท กว่า 138 ล้านบาท
ทั้งนี้ นายณัฐจักร อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา ยืนยันว่า จะให้ความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย โดยจะพิจารณาสำนวนให้แล้วเสร็จก่อนที่คดีจะหมดอายุความในเดือน ก.ค.นี้ และการสั่งคดีจะพิจารณาตามพยานหลักฐานที่ปรากฏอย่างชัดเจน ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
ขณะที่นายปรเมศวร์ กล่าวว่า ผู้ต้องหาทั้งหมดได้ยื่นคำร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาแล้ว มีประเด็นใกล้เคียงกัน ส่วนใหญ่เป็นประเด็นข้อกฎหมายว่า คดีมีการฟ้องซ้ำกับคดีที่ อสมท.ยื่นฟ้องเอง และคดีที่ ป.ป.ช.สรุปสำนวนทุจริตให้อัยการฟ้องไปแล้ว ซึ่งการพิจารณาคงไม่ยาก ต้องดูว่าเป็นการกระทำผิดกรรมเดียว ที่ผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือไม่ โดยจะให้ความเป็นธรรมแก่ทั้งสองฝ่ายมากที่สุด และจะนำคำพิพากษาที่ศาลอาญาตัดสินคดีทุจริตมาประกอบการพิจารณาด้วย และว่า คดีนี้มีการแจ้งความตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งคดีมีอัตราโทษจำคุกสูงสุดไม่เกิน 10 ปี อายุความจะอยู่ที่ 10 ปี ดังนั้น อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญา มีความเป็นห่วง เกรงว่าคดีจะหมดอายุความในเดือน ก.ค.นี้เสียก่อน จึงกำชับคณะทำงานให้พิจารณาโดยเร็ว ดังนั้น คณะทำงานจะพยายามพิจารณาให้เสร็จภายใน 2 สัปดาห์ ซึ่งอัยการนัดผู้ต้องหาทั้งหมดมาฟังคำสั่งในวันที่ 2 มิ.ย.นี้ แต่หากพิจารณาสำนวนไม่เสร็จก็จะต้องเลื่อนการสั่งคดีออกไป แต่จะไม่ให้เกินเดือน ก.ค. อย่างแน่นอน เพื่อไม่ให้คดีล่าช้า
นายปรเมศวร์ กล่าวอีกว่า ประเด็นการพิจารณาเรื่องฟ้องซ้ำหรือไม่นั้น ต้องดูเอกสารและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวพันกันด้วย ซึ่งหลังจากที่มีการแจ้งความแล้ว ป.ป.ช. ได้พิจารณาในส่วนคดีการทุจริต สำหรับความผิดทางอาญาฐานฉ้อโกง และปลอมแปลงเอกสารไม่ได้อยู่ในอำนาจของ ป.ป.ช. พนักงานสอบสวน สน.ห้วยขวาง จึงทำสำนวนดำเนินคดีส่งมาให้พนักงานอัยการ ซึ่งพฤติการณ์การปลอมเอกสารนั้น เท่าที่ตรวจสำนวนในเบื้องต้นพบว่า มีการใช้น้ำยาลบคำผิด ลบข้อความในเอกสารกว่า 100 ฉบับ ดังนั้น นอกจากจะพิจารณาเรื่องประเด็นการฟ้องซ้ำแล้ว ยังต้องพิจารณาด้วยว่า การกระทำนั้นเป็นการกระทำผิดภายในวันเดียวหรือไม่ สุดท้ายแล้ว ถ้าสำนวนคดีฉ้อโกงเป็นเรื่องเดียวกับที่ อสมท.ยื่นฟ้องคดีเองต่อศาลแขวงแล้ว อัยการก็ต้องให้ความเป็นธรรมสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาดังกล่าว ส่วนความผิดการปลอมเอกสารนั้น หากยังไม่ปรากฏเป็นความผิดที่เคยฟ้องมาก่อน อัยการก็สามารถสั่งคดีที่จะฟ้องหรือไม่ฟ้องต่อไปได้ เพราะลักษณะความผิดเป็นคนละเรื่องกับการกล่าวหาในชั้น ป.ป.ช.
อนึ่ง คดีบริษัท ไร่ส้ม ยักยอกเงินค่าโฆษณาเกินเวลาในรายการ คุยคุ้ยข่าว ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 อสมท เป็นเงินกว่า 138 ล้านบาท และพนักงานอัยการฝ่ายคดีพิเศษ 2 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนางพิชชาภา, บริษัท ไร่ส้ม จำกัด โดย น.ส.อังคนา วัฒนมงคลศิลป์ และ น.ส.สุกัญญา แซ่ลิ่ม ในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ไร่ส้ม, นายสรยุทธ สุทัศนะจินดา และ น.ส.มณฑา ธีระเดช เจ้าหน้าที่บริษัท ไร่ส้ม ร่วมกันเป็นจำเลยฐานกระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2502 และฐานสนับสนุนพนักงานกระทำความผิดดังกล่าว โดยศาลอาญาได้อ่านพิพากษาเมื่อวันที่ 29 ก.พ. 2559 ให้จำคุกนางพิชชาภา เป็นเวลา 30 ปี ปรับบริษัท ไร่ส้ม เป็นจำนวนเงิน 1.2 แสนบาท จำคุกนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา คนละ 20 ปี แต่ทางนำสืบเป็นประโยชน์ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกนางพิชชาภาเป็นเวลา 20 ปี จำคุกนายสรยุทธ และ น.ส.มณฑา คนละ 13 ปี 4 เดือน และปรับบริษัท ไร่ส้ม เป็นเงิน 8 หมื่นบาท โดยไม่มีเหตุให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1, 3 และ 4 ซึ่งคดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ โดยจำเลยทั้งสามได้รับการปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์
5. เอไอเอส ได้คลื่น 900 MHz สมใจ หลังไร้คู่แข่ง ด้วยราคาที่ แจส เคยชนะประมูล 75,654 ล้าน!
เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ซึ่งเป็นวันที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) กำหนดให้เป็นวันประมูล 4G คลื่น 900 MHz รอบใหม่ หลังจากก่อนหน้านี้ บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ ได้ทิ้งใบอนุญาตไป เนื่องจากไม่สามารถชำระเงินค่าประมูลภายในเวลาที่กำหนดได้ ส่งผลให้ต้องจัดประมูลรอบใหม่ โดยมีผู้เข้าแข่งขันเพียงรายเดียวคือ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ AWN ในเครือบริษัท แอดวานซ์ อินโฟ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ขณะที่บริษัท ทรู และดีแทค ไม่ร่วมประมูลในครั้งนี้ โดยให้เหตุผลว่า คลื่นที่บริษัททั้งสองมีอยู่ในมือ เพียงพอที่จะให้บริการลูกค้าได้อย่างดีแล้ว
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า การประมูลรอบใหม่ใช้เวลาเพียง 35 นาที โดยผู้ประมูลยืนยันราคาประมูลที่ 75,654 ล้านบาท จากนั้น คณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ได้ประชุมเพื่อรับรองผลการประมูล ทั้งนี้ คาดว่า บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จะชำระค่าใบอนุญาตก่อนวันที่ 30 มิ.ย.ซึ่งเป็นวันครบกำหนดการขยายระยะเวลามาตรการเยียวยาคลื่น 900 MHz ของเอไอเอส ซึ่ง กสทช.จะให้ใบอนุญาต 2 วันหลังจากบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค มาชำระเงินการประมูลในครั้งนี้
เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้จะมีผู้เข้าร่วมประมูลเพียงรายเดียว แต่กฎกติกายังเป็นไปอย่างเคร่งครัดเหมือนเดิม คือ เมื่อผู้แทนผู้เข้าร่วมการประมูลเข้าห้องประมูลแล้วจะไม่สามารถออกนอกพื้นที่ที่กำหนดได้จนกว่าจะสิ้นสุดการประมูล ซึ่งเป็นกฎของการประมูลที่ต้องหลีกเลี่ยงการติดต่อสื่อสารกับบุคคลอื่น ส่วนของอาหาร เครื่องดื่ม ของว่าง และสิ่งอำนวยความสะดวก สำนักงาน กสทช. ได้จัดเตรียมให้ผู้เข้าร่วมประมูลในห้องประมูลเรียบร้อยแล้ว
นายฐากร กล่าวว่า การประมูลคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz ในครั้งนี้ ประชาชนจะได้ใช้บริการโทรศัพท์มือถือในราคาที่เป็นธรรม สมเหตุสมผล ไม่เอาเปรียบ บริการมีคุณภาพ โดยอัตราค่าบริการโทรศัพท์มือถือบนคลื่นความถี่ย่าน 900 MHz ได้กำหนดค่าบริการเสียงต้องต่ำกว่า 69 สตางค์ต่อนาที และค่าบริการดาต้าต้องต่ำกว่า 26 สตางค์/เมกะไบต์
นอกจากนี้ กรณีที่ผู้ชนะการประมูลไม่ดำเนินการตามเงื่อนไข จะถูกริบหลักประกันการประมูล 3,783 ล้านบาท และชำระค่าเสียหายเพิ่มไม่น้อยกว่า 11,348 ล้านบาท นอกจากนั้นผู้ผิดเงื่อนไขหรือผู้ที่มีความเกี่ยวโยงกันจะไม่สามารถยื่นขอรับใบอนุญาตเพื่อประกอบกิจการโทรคมนาคมใดๆ ได้อีกต่อไป ส่วนรายได้ที่เกิดจากการประมูล กสทช.จะนำส่งเข้ารัฐทั้งหมด ไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ เพราะค่าใช้จ่ายในการประมูลจำนวน 7.3 ล้านบาท กสทช.ต้องเก็บจาก บริษัท แจส โมบาย บรอดแบนด์ จำกัด ที่ทิ้งใบอนุญาตก่อนหน้านี้
6. อัยการสั่งฟ้อง เจนภพ ทายาทเลนโซ่ กรุ๊ป 8 ข้อหาหนัก คดีซิ่งเบนซ์ชนฟอร์ด ไฟคลอก 2 นักศึกษาปริญญาโทดับ!
ความคืบหน้ากรณีที่นายเจนภพ วีรพร ทายาทเลนโซ่ กรุ๊ป ขับรถยนต์เมอร์เซเดส เบนซ์ หมายเลขทะเบียน ษง 3333 กรุงเทพมหานคร พุ่งชนท้ายรถยนต์ฟอร์ด หมายเลขทะเบียน ฆย 6911 กรุงเทพมหานคร จนเกิดไฟลุกท่วม และเป็นเหตุให้นายกฤษณะ ถาวร และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย นิสิตปริญญาโท มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ถูกไฟคลอกเสียชีวิต เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา และต่อมา พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ส่งสำนวนการสอบสวนจำนวน 686 หน้า ให้พนักงานอัยการพิจารณาสั่งฟ้อง โดยตั้ง 8 ข้อหาหนักแก่นายเจนภพนั้น
เมื่อวันที่ 27 พ.ค. ที่สำนักงานอัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา นายยงยุทธ เกียรติศักดิ์โสภณ อธิบดีอัยการภาค 1 นายกฤษดา โรจนสุวรรณ อัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา และนายประยุทธ เพชรคุณ รองโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ร่วมกันแถลงข่าวหลังจากได้ตรวจสอบสำนวนทั้งหมด 686 หน้าแล้ว โดยสั่งฟ้องนายเจนภพ วีรพร ผู้ต้องหา 8 ข้อหา
ทั้งนี้ นายยงยุทธ กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีที่ประชาชนให้ความสนใจ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกระบวนการยุติธรรมจึงทำคดีโดยเน้นเป็นพิเศษ ขณะที่ทางอัยการสูงสุดเน้นให้ทำงานรวดเร็ว โปร่งใส ตรวจสอบได้ และโดยหลักการ ต้องให้ความเป็นธรรมแก่ผู้เสียหาย รวมทั้งผู้ต้องหา จึงได้ตั้งคณะอัยการที่มีความเชี่ยวชาญของสำนักงานอัยการสูงสุด และอัยการจังหวัดเข้าร่วมพิจารณาสำนวนในครั้งนี้จนแล้วเสร็จ
สำหรับข้อหาทั้ง 8 ข้อหา ประกอบด้วย 1.ขับรถโดยประมาทอันอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลและทรัพย์สิน เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 2.ขับรถด้วยความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด 3.ขับรถในขณะเมาสุราหรือของเมาอย่างอื่น เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 4.เป็นผู้ขับรถเสพยาเสพติดให้โทษตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดให้โทษ เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย 5.ขับรถในขณะหย่อนความสามารถในอันที่จะขับ 6.ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่น 7.ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของพนักงานเจ้าหน้าที่หรือพนักงานสอบสวนที่สั่งให้มีการทดสอบ และตรวจสอบผู้ขับรถตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 142, 157/1 โดยไม่มีเหตุอันสมควร 8.ฝ่าฝืนและไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของเจ้าหนักงาน ซึ่งสั่งการตามอำนาจที่มีกฎหมายกำหนดโดยไม่มีเหตุหรือข้อแก้ตัวอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 368
พร้อมกันนี้ อัยการยังได้เพิ่มคำขอท้ายฟ้องว่า 1.ขอให้ศาลเพิกถอนใบอนุญาตขับรถยนต์ส่วนบุคคลของนายเจนภพ 2.ขอให้ศาลใช้วิธีการเพื่อความปลอดภัยต่อสังคม โดยขอศาลสั่งให้ส่งนายเจนภพ ไปคุมตัวไว้ในสถานพยาบาล เพราะการปล่อยตัวนายเจนภพ ซึ่งมีจิตบกพร่องโรคจิต หรือจิตฟั่นเฟือน และไม่ต้องรับโทษ หรือได้รับการลดโทษ จะเป็นการไม่ปลอดภัยแก่ประชาชน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 48 และขอให้ศาลกำหนดในคำพิพากษาว่า นายเจนภพจะต้องไม่เสพสุราและยาเสพติดให้โทษภายในเวลาที่กำหนด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 49
นอกจากนี้อัยการยังแจ้งสิทธิให้ญาติของนายกฤษณะ ถาวร และ น.ส.ธันฐภัทร์ ฮ้อแสงชัย ผู้เสียชีวิตทั้งสองรายทราบ คือ 1.สิทธิรับค่าตอบแทนผู้เสียหายในคดีอาญา ตาม พ.ร.บ.ค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนค่าใช้จ่ายแก่จำเลยในคดีอาญา พ.ศ.2544 และ 2.สิทธิเรียกค่าสินไหมทดแทน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1
ทั้งนี้ อัยการได้นำสำนวนคดีนี้ส่งฟ้องที่ศาลจังหวัดพระนครศรีอยุธยา โดยไม่ต้องนำตัวนายเจนภพไปแสดงต่อศาล เนื่องจากนายเจนภพอยู่ระหว่างการฝากขังของศาล
MGR Online 28 พฤษภาคม 2559