แถลงการณ์คัดค้านร่าง พรบ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ จากผู้ให้บริการสาธารณสุขทั่วประเทศ
(อีกหนึ่งฉบับ จากกรรมการกลางสมาพันธ์ฯคนหนึ่ง)
ร่าง พรบ.ฉบับนี้จะทำให้ผู้ให้บริการสาธารณสุขทั่วประเทศมีทัศนคติต่อประชาชนที่มารับบริการเปลี่ยนไป นั่นคือมองผู้ป่วยเป็นผู้ที่มีโอกาสฟ้องร้องผู้ให้บริการเป็นจำเลยในร่าง พรบ.ฉบับนี้ได้ทุกเมื่อ แทนที่จะมองผู้ป่วยเป็นบุคคลที่ผู้ให้บริการยินดีเข้าไปช่วยเหลือด้วยความเอื้ออาทรเหมือนที่ผ่านมา ทำให้ผู้ให้บริการมีความหวาดระแวง และระวังตัวตลอดเวลาการทำงานมากเกินผิดปกติ มีผลให้การรักษาผิดธรรมชาติวิสัยของผู้ให้บริการ จนผู้ให้บริการเปลี่ยนวิธีดูแลรักษาเกินเลยกว่าปกติ (จากเดิมซึ่งมีความระมัดระวังอยู่แล้ว) เพื่อปกป้องตนเองไม่ให้ถูกฟ้องร้อง หรือหลีกเลี่ยงการรักษาผู้ป่วยไปเลยเพราะไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะถูกฟ้องร้อง ผลสุดท้าย ความเสียหายทั้งหมดจะตกอยู่ที่ประชาชนนั่นเอง
อนึ่งต้องเข้าใจกันว่าผู้ให้บริการจะรักษาดูแลผู้ป่วยได้ดีนั้น นอกจากความรู้ความสามารถแล้วยังต้องมีความเชื่อมั่นในตนเองโดยถูกกดดันให้น้อยที่สุด เมื่อขาดความเชื่อมั่นแล้ว การตัดสินใจรักษาทุกอย่างต้องผิดเพี้ยนอย่างแน่นอน ดังนั้นถ้าร่างพรบ.ฉบับนี้ผ่านออกมาบังคับใช้เป็นกฎหมายจะมีผลบั่นทอนทำให้ผู้ให้บริการขาดความมั่นใจในสวัสดิภาพการทำงานดังนี้ คือ
1. คณะกรรมการผู้วินิจฉัยความเสียหายจากการรับบริการสาธารณสุขไร้ความสามารถในการวินิจฉัย
เพราะไม่มีตัวแทนผู้มีความรู้ทางการแพทย์จากวิชาชีพโดยตรงเลย คณะกรรมการส่วนใหญ่ไม่มีพื้นฐานความรู้ทางการแพทย์ จึงไม่มีหลักประกันอะไรว่าคณะกรรมการตามร่าง พรบ.ฉบับนี้ถ้ารับรู้ข้อมูลทางการแพทย์แล้ว จะมีความสามารถเข้าใจได้ลึกซึ้งพอที่จะตัดสินใจได้ว่าเกิดความเสียหายจากการให้บริการหรือไม่ (แม้ไม่ชี้ถูกผิดก็ตาม) การวินิจฉัยเสมือนหนึ่งทำหน้าที่แทนสภาวิชาชีพเสียเองทั้งๆ ที่ไม่มีความรู้ทางการแพทย์ แบบนี้จะมีแพทยสภา,ทันตแพทยสภา,พยาบาลสภาและสภาวิชาชีพทางการแพทย์อื่นๆไปทำไมกัน ระบบการดูแลมาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรมจะผิดเพี้ยนไปกันหมดสิ้น นอกจากนี้การวินิจฉัยชี้ขาดก็ใช้วิธีเอาเสียงข้างมากเป็นตัวตัดสิน ซึ่งวิธีการนี้จะใช้ได้ถ้ากรรมการทุกคนมีความรู้ทางการแพทย์เป็นอย่างดี
เพราะโรคบางอย่างซับซ้อน ต้องอาศัยผู้ที่ร่ำเรียนและคลุกคลีทางการแพทย์มานาน จึงสามารถพิจารณาวินิจฉัยได้ ดังนั้นถ้าคณะกรรมการถูกกำหนดเป็นไปตามร่าง พรบ.ฉบับนี้ การตัดสินความเสียหายจะเกิดขึ้นโดยง่าย นั่นคือผู้ให้บริการทุกคนก็มีโอกาสตกเป็นจำเลยของการฟ้องร้องได้ง่ายอีกด้วย อีกทั้งคณะกรรมการชุดนี้สามารถลงโทษผู้ให้บริการที่ฝ่าฝืนคำสั่งตามมาตรา 46 ให้ ผู้ให้บริการ ถูกจำคุกไม่เกินหกเดือนหรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำและปรับได้อีกด้วย อีกทั้งคำวินิจฉัยความเสียหายที่เกิดจากคณะกรรมการนั้น ผู้เสียหายมีสิทธิ์ไปกล่าวอ้างในการฟ้องร้องต่อศาลแพ่ง หรืออาญาได้ต่อไปอีกด้วย และมีความน่าเชื่อถือเพราะประธานคณะกรรมการเป็นถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข มีผลทำให้ผู้ให้บริการตกเป็นจำเลยในคดีแพ่งและอาญาต่อไป
2. ผู้รับบริการทางสาธารณสุขมีโอกาสฟ้องร้องความเสียหายได้ตลอดเวลาไม่จำกัด
เพราะตามมาตรา 25 ของร่าง พรบ.ฉบับนี้ ยึดเอาตามความรับรู้ความเสียหายของผู้รับบริการ (ซึ่งไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะรับรู้เมื่อไหร่) มีอายุความจากนั้นถึง 10 ปี เนื่องจากนับตามแต่ใจของผู้เสียหาย แม้เขียนกำหนดเวลา ก็เท่ากับสามารถฟ้องร้องได้ตลอดชีพนั่นเอง ทำให้ผู้ให้บริการกังวลตลอด เพราะไม่รู้ว่าจะถูกฟ้องร้องเมื่อใด กระทบไปถึงการเก็บเวชระเบียน ไม่สามารถทำลายได้ (จากกำหนดเดิม 5 ปี ให้ทำลายได้) ต้องเก็บเป็นหลักฐานตลอดชีพของผู้มารับบริการ หรือดีไม่ดี ต้องตลอดชีพของทายาทผู้เสียหายด้วย (เผื่อให้ทายาทรับรู้ความเสียหายภายหลัง) เป็นแบบนี้แล้วจะวุ่นวายเพียงใด โปรดคิดดู
3. ร่าง พรบ.ฉบับนี้สนับสนุนให้ฟ้องร้องขอชดเชยความเสียหายไม่สิ้นสุด ไม่มีการประนีประนอมจริง ตามที่อ้าง
เพราะแม้มาตรา 33 ระบุว่ามีการทำสัญญาประนีประนอมยอมความหลังผู้เสียหายตกลงยินยอมรับเงินชดเชยไปแล้ว แต่กลับมีมาตรา 37 เปิดโอกาสให้ผู้เสียหายฟ้องร้องซ้ำได้ แม้ทำสัญญากันไปแล้วก็ตาม เท่ากับยินยอม ให้ผู้เสียหายฉีกสัญญาประนีประนอมได้เอง เท่ากับขัดหลักเจตนาและความศักดิ์สิทธิ์ของสัญญาตามกฎหมายที่ดี เท่ากับปิดโอกาสทุกทางไม่ให้ผู้ให้บริการพ้นภาระปัญหา เท่ากับไม่เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างผู้รับบริการและผู้ให้บริการเลย
4. ร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้สนับสนุนให้ฟ้องร้องต่อศาลกับผู้ให้บริการ
เพราะตามมาตรา 34 ผู้เสียหายได้รับเงินช่วยเหลือเบื้องต้นไปแล้ว แต่ไม่พอใจในเงินชดเชยที่ได้ แล้วนำเรื่องไปฟ้องต่อศาล แม้ผลศาลยกฟ้องให้ผู้ให้บริการพ้นผิด ผู้เสียหายก็ยังมีโอกาสกลับไปขอรับเงินชดเชยจากคณะกรรมการของร่าง พ.ร.บ. นี้ได้อีก เพราะข้อความเขียนว่า “คณะกรรมการอาจพิจารณาจ่ายค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายหรือไม่ก็ได้” แสดงว่ายังเปิดช่องโอกาสให้อีก เท่ากับส่งเสริมให้ฟ้องศาล เพราะแพ้คดีก็ยังอาจมารับชดเชยได้อีก
จากเหตุผล 4 ประการนี้ ผู้ให้บริการรู้สึกเสียใจและขอคัดค้าน เพราะร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้บีบผู้ให้บริการเสมือนหนึ่งต้องยอมอุทิศตนเป็นจำเลย เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับค่าชดเชยโดยง่าย ในขณะที่เครือข่ายผู้เสียหายฯหลีกเลี่ยงคำอธิบายข้อสงสัยเหล่านี้ และใช้วิธีนำผู้เสียหายมาแสดงตัวประท้วง ใช้สภาพความน่าเวทนาของผู้เสียหายที่ผ่านมาเรียกร้องความสงสารจากสังคม ให้สนับสนุนผ่านร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้เพื่อเบี่ยงเบนให้สังคมไม่สนใจข้อกฎหมายที่มีปัญหาข้างต้น เท่ากับเครือข่ายใช้ผู้เสียหายที่มีสภาพทุกขเวทนามาเป็นเครื่องมือหลอกลวงประชาชน แทนที่จะใช้เหตุผลดูข้อกฎหมายที่มีปัญหา เท่ากับตอกย้ำให้ผู้เสียหายที่มาประท้วงถูกลดศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ เพราะถูกใช้เป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวสังคมซึ่งเครือข่ายที่ดีไม่ควรทำแบบนี้
ผู้ให้บริการทุกคนทั่วประเทศขอยืนยันว่า พวกเรามีความยินดีที่มีร่างพ.ร.บ. คุ้มครองผู้เสียหายฯ แต่ต้องไม่มีข้อกฎหมายที่มีปัญหาที่กล่าวข้างต้นเพราะไม่เป็นธรรม จึงต้องขอให้ถอนร่าง พ.ร.บ. ฉบับนี้มาพิจารณาให้เป็นธรรมทุกฝ่ายจึงจะเกิดประโยชน์ตามเจตนารมณ์ที่ตั้งไว้
ดังนั้น พวกเรายังอยากรักษาความรู้สึกเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์เหมือนเจตนารมณ์เดิม แทนที่ต้องมาหวาดระแวงผู้มารับบริการตามที่ร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ต้องการ พวกเราจึงต้องร่วมกันต่อสู้ให้สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ไม่ให้ถูกกดขี่อย่างไม่เป็นธรรม ตามร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ต่อไป
“ร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองผู้เสียหายฯ ทำลายระบบการรักษา เสียหายต่อประชาชน โปรดถอนออกจากสภาผู้แทนฯ”