ผู้เขียน หัวข้อ: "หมอหนู" ยัน เอกสารหลุด "ไฟเซอร์" เอกสารจริง แต่ไม่มีผล หากไม่นำมาปฏิบัติ  (อ่าน 335 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
"อนุทิน" แจงยิบ เอกสารหลุด ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ เข็ม 3 ให้บุคลากรการแพทย์ เป็นเอกสารจริง จากที่ประชุม คกก.วิชาการ แต่เป็นเพียงความเห็น ชี้หากยังไม่มาอยู่ในขั้นตอนปฏิบัติ ก็ไม่มีผลอะไร


วันที่ 5 ก.ค. นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวถึงประเด็นที่มีเอกสารจากที่ประชุมเกี่ยวกับวัคซีนป้องกันโควิด-19 "ไฟเซอร์" ที่จะเข้ามาในประเทศไทยจากการบริจาคของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยระบุว่า จะมีการนำมาฉีดให้กับบุคลากรทางการแพทย์ เพื่อการกระตุ้นเข็มที่ 3 ว่า วัคซีนไฟเซอร์ จำนวน 1.5 ล้านโดส เกิดจากการประสานงานระหว่างรัฐบาล 2 ประเทศ เงื่อนไขการตกลงต่างๆ อยู่ที่กระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งต้องแจ้งมายังกระทรวงสาธารณสุข ที่เป็นผู้นำมาใช้ เพื่อให้เราปฏิบัติตามเงื่อนไขนั้นๆ เช่นที่เราได้รับการบริจาคจากประเทศญี่ปุ่น ก็ห้ามนำไปขายต่อ เบื้องต้น วัคซีนไฟเซอร์ ไม่มีเงื่อนไข แต่เราก็ต้องนำวัคซีนมาฉีดให้เหมาะสม ประเทศไทยมีชาวต่างชาติจำนวนมาก เพื่อสร้างความปลอดภัยให้คนในประเทศ เราก็พร้อมจะฉีดให้เขาด้วย

นายอนุทิน กล่าวยอมรับว่า เอกสารดังกล่าว ก็เป็นเอกสารภายใน จากการประชุมของคณะกรรมการวิชาการ เราไม่ควรที่จะไปพิพากษ์วิจารณ์ เพราะเป็นเรื่องของวิชาการ ตราบใดที่ยังไม่ได้มาเป็นขั้นตอนปฏิบัติ ก็ยังไม่มีผลอะไร การประชุมคณะกรรมการวิชาการ ก็มีอาจารย์แพทย์ ซึ่งแต่ละท่านเสียสละเวลาเข้ามา แม้ไม่ได้เป็นข้าราชการในสังกัดกระทรวง หรือลูกจ้างอะไร แต่ท่านสละตัวเองเข้ามาเพื่อให้ความเห็นของตนเอง ซึ่งก็จะมีการบันทึกไว้ แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นแนวปฏิบัติ เพราะหลังจากนั้นต้องมีอีกหลายขั้นตอน ที่จะตกลงกันว่าจะปฏิบัติในแนวทางไหน

5 ก.ค. 2564
https://www.thairath.co.th/news/politic/2132562

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
ค้านฉีด “ไฟเซอร์” วัคซีนเข็ม 3 ให้บุคลากรแพทย์ หวั่นถูกเหมาซิโนแวคไร้ผลป้องกัน
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงมากขึ้น จากการกลายพันธุ์ของเชื้อทั้ง สายพันธุ์อัลฟ่า หรือสายพันธุ์อังกฤษ เดลต้า (อินเดีย) รวมถึงเดลด้าพลัส และสายพันธุ์เบต้า หรืออัฟริกานั้น ทำให้หลายฝ่ายมีความกังวลมากยิ่งขึ้น ว่าจะต้องมีการฉีดวัคซีนเข้ม 3 หรือไม่

ทั้งนี้ล่าสุดเมื่อวันที่ 4 ก.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีเอกสารผลการประชุมเฉพาะกิจร่วม ระหว่าง คณะกรรมการด้านวิชาการ ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 คณะอนุกรรมการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค และคณะทํางานวิชาการด้านบริหารจัดการและศึกษาการให้บริการวัคซีน เมื่อ 30 มิ.ย ที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีข้อสรุปแนวทางการบริหารจัดการวัคซีนไฟเซอร์ที่คาดว่าจะนำเข้าสู่ประเทศไทยเดือน กรกฎาคม จำนวน 1.5 ล้านโดส ให้เน้นกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเสี่ยง 7 โรคในพื้นที่ระบาด และปัดตกข้อเสนอให้ใช้วัคซีนไฟเซอร์กระตุ้นภูมิเป็นเข็มที่ 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ โดยมีบางส่วนกังวล ถ้าต้องยอมรับว่าวัคซีนซิโนแวคสองเข็มไม่มีผลในการป้องกันโควิด-19

เนื้อหาเอกสารดังกล่าวระบุโดยคาดว่า ประเทศไทยจะได้รับวัคซีนไฟเซอร์ในเดือนกรกฎาคม จำนวน 1.5 ล้านโดส และในไตรมาสที่สี่ รวม 20 ล้านโดส ซึ่งเอกสารดังกล่าวได้มีการจัดทำข้อเสนอแนวทางบริหารจัดการวัคซีน ว่าควรมุ่งเน้นไปที่บุคคล 3 กลุ่ม คือ

1.กลุ่มบุคคลอายุ 12-18 ปี
2.กลุ่มเสี่ยงที่ยังไม่ได้วัคซีน ได้แก่ ผู้สูงอายุ ผู้มีโรคเรื้อรัง และหญิงตั้งครรภ์
3.ให้บุคลากรด่านหน้ากระตุ้นภูมิคุ้มกัน เป็นวัคซีนเข็มที่ 3

อย่างไรก็ตามที่ประชุมแสดงความคิดเห็นหลายแนวทาง บางส่วนเห็นว่า ควรให้กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มเสี่ยง หญิงตั้งครรภ์ และเน้นแก้ปัญหาที่พื้นที่ระบาดก่อน บางส่วนเห็นว่า กลุ่มบุคคลอายุ 12-18 ปี ยังสามารถรอวัคซีนจากการสั่งซื้อได้

สำหรับประเด็นการฉีดวัคซีนไฟเซอร์เป็นวัคซีนเข็มที่สามเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้านั้น ในที่ประชุมส่วนหนึ่งเห็นด้วยว่า เพราะบุคลากรทางการแพทย์ถือเป็นกำลังสำคัญ ที่ปัจจุบัน แม้จะฉีดวัคซีนซิโนแวคจำนวน 2 เข็มแล้ว แต่ก็ยังติดเชื้อโควิดหลายราย แต่ก็มีความเห็นบางส่วนที่เห็นว่า ถ้านำมาฉีดเป็นวัคซีนเข็มที่ 3 ให้บุคลากรทางการแพทย์ อาจถือเป็นการยอมรับว่า วัคซีนซิโนแวค ไม่มีผลในการป้องกัน แล้วจะแก้ตัวยากมากขึ้น

ดังนั้นที่ประชุมมีมติสรุปแนวทางการใช้วัคซีนไฟเซอร์ในเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม 2564 โดยได้เห็นชอบให้ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ที่ได้รับระยะแรก จำนวน 1.5 ล้านโดสดังกล่าว เป็นวัคซีนเข็มที่ 1 ทั้งหมดแก่ผู้สูงอายุที่มีอายุ 60 ปี ขึ้นไป หรือหญิงตั้งครรภ์ที่มีอายุครรภ์ 12 สัปดาห์ขึ้นไป ในพื้นที่ที่มีการระบาดรุนแรง คือ กทม. และปริมณฑล

4 กรกฎาคม 2564
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2811321

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
เอกสารรายงานการประชุมคณะกรรมการวิชาการตามพรบ.ควบคุมโรค อันหลุดจากกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มากด้วยความละเอียดอ่อนยิ่งในทางความรู้สึก

ไม่เพียงแต่ต่อความรู้สึกของบุคลากรทางด้านการแพทย์อันถือ ว่าเป็น “ด่านหน้า” ในการต่อกรกับการแพร่ระบาดของโควิดเท่านั้น

หากที่สำคัญอย่างที่สุดก็คือการพังทลายของชั้น “ความลับ”

ความล่อแหลมอย่างที่สุดก็คือ การหลุดออกม ของ “เอกสาร” ปรากฏขึ้นในท่ามกลางการเคลื่อนไหวในแวดวงทางการแพทย์อย่าง ที่เรียกว่า “แพทย์ด่านหน้า” ปฏิเสธวัคซีนบางยี่ห้อ

และเรียกร้องวัคซีนบางยี่ห้อซึ่งถูกจัดระบบให้อยู่ในกลุ่มวัคซีน “ทางเลือก” นั่นก็ได้แก่ไฟเซอรหรือโมเดิร์นนา เพื่อสร้างความมั่นใจให้ “แพทย์ด่านหน้า” มากกว่าที่เป็นอยู่

น่าเศร้าที่เมื่อได้ “ไฟเซอร์” มา 1.5 ล้านโดสกลับทำท่าจะไม่ฉีด

เหตุผลของคณะกรรมการบางคนอ้างในที่ประชุมเด่นชัดว่ามิได้ เป็นเหตุผลในทางการแพทย์ หากเป็นเหตุผลในทางการเมือง


เนื่องแต่การพิทักษ์แนวทาง “แทงม้าตัวเดียว” แน่วแน่ มั่นคง

คำถามมิได้อยู่ที่ว่าเอกสารอันละเอียดอ่อนเช่นนี้ “หลุด” ออกมาจากกรมควบคุมโรค “หลุด” ออกมาจากภายในกระทรวงสาธารณสุขอันมากด้วยชั้นแห่งความลับได้อย่างไร

นี่เป็นเรื่องที่อธิบดีกรมควบคุมโรคจักต้องชี้แจง นี่เป็นเรื่องที่รัฐ มนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขจักต้องให้ความสนใจ

เนื่องจากเมื่อนำเอาเหตุผลของคณะกรรมการ “บางส่วน” ไปประกอบกับทิศทางและแนวทางที่มีการจัดหาวัคซีนอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันก็อาจทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน

เป็นความคลาดเคลื่อนไม่ว่าจะต่อกรมควบคุมโรค ไม่ว่าจะต่อ สถาบันวัคซีนแห่งชาติ ไม่ว่าจะต่อรัฐมนตรีผู้กำกับ “นโยบาย”

ในที่สุดก็กระแทกและกระทบต่อมาตรการ “แทงม้าตัวเดียว”

ไม่ว่าจะมองกรณีเอกสาร “หลุด” จากมุมใดล้วนแต่นำไปสู่ลักษณา การที่ไม่ต่างไปจากสภาพการณ์อันเคยเกิดขึ้นในห้วงแห่งการทำสง ครามกรุงทรอยเมื่อปรากฏ “ม้าไม้” ขึ้นเบื้องหน้า

และมีคนนำเอา “ม้าไม้” นั้นไปวางเอาไว้ “กลาง” กรุงทรอย

ม้าไม้ทำให้กรุงทรอยถูกตีแตกฉันใด การปรากฏขึ้นของเอกสาร อัน “หลุด” จากภายในกระทรวงสาธารณสุขก็ฉันนั้น

ทุกอย่างเป็นไปตามหลัก  “ป้อมค่าย” ถูกตีแตกจาก “ภายใน”

5 กรกฎาคม 2564
https://www.matichon.co.th/local/quality-life/news_2811478