โรงพยาบาลศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ หรือ SiPH โรงพยาบาลในเครือคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ถือฤกษ์ดีฉลองวันครบรอบก้าวเข้าสู่ปีที่ 124 ของโรงพยาบาลศิริราช เปิดให้บริการเป็นวันแรก ภายใต้แนวคิดการบริการผู้ป่วยที่เหมือนเป็นหนึ่งในสมาชิกของครอบครัว หรือ “Home in Hospital”
ไม่เพียงเท่านั้น รศ.นพ.ประดิษฐ์ ปัญจวีณิน ผู้อำนวยการ รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ บอกถึงความพิเศษของโรงพยาบาลแห่งนี้ ว่า การเปิดบริการ SiPH ถือเป็นอีกก้าวของความสำเร็จในด้านการพัฒนาความเป็นเลิศทางการแพทย์ของ รพ.ศิริราช ให้ได้อยู่คู่กับประชาชน เพื่อประโยชน์ด้านสุขภาพที่ดี แต่แตกต่างจาก รพ.ทั่วไป ด้วยการบริหารงาน ในลักษณะ “ผู้ป่วยเป็นทั้งผู้รับและผู้ให้” หมายถึงการเปิดบริการรักษาพยาบาลแบบเดียวกับภาคเอกชน ให้บริการเน้นความสะดวก รวดเร็ว แต่ราคาสมเหตุสมผล โดยจะนำรายได้จากการบริการส่วนของ SiPH ไปสมทบทุนกับ รพ.ศิริราช ศูนย์ส่วนกลางเพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยยากไร้ ที่มีทุนทรัพย์ไม่เพียงพอต่อการรักษาพยาบาล ซึ่งการพัฒนาส่วนบริการดังกล่าว เป็นหนึ่งในโครงการพัฒนาศิริราชสู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์
“ในการเปิดบริการเฟสแรก ทาง รพ.จะเริ่มบริการในส่วนของ ศูนย์อายุรกรรม ศัลยกรรม หัวใจ กระดูกและศูนย์มะเร็ง ยกเว้นสูตินรีแพทย์ และอุบัติเหตุชนิดร้ายแรงที่คาดว่าจะบริการได้ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถรับบริการที่ดีและสะดวกรวดเร็ว รวมทั้งรักษาโรคที่ซับซ้อน หรือรักษาได้ยาก เช่น โรคเบาหวาน โรคหัวใจ โรคมะเร็ง ซึ่งมีปัจจัยและสาเหตุการเกิดโรคมาจากหลายอย่างทั้งอาหาร ทั้งสภาพแวดล้อม โดยจะต้องใช้กระบวนรักษาที่ยุ่งยาก และต้องอาศัยแพทย์ที่มีประสบการณ์สูงจากหลายสาขา” ศ.นพ.ประดิษฐ์ อธิบาย
นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล อธิบายเพิ่มเติมว่า ในการเปิดบริการ รพ.ศิริราช ปิยมหาราชการุณย์ ถือเป็นประวัติศาสตร์ของไทย ที่มีบริการอย่างครบวงจรภายใต้การทำหน้าที่ 3 ด้านหลัก ได้แก่ บริการด้านสาธารณสุขและการรักษาพยาบาลที่เป็นสากล การให้บริการด้านการศึกษา คือ การเรียนและการสอนศาสตร์การแพทย์ และการทำงานวิจัยด้านแพทย์ศาสตร์ที่ตีพิมพ์และเผยแพร่ในระดับนานาชาติ ซึ่งปัจจุบันมีการเผยแพร่งานวิจัยรวมกว่า 800 เล่ม
“เป็นที่ทราบกันดีว่า ในการบริการสาธารณสุขในฐานะของสถานบริการรัฐ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องพยุงตัวเองให้มีความเข้มแข็งทั้งเรื่องการบริการด้วยคุณภาพ และการบริหารด้านงบประมาณ โดยมุ่งประโยชน์ส่วนรวม ซึ่งที่ผ่านมา คณะแพทยศาสตร์ มีค่าใช้จ่ายรวมทุกด้าน ทั้งการบริการรักษาพยาบาล การเรียนการสอน และการทำงานวิจัย มีค่าใช้จ่ายรวมราวปีละ 17,000 ล้านบาท ซึ่งถือว่ายังคงรักษาศักยภาพในการหาทุนเพื่อรองรับการบริการประชาชน โดยเฉพาะในส่วนของการจัดตั้งสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช อันเป็นโครงการพัฒนาศิริราช สู่สถาบันการแพทย์ชั้นเลิศในเอเชียอาคเนย์ กำซึ่งมีศูนย์บริการสุขภาพแบบครบวงจร เช่น ศูนย์นวดไทย ควบคู่กับการให้ความรู้ทั่วไป และโอบล้อมด้วยสภาพแวดล้อมที่ดี เช่น จัดสวนสมุนไพร การบริการ พิพิธภัณฑ์และอนุรักษ์อาคารสถานีรถไฟธนบุรี ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไปทั้งสิ้น” นพ.อุดม ย้ำ
ความแตกต่างของ SiPH ที่เห็นได้ชัดอีกด้าน คือ มาตรฐานห้องที่หรูหรา ด้วยขนาดอาคารสูง 14 ชั้น ห้องบริการผู้ป่วยนอก 177 ห้อง ห้องผ่าตัด 17 ห้อง ห้องผู้ป่วย 284 ห้อง ที่มีหลายรูปแบบ ได้แก่ 1 .ห้อง Royal Suite ขนาด 255 ตร.ม. พร้อมมุมชมทิวทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่บริการคู่กับห้องรับแขก ห้องรับประทานอาหาร ห้องน้ำในตัว และสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน 2.ห้อง VIP Suite ขนาด 80 ตร.ม.ตกแต่งพร้อมเฟอร์นิเจอร์ครบ ให้บรรยากาศคล้ายบ้าน มีห้องน้ำในตัว 2 ห้อง และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่น เช่น โทรทัศน์ ตู้เย็น ฯลฯ 3.ห้อง Executive Suite เป็นห้องพักขนาดใหญ่พิเศษ ขนาด 120 ตร.ม.ตกแต่งครบวงจร พร้อมมุมกระจกที่มองเห็นทิวทัศน์ริมแม่น้ำเจ้าพระยา 4.ห้อง Deluxe Room เป็นห้องพักขนาด 33 ตร.ม.เน้นความคล่องตัว มีเตียงพักผู้ป่วย พร้อมมุมพักผ่อนและมุมรับประทานอาหาร และห้องย้ำในตัว ซึ่งสามารถเลือกพักได้ตามต้องการ
ขณะที่หอผู้ป่วยวิกฤต (ICU) 61 ห้อง เพียบพร้อมเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพสูงที่ติดตั้งประจำศูนย์รักษาโรคครบวงจร เช่น ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด ศูนย์มะเร็ง ศูนย์รังสีรักษา ศูนย์รังสีวินิจฉัย ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ ศูนย์ปลูกถ่ายอวัยวะ ศูนย์ประสาทวิทยา ศูนย์ไตเทียม ศูนย์ทางเดินปัสสาวะ ศูนย์เบาหวาน ศูนย์กระดูกและข้อ ฯลฯ
SiPH ไม่เพียงแต่สร้างความภูมิใจแก่บุคลากรใน รพ.เท่านั้น หากยังเป็นที่รอคอยของประชาชนทั่วไปด้วย โดย อมรรัตน์ วิถีประดิษฐ์ อายุ 68 ปี ในฐานะผู้ป่วยของ รพ.ศิริราช กล่าวว่า รพ.ศิริราช เป็นสถานพยาบาลที่ตนและครอบครัววางใจ และเชื่อมั่นในมาตรฐานการบริการมาโดยตลอด และวันนี้ดีใจที่มีบริการเพิ่มเติม ซึ่งอำนวยความสะดวกไม่ต่างจากบริการของภาคเอกชน จึงมั่นใจว่า ในอนาคตจะมาใช้บริการ เพราะอย่างน้อยก็ได้แบ่งปันค่าใช้จ่ายจากการบริการสุขภาพไปสู่เพื่อนผู้ป่วยที่ยากไร้ ซึ่งคิดว่าเป็นแนวความคิดที่ดี และมีความเป็นธรรมในยุคของการแข่งขันทางการบริการสาธารณสุข
โดย....จารยา บุญมาก
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 เมษายน 2555
