ในการแพทย์แผนไทยในปัจจุบันได้แบ่งการประกอบวิชาชีพออกเป็น 3 ส่วนสำคัญคือ ใบประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยประยุกต์ ใบประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทยทั้งประเภทเรียนในมหาวิทยาลัย กับเรียนฝากตัวเป็นศิษย์ในคลินิกของสำนักต่างๆ และใบประกอบวิชาชีพการแพทย์พื้นบ้าน
แต่การเรียนการสอนของการแพทย์แผนไทยในเรื่องเภสัชกรรมหรือเวชกรรม ที่จะต้องมีการกล่าวถึงของธาตุทั้งสี่ คือ ธาตุไฟ(เตโชธาตุ) ธาตุดิน(ปถวีธาตุ) ธาตุลม(วาโยธาตุ) และธาตุน้ำ(อาโปธาตุ) เป็นธาตุที่ถูกกำหนดเอาไว้ตามแนวทางของ พระไตรปิฎกเล่มที่ 12 พระสุตตันตปิฎก เล่ม 4 ว่าด้วยมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก
ส่วนวิธีการรักษาก็ได้ใช้ ทฤษฎีรสยา 9 รส (หรือ 10 รส รวมรสจืด) รวมถึงสรรพคุณเภสัชของสมุนไพรในการปรุงเป็นตำรับยา เพื่อแก้ไขให้ธาตุทั้งหลายที่ผิดปกติ ทั้งกำเริบ หย่อน หรือพิการ ให้กลับมาเป็นปกติ
อิทธิพลของธาตุของมนุษย์แต่ละคนที่มีมาแต่กำเนิด(ธาตุสมุฏฐาน) อิทธิพลของฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไปที่มีผลต่อมนุษย์(ฤดูสมุฏฐาน) อายุของวัยที่เปลี่ยนแปลงไปที่มีผลต่อมนุษย์(อายุสมุฏฐาน) และช่วงเวลาที่เปลี่ยนแปลงไปที่มีผลต่อมนุษย์(กาลสมุฏฐาน) นอกจากนั้นยังมีเรื่องอื่นๆ ที่มีผลต่อมนุษย์ เช่น อิทธิพลของแต่ละประเทศและลักษณะภูมิศาสตร์ที่มีผลต่อมนุษย์ การดำเนินเคลื่อนไปของพระอาทิตย์และพระจันทร์ในแต่ละราศีที่มีผลต่อมนุษย์ ฯลฯ
แต่ความเป็นจริงแล้ว มหาภูตรูป 4 คือ ธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุลม และธาตุน้ำ ก็ล้วนแล้วแต่เป็นองค์ประกอบที่รวมไปถึงสิ่งไม่มีชีวิตด้วย การกล่าวถึงการแพทย์แผนไทยที่กล่าวอย่างจำกัดด้วยมหาภูตรูป 4 เพื่ออธิบายทฤษฎีกับการเจ็บป่วยของมนุษย์ หรือมหาภูตรูป 4 แต่เพียงอย่างเดียวไม่น่าจะเพียงพอที่อ้างอิงว่าการแพทย์แผนไทยมาจากพุทธศาสนาได้
เพราะความเจ็บป่วยในมิติของ ที่ตั้งแห่งโรคในมนุษย์ ตามแนวทางของพระพุทธศาสนาน่าจะมีขอบเขตที่ลึกไปกว่า รูปขันธ์ ที่เรียกว่า ธาตุไฟ ธาตุดิน ธาตุลม และธาตุน้ำ
โดยพุทธธรรมนั้นมองเห็นสิ่งทั้งหลายในรูปของกระแสที่ประกอบด้วยปัจจัยต่างๆ อันสัมพันธ์เนื่องอาศัยกัน หรือมาประชุมกันเข้า ตัวตนแท้ๆ ของสิ่งทั้งหลายไม่มี แต่อยู่ในรูปของ เบญจขันธ์หรือ ขันธ์ 5
โดยเบญขันธ์ หรือ ขันธ์ 5 หมายถึง กองแห่งรูปธรรมและนามธรรม 5 หมวดที่ประชุมกันเข้าเป็นหน่วยรวม ได้แก่ รูป, เวทนา, สัญญา, สังขาร และ วิญญาณ ดังนั้นมหาภูตรูป 4 (ธาตุไฟ, ธาตุดิน, ธาตุลม, ธาตุน้ำ) ที่อยู่ภายใต้รูปขันธ์นั้นเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมดของกองโรคความเป็นมนุษย์
ต่อมากระทรวงสาธารณสุข ได้ประกาศกำหนดให้คัมภีร์ธาตุวินิจฉัย เป็นตำรับยาแผนไทยของชาติและตำราการแพทย์แผนไทยของชาติ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2561 ลงประกาศราชกิจจานุเบกษาเล่ม 136 ตอนพิเศษ 20 ง วันที่ 22 มกราคม 2562
ต่อมาเมื่อเดือนกันยายน 2562 กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกกระทรวงสาธารณสุข ได้จัดพิมพ์เผยแพร่ชุดตำราภูมิปัญญาการแพทย์แผนไทยฉบับอนุรักษ์ ในเรื่องคัมภีร์ธาตุวินิจฉัย โดยเป็นตำราที่ถอดความจากต้นฉบับหรือสมุดไทยดำ คัดและเขียนด้วยลายมือสมัยเก่า เนื้อหาในเล่มมีอายุ 100 ปีขึ้นไปเนื่องจากเป็นตำราแพทย์แผนไทยที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง แต่ยังไม่มีการเผยแพร่เท่าที่ควร ทั้งที่ภูมิปัญญาไทยด้านการแพทย์แผนไทยได้อยู่คู่กับคนไทยตลอดมา
อย่างไรก็ตาม พระคัมภีร์ธาตุวินิจฉัยแม้จะมีสถานภาพเป็นตำราแผนไทยของชาติ ซึ่งเป็นพระคัมภีร์เดียวที่แสดงให้เห็นว่า ที่ตั้งแห่งโรค การแพทย์แผนไทยจะต้องพิจารณาไปในอีกหลายมิติตามแนวทางของพระพุทธศาสนาอย่างลุ่มลึก และรวมถึงมิติอิทธิพลอันเนื่องมาจากผลกระทบต่อธาตุต่างๆ จากโหราศาสตร์อย่างเป็นระบบด้วย
โดยพระคัมภีร์ธาตุวินิจฉัย ได้กำหนดเอาถึงลักษณะกองโรคมีองค์ประกอบไปด้วยเบญจขันธ์ (ขันธ์ 5), อายตนะ 6, คติดำเนินแห่งพระจันทร์และพระอาทิตย์ไปตามจักราศี (ซึ่งกล่าวครอบคลุมถึงดาวอื่นๆ ด้วย), ธาตุอภิญญาณ, จตุธาตุสมาสรรพ, ธาตุแตกให้โทษ, ธาตุกำเริบให้โทษ, ธาตุถดถอย
การแพทย์แผนไทยจึงไม่ใช่สนใจเพียงแค่ กาย หรือ ธาตุรูปธรรมเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่อง ใจ ด้วย
คัมภีร์ธาตุวินิจฉัยนี้ น่าจะเป็น คัมภีร์เดียว ที่ให้ความสำคัญอย่างมากกับหลักพุทธธรรมเรื่อง ขันธ์ 5 และ อายาตนะ 6 เพื่ออธิบายประกอบกับเรื่อง มหาภูตรูป4(หรือธาตุ 4)
โดยให้ศึกษารายละเอียดในคัมภีร์ปรมัตถ์ ดังกล่าวไว้ชัดเจนในหน้าที่ 5-6 ว่า
ในคัมภีร์แพทยานี้ ส่วนหนึ่งอยู่ในพระคัมภีร์ปรมัตถ์โน้นแล้ว
คัมภีร์ปรมัตถ์นั้นแท้ที่จริงแล้ว หมายถึงคัมภีร์พระอภิธรรม โดยหลักพุทธธรรมนั้นขันธ์ทั้ง 5 อาศัยซึ่งกันและกัน รูปขันธ์เป็นส่วนกาย นามขันธ์ทั้งสี่เป็นส่วนใจ มีทั้งกายและใจจึงจะเป็นชีวิต กายกับใจทำหน้าที่เป็นปกติและประสานสอดคล้องกันชีวิตจึงจะดำรงอยู่ได้ด้วยดี
.ซึ่งเกิดขึ้นได้ด้วยอาศัยอารมณ์ คือรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งต้องกาย(สัมผัส) ผ่านเข้ามาทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย อารมณ์ทั้ง 5 ก็ดี ตา หู จมูก ลิ้นกายก็ดี (อินทรีย์ 5)ต่างก็เป็นรูปธรรม อยู่ในรูปขันธ์ คือ เป็นฝ่ายกาย
โดยอายตนะ 6 ประกอบไปด้วย จักขุวายตนะ(ตา), โสตายตนะ(หู), ฆายตนะ(กลิ่น),ชิวหาอายตนะ(ลิ้น), กายายตนะ(กาย), มนายตนะ(ใจ)
ในขณะเดียวกันรูปขันธ์ ได้แก่ นิปผันนพรูป 18 ประการ คือมหาภูตรูป 4, ประสาทรูป 5, วิสัยรูป 4, ภาวรูป 2, หทัยรูป 1, ชีวิตรูป 1, อาหารรูป 1 รวมกันเป็นรูป 18 ประการ
ในพระคัมภีร์ธาตุวินิจฉัยที่นอกจากจะพิจารณาจากธาตุกำเนิด ฤดูกาลที่เปลี่ยนแปลงไป อิทธิพลของการดำเนินไปของพระอาทิตย์และพระจันทร์แล้ว ยังได้พิจารณาไปถึงอิทธิพลทางโหราศาสตร์ของดาวแต่ละดวงที่มีผลกระทบในมิติของธาตุ ซึ่งรวมถึงพระอาทิตย์ พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู ที่เคลื่อนไปตามแต่ราศี โดยอ้างอิงคัมภีร์จันทรสุริยาคติทีปนี พระคัมภีร์สาระสังคหะ พระคัมภีร์โลกสรรฐาน อีกด้วย
แม้จะเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่กรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกได้จัดทำคัมภีร์เล่มสำคัญนี้ขึ้นมา แต่เมื่อพิจารณาแล้วยังอาจจะต้องมีการสังคยานาความรู้ในเรื่องเหล่านี้อย่างเป็นระบบ
เพราะยังมีข้อความที่สูญหายไปตามกาลเวลาของสมุดไทยต้นฉบับ รวมถึงยังมีบางข้อความที่มีการเขียนเนื้อหาสาระที่ผิดพลาดอยู่ตั้งแต่ต้นฉบับ รวมถึงจะต้องมีการจัดการเรียนการสอนให้เพิ่มความสามารถของการแพทย์แผนไทยที่ไปในทิศทางรากฐานของพระพุทธศาสนาด้วย
อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์ธาตุวินิจฉัย ยังไม่ใช่พระคัมภีร์ที่ถูกกำหนดให้อยู่ในการเรียนการสอนและการสอบใบประกอบวิชาชีพการแพทย์แผนไทย จึงมีผู้ให้ความสนใจอยู่ในวงจำกัด
แต่ถึงกระนั้นก็เป็นการยืนยันได้ว่าการแพทย์แผนไทยมีรากฐานจาการวิเคราะห์เหตุปัจจัยอย่างเป็นระบบตามแนวทางพระพุทธศาสนาทั้งในมิติของกายและใจ
การยืนยันในความสำคัญของการแพทย์แผนไทยว่ามีรากฐานอย่างเป็นระบบมาจากพระพุทธศาสนาที่บันทึกเอาไว้ตามพระไตรปิฎกนั้นมีความสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะการแพทย์ดั้งเดิมของอินเดียที่เรียกว่า อายุรเวท ซึ่งแปลว่า ศาสตร์แห่งการมีอายุยืนนั้น เค็นเน็ธ จี ซิสค์ ได้เขียนหนังสืองานสำรวจสำคัญชื่อ Aceticism and Healing in Ancient India: Medicine in the Buddhist Monastery แปลเป็นหนังสือภาษาไทยชื่อ ลัทธินักพรต และการเยียวยาในอินเดียโบราณ:ระบบการแพทย์ในพุทธาราม (แปลโดย ธีรเดช อุวิทยารัตน์, 2551, 2552)
งานเขียนหนังสือเล่มดังกล่าวพบว่า อายุรเวท ซึ่งเป็นการแพทย์ดั้งเดิมที่เป็นระบบของอินเดียนั้น เมื่อนำเสนอการสำรวจทางประวัติศาสตร์กลับพบความจริงว่ามาจากพระพุทธศาสนา ไม่ใช่อินดู
โดยบันทึกและหลักฐานการเกิดรูปร่างของประวัติศาสตร์การแพทย์อินเดียพบว่าการอ้างอิงส่วนใหญ่มาจากบันทึกในพุทธศาสนา และยังแสดงให้เห็นความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างการเติบโตของวัฒนธรรมแบบศรมัณโดยเฉพาะพุทธศาสนากับการพัฒนาระบบการแพทย์อินเดีย ซึ่งไม่เป็นที่รับรู้มาก่อน
เพียงแต่อายุรเวทซึ่งมีรากฐานทางการแพทย์จากพระพุทธศาสนา ซึ่งต่อมาได้ทำให้เกิดความเข้าใจว่าเป็นของฮินดูนั้น แท้ที่จริงเป็นการแพทย์ที่มาจากพระพุทธศาสนาและพระพุทธศาสนาที่ถูกผลกระทบทำให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอินดู(Hinduization)ที่เกิดในช่วงหลังในอินเดีย
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริงตามหนังสือการค้นคว้าทางประวัติศาสตร์ทางการแพทย์ของอินเดียเป็นเช่นนั้น ย่อมแสดงว่าการแพทย์แผนไทยที่มีความรู้ครบส่วนของพระพุทธศาสนาดังปรากฏหลักฐานตามตัวอย่างของพระคัมภีร์ธาตุวินิจฉัย ก็ย่อมแสดงให้เห็นว่าการแพทย์แผนไทยเป็นอายุรเวทเช่นเดียวกัน
คงเหลือแต่ความท้าทายที่จะทำให้ความรู้การแพทย์ในพระพุทธศาสนาของไทยและอายุรเวทอินเดียที่มีรากฐานมาจากพระพุทธศาสนาว่าจะสามารถบูรณาการเชื่อมโยงได้อย่างไร
ด้วยความปรารถนาดี
ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
คณบดีวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
มหาวิทยาลัยรังสิต
4 ส.ค. 2566 ผู้จัดการออนไลน์