เรียน คุณหมอเชิดชู และคณะ
ได้พิจารณาร่าง พรบ.ฉบับ ครม. เสนอแล้ว มีความเห็นทางกฎหมายดังนี้
๑. การพิจารณาค่าเสียหาย ใช้หลักความรับผิดทางละเมิด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ตามเดิมทุกประการ ยกเว้นเป็นการขยายอายุความจาก 1 ปี เป็น 3 ปี
๒. คณะกรรมการฯ จะต้องพิจารณาในเนื้อหาของการกระทำ เพื่อประกอบการจ่ายเงินชดเชย แต่องค์ประกอบของคณะกรรมการ มิได้บังคับว่าคณะกรรมการทั้งหมดจะ ต้องเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านการสาธารณสุข และตัดสินโดยการลงมติ จะมีปัญหาในเรื่องการยอมรับ เพราะไม่จำต้องยึกถือตาม หลักวิชา
๓. ไม่มีบทบัญญัติใดที่ห้ามมิให้กองทุนเรียกร้องหรือไล่เบี้ยจาก บุคลากรทางสาธารณสุข เมือกองทุนได้จ่ายค่าสินไหมให้แก่ผู้เสียหายแล้ว แต่อย่างใด
๔. บุคลากรต้องผูกพันตามคำวินิจฉัยของคณะกรรมการฯ ใน ฐานะเป็นคำสั่งทางปกครอง หากไม่เห็นด้วยต้องใช้สิทธิฟ้องคดี ต่อศาลปกครอง ในขณะเดียวกัน ถ้าผู้เสียหายไม่เห็นด้วย ก็ต้องใช้สิทธิฟ้องคดีต่อศาลปกครองเช่นกัน ปริมาณ การฟ้องร้องจะไม่ลดลง
๕. บุคลากรทางการแพทย์ยังต้องรับผิดทางอาญาเช่นเดิม ตามขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา
๖. คณะกรรมการฯ มีอำนาจในการออกคำสั่งให้สถานบริการจ่ายเงินสมทบกองทุน ที่โอยมาจากเงินมาตรามาตรา ๔๑ แห่ง พรบ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๔๕
๗. อำนาจการแต่งตั้งผู้ปฎิบัติงานมีครอบคลุมมากเกินไป โดยไม่กำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของผู้ปฎิบัติงานนั้ๆอย่างชัดเจน
๘. โครงสร้างทางกฎหมายของคณะกรรมการ คณะอนุกรรมการในส่วน เกี่ยวกับการออกคำสั่ง การอุทธรณ์คำสั่ง เงินค่าชดเชย มี ปัญหาทางเทคนิค
๙. กฎหมายฉบับนี้ ออกมาโดยเกินความจำเป็น สร้างความสับสนและบันทอนกำลังใจบุคคลากรด้าน สาธารณสุขและซ้ำซ้อนกับกฎหมายที่มีอยู่แล้ว เป็นการ สร้างภาระให้กับสถานพยาบาล.
ด้วย ความเคารพ
สุก ฤษฎิ์ กิติศรีวรพันธุ์
30 มิ.ย.2553