ผู้เขียน หัวข้อ: เทพเจ้าแห่งสงคราม(2) : เซี่ยงหวี่ ผู้ทำลายล้างฉิน  (อ่าน 1371 ครั้ง)

power

  • Newbie
  • *
  • กระทู้: 27
    • ดูรายละเอียด
 หลังจากที่เปิดตัวหวังเจี้ยนแม่ทัพใหญ่แคว้นฉินซึ่งผมจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในเทพอสูรสงครามของจีนเขากันเมื่อคราวที่แล้ว สัปดาห์นี้ที่คัดมาให้เลือกว่าเป็นเทพเจ้าแห่งสงครามนั้นได้แก่ “ฉู่ป้าอ๋อง (Xī Chǔ Bà Wáng)” หรือ ที่คนไทยรู้จักกันในนาม “ฌ้อปาอ๋อง” เซี่ยงหวี่ ผู้พิชิตจักรวรรดิฉินลงได้นั่นเอง
       
        เซี่ยงหวี่ถูกนักเขียนนวนิยายเอามาทำเยอะครับ ในเจาะเวลาหาจิ๋นซี หวงอี้ก็เขียนเปิดๆ หัวเอาไว้ว่า เซี่ยงหวี่เป็นลูกของเซี่ยงเส้าหลงซึ่งพาครอบครัวของตนเองออกไปอยู่นอกด่านเพื่อหนีภัยจิ๋นซีแต่ก็จบแค่นั้น ส่วนพงศาวดารอื่นๆ มีเนื้อหาคล้ายๆ กันนั่นคือ ไม่ค่อยให้เครดิตต่อเซี่ยงหวี่เท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะออกในแนวบ้าอำนาจ โหดร้าย หลงหญิงจนพ่าย และใจไม่ถึงพอเมียตายก็เชือดคือตัวเองทิ้ง เรียกว่าไม่มีดีเอาเสียเลย
       
        ก็ไม่แปลกหรอกครับที่เรื่องราวของเซี่ยงหวี่จะออกมาในทำนองนั้น เพราะประวัติศาสตร์ที่เขียนอย่างใน ไซฮั่นนั้นเป็นฝีมือของผู้ชนะสงคราม เพราะฉะนั้นผู้แพ้ก็ต้องยับเยินไปตามระเบียบ ทั้งๆ ที่ถ้าพิจารณาในความเป็นจริงแล้ว คนที่มันไม่มีดีอะไรเลย จะเรียกให้มีคนเข้าร่วมก่อการและคุมกองทัพของตัวเองได้ตั้ง 4 แสนคนได้อย่างไร?

   
       จากบันทึกของ “ซือหมาเชี่ยน” ซึ่งถือว่าเป็นบันทึกทางประวัติศาสตร์เล่มที่ดีที่สุดในจีนยุคต้นจนกระทั่งถึงราชวงศ์ถังในยุคกลางนั้นบอกว่า เซี่ยงหวี่เกิดในสายสกุลมี่ซึ่งเป็นตระกูลที่ครองรัฐฉู่ บรรพบุรุษของเซี่ยงหวี่นั้นถูกมอบหมายให้ไปปกครองเมืองเซี่ยง ครอบครัวที่เป็นต้นตระกูลของเขาก็เลยเปลี่ยนแซ่ตัวเองจากมี่กลายเป็นเซี่ยง
       
        การได้ไปครองแผ่นดินที่เรียกว่าเซี่ยงนี้ก็ไม่ได้เพราะเป็นเจ้าแล้วจะไปครองกันเฉยๆ แต่ตระกูลของเขาเป็นตระกูลขุนศึกยอดนักรบโดยแท้ เซี่ยงเอียน (Xiang Yan) ปู่ของเซี่ยงหวี่นั้นเป็นแม่ทัพใหญ่ของรัฐฉู่ที่เคยยกกองทัพเข้ายันทัพฉินที่นำโดยเทพเจ้าสงครามอย่างหวังเจี้ยน (ที่แนะนำไปเมื่อตอนที่แล้ว) แต่เซี่ยงเอียนนั้นเสียชีวิตไปครั้งที่รัฐฉู่ถูกรุกรานโดยฝีมือของรัฐฉินเมื่อปี 223 ก่อนคริสต์กาล
       
        เซี่ยงหวี่นั้นเกิดเมื่อปี 232 ก่อนคริสต์กาล ซึ่งเป็นช่วงที่รัฐฉินเกือบจะกลืนรัฐทั้งหมดเกือบหมดแล้ว พ่อของเขาคือเซี่ยงเชาเป็นบุตรคนโตของเซี่ยงเอียน ตัวของเซี่ยงหวี่นั้นเกิดมาก็ไม่ค่อยได้เจอหน้าพ่อเท่าไหร่ เขาถูกเลี้ยงขึ้นมาโดยลุงของเขาที่ชื่อเซี่ยงเหลียง ( Xiang Liang) ที่ก็เป็นหนึ่งในนักรบคนดังของแค้วนฉู่เหมือนกัน เซี่ยงหวี่ก็เลยเติบโตขึ้นมาในค่ายทัพและกองทัพกันแบบนี้จนกระทั่งอายุได้ 11 ขวบ เขาก็กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เด็กควรจะเป็น เหตุเพราะว่าในปี 221 ก่อนคริสต์กาลนั้น รัฐฉู่ก็ถูกรัฐฉินกลืนไปเรียบร้อย แต่เมื่ออายุได้ 11 ขวบที่ว่า เขาก็ตัวสูงถึง 1.85 เมตรแถมยังมีพลังแบบกระทิงป่า สามารถยกกระถางธูปทองเหลืองขนาดยักษ์ได้ด้วยตัวเอง เรียกว่าในหมู่พรรคพวกเพื่อนฝูงด้วยกันเซี่ยงหวี่โดดเด่นในเรื่องกำลังวังชาและรูปร่างที่เหมาะจะเป็นนักรบที่สุด
       
        ในนวนิยายเรื่อง อวสานจิ๋นซี ผลงานจากการประพันธ์ของหลงเหยิน และ น นพรัตน์ เอามาแปลเมื่อซัก 3 ปีก่อนหน้านี้นั้น เขาให้เซี่ยงหวี่เป็นผู้นำของสำนักลับที่มีทั้งกองกำลังในยุทธจักรที่ชื่อ “เรือนเมฆลิ่วล่อง” หน้าที่ก็คือ พอไม่มีสงครามก็เป็นขบวนการนักฆ่าคอยล่าสังหารฝ่ายตรงข้าม พอมีสงครามพวกนี้ก็จะมารบทัพจับศึกในกองทัพ ตัวเซี่ยงหวี่นั้นนั่งควบทั้งเป็นหัวหน้ากองกำลังนอกกฏหมายที่ว่าและเป็นแม่ทัพใหญ่ของฉู่ ที่สุดยอดก็คือ ฝีมือการต่อสู้ของแกนี่อยู่ในขั้นที่หาใครเปรียบได้ยากจริงๆ แต่ตามประวัติที่ซือหม่าเชี่ยนเขียนเอาไว้เกี่ยวกับเซี่ยงหวี่นั้น เขาเป็นคนที่ไม่ค่อยสนใจเรื่องในโรงเรียนเท่าไหร่ เอาว่าต้องโดนครูเรียกผู้ปกครองมาพบโดยตลอดแหล่ะครับ
       
        เซี่ยงเหลียงเคยถามเซี่ยงหวี่ว่าทำไมไม่สนใจการเรียนเท่าที่ควร เซี่ยงหวี่ให้เหตุผลที่ว่า ในยุคสมัยที่สงครามกำลังจะมานั้นตัวหนังสือมีความจำเป็นต่อเขาก็แค่การที่ทำให้เขาจำได้ว่าชื่อตัวเองเขียนยังไง และการเป็นแชมป์ดาบประจำโรงเรียนก็ทำให้เขาเอาชนะในการต่อสู้กัน 1:1 เท่านั้น เขาบอกต่อเซี่ยงเหลียงลุงของเขาว่า เขาต้องการเรียนการเอาชนะผู้คนนับหมื่นในสนามรบมากกว่า ซึ่งโรงเรียนที่ดีที่สุดที่จะฝึกเขาได้ก็คือ การออกไปรบในแนวหน้าเหมือนอย่างที่คนในตระกูลของเขาทำมาโดยตลอด เซี่ยงเหลียงลุงของเขาเองจึงตัดสินใจว่า เซี่ยงหวี่ไม่ต้องเรียนหนังสือแล้ว แต่ให้ฝึกเป็นทหารอยู่ใกล้ๆ ตัวเขาไป ไอ้ตรงนี้ที่ว่าไม่ต้องเรียนหนังสือแล้วให้ไปฝึกฝนตนเอง อาจจะทำให้หลงเหยินสร้างจินตนาการต่อให้เซี่ยงหวี่ซึ่งเป็นคนใจใหญ่เป็นนักเลงใจกล้ามาสร้างกลุ่มก้อนองค์การนักฆ่าของเขาเองอย่างในเรื่องก็ได้นะครับ
       
        จากมุมมองในเรื่องการศึกษาของเซี่ยงหวี่นี้เองทำให้เราตีความตัวเซี่ยงหวี่ได้สองอย่างด้วยกัน และสองสิ่งนี้เป็นจุดอ่อนที่นำพาเขาไปสู่ความพ่ายแพ้ในการครองแผ่นดินในที่สุด
       
        ประการแรก การไม่ได้เรียนหนังสือมากพอ ทำให้เขาขาดความเข้าใจในเชิงสังคมในเชิงกว้างและเชิงลึก และอาจจะขาดความเข้าใจในเรื่องของการบริหารงานเสียด้วยซ้ำไป คนที่มีความรู้น้อยและมีแต่กำลังนั้นก็จะถูกคนชักจูงไปทางไหนก็ได้ง่ายๆ อย่างขุนทหารที่มีอยู่ในปัจจุบันที่แม้จะเป็นระดับผู้บัญชาการกองทัพ แต่ถ้าขาดความรู้และความเข้าใจเรื่องการเมืองและสังคมแล้วละก็ การออกมาขู่ฟ่อๆ รายวันก็ไม่สามารถทำให้ใครต่อใครกลัวได้ มีแต่คนจะหัวเราะเยาะใส่ในความบ้าน้ำลาย ขี้โมโห ก็เท่านั้น สุดท้ายก็จะถูกลากไปสู่ความหายนะอย่างแน่นอน
       
        ประการที่สองความหยิ่งผยองที่คิดว่า โลกนี้ถ้ามีดาบและกองทัพอยู่ในมือแล้วก็จะสามารถควบคุมทุกอย่างได้ อันนี้ก็เป็นจุดอ่อนสำคัญ เพราะองคาพยพของโลกนั้นไม่ได้ถูกครอบครองจากแค่กองทัพเท่านั้น สิ่งที่เซี่ยงหวี่ต้องการและฝึกฝนสำเร็จทำให้เขาอยู่ในฐานะที่ยึดครองได้แต่ปกครองไม่ได้ ประสบการณ์และการศึกษาก็คือเป็นทหารอาชีพสายนักรบ ซึ่งขาดทักษะในเรื่องการบริหารและการเมืองโดยสิ้นเชิง ความใจใหญ่ใจกว้างใช้พระคุณต่อผู้ที่ไม่ควรให้ ใช้พระเดชและงดเมตตาต่อผู้ที่ควรให้ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ทำให้ชะตากรรมของเซี่ยงหวี่หมุนไปอีกทางแทนที่จะกลายเป็นจอมจักรพรรดิองค์ต่อจากจิ๋นซีฮ่องเต้
       
        การฝึกรบและอยู่ในกองทัพและนอกกองทัพของเซี่ยงหวี่นั้นถึงที่สุดแล้วก็มีโอกาสได้แสดงฝีมือ เมื่อจิ๋นซีฮ่องเต้เสียชีวิตไป บรรดากบถของแคว้นต่างๆ ก็ลุกฮือขึ้นทำสงครามโค่นจักรวรรดิฉิน(ระหว่างปี 209 - 206 ก่อนคริสต์กาล)
       
        เหตุที่ทำให้เซี่ยงหวี่เข้าสู่สงครามตามปรารถนามีขึ้นเมื่อ การกบถนั้นเกิดทั่วไปหมดและใครก็สามารถลุกขึ้นมาเป็นเจ้าได้ทำให้ อิ๋งตง (Yin Tong) หนึ่งในญาติของจิ๋นซีที่ดูแลเขตไคว่จี๋ ซึ่งปัจจุบันก็คือ เจ้อเจียง ต้องการที่จะก่อกบถเพื่อตั้งตัวเป็นเจ้าเสียเอง เขาเชิญเซี่ยงเหลียงซึ่งตอนนั้นเป็นหัวหน้ากองกำลังพลเรือนซึ่งมีคนอยู่ในสังกัดราว 8,000 คน เข้าร่วม อิ๋งตงนั้นจัดงานเพื่อหวังจะดึงเซี่ยงเหลียงเข้ามาให้ได้ แต่เหตุการณ์กลับตาละปัด เพราะ ในงานเลี้ยงที่ว่านี่เอง เซี่ยงเหลียงกลับวางแผนซ้อนแผน โดยการที่เขากับเซี่ยงหวี่เพียงสองคนเข้าไปในงาน จากนั้นก็ลงมือสังหารอิ๋งตง พร้อมกับองครักษ์ทั้ง 12 คนด้วยตนเอง จากนั้นก็ส่งสัญญาณให้คนทั้ง 8,000 ลุกฮือขึ้นทุกจุดพร้อมกันแล้วยึดเมืองไคว่จี๋เป็นของตนเองเสียง่ายๆ แบบนั้น จากนั้นเมื่อเซี่ยงเหลียงชูแคมเปญว่า เขาจะโค่นฉินเพื่อนำรัฐฉู่กลับมา โดยการเชิด ”หมี่ซิน” ทายาทของรัฐฉู่ขึ้นเป็นอ๋อง เขาแต่งตั้งตัวเองเป็นพ่อเมืองไคว่จี๋และตั้งให้เซี่ยงหวี่เป็นแม่ทัพทหารเสือของแคว้นฉู่ในที่สุดภายในหนึ่งปีต่อมากองกำลังกบถที่พร้อมรบของเมืองไคว่จี๋ก็เพิ่มขึ้นเป็น 60,000 คน
       
        ว่ากันว่าการฆ่า 12 องครักษ์ของอิ๋งตงนั้น เอาเข้าจริงก็เป็นฝีมือของเซี่ยวหวี่คนเดียว ชื่อเสียงในความเป็นยอดฝีมือและความห้าวหาญดึงดูดให้ผู้คนเข้าร่วมมากมาย และทำให้เซี่ยงหวี่ได้ชื่อเป็นเป็นจอมอสูรสงคราม ก็เพราะอายุแค่สิบกว่าๆ ก็กระโดดเข้านำทัพให้แค่ท่านลุงของเขาคือ “เซี่ยงเหลียง” และสร้างประวัติการรบที่งดงามมาได้ตลอดนั่นคือไม่เคยแพ้ใครเลย
       
        เรื่องราวของการเป็นเทพเจ้าสงครามคนที่สองของเซี่ยงหวี่ยังไม่จบครับเดี๋ยวคราวหน้ามาว่ากันต่อ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    29 ตุลาคม 2555