ผู้เขียน หัวข้อ: สายลมเปลี่ยนทิศในอียิปต์(สารคดี-เนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก)  (อ่าน 1367 ครั้ง)

pani

  • Hero Member
  • *****
  • กระทู้: 756
    • ดูรายละเอียด
หลังปรากฏการณ์ประชาธิปไตยผลิบาน 
หรือ “การเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิของอาหรับ” (Arab Spring)
แดนอียิปต์เปี่ยมล้นไปด้วยความหวังอย่างไม่เคยปรากฏ
แต่ก็ระคนด้วยความหวาดหวั่นที่กัดกินลึกๆอยู่ข้างใน

“โจรกับนักเลงหัวไม้ทั้งนั้น” คือภาพหรือมุมมองที่คนทั่วไปมีต่อชนบทของอียิปต์หลังการปฏิวัติ   คงเป็นเพราะเหตุนี้ตำรวจใบหน้าถมึงที่สถานีรถไฟจึงไม่ยอมให้ผมผ่าน  พลางตะคอกใส่ว่า  “ห้ามคนต่างชาติขึ้นรถไฟชั้นสาม  ห้ามขึ้น!”

ผมอยู่ระหว่างการเดินทางในฤดูใบไม้ร่วง ปี 2011  พร้อมคอลิด นากี เพื่อนร่วมงานชาวอียิปต์ ที่เฝ้าติดตามบันทึกเหตุการณ์การก่อกบฏในกรุงไคโรเป็นเวลากว่า 200 วัน  เรากำลังเดินทางจากอาบูซิมเบลทางใต้ของอียิปต์  มุ่งหน้าไปยังอะเล็กซานเดรียทางตอนเหนือของประเทศ  โดยหยุดแวะหลายที่ เราวางแผนกันว่าจะเดินทางออกไปให้ไกลจากจุดศูนย์กลางของการปฏิวัติ  นั่นคือจัตุรัสตะห์รีร์ (Tahrir Square) ในกรุงไคโร  เพื่อดูว่าการเปลี่ยนแปลงส่งผลอย่างไรต่อพื้นที่อื่นๆในอียิปต์

 “ไม่มีทั้งความเชื่อมั่น ไม่มีทั้งความปลอดภัย” มุอ์มิน ฮะซัน ทหารเกณฑ์วัย 22 ปี ตอบ  เมื่อผมถามความเห็นเกี่ยวกับผู้ประท้วงที่จัตุรัสตะห์รีร์ “ผมไม่ได้ต่อต้านพวกเขานะ  แต่ไม่สนับสนุนด้วยแน่ๆ”  เขาไม่แปลกใจกับพฤติการณ์เลวร้ายของรัฐบาลชุดก่อนหน้า  แต่เปรียบเปรยการฉ้อราษฎร์บังหลวงว่าเหมือนต้นไม้ที่หยั่งรากลึก  ต่อให้โค่นต้นไม้ลง ไม่นานมันก็จะงอกขึ้นมาใหม่  “ประชาธิปไตยน่ะดี แต่เราเร่งรัดให้เกิดขึ้นไม่ได้หรอกครับ ถ้าปล่อยบังเหียนหลวมเกินไป ผู้คนก็จะทำตามอำเภอใจ  เรายังต้องการความเข้มงวดกวดขันอยู่ครับ” เขาทิ้งท้าย

มุมมองเช่นนี้พบได้ทั่วไปตามต่างจังหวัด  เกือบทุกที่ที่เราไปเยือน  ชาวอียิปต์ต่างแสดงความวิตกกังวลในเรื่อง อัลอัมน์ หรือความปลอดภัย  หลายคนเกือบจะดูเหมือนหวาดระแวงเกินเหตุกับสถิติการจี้ปล้นที่เพิ่มสูงขึ้น  ซึ่งเป็นเรื่องที่แทบไม่เคยได้ยินก่อนการปฏิวัติ  และการล่มสลายของกฎระเบียบในสังคม  คนขับแท็กซี่รายหนึ่งในลักซอร์ถึงกับซื้อปืนพกมาซุกไว้ใต้เบาะรถ

 

ใต้ร่มเงาแห่งฟาโรห์

ลำพังความตึงเครียดก็อาจดึงประเทศให้ตกต่ำลงได้แล้ว  การท่องเที่ยวเป็นแหล่งรายได้สำคัญของเศรษฐกิจอียิปต์                  แต่แหล่งท่องเที่ยวต่างๆที่เราไปเยือนแทบจะพูดได้ว่าร้างผู้คน  ที่วิหารรามเสสมหาราชในอาบูซิมเบล  แผงขายของที่ระลึกพากันปิดเงียบ ประตูหมุนโลหะล้วนนิ่งสนิท  แปดเดือนหลังการปฏิวัติโค่นล้มประธานาธิบดีฮอสนี มูบารัก จำนวนผู้มาเยี่ยมชมลดฮวบลงเหลือแค่ราว 150 คนต่อวันเท่านั้น

อะฮ์หมัด ซอลิ นักไอยคุปต์วิทยาและผู้อำนวยการของมหาวิหารอาบูซิมเบล  รวมทั้งอนุสรณ์สถานอื่นๆในเขตนูเบียทางใต้สุดติดกับชายแดนประเทศซูดาน บอกว่า “นักท่องเที่ยวกลัวว่าถ้ามาที่นี่พวกเขาอาจถูกทำร้ายได้” ผมบอกกับซอลิว่า  ชาวอียิปต์หลายคนมองปัญหาเศรษฐกิจต่างๆที่กำลังเผชิญอยู่ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนผ่านที่จำเป็น  พวกเขามองมูบารักว่าเป็น “ฟาโรห์องค์สุดท้าย” และเชื่อว่าศักราชใหม่มาถึงแล้ว นับเป็นจุดเปลี่ยนของประวัติศาสตร์ที่สืบเนื่องยาวนานกว่า 5,000 ปี

ซอลิกล่าวว่า “ทั้งรามเสสและมูบารักเป็นทหารและสถาปนาราชวงศ์ของตนเองขึ้นโดยสืบทอดอำนาจในตระกูล”  แต่ซอลิไม่มั่นใจว่า มูบารักซึ่งเตรียมลูกชายคนหนึ่งให้ขึ้นมา แทนที่เขาตั้งแต่ก่อนการปฏิวัติ  จะเป็นผู้นำเผด็จการคนสุดท้ายของอียิปต์หรือไม่ “วัฒนธรรมทางการเมืองของอียิปต์ไม่ได้เปลี่ยนแปลงมากพอที่เราจะพูดได้ว่า  มูบารักจะเป็นฟาโรห์องค์สุดท้าย  เราเริ่มมีประชาธิปไตยแล้ว  แต่ยังไปไม่ถึงไหนหรอกครับ” ซอลิเชื่อเช่นนั้น

เขาบอกเหตุผลที่มองในโลกในแง่ร้ายว่า   คนหน้าเดิมๆจากรัฐบาลชุดเก่ายังครองอำนาจอยู่ในหลายระดับ   ทั้งระดับชาติและท้องถิ่น  อัตราการไม่รู้หนังสือยังถือว่าสูงมาก  ชาวอียิปต์จำนวนมากมองการปฏิวัติว่าเป็นเพียงการเปิดโอกาสให้คนฉกฉวยสิ่งที่ตนอยากได้  ซอลิบอกว่า “ชนชาติอาหรับไม่ยอมรับประชาธิปไตยง่ายๆหรอกครับ  ส่วนหนึ่งเพราะสวนทางกับการปกครองแบบปิตาธิปไตยภายในครอบครัวหรือในระดับเผ่า  ถ้าพ่อสั่งว่า  ‘อย่าเล่น’ เราก็จะไม่เล่น เขาเป็นเผด็จการ คุณจะเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิดของคนอียิปต์ภายในช่วงเวลาสั้นๆได้อย่างไรกัน”

 

การเดินทางที่ยังไม่สิ้นสุด

อาบูซิมเบล รวมทั้งเมืองและหมู่บ้านน้อยใหญ่ในหุบเขาลุ่มแม่น้ำไนล์  ดินดอนสามเหลี่ยมปากแม่น้ำ  และอะเล็กซานเดรีย  ทุกจุดที่เราแวะตามรายทาง เราเห็นประชาชนคนเดินดินที่ต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อเอาตัวรอดพากันวิตกว่า  ชีวิตที่ลำเค็ญอยู่แล้วจะยิ่งลำบากยากเข็ญขึ้นไปอีก เห็นชาวมุสลิมผู้ยึดมั่นในอุดมคติแบบจารีตนิยมวาดหวังที่จะเปลี่ยนอียิปต์ให้เป็นระบอบเทวาธิปไตย หรือจะเป็นพวกนิยมทางโลก (secularist) ที่หมายมั่นสร้างอียิปต์ให้เป็นประเทศหลากวัฒนธรรมที่เคารพสิทธิเสียงข้างน้อยและรับประกันเสรีภาพของพลเมืองทุกคน

ชาวอียิปต์จำนวนมากดูเหมือนกำลังรอให้รูปแบบที่ชัดเจนปรากฏขึ้น เพื่อให้ชิ้นส่วนชิ้นเล็กชิ้นน้อยหลากสีสันของอียิปต์ใหม่ประกอบกันขึ้นเป็นรูปเป็นร่าง 

ผมถามวิศวกรชื่อ มุฮัมมัด ฮักกัก  เกี่ยวกับข้อคิดเห็นที่ว่าวัฒนธรรมเผด็จการดำรงอยู่ในสังคมอียิปต์มาช้านาน โดยฝังรากลึกอยู่ในครอบครัวและกลุ่มชนเผ่า  และไม่ช้าก็เร็วผู้นำที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จจะหวนกลับมา  เขาค้านหัวชนฝาโดยบอกว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับลูกๆ ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างผมกับพ่อมากนะครับ  ถ้าพ่อผมสั่งให้ผม ‘หยุดพูด’ ผมก็จะหยุดพูด แต่ผมทำแบบนั้นกับลูกๆไม่ได้แล้วครับ”

ถ้าเช่นนั้น  นี่หมายความว่า ฮักกัก วัย 59 ปี เชื่อว่าการปฏิวัติครั้งนี้จะประสบความสำเร็จกระนั้นหรือ “เหมือนกับเราหลงทางอยู่กลางทะเลทรายยังไงยังงั้นเลยละครับ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่นราวกับจะบอกว่าพร้อมปักหลักสู้ไม่ถอย “เราพบเส้นทางแล้ว  แต่คงต้องใช้เวลาอีกนานกว่าจะออกจากทะเลทรายได้ครับ”

พฤษภาคม 2555