ผมไม่ได้เป็นคนอาศัยอยู่ธนบุรีและก็ไม่ได้เกิดในอาณาบริเวณที่เรียกว่า "ฝั่งธนฯ" แต่ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ในจังหวัดสระแก้ว ที่เดิมก็เป็นเพียงอำเภอหนึ่งของจังหวัดปราจีนบุรี จึงอยากจะขอเล่าอะไรซักอย่างก่อน ยังจำได้ว่าเมื่อปลายปี 2536 ที่แยกมาเป็นจังหวัดใหม่ๆ ทางโรงเรียนและชาวบ้านในชุมชนต่างดีอกดีใจกันเพียงใด ก็นั่นหมายถึงหากมีกิจจำเป็นที่ต้องติดต่อประสานงานกับทางจังหวัด จะได้ไม่ต้องเดินทางไปไกลถึงราว 100 กม. โดยเฉพาะก็น่าทึ่งว่าเป็นท้องถิ่นที่คนลาวกับเขมรอยู่ร่วมกันอย่างสันติ ทั้งที่วัฒนธรรมและภาษาแตกต่างกันอย่างมาก
ก็เป็นที่เข้าใจกันว่าผู้ว่าฯ ปราจีนบุรี แม้จะมีอำนาจกำกับดูแลอำเภออรัญประเทศ ซึ่งเป็นชายแดนติดกับประเทศเพื่อนบ้าน แต่ท่านก็ทำได้ไม่ทั่วถึง และแม้เป็นยุคที่เขมรไม่แบ่งฝ่ายสู้รบกันแล้วก็ตาม แต่การเปิดตลาดเสรีการค้าที่รู้จักกันในนามนโยบาย "เปลี่ยนสนามรบ เป็นสนามการค้า" ของรัฐบาลพลเอกชาติชาย ชุณหะวัน ทำให้ภาระรับผิดชอบของปราจีนบุรีซับซ้อนและหนักอึ้งขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา
สระแก้วถูกแบ่งให้เป็นจังหวัดด้วยสาเหตุปัจจัยเหล่านี้ มารู้ทีหลังว่าผู้ใหญ่หลายคนสมัยนั้นก็ไม่ค่อยวางใจเท่าไรหรอก เพราะเมืองเล็กนิดเดียว มีแต่บขส. โรงพยาบาล ตึกแถว ร้านรวงซอมซ่อ หลายสิ่งหลายอย่างไปตกอยู่กับอำเภอวัฒนานครกับอำเภอวังน้ำเย็น ซึ่งเป็นถิ่นคะแนนเหนียวแน่นของคุณเสนาะ เทียนทอง แต่แม้มีอะไรครบครันสองอำเภอนี้ก็ไม่สามารถตั้งขึ้นเป็นตัวจังหวัดได้ ด้วยเหตุผลทางยุทธศาสตร์การทหาร เพราะอยู่ห่างจากแนวชายแดนไม่มาก ยังอยู่ในระยะวิถีกระสุนปืนใหญ่ แน่นอนว่ากองทัพไทยในสมัยนั้นมิได้หวั่นเกรงกัมพูชา แต่เกรงกลัวอีกประเทศที่อยู่ถัดไปคือเวียดนาม ที่เคยบุกยึดพนมเปญในปี 2522 แล้วขยายแนวสู้รบมาปะทะไทยตามแนวชายแดน สมัยเด็กผมยังเคยวิ่งไปหลุมหลบภัย เมื่อเขาถล่มกันด้วยปืนใหญ่ข้ามประเทศ
เช่นนี้แล้ว การเป็นอิสระของสระแก้ว คงจะนำความโล่งใจมาให้ผู้ว่าฯ ปราจีนบุรี และคนปราจีนบุรีเองก็ไม่ได้ตีโพยตีพายว่าพวกตนสูญเสียดินแดนแต่อย่างใด กลับเข้าใจและเห็นใจในชะตากรรมของชาวสระแก้วเสียอีก
จากอำเภอเล็กๆ ที่แทบไม่มีใครรู้จักเลย มีเพียงตำนานบอกเล่าว่าเป็นที่พักระหว่างเดินทัพไปตีเขมรของรัชกาลที่ 1 กับสด๊อกก๊อกธม ปราสาทหินที่อำเภอตาพระยา ซึ่งก็อยู่ในแนวชายแดนเช่นกัน นอกนั้นก็ไม่เห็นมีอะไร แต่แล้วปัจจุบันกลับเป็นจังหวัดของย่านการค้าชายแดนที่ใหญ่โต และมีความสำคัญที่ไม่ใช่เพียงต่อประเทศไทยเท่านั้น หากแต่เป็นระดับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เลยทีเดียว นั่นเพราะสายตาที่รู้จักมองถึงอนาคตของคนรุ่นก่อน บวกกับความเชื่อมั่นว่าท้ายสุดแล้วคนที่นั่นจะสามารถปกครองและดูแลกันได้ในที่สุด
สำหรับธนบุรี ทั้งๆ ที่มีศักยภาพในการจัดการดูแลตัวเอง กลับไม่เพียงไม่ได้รับสิทธิอันนี้ แต่การเปลี่ยนแปลงกลับเป็นในลักษณะตรงกันข้าม ทั้งๆ ที่เคยจัดการบริหารในรูปจังหวัดมาเป็นเวลานาน ก็กลับถูกรวมเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของอีกจังหวัดหนึ่ง ก็ให้ประหลาดใจยิ่งนัก ว่าเป็นเพราะเหตุปัจจัยอันใด จากการค้นหาเอกสารมาอ่านพิจารณาดูคร่าวๆ ก็พบว่า
ในปีพ.ศ.2514 รัฐบาลจอมพลถนอม กิติขจร ซึ่งขณะนั้นมีอีกสถานะเป็น "หัวหน้าคณะปฏิวัติ" เพราะได้ทำรัฐประหารยึดอำนาจตนเองโดยละมุนม่อมปราศจากการเสียเลือดเนื้อ (ก็เป็นรัฐประหารยึดอำนาจตัวเอง แล้วจะไปเสียเลือดเนื้อกับแมวที่ไหนล่ะ) ในวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ.2514 หลังจากนั้นไม่นาน คือในวันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ.2514 จอมพลถนอมในฐานะหัวหน้าคณะรัฐประหาร ได้ออกประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 24 ให้รวมจังหวัดธนบุรีเข้าเป็นส่วนหนึ่งของจังหวัดพระนคร เรียกว่า "นครหลวงกรุงเทพธนบุรี" โดยให้เหตุผลไว้ว่า :
"โดยที่จังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีเป็นจังหวัดที่มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกันทั้งในด้านประวัติศาสตร์และการปกครองมาช้านาน แม้ในปัจจุบันการประกอบอาชีพของประชาชนแต่ละจังหวัดก็ได้ดำเนินไปในลักษณะที่เป็นจังหวัดเดียวกัน และการจัดหน่วยราชการสำหรับรับใช้ประชาชน ก็ได้กระทำในรูปให้มีหน่วยราชการร่วมกัน เช่น การศาล การรับจดทะเบียนกิจการบางประเภท คณะปฏิวัติจึงเห็นสมควรที่จะรวมจังหวัดพระนครและจังหวัดธนบุรีเป็นจังหวัดเดียวกัน เพื่อการบริหารราชการจะได้ดำเนินไปโดยประหยัดและมีประสิทธิภาพ บังเกิดความเจริญแก่จังหวัดทั้งสองโดยรวดเร็ว" (ราชกิจจานุเบกษา, เล่มที่ 88 ตอนที่ 144 ลงวันที่ 21ธันวาคม พ.ศ.2514, หน้า 816 ขีดเส้นใต้โดยผู้อ้าง)
จะเห็นได้ว่า นอกจากเหตุผล 2 ข้อที่ขีดเส้นใต้ข้างต้น (คือประวัติศาสตร์กับการปกครอง) แล้ว ข้ออื่นดูจะไม่มีน้ำหนักที่จะกล่าวถึงแต่อย่างใดเลย เพราะเหตุง่ายๆ ว่าถ้าธนบุรีต้องขึ้นกับกรุงเทพฯ ด้วยเหตุปัจจัยเหล่านั้น ประเทศไทยก็ควรจะมีเพียงกรุงเทพฯ เป็นจังหวัดเดียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ จึงขอกล่าว 2 ข้อดังกล่าวเป็นหลัก
กล่าวคือ ก็อย่างที่เราทราบกัน การปกครองอย่างรวมศูนย์อำนาจเป็นมรดกสำคัญที่เผด็จการแบบไทยๆ ยึดถือปฏิบัติและสืบรับเอาจากสมบูรณาญาสิทธิราชย์สยามในอดีต แม้ในอดีตธนบุรีจะขึ้นกับกรุงเทพฯ ก็ขึ้นในความสัมพันธ์แบบเมืองกับเมือง มิใช่ส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ กล่าวได้ว่าการรวมธนบุรีเข้ากับกรุงเทพฯ ก็เป็นการปฏิบัติภายใต้กรอบวิธีคิดแบบรวมศูนย์อำนาจ และอำนาจในลักษณะนี้เมื่ออยู่ภายใต้การกดดันของภาวะสมัยใหม่ก็ทำให้ไม่อาจแสดงตัวในภาวะปกติได้ จุดนี้เองทำให้รัฐประหารตอบโจทย์การใช้อำนาจตามกรอบวัฒนธรรมอำนาจนิยมแบบไทยๆ
ตลกร้ายที่ผมก็ดั๊นเห็นด้วยเกล้าฯ ว่า ข้อเสนอของ ศ.ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์ ที่เห็นควรลบล้างผลพวงของรัฐประหารอื่นๆ นอกเหนือจาก 19 กันยายน 2549 จริงๆ แล้วนับเป็นข้อเสนอที่น่าสนใจ แต่ไม่ต้องนับย้อนไปถึง 2475 หรอก เพราะ 2475 มิได้ถูกนิยามว่าเป็นเพียงรัฐประหารไปนานแล้ว เอาแค่ผลของรัฐประหาร 2490 เป็นลำดับมา หรือแค่รัฐประหารตัวเองของจอมพลถนอม ที่เป็นเรื่องขำขันในหมู่นักประวัติศาสตร์ไทยสมัยใหม่ก็ได้ ก็ให้ธนบุรีเป็นจังหวัดใหม่แยกออกจากกรุงเทพฯ ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้อะไรหรอก
ยิ่งเมื่อพิจารณาเหตุผลทางประวัติศาสตร์ ซึ่งคณะปฏิวัติ 2514 มิได้อธิบายว่าคืออะไร เป็นแต่อ้างลอยๆ เท่านั้น แน่นอนธนบุรีมีประวัติศาสตร์ แต่ประวัติศาสตร์ธนบุรีมิได้สนับสนุนการรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ แต่อย่างใดเลย ตรงข้ามยุคธนบุรีถือเป็นอีกยุคหนึ่งของประวัติศาสตร์ไทยอย่างไม่ต้องสงสัย ไม่ใช่แค่เพราะเป็นอดีตราชธานี แต่เพราะแม้อยู่ในช่วงเวลาไม่ยาวนานเท่าไร ก็กลับมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ที่ส่งผลทำให้หลายสิ่งหลายอย่างไม่อาจจะเป็นเหมือนอย่างในยุคอยุธยาได้อีกต่อไป (ต่อให้อยากจะฟื้นราชอาณาจักรอยุธยากันเต็มแก่ก็เหอะ)
การเป็นส่วนหนึ่งของกรุงเทพฯ ต่างหากที่ทำลายประวัติศาสตร์ธนบุรีอย่างร้ายแรง ทั้งยังเป็นการหมิ่นแคลนและดูดายต่อ "พระคุณ" ของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีอีกตะหาก คำกล่าวที่ว่าถ้าไม่มีธนบุรีก็จะไม่มีกรุงเทพฯ จึงไม่ใช่คำกล่าวที่เกินจริง หากแต่การเป็นเมืองน้องใหม่ในประวัติศาสตร์ของกรุงเทพฯ นั่นแหละ ที่กลายเป็นปัญหาต้องไปผนวกรวมเอาประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของธนบุรีมาเป็นของตน
ประวัติศาสตร์ที่ควรจะถือเป็นเหตุผลเพื่อความอิสระ กลับเป็นพันธนาการไปได้อย่างไร?
ในรอบหลายปีมานี้ แม้มีจังหวัดเกิดใหม่หลายแห่ง แต่ดูเหมือนจะจำกัดอยู่ในพื้นที่ภาคอิสานเป็นส่วนใหญ่ และดูจะเป็นเรื่องของท้องถิ่น มากกว่าจะเป็นเรื่องของส่วนกลางโดยตรง การปกครองรวมศูนย์อำนาจถูกพิสูจน์โดยประวัติศาสตร์ไปแล้วว่า ล้าหลังไม่สมเหตุสมผล เพราะถ้าถือตามนั้นประเทศไทยก็ควรมีเพียงจังหวัดเดียวคือกรุงเทพฯ จึงเป็นเหตุผลที่ไม่เหมาะจะนำมายึดถือปฏิบัติอีกต่อไป
ยิ่งเมื่อมีเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในปีปลาย 2554 นี้ เราก็ได้เห็นแล้วว่า แม้แต่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม. ที่อาจหาญประกาศว่ารับผิดชอบต่อชาวกทม. (เท่านั้น) มิได้มีหน้าที่รับผิดชอบต่อคนทั้งประเทศ ก็ยังมิอาจปกป้องดูแลกรุงเทพฯ ได้ทั่วถึง ธนบุรีกลายเป็นดินแดนชายขอบที่ไม่มีระบบจัดการระบายน้ำเป็นของตนเอง ผลคือเกิดน้ำท่วมขังโดยที่ท่านผู้ว่าฯ ก็มิอาจป้องกันแก้ไขได้มากนัก ต้องยอมรับแล้วล่ะครับ ว่ากรุงเทพฯ ปัจจุบันเป็นเมืองที่ใหญ่โตเกินที่ควรจะเป็นมากไป จนเกิดปัญหาการบริหารจัดการได้ง่าย
แม้จะหยิบยกเอา Organic Theory มาร่ายยาวว่า เป็นอวัยวะส่วนหัวใจหรือสมองของประเทศอย่างไร ก็ไม่เพียงไม่เกิดประโยชน์ ยังรังแต่จะย้ำการรวมศูนย์อำนาจกับประวัติศาสตร์ที่ฉวยอ้างอย่างผิดๆ เท่านั้น เราควรจะมองกรุงเทพฯ ในแง่จังหวัดหนึ่ง ที่เมื่อเกิดปัญหาการบริหารจัดการอย่างมากแล้ว ก็สามารถให้แยกออกไปเป็นอีกจังหวัดหนึ่งได้ เพื่อจะได้จัดระบบบริหารจัดการของตนเองขึ้น เพื่อประโยชน์ในการจัดบริการสาธารณะแก่ประชาชนต่อไป การไม่มีธนบุรีเป็นส่วนหนึ่ง ย่อมไม่ถึงกับจะทำให้กรุงเทพฯ ต้องล่มสลาย เช่นเดียวกันก็ไม่ใช่ว่าธนบุรีที่ไม่เป็นเขตหนึ่งของกรุงเทพฯ จะไม่สามารถจัดการดูแลตนเองแต่อย่างใด อีกอย่างคือเราจะมัวลุ่มหลงงมงายอยู่กับมายาคติอันสืบเนื่องมาจากความเป็นเมืองหลวงที่สร้างขึ้นโดยรัฐประหาร 2514 กันต่อไปทำไม
คืนจังหวัดธนบุรีให้กับชาวฝั่งธนฯ เถอะครับ!
โดย กำพล จำปาพันธ์
มติชนออนไลน์ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554