ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 20-26 ม.ค.2556  (อ่าน 881 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 20-26 ม.ค.2556
« เมื่อ: 03 กุมภาพันธ์ 2013, 20:59:02 »
1. “ในหลวง-พระเทพฯ” เสด็จฯ เปิดสถาบันศิริราช 1 ก.พ. ทีวีพูลถ่ายทอดทั่วประเทศ!
       
       เมื่อวันที่ 22 ม.ค. ศ.คลินิก นพ.อุดม คชินทร คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เผยหลังประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่สำนักพระราชวังและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่า วันที่ 1 ก.พ.นี้ เวลา 17.00น. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี จะเสด็จฯ มาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 และสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช ซึ่งตั้งอยู่บริเวณด้านข้างโรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ริมแม่น้ำเจ้าพระยา(สถานีรถไฟธนบุรีเดิม) โดยจะมีพิธีสงฆ์เป็นเวลา 40 นาที จากนั้นจะทรงกดปุ่มเปิดลานพลับพลาพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 และทรงกดปุ่มเปิดแพรคลุมป้ายสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช ขณะที่คณาจารย์ บุคลากร นักศึกษาแพทย์จำนวน 125 คน จะร่วมกันร้องเพลงศิริราชถวาย พร้อมอ่านกลอนเพื่อแสดงถึงปณิธานของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาลว่า จะปฏิบัติหน้าที่เพื่อประชาชนชาวไทย ภายใต้ร่มพระบารมี
       
       ทั้งนี้ วันงาน จะมีการถ่ายทอดสดทางสถานีโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย และถ่ายทอดเสียงทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยไปทั่วประเทศ
       
       ศ.คลินิก นพ.อุดม เผยด้วยว่า วันดังกล่าวจะมีการแสดงละครลิงตามที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอยากทอดพระเนตรด้วย “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ว่า อยากจะทอดพระเนตรละครลิงกับผมถึง 2 ครั้ง ทางคณะแพทย์จึงได้ถวายให้ทอดพระเนตรในวันที่เสด็จฯ มาทรงเปิดพระบรมราชานุสาวรีย์ รัชกาลที่ 5 และสถาบันการแพทย์สยามินทราธิราช โดยได้ติดต่อคณะประกิต ศิษย์พระกาฬ ซึ่งเป็นคณะละครลิงชื่อดังที่เหลืออยู่ในปัจจุบันเพียงคณะเดียว โดยได้ทูลถามพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า ทรงต้องการทอดพระเนตรแบบเป็นเรื่องราวหรือแบบตลกขบขัน พระองค์รับสั่งตอบว่า อยากดูแบบตลกๆ โดยการแสดงละครลิงจะใช้เวลาประมาณ 20 นาที รวมระยะเวลาที่เสด็จฯ ทั้งสิ้นประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที”
       
       ศ.คลินิก นพ.อุดม กล่าวถึงพระอาการทั่วไปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวด้วยว่า ดีขึ้นตามลำดับ แต่ยังคงต้องทำกายภาพบำบัดอย่างต่อเนื่อง ส่วนพระอาการของสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เป็นปกติแล้ว ทรงพระดำเนินได้ดี เรียบร้อย ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว
       
       2. มือมืด คุกคามสื่อ บุกยิงรถข่าว ASTV 4 คันรวด แถมยิงอาคารสำนักบริหาร ขณะที่กล้องวงจรปิดจับภาพชายต้องสงสัยได้!

       เมื่อเวลาประมาณ 03.25น.ของวันที่ 26 ม.ค. ได้เกิดเหตุคนร้ายใช้อาวุธปืนยิงใส่รถข่าว ASTV จำนวน 4 คัน เป็นรถโตโยต้าอัลติสสีบรอนซ์เงิน 2 คัน สีบรอนซ์ทอง 2 คัน โดยจอดอยู่หน้าบ้านเจ้าพระยา ถ.พระอาทิตย์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของสำนักข่าวเครือ ASTV 2 คัน ส่วนอีก 2 คันจอดอยู่บริเวณหน้าสวนสาธารณะสันติชัยปราการ ซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณ 15 เมตร ส่งผลให้รถทั้ง 4 คันได้รับความเสียหายบริเวณกระจกรถ
       
       ทั้งนี้ หลังตำรวจ สน.ชนะสงคราม ได้รับแจ้งเหตุในช่วงเช้า จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ จากนั้นได้รุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน โดย พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้เดินทางมาสังเกตการณ์ด้วย
       
       ที่เกิดเหตุ พบรถ ASTV ถูกยิงที่กระจกหน้ารถ 2 คัน คันละ 1 นัด ส่วนอีก 2 คันถูกยิงที่กระจกประตูหน้าฝั่งคนขับ คันละ 1 นัด เจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า คนร้ายน่าจะใช้ปืนลูกโม่ขนาด .22 มม. นอกจากนี้ยังพบว่า กระจกอาคารอนุรักษ์ ซึ่งเป็นสำนักบริหารของ ASTV ถูกกระสุนปืนด้วย 2 นัด
       
       จากการสอบสวน นายรุ่งโรจน์ ขาวประเสริฐ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของบ้านเจ้าพระยา ให้การว่า ก่อนเกิดเหตุ ตนได้จัดระเบียบจอดรถข่าวริมถนนชิดฟุตบาธ เนื่องจากที่จอดรถด้านในเต็ม จึงต้องให้รถข่าว 4 คันจอดด้านนอก โดยมีรถของชาวบ้านรวมอยู่ด้วย ซึ่งจอดเป็นปกติทุกวัน ก็ไม่มีปัญหาอะไร กระทั่งเวลาประมาณ 03.25น.ตนจะไปเข้าห้องน้ำ จึงให้เพื่อน รปภ.อีกคนมาอยู่ที่ป้อมหน้าทางเข้าแทน โดยระหว่างเดินไปเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงคล้ายปืน 4 นัด แต่ไม่ได้เอะใจอะไร เนื่องจากคืนก่อนก็มีเจ้าหน้าที่มาติดตั้งป้ายจราจร กระทั่งออกเวรตอนเช้า ทีมนักข่าวจะเอารถไปทำงาน จึงพบว่ารถข่าวถูกยิงได้รับความเสียหาย
       
       ทั้งนี้ กล้องวงจรปิดของบ้านเจ้าพระยา สามารถจับภาพชายต้องสงสัยได้ 1 ราย โดยชายดังกล่าวใส่เสื้อสีดำ กางเกงสีขาว เดินเอื่อยๆ อยู่บริเวณฝั่งตรงข้ามบ้านเจ้าพระยาเมื่อเวลา 03.26 นาที 42 วินาที จากนั้นเวลา 03.26 นาที 52 วินาที กล้องวงจรปิดสามารถจับภาพรถข่าว ASTV ที่จอดอยู่ฝั่งตรงข้ามถูกกระสุนปืนยิงเข้าบริเวณกระจกหน้ารถฝั่งคนขับได้อย่างชัดเจน ต่อมาเวลา 03.28น. ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพชายคนเดิมเดินผ่านกลับมา แล้วเดินเข้าตรอกข้างบ้านพระอาทิตย์ ซึ่งตรอกดังกล่าวสามารถทะลุไปยังถนนหลายแห่งในย่านบางลำภู
       
       ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ บอกว่า ยังไม่ทราบสาเหตุที่คนร้ายยิงรถข่าว ASTV เบื้องต้นยังมองกว้างๆ ทั้งเรื่องความขัดแย้งส่วนตัว การสร้างสถานการณ์ หรือมือที่สาม ส่วนจะเป็นการคุกคามสื่อหรือไม่ ต้องหารือกับทาง ASTV ก่อน “ยืนยันว่า จะทำงานอย่างเต็มที่และจับคนก่อเหตุมาดำเนินคดีให้ได้ ขณะเดียวกันได้สั่งการให้ฝ่ายสืบสวนลงพื้นที่คลี่คลายคดี พร้อมตรวจสอบกล้องวงจรปิดของ กทม.อีกหลายตัวในที่เกิดเหตุ เพราะอาจจะเห็นผู้ต้องสงสัยชัดเจนมากกว่านี้ ส่วนอาวุธปืนที่คนร้ายใช้ก่อเหตุน่าจะเป็นขนาด .22 มม. เพราะเป็นปืนขนาดเล็ก สังเกตได้จากรูกระสุน ประกอบกับเสียง พยานที่เป็น รปภ.บอกว่าได้ยินไม่ชัดเจน เสียงค่อนข้างเบา ดัง แป๊ะๆ 4 ครั้ง ส่วนรูกระสุนที่ชั้น 2 ของอาคารก็น่าจะเป็นเหตุการณ์เดียวกัน”
       
       ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาจี้ให้เจ้าหน้าที่เร่งหาคนที่ก่อเหตุยิงรถข่าว ASTV มาลงโทษโดยเร็ว เพราะเป็นการคุกคามสื่อ และว่า สื่อมวลชนต้องนำเสนอข้อเท็จจริงต่างๆ จึงอาจกระทบกับคนหลายวงการ ดังนั้นต้องช่วยกันปกป้องให้สื่อทำหน้าที่ด้วยความมั่นใจ
       
       ขณะที่สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกรณีมือมืดบุกยิงรถข่าว ASTV โดยชี้ว่า เป็นการกระทำที่อุกอาจ มุ่งข่มขู่คุกคามสื่อมวลชนโดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย พร้อมเรียกร้องให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเร่งจับกุมคนร้ายมาลงโทษโดยเร็ว เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างในการข่มขู่คุกคามสิทธิเสรีภาพสื่อมวลชน และเพื่อสร้างความมั่นใจในความปลอดภัยแก่ประชาชนและสังคมไทย
       
       3. ศึกชิงผู้ว่าฯ กทม.เปิดฉากแล้ว มีผู้สมัครทั้งสิ้น 25 คน “พงศพัศ” คว้าเบอร์ 9 ขณะที่ “สุขุมพันธุ์” ได้เบอร์ 16 !

       เมื่อวันที่ 21 ม.ค. ซึ่งเป็นวันแรกของการเปิดรับสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ที่ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ปรากฏว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยความคึกคัก สำหรับผู้ที่เดินทางมาลงทะเบียนเป็นคนแรก คือ นายวรัญชัย โชคชนะ ซึ่งมาตั้งแต่เวลา 05.16น. จากนั้นเวลาประมาณ 08.30น. นางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร ได้จับสลากรายชื่อผู้สมัครที่มีสิทธิจับหมายเลขผู้สมัครก่อนหลังตามลำดับ โดยมีผู้สมัครทั้งหมด 18 คน แต่ขาดคุณสมบัติ 1 คน และไม่มารายงานตัว 1 คน จึงเหลือ 16 คน
       
       ซึ่งผลการจับสลากของผู้สมัคร ปรากฏว่า นายวิละ อุดม ได้หมายเลข 1 ,นายวรัญชัย โชคชนะ หมายเลข 2 ,ร.อ.เมตตา เต็มชำนาญ หมายเลข 3 ,นายโสภณ พรโชคชัย หมายเลข 4 ,นายสมิตร สมิทธินันท์ หมายเลข 5 ,นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง หมายเลข 6 ,นายณัฏฐ์ดนัย ภูเบศอรรถวิชญ์ หมายเลข 7 ,นายสุเมธ ตันธนาศิริกุล หมายเลข 8 , พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ จากพรรคเพื่อไทย(พท.) หมายเลข 9 ,นายโฆสิต สุวินิจจิต หมายเลข 10 , พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส หมายเลข 11 ,ศ.จงจิตร์ หิรัญลาภ หมายเลข 12 ,นายวศิน ภิรมย์ หมายเลข 13 ,นายประทีป วัชรโชค หมายเลข 14 ,นางจำรัส อินทุมาร หมายเลข 15 และ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.) หมายเลข 16 จากนั้น มีผู้มาสมัครเพิ่มอีก 2 ราย คือ นายสุหฤท สยามวาลา หมายเลข 17 และนางนันท์นภัส โกไศยกานนท์ หมายเลข 18
       
       ทั้งนี้ หลังปิดรับสมัครในวันที่ 25 ม.ค.แล้ว ปรากฏว่า มีผู้สมัครเพิ่มอีก 7 คน รวมเป็น 25 คน โดยผู้ที่มาสมัครเพิ่ม ประกอบด้วย นายสุขุม วงประสิทธิ์ หมายเลข 19 ,นายกฤษณ์ สุริยผล หมายเลข 20 ,นางธรณี ฤทธีธรรมรงค์ หมายเลข 21 ,นายศุภชัย เกษมวงศ์ หมายเลข 22 ,น.ส.รวิวรรณ สุทธิวีรสรรค์ หมายเลข 23 ,นายวิทยา จังกอบวัฒนา หมายเลข 24 และ พ.ต.อ.ขจรศักดิ์ โกษะโยธิน หมายเลข 25
       
       ด้านนางนินนาท ชลิตานนท์ ปลัดกรุงเทพมหานคร บอกว่า วันที่ 1 ก.พ.จะประกาศรายชื่อผู้สมัครที่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หลังจากนั้นวันที่ 5 ก.พ.จะประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิเลือกตั้ง
       
       สำหรับความรู้สึกของผู้สมัครกับหมายเลขที่ได้รับนั้น พล.ต.อ.พงศพัศ บอกว่า การได้หมายเลข 9 ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี เพราะเลข 9 เป็นเลขมงคล และจะขอทำสิ่งที่เป็นประโยชน์กับพี่น้องประชาชนให้ดีที่สุด ขณะที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ซึ่งจับได้หมายเลข 16 เผยว่า รู้สึกโล่งอกที่ได้หมายเลข 16 เพราะถ้าจับได้เลขสวยๆ อาจทำให้ข้าราชการ กทม.ถูกครหาว่าไม่มีความเป็นธรรมได้ และว่า การได้เลข 16 อาจเป็นสัญญาณที่ดีว่าจะได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม.คนที่ 16 อีกสมัย อีกทั้งเลข 16 ก็ถือเป็นเลขดี เพราะเมื่อปี 2544 ลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส.ก็ได้หมายเลข 16 และชนะการเลือกตั้งด้วย
       
       ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง พูดถึงการป้องปรามการซื้อสิทธิขายเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ว่า ได้เตรียมชุดป้องปรามลงพื้นที่ทั้ง 50 เขตทั่วกรุงเทพฯ พร้อมชุดสืบสวนสอบสวน และว่า ที่ผ่านมา ไม่ค่อยมีการซื้อเสียง เนื่องจาก กทม.มีเขตพื้นที่ใหญ่มาก ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีมากถึง 4 ล้านกว่าคน ถ้าซื้อเสียง ต้องใช้เงินจำนวนมาก คงทำได้ยาก อย่างไรก็ตาม นายประพันธ์ ได้เตือนผู้สมัครว่า หาก กกต.จับได้ว่ามีการซื้อเสียง ผู้สมัครที่โดนใบแดงต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายในการเลือกตั้งกว่า 100 ล้านบาท ขณะที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล ได้เตรียมกำลังตำรวจไว้สอดส่องการกระทำผิดในวันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. 18,884 นาย
       
       ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ไฟเขียวให้ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ทุกรายเข้าไปหาเสียงในค่ายทหารได้ โดยขอให้ติดต่อมายังเจ้าหน้าที่ ซึ่งเริ่มมีการติดต่อเข้ามาบ้างแล้วและได้อนุญาตไป พร้อมย้ำว่า กำลังพลมีอิสระที่จะเลือกใครเป็นผู้ว่าฯ กทม.ก็ได้ ไม่มีการบังคับ
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้ออกมาเตือน พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคเพื่อไทย กรณีหาเสียงเรื่องลดค่าเช่าแผงตลาดนัดจตุจักร และค่าโดยสารรถเมล์ฟรี เรือข้ามฟากฟรีว่า อาจเข้าข่ายหาเสียงเกินขอบเขตอำนาจหน้าที่ เพราะสิ่งที่หาเสียงไม่ได้อยู่อำนาจหน้าที่ของผู้ว่าฯ กทม. และว่า กกต.จะต้องดูแล เพราะโดยหลักไม่น่าจะทำได้
       
       ด้าน พล.ต.ท.ทวีศักดิ์ ตู้จินดา ประธาน กกต.กทม.ได้ออกมาบอกว่า ขณะนี้ยังไม่มีการร้องเรียนการหาเสียงของ พล.ต.อ.พงศพัศเข้ามา พร้อมพูดเหมือนเตือนนายอภิสิทธิ์ว่า หากร้องเรียนเท็จต่อ กกต.ให้เกิดความเข้าใจผิดต่อผู้สมัคร ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 7-10 ปี และปรับตั้งแต่ 140,000-200,000 บาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งเป็นเวลา 20 ปี แต่หากผู้สมัครที่ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าฯ กทม.ไม่สามารถปฏิบัติได้ตามนโยบายที่หาเสียงไว้ ประชาชนที่มีสิทธิเลือกตั้งมีสิทธิรวบรวมรายชื่อ 30,000 รายชื่อยื่นต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ขอให้ถอดถอนบุคคลนั้นออกจากตำแหน่ง เพื่อให้ กกต.จัดการเลือกตั้งใหม่
       
       ส่วนกรณีที่วันเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.(3 มี.ค.) ตรงกับวันทดสอบแบบวัดความถนัดทั่วไป(GAT) และการทดสอบแบบวัดความถนัดทางวิชาชีพ/วิชาการ(PAT) ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เด็กที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปที่ต้องสอบ GAT - PAT ครั้งที่ 2-2556 ระหว่างวันที่ 2-5 มี.ค. ซึ่งมีประมาณ 6 พันคน ไม่สามารถไปใช้สิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ได้นั้น นายสัมพันธ์ พันธุ์ฤกษ์ ผู้อำนวยการสถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ(สทศ.) บอกว่า ได้หารือกับนายสมคิด เลิศไพฑูรย์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในฐานะประธานที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย(ทปอ.) แล้ว เห็นตรงกันว่า จะไม่มีการเลื่อนสอบ GAT-PAT แต่จะใช้วิธีเพิ่มเวลาพักกลางวันเฉพาะวันที่ 3 มี.ค.อีก 1 ชั่วโมง จากเดิมพักหลังสอบตั้งแต่เวลา 11.30น.-13.00น. เป็น 11.30น.-14.00น. เพื่อให้เด็กไปใช้สิทธิเลือกตั้งและกลับมาสอบช่วงบ่ายได้ทัน โดยจะเสนอเรื่องดังกล่าวให้ที่ประชุม สทศ.เห็นชอบอีกครั้งในวันที่ 30 ม.ค. “กลุ่มนักเรียนที่จะได้รับผลกระทบคือ ผู้ที่ต้องเข้าสอบ 2 วิชา ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ซึ่งมีจำนวน 2,821 คน ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมข้อมูลหน่วยเลือกตั้งที่อยู่ใกล้สนามสอบ เพื่อขอความร่วมมือโรงเรียนที่เป็นสนามสอบจัดรถรับส่งนักเรียนไปใช้สิทธิเลือกตั้งต่อไป”
       
       4. ศาล พิพากษาจำคุก “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” 10 ปี คดีหมิ่นเบื้องสูง พร้อมไม่อนุญาตประกันตัว เหตุมีพฤติการณ์หลบหนี!

       เมื่อวันที่ 23 ม.ค. ศาลอาญา ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ (VOICE OF TAKSIN) และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนา เพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
       
        คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่า ระหว่างวันที่ 15 ก.พ.-13 มี.ค.2553 จำเลย ซึ่งเป็นบรรณาธิการนิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ ได้จัดพิมพ์ จำหน่าย และเผยแพร่นิตยสารวอยซ์ ออฟ ทักษิณ : เสียงทักษิณ ปีที่ 1 ฉบับที่ 15 ปักษ์หลัง เดือน ก.พ.2553 ที่ตีพิมพ์บทความคมความคิดของผู้ใช้นามปากกาว่า จิตร พลจันทร์ เรื่อง แผนนองเลือดกับยิงข้ามรุ่น โดยเนื้อหาบทความสื่อให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้ออกคำสั่งให้สังหารประชาชนจำนวนมากในเหตุการณ์ 6 ต.ค.2519 และทรงเป็นผู้วางแผนตระเตรียมสถานการณ์เพื่อสังหารประชาชนจำนวนมากอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงภายหลังวันพิพากษายึดทรัพย์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งไม่มีมูลความจริง
       
        หลังจากนั้น ระหว่างวันที่ 1-15 มี.ค.2553 จำเลยยังจัดพิมพ์ จำหน่าย และเผยแพร่นิตยสารเสียงทักษิณ ปีที่ 1 ฉบับที่ 16 ปักษ์แรก เดือน มี.ค.2553 ที่พิมพ์บทความคมความคิดของ จิตร พลจันทร์ อีก เรื่อง 6 ตุลาแห่ง พ.ศ.2553 โดยเนื้อหาสื่อให้เข้าใจว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพฤติการณ์ที่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีความขัดแย้งและเกิดการนองเลือดขึ้นในประเทศไทยหลายครั้ง และทรงมีพฤติการณ์ในการควบคุมบงการอยู่เบื้องหลังรัฐบาลของประเทศไทยหลายชุด และยังทรงเป็นผู้วางแผนในการทำลายฝ่ายประชาธิปไตย ซึ่งไม่มีมูลความจริง ทั้งนี้ อัยการขอให้ศาลนำโทษที่ศาลอาญาพิพากษาจำคุกจำเลยในคดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร มาบวกกับโทษในคดีนี้ด้วย
       
        ด้านจำเลยให้การปฏิเสธและต่อสู้คดีว่า ตนเป็นเพียงลูกจ้างในนิตยสารดังกล่าวและไม่ได้มีเจตนา พร้อมอ้างว่า เจ้าของนามปากกา จิตร พลจันทร์ ที่เขียนบทความ คือนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่เขียนบทความส่งมายังนิตยสารดังกล่าวเป็นประจำและได้มีการตีพิมพ์หลายครั้ง จำเลยยังอ้างด้วยว่า ตนอ่านบทความแล้ว เห็นว่าเป็นการกล่าวถึงอำมาตย์เท่านั้น และเป็นการกล่าวเตือนถึงความรุนแรงที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์แต่อย่างใด
       
        ทั้งนี้ ศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยแล้ว โจทก์ยื่นฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่น และแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหาษัตริย์ ด้วยการจัดพิมพ์ จำหน่าย และเผยแพร่นิตยสารเสียงทักษิณที่มีบทความดังกล่าว ซึ่งเป็นความผิดตามมาตรา 112 แต่จำเลยสู้ว่า พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ พ.ศ.2550 มีบทบัญญัติยกเลิก พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 ซึ่งในฐานะบรรณาธิการไม่ต้องรับผิด ดังนั้นจำเลยย่อมพ้นจากการเป็นผู้กระทำผิดนั้น ศาลเห็นว่า จำเลยพ้นผิดตาม พ.ร.บ.การพิมพ์ พ.ศ.2484 เท่านั้น ส่วนการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ไม่ถูกยกเลิกโดยผลของกฎหมายดังกล่าว
       
        ส่วนที่จำเลยอ้างว่า ไม่ใช่ผู้เขียนบทความดังกล่าว ศาลเห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหมิ่นประมาท ดูหมิ่นพระมหากษัตริย์ ด้วยการจัดพิมพ์ จำหน่ายนิตยสารที่มีบทความดังกล่าว ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงไม่ใช่การกระทำที่ถูกฟ้อง อย่างไรก็ตาม ศาลมีประเด็นต้องวินิจฉัยว่า จำเลยกระทำผิดตามมาตรา 112 หรือไม่ ซึ่งโจทก์มีพยานเป็นลูกจ้างของนิตยสาร 4 ปาก เบิกความสอดคล้องกันว่า จำเลยเป็นบรรณาธิการนิตยสารขณะที่มีการตีพิมพ์ฉบับที่ 4-20 และจำเลยเป็นผู้มีอำนาจพิจารณาลงบทความแต่เพียงผู้เดียว รวมทั้งดูแลการเงิน นอกจากนี้ยังมีผู้ที่รับจ้างทำแม่พิมพ์และผู้รับจัดจำหน่ายนิตยสาร เบิกความด้วยว่า ในการจัดจำหน่ายได้มีการติดต่อกับตัวจำเลยเอง รวมทั้งมีนายทหาร 2 นาย ,นายธงทอง จันทรางศุ และบรรณารักษ์ ที่ได้อ่านบทความดังกล่าว และเบิกความทำนองเดียวกันว่า บทความสื่อถึงเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่มีการย้อนไป 200 กว่าปี ซึ่งสอดคล้องเชื่อมโยงกับบันทึกในพระราชพงศาวดารและที่มีการเรียนรู้ทั่วไปเกี่ยวกับราชวงศ์ ซึ่งทำให้เข้าใจว่าบทความสื่อถึงสถาบันพระมหากษัตริย์
       
        ทั้งนี้ ศาลเห็นว่า แม้บทความทั้ง 2 ฉบับจะไม่ได้กล่าวถึงชื่อบุคคล แต่เขียนโดยมีเจตนาเชื่อมโยงเหตุการณ์ในอดีต และสามารถระบุได้ว่าหมายถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่าทรงมีอำนาจเหนือรัฐบาลทหารและรัฐบาลพลเรือน และเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ความรุนแรง คำเบิกความของจำเลยและพยานจำเลยที่เป็นนักวิชาการที่อ้างว่าไม่ได้หมายถึงพระมหากษัตริย์ แต่หมายถึงกลุ่มอำมาตย์ จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์ได้
       
        นอกจากนี้ศาลยังเห็นว่า จำเลยจบการศึกษาระดับปริญญาตรีรัฐศาสตร์ เคยทำงานในองค์กรพัฒนาเอกชน และเป็นถึงบรรณาธิการบริหาร รวมทั้งสื่อมวลชน ย่อมต้องวิเคราะห์เนื้อหาก่อนที่จะเผยแพร่ การที่จำเลยนำบทความไปตีพิมพ์เผยแพร่ จึงมีเจตนาหมิ่นพระมหากษัตริย์ ตามมาตรา 112 และเมื่อมีการจัดพิมพ์บทความในนิตยสารดังกล่าวถึง 2 ฉบับ จึงเป็นการกระทำต่างกรรมต่างวาระกัน จึงพิพากษาลงโทษเป็นกระทงความผิดไป โดยให้จำคุกจำเลย 2 กระทงๆ ละ 5 ปี รวม 10 ปี และบวกโทษอีก 1 ปีในคดีหมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง ที่ศาลพิพากษาแล้ว รวมจำคุกจำเลยทั้งสิ้น 11 ปี
       
        หลังฟังคำพิพากษา นายคารม พลพรกลาง 1 ในทีมทนายความของนายสมยศ บอกว่า โทษที่ศาลพิพากษาจำคุกกระทงละ 5 ปี ถือว่าสูงกว่าโทษขั้นต่ำ แต่ยังไม่สูงมาก โดยมาตรา 112 กำหนดอัตราโทษจำคุก 3-15 ปี ดังนั้น 5 ปีที่ศาลพิพากษา จึงอยู่ในระดับ 1 ใน 3 ของอัตราโทษสูงสุด พร้อมย้ำว่า จำเลยจะสู้คดีต่อไป โดยยืนยันว่าไม่มีเจตนาหมิ่นเบื้องสูง
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า คนเสื้อแดงบางส่วนได้ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ว่า ศาลลงโทษนายสมยศหนักกว่านายยศวริศ ชูกล่อม หรือ เจ๋ง ดอกจิก รวมทั้งกรณีที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวนายสมยศ ซึ่งนายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้ออกมาชี้แจงว่า เหตุที่ศาลพิพากษาจำคุกนายสมยศหนักกว่านายยศวริศ เนื่องจากได้พิจารณาถึงความหนักเบาของพฤติการณ์ของจำเลยแล้ว เห็นว่า การปราศรัยของนายยศวริศมีความกระทบกระเทือนต่อความมั่นคง ต่อสถาบันน้อยกว่านายสมยศ ส่วนสาเหตุที่ศาลไม่อนุญาตให้ประกันตัวนายสมยศ เนื่องจากมีพฤติการณ์หลบหนี โดยถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมตัวได้ที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ขณะกำลังหลบหนีออกนอกประเทศ

ASTVผู้จัดการออนไลน์    27 มกราคม 2556