ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 16-21 เม.ย.2555  (อ่าน 1043 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
 1. ศาลฎีกาฯ พิพากษาจำคุก “ชินณิชา” 2 เดือน พร้อมตัดสิทธิทางการเมือง 5 ปี กรณีซุกหนี้ 100 ล้าน!

       เมื่อวันที่ 19 เม.ย. องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองรวม 9 คน ได้อ่านคำพิพากษาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ร้องขอให้ศาลฯ พิพากษาให้ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย บุตรสาวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี และหลานสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีคดีซื้อที่รัชดาฯ พ้นจากตำแหน่งและห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือดำรงตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี หลัง ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิด น.ส.ชินณิชาฐานจงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จ ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 263 พร้อมขอให้ลงโทษทางอาญาตาม พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 ด้วย
       
       สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช.เห็นว่า น.ส.ชินณิชา จงใจยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ เนื่องจาก น.ส.ชินณิชาไม่ได้ยื่นแสดงรายการเงินกู้ยืมจากนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำนวน 100 ล้านบาทตั้งแต่แรก แต่ยื่นเมื่อวันที่ 31 ต.ค.2551 หลังจากเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.เชียงใหม่แล้วเป็นเวลากว่า 8 เดือน โดยอ้างว่า เพราะหลงผิดและเข้าใจคลาดเคลื่อนโดยสุจริตว่า ระหว่างทำรายการบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเพื่อแจ้งต่อ ป.ป.ช.นั้น กระบวนการไต่สวนของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ยังไม่เสร็จสิ้น จึงเข้าใจว่าทรัพย์สินที่ คตส.มีคำสั่งอายัดไว้ ตนไม่สามารถดำเนินการใดใดได้จนกว่า คตส.จะคำสั่งเพิกถอนการอายัด
       
       อย่างไรก็ตาม ป.ป.ช.พบว่า น.ส.ชินณิชาได้กระทำการขัดแย้งกับคำอ้างของตัวเอง โดยได้ยื่นบัญชีแสดงรายการเงินฝากธนาคารไทยพาณิชย์ สาขาถนนรัชดาภิเษก 3 ของตนกว่า 6.8 ล้านบาทต่อ ป.ป.ช. ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากที่ คตส.มีคำสั่งอายัดไว้เช่นกัน รวมทั้งได้ยื่นแสดงรายการเงินให้กู้ยืมแก่บริษัท วาย ชินวัตร ถึง 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นเงิน 42.7 ล้านบาท ครั้งที่สองอีก 10 ล้านบาท ซึ่ง 10 ล้านบาทนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของเงิน 100 ล้านบาทที่ น.ส.ชินณิชากู้ยืมมาจากนายบรรณพจน์ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การที่ น.ส.ชินณิชายื่นบัญชีหนี้สินที่กู้ยืมจากนายบรรณพจน์ 100 ล้านต่อ ป.ป.ช.หลังเข้าดำรงตำแหน่ง ส.ส.แล้วถึง 8 เดือน ก็เพราะมีข่าวปรากฏทางสื่อมวลชนว่า น.ส.ชินณิชาได้ร้องให้ คตส.เพิกถอนการอายัดเงิน 100 ล้านบาท จากนั้นนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ส.ว.สรรหา จึงได้ยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ น.ส.ชินณิชา
       
       ทั้งนี้ ศาลฎีกาฯ พิเคราะห์แล้วเห็นว่า น.ส.ชินณิชาจงใจยื่นบัญชีแสดงทรัพย์สินและหนี้สินด้วยข้อความอันเป็นเท็จตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 259 และ 263 ประกอบ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 มาตรา 119 จึงพิพากษาให้ น.ส.ชินณิชาพ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และห้ามดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา รวมทั้งให้จำคุก น.ส.ชินณิชาเป็นเวลา 2 เดือน พร้อมทั้งปรับเป็นเงิน 4,000 บาท แต่เนื่องจาก น.ส.ชินณิชาไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงเห็นสมควรรอการลงโทษเป็นเวลา 1 ปี
       
       ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย เผยว่า น.ส.ชินณิชากำลังตรวจสอบข้อกฎหมายว่า มีพยานหลักฐานใหม่ที่อาจทำให้ข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปในสาระสำคัญหรือไม่ หากมีก็สามารถยื่นอุทธรณ์ต่อที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาได้ภายใน 30 วัน ซึ่งหากยื่นอุทธรณ์ ก็ถือว่าคดีนี้ยังไม่สิ้นสุด
       
       ขณะที่นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคเพื่อไทย บอกว่า คณะกรรมการบริหารพรรคจะประชุมเพื่อหาคนลงสมัครรับเลือกตั้งซ่อมแทน น.ส.ชินณิชา เพราะ 1 เสียงก็มีความสำคัญ จะละเลยไม่ได้
       
       ด้านนายประพันธ์ นัยโกวิท กรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ด้านบริหารงานเลือกตั้ง เผยว่า กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งซ่อมภายใน 45 วันนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา เบื้องต้นคาดว่าวันเลือกตั้งน่าจะอยู่ในช่วงต้นเดือน มิ.ย.นี้ โดยจะใช้เงินจัดการเลือกตั้งประมาณ 10 ล้านบาท
       
       2. “อภิสิทธิ์-ประชา” พร้อม 8 ส.ส. เฮ ศาล รธน.สั่งจำหน่ายคดีถุงยังชีพ ชี้ เป็นหน้าที่ ส.ส.ต้องช่วย ปชช.!

       เมื่อวันที่ 20 เม.ย. ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้อ่านคำวินิจฉัย 2 คำร้อง คำร้องแรกเป็นกรณีที่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และ ส.ส.พรรคเพื่อไทยรวม 83 คน ขอให้ศาลวินิจฉัยสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ว่าสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 91 ประกอบมาตรา 106(6) และมาตรา 266(1) หรือไม่ เนื่องจากใช้ตำแหน่งหน้าที่ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีให้ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกนำถุงยังชีพของกระทรวงพลังงานจำนวน 500 ถุง มาให้เพื่อแจกจ่ายแก่ผู้ประสบอุทกภัยใน จ.พิษณุโลก
       
       ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญมาตรา 266(1) มีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันไม่ให้ ส.ส.ก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่ของหน่วยงานราชการเพื่อแสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ แต่ ส.ส.มีหน้าที่ช่วยเหลือประชาชน เมื่อเกิดน้ำท่วมปลายปี 2554 ทุกภาคส่วนต้องสามัคคีช่วยเหลือผู้เดือดร้อน การที่นายอภิสิทธิ์และ นพ.วรงค์แจกถุงยังชีพของกระทรวงพลังงาน โดยมิได้แอบอ้างบิดเบือนว่าเป็นของตนเอง ผู้อื่น หรือพรรคการเมือง กรณีนี้จึงไม่เป็นประโยชน์ที่จะพิจารณาต่อไป ศาลจึงมีคำสั่งให้จำหน่ายคำร้อง
       
       ส่วนคำร้องที่สองเป็นกรณีที่ ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ 153 คน ขอให้ศาลวินิจฉัยให้สมาชิกภาพ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย 8 คนสิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากใช้ตำแหน่งหน้าที่เข้าไปก้าวก่ายแทรกแซงการปฏิบัติราชการของเจ้าหน้าที่รัฐ กรณีใช้ตำแหน่ง ส.ส.เข้าเป็นกรรมการบริหารจัดการถุงยังชีพ สำหรับ ส.ส.ทั้ง 8 คนดังกล่าว ประกอบด้วย 1.พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก ส.ส.บัญชีรายชื่อ 2.นายการุณ โหสกุล ส.ส.กทม. 3.นายสุชาติ เทียนทอง ส.ส.กทม. 4.นายวรชัย เหมะ ส.ส.สมุทรปราการ 5.นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย ส.ส.อุตรดิตถ์ 6.นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ ส.ส.บัญชีรายชื่อ 7.นายวิชาญ มีนชัยนันท์ ส.ส.กทม. และ 8.นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม.
       
       ทั้งนี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า อุทกภัยที่เกิดขึ้นหลายจังหวัดในช่วงปลายปี 2554 ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนเป็นวงกว้าง รัฐบาลมีหน้าที่แก้ปัญหาด้วยการจัดหาเครื่องอุปโภคบริโภคช่วยผู้ประสบภัย นายกฯ จึงได้มีคำสั่งตั้งศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย(ศปภ.) โดยให้ พล.ต.อ.ประชาเป็นผู้อำนวยการ ซึ่ง พล.ต.อ.ประชาได้มีคำสั่งลงวันที่ 22 ต.ค.2554 ตั้งให้นายการุณและพวกเป็นคณะทำงานและคณะกรรมการจัดหาถุงยังชีพ แต่เมื่อพบว่าอาจมีปัญหา พล.ต.อ.ประชาจึงมีคำสั่งวันที่ 24 ต.ค.2554 ยกเลิกการแต่งตั้งคณะทำงานและคณะกรรมการดังกล่าว โดยมิได้แจ้งให้นายการุณและพวกรับทราบ ศาลเห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีไม่ได้เป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 265 (1) หรือมาตรา 266 (1) จึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาคดีต่อไป มีคำสั่งให้จำหน่ายคำร้อง
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ในการอ่านคำวินิจฉัยของศาลฯ ครั้งนี้ ผู้ถูกร้องทั้ง 2 พรรคต่างเดินทางมาฟังคำวินิจฉัยโดยพร้อมเพรียงกัน และทันทีที่รู้ผลคำสั่งศาล ทั้ง พล.ต.อ.ประชา และนายอภิสิทธิ์ต่างมีสีหน้ายิ้มแย้มด้วยความดีใจ จากนั้น พล.ต.อ.ประชาได้เดินเข้าไปจับมือกับนายอภิสิทธิ์และสมาชิกพรรคคนอื่นๆ เพื่อแสดงความยินดีด้วย
       
       3. งามหน้า ภาพโป๊โผล่กลางสภา ขณะที่ถกแก้ รธน.วาระ 2 ยังไม่จบ ประชุมต่อ 24 เม.ย.!

       ความคืบหน้าการประชุมร่วมรัฐสภาเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 ในวาระ 2 หลังจากที่ประชุมเมื่อวันที่ 10-11 เม.ย. ได้มีการอภิปรายและลงมติไป 3 มาตรา ปรากฏว่า ได้มีการประชุมต่อเมื่อวันที่ 18-21 เม.ย. โดยพิจารณามาตรา 4 ซึ่งมีเนื้อหาให้เพิ่มหมวด 16 เกี่ยวกับการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งที่ประชุมเห็นชอบตามร่างที่กรรมาธิการ(กมธ.) วิสามัญพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาแล้ว ด้วยคะแนน 331 ต่อ 112 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ไม่ลงคะแนน 1 เสียง
       
       จากนั้นได้เข้าสู่การพิจารณามาตรา 291/1 ซึ่ง กมธ.ยืนยันตามร่างเดิมของคณะรัฐมนตรี(ครม.) ที่ให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) 99 คน โดยมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน และมาจากการคัดเลือกโดยที่ประชุมรัฐสภาอีก 22 คน ซึ่ง ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์หลายคนได้แสดงความไม่เห็นด้วย เช่น นายเทพไท เสนพงศ์ ส.ส.นครศรีธรรมราช เสนอว่า บางจังหวัดควรมี ส.ส.ร.มากกว่า 1 คน โดยคิดตามสัดส่วนประชากร เช่น ประชากร 5 แสนคนต่อ ส.ส.ร.1 คน ส่วน ส.ส.ร.ผู้ทรงคุณวุฒิที่จะคัดเลือกโดยที่ประชุมรัฐสภา 22 คนนั้น อาจทำให้ได้คนที่รัฐบาลกำหนด ดังนั้นขอเสนอให้ผู้ทรงคุณวุฒิมาจากการเลือกตั้ง โดยใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง ให้ประชาชนเลือกได้เขตละ 1 คน โดยผู้ที่ได้รับคะแนนสูงสุด 22 อันดับแรกเป็นผู้ได้รับเลือกตั้ง
       
       อย่างไรก็ตาม หลังอภิปรายมาตรานี้อยู่ 2 วัน ในที่สุดที่ประชุมเสียงข้างมากได้ลงมติเห็นชอบตามร่างของ กมธ.ด้วยคะแนน 346 ต่อ 134 เสียง งดออกเสียง 7 เสียง ไม่ลงคะแนน 2 เสียง
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า ระหว่างที่นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กำลังอภิปรายอยู่ ได้มีภาพนิ่งของหญิงสาวในลักษณะกึ่งเปลือยปรากฏบนจอมอนิเตอร์บริเวณด้านซ้ายมือตรงข้ามบัลลังก์ของประธานที่ประชุม โดยภาพโป๊ดังกล่าวปรากฏเป็นช่วงๆ ช่วงละประมาณ 5 วินาที รวม 3 รอบ สลับกับภาพในห้องประชุม เมื่อเจ้าหน้าที่เห็นภาพดังกล่าวจึงปิดจอมอนิเตอร์ทั้ง 2 จอในห้องประชุมสภาทันที
       
       ขณะที่ ส.ส.หลายคนได้เรียกร้องให้นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภาตั้งคณะกรรมการตรวจสอบ ซึ่งนายสมศักดิ์ รีบสรุปว่า น่าจะเป็นการแทรกมาจากวงจรภายนอก เพราะสภายังไม่มีอุปกรณ์ป้องกัน อยู่ระหว่างจัดซื้ออุปกรณ์ ด้านนายคัมภีร์ ดิษฐากรณ์ รองเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร บอกว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า ภาพไม่เหมาะสมนั้นปรากฏบนจอทีวีพลาสม่าที่สั่งเข้ามาใหม่ 4 ตัว เป็นระบบที่สามารถเชื่อมต่อไวไฟและสามารถรับสัญญาณจากภายนอกเข้ามาได้ คาดว่าอาจมีแฮกเกอร์เข้าในระบบ
       
       อย่างไรก็ตาม หลังสื่อมวลชนนำเสนอข่าวภาพโป๊โผล่กลางสภา ปรากฏว่ามีภาพ ส.ส.ในห้องประชุมสภากำลังดูภาพโป๊ทางโทรศัพท์มือถือด้วย ร้อนถึงนายณัฏฐ์ บรรทัดฐาน ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ได้ยอมรับต่อสภา รวมทั้งได้เปิดแถลงว่าตนคือบุคคลในภาพที่กำลังดูภาพโป๊ทางโทรศัพท์มือถือจริง แต่เป็นคนละภาพกับที่ปรากฏทางจอมอนิเตอร์ โดยภาพที่ตนดูนั้น เป็นภาพที่มีคนส่งเข้ามาถามว่าเป็นภาพที่ปรากฏทางจอมอนิเตอร์หรือไม่ ซึ่งตนได้ชี้แจงให้ทราบและปิดโทรศัพท์ทันที นายณัฏฐ์ ยังบอกด้วยว่า ตอนเกิดเหตุ ก็มี ส.ส.พรรคเพื่อไทยดูรูปโป๊จากโทรศัพท์มือถือเช่นกัน แต่ช่างภาพไม่ได้ถ่ายรูป ส.ส.พรรคเพื่อไทย
       
       ด้านนายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย สบช่อง รีบออกมาจี้ให้นายณัฏฐ์พิจารณาตัวเองด้วยการลาออก เพราะทำให้ภาพลักษณ์รัฐสภาไทยเสื่อมเสีย พร้อมขู่ว่า ตนจะขอให้ผู้ตรวจการแผ่นดินตรวจสอบจริยธรรมของนายณัฏฐ์ รวมทั้งจะแจ้งความต่อตำรวจ สน.ดุสิตว่า การเปิดภาพโป๊ทางโทรศัพท์ของนายณัฏฐ์เกี่ยวโยงกับภาพโป๊ที่ปรากฏบนจอในสภาหรือไม่
       
       ส่วนบรรยากาศการอภิปรายร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 นั้น เป็นที่น่าสังเกตว่า ได้เกิดความวุ่นวายขึ้นระหว่างพิจารณามาตรา 291/3 ซึ่งเป็นเรื่องเกี่ยวกับลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะลงสมัคร ส.ส.ร. โดย กมธ.ได้เพิ่มถ้อยคำใน (5) เพื่อเปิดช่องให้คนที่พ้นโทษยังไม่ถึง 5 ปีสามารถลงสมัคร ส.ส.ร.ได้ โดยนำมาตรา 102 ของรัฐธรรมนูญมาใส่ไว้ ซึ่งห้ามผู้ที่เคยต้องคำพิพากษาให้จำคุกโดยพ้นโทษมายังไม่ถึง 5 ปีในวันเลือกตั้ง เว้นแต่ในความผิดอันกระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
       
       ซึ่งนายณรงค์ ดูดิง ส.ส.ยะลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายเหน็บพรรคเพื่อไทยว่า ไหนว่ารัฐธรรมนูญเป็นผลไม้พิษ แล้วทำไมต้องอ้างมาตรา 102 ของรัฐธรรมนูญไว้ในมาตรา 291/3 ด้วย และว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ได้หวังว่าเสียงข้างน้อยจะชนะ เพราะตลอดการประชุมที่ผ่านมา กมธ.ไม่รับฟังเสียงข้างน้อย การอภิปรายที่ผ่านมาเท่ากับเป็นการสีซอให้ควายฟัง
       
       ด้านนายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ฟังแล้วไม่พอใจ จึงลุกขึ้นประท้วงนายณรงค์ว่าอภิปรายใส่ร้ายเสียดสี นายพิเชษฐ์ ยังสวนกลับนายณรงค์ด้วยว่า ตนไม่อยากฟังควายพูด ด้าน พล.อ.ธีรเดช มีเพียร ประธานวุฒิสภา และรองประธานรัฐสภา ในฐานะประธานการประชุม ได้เตือนให้นายณรงค์ระวังและกระชับการอภิปราย ขณะที่ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ได้ประท้วง พร้อมขอให้ พล.อ.ธีรเดชบอกให้นายพิเชษฐ์ถอนคำพูดว่า “ควาย” ด้วย แต่ พล.อ.ธีรเดช บอกว่าไม่ทันฟังว่ามีการพูดว่าควายหรือไม่ ดังนั้นเสมอกัน ส่งผลให้มีเสียงโห่ลั่นห้องประชุม ซึ่งในที่สุด พล.อ.ธีรเดชได้ตัดบทด้วยการให้นายณรงค์อภิปรายต่อ กระทั่งในที่สุด ที่ประชุมเสียงข้างมากได้ลงมติเห็นชอบมาตรา 291/3 ตามร่างของ กมธ.ด้วยคะแนน 319 ต่อ 26 เสียง งดออกเสียง 4 เสียง ไม่ลงคะแนน 5 เสียง
       
       ทั้งนี้ แม้การพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 จะลากยาวมาถึงวันที่ 21 เม.ย. แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแล้วเสร็จ จึงได้มีการประชุม 4 ฝ่าย ระหว่างคณะกรรมการประสานพรรคร่วมรัฐบาล(วิปรัฐบาล)-วิปฝ่ายค้าน-วิปวุฒิสภา และ กมธ.พิจารณาร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขเพิ่มเติม กระทั่งได้ข้อสรุปว่า จะงดการประชุมร่วมรัฐสภาในวันที่ 22 เม.ย. เพื่อให้สมาชิกรัฐสภาได้พักผ่อน เนื่องจากได้มีการประชุมร่วมกันมายาวนานถึง 6 วัน โดยนัดประชุมอีกครั้งวันที่ 24 เม.ย. ด้านนายอุดมเดช รัตนเสถียร ประธานวิปรัฐบาล ยอมรับว่า หากการลงมติในวาระ 3 ไม่ทันวันที่ 8 พ.ค. อาจจะมีการเลื่อนวาระดังกล่าวออกไปอย่างไม่มีกำหนด
       
       4. พันธมิตรฯ ฟ้องกราวรูด “นายกฯ -ครม.” พ่วง ส.ส.-ส.ว.416 คน ฐานล้มล้าง รธน. ดีเดย์ยื่นอัยการสูงสุด-ป.ป.ช. 26 เม.ย.นี้!

       เมื่อวันที่ 18 เม.ย. แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้ประชุมหารือเพื่อประเมินสถานการณ์การเมืองในขณะนี้พร้อมกำหนดจุดยืน ทั้งนี้ หลังประชุม พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรฯ ได้นำทีมแถลงข่าว โดยปฏิเสธก่อนว่า กรณีที่มีข่าวว่าพันธมิตรฯ นัดชุมนุมที่สโมสรกองทัพบกในวันที่ 21 เม.ย. ไม่เป็นความจริง พันธมิตรฯ ไม่เกี่ยวข้องด้วยและจะไม่เข้าร่วมชุมนุม แต่เห็นว่า การชุมนุมของพี่น้องประชาชนเป็นสิ่งที่ทำได้ตามรัฐธรรมนูญ
       
       พล.ต.จำลอง ยังบอกด้วยว่า พันธมิตรฯ จะฟ้อง ส.ส.-ส.ว.และคณะรัฐมนตรีทั้งหมด 416 คน ที่กำลังร่วมกันฉีกรัฐธรรมนูญอยู่ในขณะนี้ จากกรณีที่สมาชิกรัฐสภากำลังประชุมพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291 ในวาระ 2 ซึ่งไม่มียุคสมัยไหนที่มีการเลื่อนปิดประชุมสภาออกไปโดยไม่มีกำหนดเพื่อพิจารณาเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ
       
       ด้านนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ขยายความว่า ที่พันธมิตรฯ จะฟ้องนักการเมือง 416 คนนั้น เป็นการทำตามคำมั่นสัญญาที่พันธมิตรฯ เคยออกแถลงการณ์ว่า จะดำเนินคดีกับนักการเมืองทุกคนที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการล้มล้างรัฐธรรมนูญ 2550 สำหรับการฟ้องดำเนินคดีนั้น มี 3 แนวทาง
       
       1. การล้มล้างรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องที่กระทำไม่ได้ ดังนั้นพันธมิตรฯ จะใช้อำนาจตามรัฐธรรมนูญมาตรา 68 ด้วยการเสนอให้อัยการสูงสุดตรวจสอบข้อเท็จจริง และยื่นคำร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้ผู้เกี่ยวข้องหยุดการกระทำดังกล่าว หากศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้นักการเมืองพรรคใดหยุดการกระทำ อาจนำไปสู่การสั่งยุบพรรค พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของหัวหน้าและกรรมการบริหารพรรคนั้นๆ เป็นเวลา 5 ปี
       
       2. การกระทำของนายกฯ -รัฐมนตรี-ส.ส. และ ส.ว.ที่กำลังล้มล้างรัฐธรรมนูญ ถือเป็นการกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญา หรือทุจริตต่อหน้าที่ตามกฎหมายอื่น ดังนั้นพันธมิตรฯ จะอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 275 วรรค 3 ด้วยการยื่นคำร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เพื่อให้ดำเนินการกับนักการเมืองดังกล่าว
       
       และ 3. พันธมิตรฯ อยู่ระหว่างพิจารณาว่าจะฟ้องอาญาโดยตรงกับนักการเมืองทั้ง 416 คน แต่ระหว่างนี้ พันธมิตรฯ จะดำเนินการตามแนวทางแรกและสองก่อน โดยจะเดินทางไปยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดในวันที่ 26 เม.ย.นี้ เวลา 09.00น. จากนั้นเวลา 11.00น.จะไปยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช.ต่อไป “จึงขอเชิญชวนพันธมิตรฯ ทั่วประเทศได้เข้าร่วมกิจกรรมในการยื่นคำร้องต่ออัยการสูงสุด ที่สำนักงานอัยการสูงสุด และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เพื่อขอให้สององค์กรนี้ได้ดำเนินการเพื่อหยุดยั้งการล้มล้างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ให้จงได้”
       
       ทั้งนี้ นอกจากการฟ้องดำเนินคดี 416 นักการเมืองแล้ว แกนนำพันธมิตรฯ ยังได้ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ ด้วยการเชิญนักวิชาการและนักกฎหมายจากกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์มาหาแนวทางปฏิรูปประเทศเมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่บ้านพระอาทิตย์ ซึ่งเบื้องต้น ทั้งสองกลุ่มเห็นพ้องกันในเรื่องการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ รวมทั้งเห็นว่าการปฏิรูปประเทศต้องเริ่มจากการปฏิรูปโครงสร้างสังคม โดยเฉพาะการให้ความรู้กับประชาชน ดังนั้นพันธมิตรฯ จึงประเดิมเดินสายให้ความรู้ประชาชนที่ จ.ขอนแก่นในวันที่ 22 เม.ย.
       
       5. รบ.หน้าแตก รณรงค์สงกรานต์ตายเป็นศูนย์ เหลว ยอดผู้เสียชีวิตแซงหน้าปีที่แล้ว ด้านกรมอุตุฯ เตือน ปลาย เม.ย.ร้อนตับแลบ 41 องศา!

       เมื่อวันที่ 18 เม.ย. นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ในฐานะประธานกรรมการและผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน(ศปถ.) ได้แถลงสรุปการรณรงค์ “สงกรานต์ปลอดภัย ตายเป็นศูนย์” ระหว่างวันที่ 11-17 เม.ย.ว่า เกิดอุบัติเหตุรวม 3,129 ครั้ง มีผู้เสียชีวิต 320 ราย มากกว่าปี 2554 จำนวน 49 ราย มีผู้บาดเจ็บ 3,320 คน น้อยกว่าปี 2554 จำนวน 156 คน
       
       สำหรับจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด คือ เชียงราย 125 ครั้ง จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตมากสุด คือ สุราษฎร์ธานี 13 ราย จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บมากสุด คือ เชียงราย 124 คน ส่วนจังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิตมี 6 จังหวัด ประกอบด้วย นครพนม ,ตราด ,ตรัง ,ปัตตานี ,ระนอง และสตูล อำเภอที่ไม่มีผู้เสียชีวิต 671 อำเภอ อำเภอที่ไม่เกิดอุบัติเหตุ 256 อำเภอ
       
       ทั้งนี้ นายยงยุทธ บอกว่า “กระทรวงมหาดไทยจะมอบเกียรติบัตรยกย่องจังหวัดและอำเภอที่มีผลการปฏิบัติงานยอดเยี่ยม ส่งผลให้ไม่มีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่”
       
       ส่วนสภาพอากาศที่ร้อนจัดในช่วงนี้ นายสมชาย ใบม่วง รองอธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา เผยว่า เป็นผลมาจากการที่ประเทศไทยขยับเข้าใกล้พระอาทิตย์มากที่สุด อย่างไรก็ตาม นายสมชาย บอกว่า วันที่ 22-24 เม.ย. อากาศจะเย็นลง กับมีฝนคะนองและลูกเห็บตกในบางจุด เพราะมีคลื่นความกดอากาศสูงจากจีนแผ่มาปกคลุม “คาดการณ์ว่ามีความเป็นไปได้ที่อากาศจะกลับมาร้อนจัดอีกครั้งในช่วงปลายเดือน เม.ย. โดยคาดว่าอุณหภูมิจะปรับขึ้นไปถึง 41 องศาเซลเซียส หลังจากนั้นอุณหภูมิจะลดระดับลงอีกครั้งเมื่อผ่านพ้นเดือน เม.ย.ไปแล้ว”
       
       ส่วนกรณีที่มีข่าวว่า มีผู้เสียชีวิตจากสภาพอากาศที่ร้อนจัดหลายรายแล้วนั้น นพ.ภาสกร อัครเสวี ผู้อำนวยการสำนักระบาดวิทยา ได้ออกมายืนยันว่า อากาศร้อนในเมืองไทยไม่ได้อันตรายถึงขั้นเสียชีวิต ยกเว้นกรณีมีโรคประจำตัว เช่น โรคหัวใจและหลอดเลือด ,โรคถุงลมโป่งพอง หรือประกอบอาชีพใช้แรงงานที่ต้องทำงานกลางแดดเป็นเวลานาน อาจส่งผลให้เกิดอาการช็อกได้ วิธีป้องกันที่ดีที่สุดคือ ปรับตัวตามสภาพอากาศ โดยดื่มน้ำมากๆ พยายามอยู่ในที่ร่ม และงดออกกำลังกายกลางแดด

ASTVผู้จัดการออนไลน์    22 เมษายน 2555