ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 21-27 ก.ย.2557  (อ่าน 891 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9760
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 21-27 ก.ย.2557
« เมื่อ: 05 ตุลาคม 2014, 23:22:47 »
1. “ฟ้าหญิงจุฬาภรณฯ” พระอาการดีขึ้น หลังตัดติ่งเนื้องอกในกระเพาะอาหาร!
       
       เมื่อวันที่ 25 ก.ย. สำนักพระราชวัง ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 3 เรื่อง สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้า
       จุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ ความว่า ตามที่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ประชวรพระอามาสัย(กระเพาะอาหาร) อักเสบ และเสด็จไปประทับ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เมื่อวันที่ 4 ก.ย. 2557 และมีพระอาการดีขึ้น สามารถออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อวันที่ 13 ก.ย.2557 หลังจากนั้น พระองค์ได้เสด็จไปเยือนสาธารณรัฐตุรกี เพื่อทรงบรรยายทางวิชาการตามคำกราบทูลเชิญของมหาวิทยาลัยมาร์มารา ระหว่างที่ประทับอยู่ที่สาธารณรัฐตุรกี มีพระอาการกำเริบ และได้เสด็จกลับประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 ก.ย.2557 คณะแพทย์จึงกราบทูลเชิญให้เสด็จมาประทับ ณ โรงพยาบาลวิชัยยุทธ เพื่อถวายการรักษาอีกครั้งหนึ่ง จากนั้น คณะแพทย์ได้ถวายพระโอสถร่วมกับสารอาหารทางหลอดพระโลหิต และถวายการตรวจพระอามาสัยด้วยการส่องกล้อง พบติ่งเนื้องอกหลายติ่ง จึงได้ตัดชิ้นเนื้อเพื่อตรวจวินิจฉัย
       
        ล่าสุด เมื่อวันที่ 27 ก.ย.สำนักพระราชวังได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 4 ความว่า คณะแพทย์ผู้ถวายการรักษารายงานว่า ผลการตรวจพบว่าเป็นติ่งเนื้อจากการอักเสบของเซลล์ผิวพระอามาสัย และมีแบคทีเรียในผิวของเยื่อบุพระอามาสัย คณะแพทย์จึงได้ปรับพระโอสถเพื่อรักษาอาการอักเสบ ขณะนี้พระอาการดีขึ้น แต่ยังจำเป็นต้องประทับ ณ โรงพยาบาลต่อไป
       
       2. “บิ๊กตู่” นั่งหัวโต๊ะ คสช.เคาะ 250 สปช.แล้ว ให้เลขาฯ ครม.ตรวจคุณสมบัติก่อนทูลเกล้าฯ ยังปิดลับรายชื่อ!

        เมื่อวันที่ 26 ก.ย. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้เป็นประธานการประชุม คสช.ชุดใหญ่ เพื่อคัดเลือกสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) จำนวน 250 คน ที่อาคารรับรองเกษะโกมล หลังประชุม พล.อ.ประยุทธ์ แถลงว่า ที่ประชุมได้เห็นชอบรายชื่อ สปช.จำนวน 250 คน หลังจากที่ตนพิจารณามาแล้วในเบื้องต้น และว่า หลังจากนี้จะส่งรายชื่อทั้งหมดให้นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการ ครม. เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติและนำขึ้นทูลเกล้าฯ ให้ทันวันที่ 2 ต.ค. พล.อ.ประยุทธ์ บอกด้วยว่า ขอปิดรายชื่อทั้ง 250 คนเป็นความลับ เพราะต้องนำขึ้นทูลเกล้าฯ ก่อน พร้อมยืนยันด้วยว่า การคัดสรร สปช. ไม่ได้มีการล็อกใครเข้ามา ส่วนประเด็นเรื่องฮั้วในส่วนภูมิภาคส่วนท้องถิ่น ยังไม่ทราบ
       
        ผู้สื่อข่าวถามว่า 250 คนที่ได้รับเลือก ส่วนใหญ่เป็นคนที่เคยช่วยงาน คสช.มาก่อนหรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ บอกว่า ไม่ทราบ เพราะไม่ได้รู้จักหมดทุกคน บางคนก็เป็นทหารเก่า ข้าราชการเก่า ผู้แทนกลุ่มต่างๆ นักวิชาการมากมาย ไม่รู้จักหมด รู้จักแค่ 10% แต่ไม่ได้รู้จักส่วนตัว เพราะไม่ได้ห้ามใคร ถ้าเขาไม่ผ่าน 550 หรือ 385 คน จะมาว่า คสช.ไม่ได้ เพราะไม่ได้ผ่านคณะกรรมการคัดสรรหรือคณะกรรมการระดับจังหวัดขึ้นมา
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า การสรรหา สปช.ในระดับจังหวัดๆ ละ 5 คน จำนวน 385 คน ที่ กกต.ส่งให้ คสช.เลือกเหลือจังหวัดละ 1 คนนั้น มีรายงานว่า มีการล็อกสเปก มีการฮั้วกันในหลายจังหวัด เนื่องจากกรรมการสรรหามีความสัมพันธ์หรือมีส่วนได้ส่วนเสียกับผู้สมัคร ส่งผลให้หลายฝ่ายเรียกร้องให้ คสช.เปิดเผยรายชื่อผู้ได้รับการสรรหาเป็น สปช.ในระดับจังหวัดเพื่อความโปร่งใส
       
        อย่างไรก็ตาม ทุกครั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ ถูกถามเรื่องล็อกสเปกสรรหา สปช. ก็จะยืนยันว่าไม่มีการล็อก “รายชื่อ สปช.ไม่มีการล็อก ผมจะล็อกอย่างไร ยังนึกไม่ออก แล้วจะล็อกเพื่ออะไร เพื่ออำนาจ ก็อำนาจผมมีอยู่แล้ว ต้องหาอำนาจเพิ่มอีกหรือ ผมต้องการปฏิรูป ฉะนั้นคนที่จะคัดเข้ามา 173 คน ก็มาจาก 550 คน ที่เขาเลือกมาจาก 7,000 กว่าคน โดยคณะกรรมการ 70 กว่าคน และผมได้ให้เขาจัดลำดับเรียงอาวุโส ความรู้ความสามารถ แล้วมาเลือกโดยพูดคุยกันใน คสช.ตามรัฐธรรมนูญ...”
       
       ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เผยด้วยว่า จะพยายามหาวิธีให้คนที่หลุดจาก 250 คน ที่ไม่ได้รับเลือกเป็น สปช. ได้มีส่วนร่วมในการปฏิรูปด้วย “กังวลว่าที่หลุดจาก 250 คน จะทำอย่างไร เรากำลังหาช่องทางให้คนเหล่านั้นมาร่วมกระบวนการปฏิรูปได้อย่างไร จึงมอบให้สำนักงานเตรียมการปฏิรูปของ คสช.ที่กระทรวงกลาโหมดำเนินต่อไป เพราะมีสำนักงานที่ปรึกษาของสภาปฏิรูปอยู่ ก็ไปจัดกลุ่มว่าที่เหลือจะเข้ามาช่วยงานได้อย่างไร”
       
       3. ช่อง 3 ผวาจอดำ ขอศาล ปค.คุ้มครองชั่วคราว ด้านศาล ยืดให้ถึง 11 ต.ค.ให้เวลาเคลียร์ กสท.!

        ความคืบหน้ากรณีบริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด หรือช่อง 3 ระบบอนาล็อก พยายามต่อรองคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์(กสท.) เพื่อไม่ให้ช่อง 3 อนาล็อกจอดำในเคเบิลและทีวีดาวเทียม หลังที่ประชุม กสท.มีมติ 3 ต่อ 2 เมื่อวันที่ 8 ก.ย. ให้เคเบิลและทีวีดาวเทียมระงับการออกอากาศช่อง 3 อนาล็อกภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับหนังสือคำสั่ง เนื่องจากช่อง 3 อนาล็อกสิ้นสุดสถานะการเป็นฟรีทีวีแล้ว อย่างไรก็ตาม กรรมการ กสท.บางคนแนะว่า หากช่อง 3 อยากออกอากาศในระบบเคเบิลและทีวีดาวเทียมต่อไป ต้องออกอากาศคู่ขนานกับทีวีระบบดิจิตอล เหมือนที่ช่องอื่นๆ ทำ หรือไม่ก็สมัครเป็นทีวีระบบบอกรับสมาชิก(เพย์ทีวี) แต่ผู้บริหารช่อง 3 ปฏิเสธ โดยอ้างว่า ช่อง 3 ไม่สามารถออกอากาศคู่ขนานได้ เพราะช่องดิจิตอลที่ช่อง 3 ประมูลมาได้ 3 ช่อง เป็นการประมูลโดยบริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย ไม่ใช่บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เมื่อคนละนิติบุคคล จึงไม่สามารถออกคู่ขนานได้ อย่างไรก็ตามช่อง 3 พยายามต่อรองว่า หาก กสท.ยอมให้ช่อง 3 ออกคู่ขนานได้ กสท.ต้องเยียวยาค่าเสียหายทั้งหมดให้ช่อง 3 ด้วย ซึ่ง กสท.บางคนเห็นว่าข้อเรียกร้องของช่อง 3 มากเกินไป
       
       ขณะที่การเจรจากับ กสท.ยังไม่ได้ข้อยุติ ผู้บริหารช่อง 3 ก็ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ(กสทช.) ขอให้ทบทวนมติของ กสท.ที่ให้ช่อง 3 สิ้นสุดการเป็นฟรีทีวี รวมทั้งมติที่ให้เคเบิลและทีวีดาวเทียมนำสัญญาณช่อง 3 ออกจากโครงข่ายภายใน 15 วัน ซึ่งคณะกรรมการ กสทช.ได้ประชุมเมื่อวันที่ 17 ก.ย. และมีมติให้ช่อง 3 ทำหนังสือยืนยันว่า ผู้ที่ลงนามในหนังสือคำร้องของช่อง 3 นั้น เป็นผู้ที่มีอำนาจหรือไม่ ก่อนส่งเรื่องให้ที่ปรึกษากฎหมายพิจารณา โดยระหว่างพิจารณา ให้มติของ กสท.ที่ให้เคเบิลและทีวีดาวเทียมระงับการออกอากาศช่อง 3 อนาล็อกภายใน 15 วันยังมีผลบังคับใช้อยู่ ซึ่งนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ กสทช. เผยว่า กสทช.จะเริ่มดำเนินการเอาผิดผู้ให้บริการโครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมที่ฝ่าฝืนไม่ระงับการออกอากาศช่อง 3 อนาล็อกตั้งแต่วันที่ 28 ก.ย.นี้ ขณะที่ช่อง 3 ไม่พอใจ ขู่ฟ้องศาลปกครอง หากช่อง 3 อนาล็อกจอดำจากเคเบิลและทีวีดาวเทียมในวันที่ 28 ก.ย.
       
       ขณะที่ กสท.พยายามหาวิธีจูงใจให้ช่อง 3 อนาล็อกยอมออกอากาศคู่ขนานกับทีวีระบบดิจิตอล โดยออกมาตรการเยียวยาค่าใช้จ่ายในการออกอากาศคู่ขนาน พร้อมเยียวยาผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลทุกราย เพื่อความเป็นธรรม โดยที่ประชุมบอร์ด กสท.เมื่อวันที่ 22 ก.ย.ได้มีมติเห็นชอบแนวทางลดหย่อนค่าธรรมเนียมให้ผู้ประกอบการรายเดิมในระบบอนาล็อกที่ยอมออกอากาศคู่ขนานจำนวน 4% โดยแบ่งเป็นใบอนุญาตประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ 2% จากรายได้รวมต่อปี และค่าธรรมเนียมรายปีเข้ากองทุนวิจัยและพัฒนากิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และพัฒนากิจการกระจายเสียง เพื่อประโยชน์สาธารณะ(กองทุน กทปส.) 2% จากรายได้รวมต่อปี เป็นเวลา 5 ปี ส่วนผู้ประกอบการช่องทีวีดิจิตอลรายใหม่จะได้รับการลดหย่อนค่าธรรมเนียมในส่วนที่ผู้ประกอบการต้องจ่ายเข้ากองทุน กทปส. 2% จากรายได้รวมต่อปี
       
        ทั้งนี้ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท. บอกว่า การลดหย่อนค่าธรรมเนียมดังกล่าว จะใช้สำหรับผู้ประกอบการที่ยอมออกอากาศคู่ขนานก่อนวันที่ 10 ต.ค.นี้เท่านั้น ซึ่งตรงกับวันที่มีการแจกคูปองเงินสนับสนุนค่าอุปกรณ์รับชมทีวีดิจิตอลวันแรก ส่วนการเลื่อนเวลานำส่งเงินประมูลคลื่นความถี่ของผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลทุกราย ในงวดที่ 2 ออกไป 1 ปีนั้น ที่ประชุม กสท.มีมติให้สำนักงาน กสทช.หารือกับกระทรวงการคลังต่อไป
       
        อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(23 ก.ย.) ผู้บริหารช่อง 3 นำโดย นายประสาร และนายประวิทย์ มาลีนนท์ กรรมการผู้จัดการ และกรรมการบริหารบริษัท ได้เข้าหารือกับบอร์ด กสท. ก่อนนัดหารือกันอีกรอบในวันที่ 26 ก.ย. โดยหลังประชุม นายฉัตรชัย เทียมทอง ผู้อำนวยการฝ่ายการเงิน บริษัท บีอีซี เวิลด์ ในฐานะตัวแทนช่อง 3 บอกว่า การหารือยังไม่คืบหน้า เมื่อไม่มีความชัดเจนเรื่องข้อกฎหมายในการออกอากาศคู่ขนานว่า ช่อง 3 สามารถทำได้โดยไม่ผิดกฎหมายหรือไม่ จึงยังไม่ถึงเวลาคุยเรื่องการเยียวยาค่าเสียหาย
       
        นายฉัตรชัย บอกด้วยว่า ช่อง 3 ได้ยื่นข้อเสนอให้ กสท.มีมาตรการคุ้มครองชั่วคราวเพื่อให้ช่อง 3 อนาล็อก สามารถออกอากาศบนเคเบิลและทีวีดาวเทียมต่อไปอีกอย่างน้อย 30 วัน และว่า หากช่อง 3 ต้องจอดำบนเคเบิลและทีวีดาวเทียม จะยื่นฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนมติ กสท.
       
        ด้าน พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท.ยืนยันว่า กระบวนการแก้ปัญหา ต้องทำตามกฎกติกา และประชาชนไม่ควรได้รับผลกระทบ และว่า องค์กรกำกับดูแลต้องมีเทคนิควิธีการที่ทุกคนยอมรับได้ ส่วนตัวไม่ขอพูดทางออกที่อยู่ในใจ เพราะเกรงว่าบางคนจะมองว่าไม่ใช่ แต่ยืนยันว่าจะไม่เกิดจอดำแน่นอน
       
        ขณะที่ น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กสท.แนะว่า หากช่อง 3 ต้องการความชัดเจนเรื่องการออกอากาศคู่ขนานที่เป็นคนละนิติบุคคล ทาง กสท.พร้อมตรวจสอบให้ แต่ช่อง 3 ต้องยื่นเรื่องสอบถามมายัง กสท.อย่างเป็นทางการก่อน
       
        ด้านช่อง 3 ได้จัดรายการพิเศษเมื่อวันที่ 24 ก.ย.หัวข้อ “ช่อง 3 จะจอดำบนดาวเทียม-เคเบิล?” โดยมีผู้บริหารช่อง 3 ประกอบด้วย นายประวิทย์ มาลีนนท์ และนายฉัตรชัย เทียมทอง มาชี้แจงโดยยืนยันว่า ช่อง 3 ยินดีออกอากาศคู่ขนาน แต่ กสท.ต้องให้คำตอบก่อนว่า การออกอากาศคู่ขนานโดยผู้ประกอบการคนละนิติบุคคลจะผิดกฎหมายหรือไม่ พร้อมอ้างว่า สาเหตุที่บริษัท บางกอก เอนเตอร์เทนเมนต์ หรือช่อง 3 อนาล็อก ไม่ได้ยื่นประมูลทีวีดิจิตอล เนื่องจา ติดเงื่อนไขบางอย่างในสัญญาสัมปทานที่ทำไว้กับ อสมท.
       
        วันต่อมา(25 ก.ย.) ช่อง 3 ได้ส่งตัวแทนมายื่นหนังสือต่อ กสท.เพื่อขอความชัดเจนเรื่องข้อกฎหมายการออกอากาศคู่ขนานของช่อง 3 ขณะเดียวกันก็ขอให้ กสท.ทบทวนมติที่ให้โครงข่ายเคเบิลและทีวีดาวเทียมยุติการออกอากาศช่อง 3 อนาล็อกหลังวันที่ 30 ก.ย.ด้วย
       
       ขณะที่ พ.อ.นที ศุกลรัตน์ ประธาน กสท.บอกว่า จะเสนอที่ประชุมบอร์ด กสท.วาระพิเศษในวันที่ 26 ก.ย.ให้ออกบทเฉพาะกาลในประกาศ กสทช.เพื่ออนุญาตให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิตอลสามารถแบ่งเวลาให้ผู้อื่นดำเนินการได้มากขึ้น จากปัจจุบันให้ผู้อื่นดำเนินการได้ 10-40% ของช่วงเวลาทั้งหมด เปลี่ยนเป็นให้ผู้อื่นดำเนินการได้ทั้ง 100% ของช่วงเวลาทั้งหมด เพื่อเปิดโอกาสให้บริษัท บางกอก เอ็นเตอร์เทนเมนต์ เช่าเวลาออกอากาศกับบริษัท บีอีซี มัลติมีเดีย ได้ 100% โดยไม่ขัดต่อ พ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 ที่ระบุว่า ผู้ได้รับใบอนุญาตทีวีดิจิตอล ต้องดำเนินการด้วยตนเอง
       
       อย่างไรก็ตาม ยังไม่ทันที่บอร์ด กสท.จะได้ประชุมเรื่องดังกล่าว ปรากฏว่า ผู้บริหารช่อง 3 ได้ยื่นฟ้องสำนักงาน กสทช. คณะกรรมการ กสทช. และคณะกรรมการ กสท.ต่อศาลปกครองเมื่อวันที่ 26 ก.ย. โดยขอให้ศาลเพิกถอนมติของ กสท.ที่ให้เคเบิลและทีวีดาวเทียมยุติการออกอากาศช่อง 3 อนาล็อก พร้อมขอให้ศาลสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้ช่อง 3 จอดำในระบบเคเบิลและทีวีดาวเทียมในวันที่ 30 ก.ย.
       
       ซึ่งศาลได้รับไว้พิจารณา และไต่สวนฉุกเฉินในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ก่อนสรุปว่า คู่กรณีแถลงต่อศาลว่า จะไปตกลงทำความเข้าใจกัน เพื่อหาข้อยุติข้อพิพาทในคดีนี้ จึงมีความเห็นร่วมกันขอให้ศาลมีคำสั่งให้ทุเลาการบังคับมติ กสท. ไปจนถึงวันที่ 11 ต.ค.เวลา 16.30น. นั่นหมายถึงช่อง 3 จะไม่จอดำในระบบเคเบิลและทีวีดาวเทียมจนถึงวันที่ 11 ต.ค. โดยศาลขอให้คู่กรณีแจ้งความคืบหน้าผลการหารือให้ศาลทราบภายในเวลาที่กำหนด
       
       4. คดี 2 นรต.โดดร่มเสียชีวิตคืบแล้ว แจ้งข้อหา 11 จนท. มีทั้ง พล.อ.อ. -พ.ต.อ. พบใช้สะลิงไม่ได้มาตรฐาน ราคาถูกกว่าของแท้ 10 เท่า!

        เมื่อวันที่ 24 ก.ย. พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา(สบ 10) ได้ประชุมคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนคดีนักเรียนนายร้อยตำรวจ(นรต.)กระโดดร่มแต่ร่มไม่กาง ทำให้ตกกระแทกพื้นเสียชีวิต 2 รายที่ค่ายนเรศวร จ.เพชรบุรี เมื่อวันที่ 31 มี.ค. คือ นรต.ชยากร พุทธชัยยงค์ อายุ 19 ปี และ นรต.ณัฐวุฒิ ติรสุวรรณสุข อายุ 21 ปี
       
        หลังประชุม พล.ต.อ.จรัมพร เผยว่า จากการตรวจสอบพบว่า สายสะลิงที่นำมาใช้ในการกระโดดร่มไม่ได้มาตรฐาน ไม่ใช่ของแท้ที่ผลิตในต่างประเทศ โดยช่างซ่อมอากาศยานของบริษัท อุตสาหกรรมการบิน ที่มีหน้าที่ซ่อมแซมเครื่องบินของสำนักงานตำรวจแห่งชาติลำที่เกิดเหตุ มีการจัดซื้อสะลิงจากบริษัทในประเทศไทย แล้วนำมาดัดแปลง โดยราคาที่จัดซื้อมาคือ 9,373 บาท ขณะที่ของแท้จากต่างประเทศที่มีการจัดซื้อราคา 99,000 บาท ซึ่งของแท้กับของในไทยขนาดต่างกัน จึงไปจ้างช่างอีกบริษัทหนึ่งทำการดัดแปลง ก่อนนำไปติดตั้งบนเครื่องบิน โดยระหว่างดัดแปลงและติดตั้ง มีเจ้าหน้าที่ตำรวจจากกองบังคับการกองบินตำรวจรู้เห็น สนับสนุนช่วยประกอบอุปกรณ์ด้วย
       
        จึงได้แจ้งข้อหาผู้เกี่ยวข้องแล้ว 11 ราย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม คือ 1.ผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของบริษัท อุตสาหกรรมการบิน 7 คน มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดซื้อสะลิง มีการอนุมัติจ่ายเงินในการจัดซื้อสะลิงที่นำมาเปลี่ยน 2.เจ้าหน้าที่ของบริษัท การบินไทย จำกัด(มหาชน) 1 คน เป็นผู้จัดซ่อมอากาศยานตำรวจ รู้เห็นการนำสะลิงดัดแปลงที่เกิดเหตุมาติดตั้งบนเครื่องบิน 3.เจ้าหน้าที่กองบังคับการกองบินตำรวจ 3 นาย เป็นผู้ติดตามการซ่อม รู้เห็นการเปลี่ยนสะลิงที่ใช้ในวันเกิดเหตุ โดยแจ้งข้อหากระทำการโดยประมาท เป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งทั้งหมดได้เข้ารับทราบข้อกล่าวหาพร้อมปฏิเสธข้อกล่าวหาทั้งหมด และไม่ได้มีการควบคุมตัวผู้ต้องหาแต่อย่างใด โดยทั้งหมดสาบานตนว่าจะมาพบพนักงานสอบสวนตามกำหนดนัดหมายของพนักงานสอบสวน
       
        รายงานแจ้งว่า ผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 11 ราย ประกอบด้วย 1.พล.อ.อ.วีรนันท์ หาญสวธา 2.ร.อ.กนพ อยู่สุข 3.นายสมชาย อำพา 4.นายกีรติ สุริโย 5.นายรัชเดช เถาว์เพ็ง 6.นายสมเจต สวัสดิรักษา 7.นายวัชรพงษ์ วงศ์สุบรรณ 8.นายสุพร ธนบดี 9.พ.ต.อ.อโนทัย ศาสตร์สง่า นักบิน(สบ 5) น 10.พ.ต.อ.ประพงษ์ ภู่ฮง และ 11.ร.ต.ต.พิพัฒน์ เยาวเรศ
       
        ด้านนายสาธร พุทธชัยยงค์ ครูชำนาญการ โรงเรียนวัดดีบอน จ.ราชบุรี บิดาของ นรต.ชยากร พุทธชัยยงค์ เผยความรู้สึกหลังตำรวจแจ้งข้อกล่าวหาผู้เกี่ยวข้องว่า พอใจความคืบหน้าของคดีที่มีผู้ต้องหาชัดเจนแล้ว แต่ไม่พอใจเวลาในการทำงาน เพราะ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เคยให้คำมั่นว่าจบได้ใน 45 วัน แต่นี่เวลาล่วงเลยมาเกือบ 6 เดือน และว่า ขณะนี้ยังมีความกังวล เพราะได้คุยกับบิดาของ นรต.ณัฐวุฒิ ติระสุวรรณสุข แล้วเห็นว่า ยังมีผู้ถูกกล่าวหาบางท่านมีชั้นยศสูงถึงขั้น พล.อ.อ. และ พ.ต.อ. 2 ท่าน และชั้นยศนายตำรวจอีกหลายนาย จึงห่วงว่า ผู้ถูกกล่าวหามีตำแหน่งใหญ่โต ครอบครัวเราจะได้รับความเป็นธรรมหรือไม่ โดยได้รับโทรศัพท์จากร้อยเวร สภ.ชะอำ จ.เพชรบุรีว่า คดีจะส่งฟ้องได้ภายในสัปดาห์นี้
       
       5. ตร.เผย คดีเกาะเต่าคืบ 85% แล้ว ด้าน “ผู้ใหญ่วอ-น้องชาย” ยันบริสุทธิ์ สะพัด “ฌอน” เพื่อนผู้ตาย เข้าข่ายน่าสงสัยด้วย!

        ความคืบหน้าคดีฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษที่หาดทรายรี ต.เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อวันที่ 15 ก.ย. คือ น.ส.ฮันนาห์ วิทเธอร์ริดจ์ และนายเดวิด วิลเลียม มิลเลอร์ หลังตำรวจตรวจดีเอ็นเอแรงงานต่างด้าวไป 30 ราย รวมทั้งตรวจดีเอ็นเอนายคริสโตเฟอร์ อลัน แวร์ ชาวอังกฤษเพื่อนของนายเดวิด ก็พบว่าไม่ตรงกับอสุจิที่ร่างของ น.ส.ฮันนาห์ ผู้เสียชีวิต ขณะที่ตำรวจยังไม่พบตัวผู้ต้องสงสัยในภาพวงจรปิดแต่อย่างใด แต่ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เผยหลังลงพื้นที่เกาะเต่าเมื่อวันที่ 20 ก.ย.ว่า หลังเจ้าหน้าที่ส่งดีเอ็นเอที่พบในร่างผู้เสียชีวิตไปให้ผู้เชี่ยวชาญที่ประเทศสิงคโปร์ช่วยพิสูจน์ ทราบแล้วว่าเป็นดีเอ็นเอของคนเอเชียนั้น
       
        ปรากฏว่า วันต่อมา(21 ก.ย.) พล.ต.ต.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ ผู้บังคับการตำรวจภูธร จ.สุราษฎร์ธานี เผยว่า พบชายในภาพวงจรปิดแล้ว โดยเกี่ยวพันเป็นหัวหน้าของผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจประกบตัวอยู่ อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(22 ก.ย.) พล.ต.อ.สมยศ กล่าวว่า ผู้ต้องสงสัย 2 คน ซึ่งเป็นคนไทย 1 คน และพม่า 1 คน ยังไม่มีการควบคุมตัว เพียงแต่เชิญมาสอบถามและเก็บดีเอ็นเอ
       
        ทั้งนี้ วันเดียวกัน(22 ก.ย.) นายฌอน แม็คแอนนา นักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเป็นเพื่อนนายเดวิด ผู้เสียชีวิต และทำงานในสถานบันเทิงบนเกาะเต่า แต่ได้เดินทางกลับประเทศไปแล้วหลังเกิดเหตุนายเดวิดและ น.ส.ฮันนาห์ถูกทำร้ายเสียชีวิต ได้โพสต์รูปและข้อความในเฟซบุ๊กโดยอ้างว่า ตนเห็นเหตุการณ์ขณะ น.ส.ฮันนาห์ถูกชายไทยพยายามลวนลามในสถานบันเทิงแห่งหนึ่ง และนายเดวิดเข้าไปช่วยเหลือนำออกมาจากที่เกิดเหตุ นอกจากนี้นายฌอนยังโพสต์รูปบุคคลผู้ต้องสงสัยในเหตุการณ์ 2 คน โดยด้านล่างมีภาพกล่องบุหรี่ยี่ห้อแอลเอ็มวางอยู่ด้วย ซึ่งเป็นยี่ห้อเดียวกับที่ตกอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุทำร้าย น.ส.ฮันนาห์และนายเดวิด ซึ่งนายฌอนอ้างด้วยว่า ตนถูกข่มขู่จากคนบางกลุ่ม จึงขอความช่วยเหลือไปยังญาติที่อังกฤษ ก่อนที่จะได้มาอยู่ในความคุ้มครองของตำรวจ ซึ่งภายหลังสื่ออังกฤษรายงานว่า นายฌอนได้เดินทางกลับประเทศแล้ว หลังถูกผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่นขู่ฆ่า อย่างไรก็ตาม ภายหลังมีรายงานว่า ข้อความเหตุการณ์ที่นายฌอนโพสต์ไว้บนเฟซบุ๊กถูกลบแล้ว รวมทั้งข้อมูลส่วนตัวทั้งหมดด้วย
       
        ด้านสื่อต่างประเทศรายงานว่า นายเดวิดและ น.ส.ฮันนาห์ถูกฆาตกรรมหลังมีเรื่องทะเลาะกับนักเลงในพื้นที่ นอกจากนี้ยังรายงานว่า ตำรวจไทยล้มเหลวในการหาตัวคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม วันต่อมา(23 ก.ย.) พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เผยว่า คดีคืบหน้าไปมาก ทราบตัวผู้ต้องสงสัยที่ร่วมกันก่อเหตุทั้งหมดแล้ว เหลือเพียงนำพยานหลักฐานที่มีมาเชื่อมโยงเข้าด้วยกัน และว่า ล่าสุดได้ควบคุมตัวชายต้องสงสัยที่ปรากฎอยู่ในกล้องวงจรปิดได้แล้ว เป็นน้องชายของผู้กว้างขวางคนหนึ่งใน ต.เกาะเต่า อยู่ระหว่างสอบสวน นอกจากนั้นยังพบว่า 1 ในผู้ก่อเหตุได้หลบหนีออกนอกพื้นที่ไปกบดานอยู่ที่กรุงเทพฯ จึงได้ประสานตำรวจนครบาลให้ติดตามตัวมาสอบสวน คาดว่าจะได้ตัวภายในวันดังกล่าว
       
        ต่อมา พ.ต.อ.ประชุม เรืองทอง ผู้กำกับการ สภ.เกาะพงัน ได้นำตัวนายมนตรีวัฒน์ ตู้วิเชียร อายุ 45 ปี ผู้ดูแลเอซีบาร์ ซึ่งเป็นชายที่อยู่ในภาพวงจรปิดวันเกิดเหตุและเป็นน้องชายนายวรพันธ์ ตู้วิเชียร อายุ 49 ปี หรือผู้ใหญ่วอ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 1 ต.เกาะเต่า มาสอบปากคำ ซึ่งเจ้าตัวยืนยันไม่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และว่า คืนนั้นตนได้เข้าไปพูดคุยกับนายฌอน แม็คแอนนา ผู้โพสต์ข้อมูลทางเฟซบุ๊กจริง เนื่องจากเห็นนายฌอนมีท่าทีแปลกๆ จึงเข้าไปถามว่ามีอะไรหรือเปล่า
       
       ทั้งนี้ หลังสอบปากคำ ตำรวจได้ปล่อยตัวนายมนตรีวัฒน์ไป จากนั้นไม่นาน นายวรพันธ์ พีชายนายมนตรีวัฒน์ได้เดินทางมาให้ตำรวจเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอไว้ตรวจสอบ ขณะที่ พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เผยว่า ทั้งสองยอมให้ตำรวจเก็บตัวอย่างเส้นผมและเนื้อเยื่อในกระพุ้งแก้มไปหาดีเอ็นเอ และว่า นายมนตรีวัฒน์ เป็นเจ้าของอินทัชบังกะโลและผู้ดูแลเอซีบาร์
       
        วันต่อมา(24 ก.ย.) นายวรพันธ์ หรือผู้ใหญ่วอ ได้เปิดแถลงข่าวยืนยันความบริสุทธิ์ พร้อมประกาศจะมอบเงิน 1 ล้านบาทให้ตำรวจภูธรภาค 8 หากพบว่าญาติหรือพี่น้องของตนเป็นคนก่อเหตุทำร้าย 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ และว่า ครอบครัวตนบอบช้ำมาก โดยเฉพาะลูกชายที่เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยในกรุงเทพฯ นายวรพันธ์ บอกด้วยว่า ขณะนี้ได้ให้ทนายตรวจสอบข่าวในแต่ละสื่อเพื่อฟ้องร้องกรณีที่พาดพิงเครือญาติแล้ว
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ออกมายืนยันในวันเดียวกันว่า นายมนตรีวัฒและนายวรพันธ์ ยังไม่ตกเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ พร้อมปฏิเสธกรณีมีข่าวว่า มี 1 ในผู้ต้องสงสัยหลบหนีเข้ามาใน กทม.ขณะที่ พล.ต.ท.ปัญญา ยืนยันว่า คดีนี้คืบหน้าไปกว่า 80% มั่นใจว่าจะหาตัวผู้ลงมือก่อเหตุได้ โดยเชื่อว่าคนร้ายที่ลงมือก่อเหตุมีอย่างน้อย 3 คน
       
        ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศ ได้ให้ตำรวจจากส่วนกลางลงไปช่วยคลี่คลายคดีที่เกาะเต่าจำนวนมาก โดยเฉพาะ พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้า คสช.ก็ได้โทรศัพท์ถามความคืบหน้าจากเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องทุกวัน พร้อมสั่งให้มีการรื้อคดีกลุ่มผู้มีอิทธิพลหรือมาเฟียเกาะเต่าด้วย รวมทั้งให้ พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 ดูแลพื้นที่ หากมีทหารหรือตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องกับขบวนการมาเฟียต้องถูกลงโทษ นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่พอใจกรณีที่สื่อต่างชาติโจมตีการทำงานของตำรวจไทยในคดีนี้ โดยฝากสื่อไทยว่า ไม่ควรช่วยสื่อต่างชาติโจมตีตำรวจไทย เพราะรู้อยู่ว่าคดีนี้ไม่ง่าย พร้อมยืนยันว่า คดีนี้จะไม่มีการจับแพะ
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า ล่าสุด ตำรวจได้พุ่งเป้านำตัวแรงงานต่างด้าวและคนไทยที่อยู่ในข่ายสูง 170 เซนติเมตร และสวมรองเท้าเบอร์ 40-42 มาทำประวัติและเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ พร้อมสืบสวนหาข่าวผู้ต้องสงสัยที่น่าจะเป็นคนร้ายในคดีนี้ หลังผลการตรวจดีเอ็นเอร่วม 200 คน ไม่ตรงกับหลักฐานที่เก็บได้
       
        ด้าน พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 เผยเมื่อวันที่ 26 ก.ย.ว่า การสืบสวนคืบหน้าไปแล้ว 85% โดยเชื่อว่าเวลาที่เกิดเหตุคือ 02.00-04.00น. จึงมุ่งตรวจสอบบุคคลที่เข้ามาในเวลาดังกล่าว ทั้งนี้ มีรายงานว่า ตำรวจชุดสืบสวนภูธรภาค 8 ได้เข้าตรวจสอบร้านพูลบาร์ หาดทรายรี เกาะเต่า และสอบปากคำพนักงานของร้านเพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับนายฌอน แม็คแอนนา นักท่องเที่ยวชาวสกอตแลนด์ เพื่อนนายเดวิด เนื่องจากพบความไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับการให้ปากคำของนายฌอน
       
        โดยนายศรชัย ศรีเทพ พนักงานร้านพูลบาร์ เล่าว่า คืนวันที่ 15 ก.ย.เวลา 02.00น.เศษ นายฌอนเข้ามาที่ร้านพูลบาร์ในสภาพที่มีเลือดเปรอะเปื้อนตามร่างกาย และพบบาดแผลที่แขนข้างขวา จึงเข้าไปช่วยเช็ดเลือด ซึ่งนายฌอนบอกว่าไปมีเรื่องชกต่อยมา จากนั้นนายฌอนได้สั่งเครื่องดื่ม ก่อนจะนำกีตาร์และกระเป๋าเป้มาที่ร้าน ซึ่งมีคราบเลือดเปรอะเปื้อนเช่นกัน “จนกระทั่งเวลา 04.00น.นายฌอนจึงเดินออกจากร้านไป... นายฌอนบอกว่าเดินทางออกจากเกาะเต่าในวันที่ 14 ก.ย. แต่ความจริงออกจากเกาะเต่าในวันที่ 22 ก.ย. และจากการตรวจสอบร้านอาหาร บาร์เบียร์ต่างๆ บนเกาะเต่า ไม่พบข้อมูลว่านายฌอนไปมีเรื่องชกต่อยกับใคร จึงอยากให้ตำรวจตรวจสอบข้อมูลนายฌอนให้ละเอียด เพราะเคลือบแคลงกับพฤติกรรมอย่างมาก”
       
        ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า ตำรวจได้สอบปากคำ 2 สามีภรรยาชาวพม่า ที่เป็นพนักงานของรีสอร์ต และบาร์เบียร์บนเกาะเต่า ซึ่งพักอยู่ใกล้จุดเกิดเหตุ ได้ข้อมูลว่า คืนเกิดเหตุได้ยินเสียงกลุ่มชายนั่งเล่นกีตาร์อยู่ริมหาด ร้องเพลงสากลและพูดคุยภาษาไทยด้วย ซึ่งตำรวจอยู่ระหว่างติดตามตัวมาให้ปากคำ


ASTVผู้จัดการออนไลน์    28 กันยายน 2557