ผู้เขียน หัวข้อ: สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 12-18 ม.ค.2557  (อ่าน 815 ครั้ง)

story

  • Staff
  • Hero Member
  • ****
  • กระทู้: 9799
    • ดูรายละเอียด
สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 12-18 ม.ค.2557
« เมื่อ: 20 มกราคม 2014, 00:15:25 »
1. มือมืดลอบกัด ขว้างระเบิดจากตึกร้างใส่ขบวน กปปส. เจ็บ 38 ดับแล้ว 1 “สุเทพ” แฉ ฝีมือ ตร.!

       ความคืบหน้าการชุมนุมของคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.) ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นเลขาธิการ ซึ่งประกาศปิดกรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. เป็นต้นไป ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เตรียมบัญชาการศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) ด้วยตัวเองที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการททหารบก ยอมรับว่าเป็นห่วงการชุมนุม พร้อมประกาศว่า ใครก็ตามที่ทำให้เกิดความรุนแรง คนนั้นต้องรับผิดชอบ ถ้าประชาชนตีกัน มีการบาดเจ็บล้มตาย หรือจลาจล รัฐบาลต้องรับผิดชอบ
       
        ปรากฏว่า เมื่อถึงกำหนด(13 ม.ค.) กลุ่ม กปปส.ได้แยกจุดชุมนุมพร้อมเปิดเวทีปราศรัย 7 จุด ได้แก่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ,แยกปทุมวัน ,แยกราชประสงค์ ,แยกอโศก ,สวนลุมพินี ,ห้าแยกลาดพร้าว และศูนย์ราชการฯ แจ้งวัฒนะ โดยมีประชาชนออกมาร่วมชุมนุมปิดกรุงเทพฯ อย่างล้นหลาม ไม่เท่านั้น ผู้ชุมนุมแต่ละจุดยังมีการแบ่งมวลชนเพื่อเคลื่อนไปปิดสถานที่ราชการต่างๆ เพื่อไม่ให้รัฐบาลทำงานได้ จนกว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะลาออกจากรักษาการนายกฯ ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เปลี่ยนใจไม่เข้าไปบัญชาการ ศอ.รส.ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติตามที่ประกาศไว้ เนื่องจากมีผู้ชุมนุมเคลื่อนไปชุมนุมที่หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยย้ายไปประชุมติดตามสถานการณ์ที่อื่นแทน เช่น ที่สำนักงานปลัดกระทรวลกลาโหม เป็นต้น
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า แม้กลุ่ม กปสส.จะชุมนุมและเคลื่อนขบวนอย่างสงบ แต่กลับถูกมือมืดคุกคามไม่เว้นแต่ละวัน โดยผู้ที่ถูกข่มขู่คุกคามลามไปถึงหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้ว่าฯ กทม.ด้วย เริ่มจากคืนวันที่ 12 ม.ค.คนร้ายได้ลอบยิงที่ทำการพรรคประชาธิปัตย์ ต่อมากลางดึกคืนวันที่ 13 ล่วงเข้าวันที่ 14 ม.ค. คนร้ายปาระเบิดแสวงเครื่องใส่บ้านพัก น.ส.รังสิมา รอดรัศมี อดีต ส.ส.สมุทรสงคราม พรรคประชาธิปัตย์ ที่ จ.สมุทรสงคราม นอกจากนี้คืนเดียวกัน คนร้ายยังได้ขว้างประทัดยักษ์และยิงปืนเข้าใส่หน้ามัสยิดที่ จ.ราชบุรี ซึ่งเป็นที่ทำการของ กปปส.บ้านโป่ง
       
        คืนวันต่อมา(15 ม.ค.) คนร้ายได้ขว้างระเบิดเอ็ม 26 เข้าใส่บ้านพักนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แรงระเบิดทำให้หลังคาเป็นรูขนาดใหญ่ ซึ่งขณะเกิดเหตุนายอภิสิทธิ์ไม่ได้อยู่บ้าน มีเพียงบิดาอยู่ แต่ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด คืนเดียวกัน คนร้ายได้ลอบยิงการ์ดและผู้ชุมนุมบริเวณสะพานหัวช้าง ใกล้เวทีชุมนุมปทุมวัน ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 2 ราย ไม่เท่านั้น คืนเดียวกัน คนร้ายยังได้ลอบเผารถบัสของผู้ชุมนุมกลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย(คปท.) ที่บริเวณประตูสนามม้านางเลิ้งด้วย
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า คืนเดียวกัน(15 ม.ค.) ตำรวจ สน.บางนาซึ่งตั้งด่านสกัดสามารถจับกุมผู้ต้องสงสัยปาระเบิดบ้านนายอภิสิทธิ์ได้ 4 ราย เป็นหญิง 1 ชาย 3 พร้อมระเบิดลูกเกลี้ยง 4 ลูก และปืนขนาด 9 มม.พร้อมกระสุน 1 กระบอก ทราบชื่อคือ น.ส.ชนาภา เคนมาตย์ ,นายอนุสรณ์ พินิจคุณ ,นายสุนา ถิ่นแก้ว และนายคำไพร แซงแสวง ด้าน ศอ.รส.รีบเปิดแถลงข่าวอ้างว่า ผู้ต้องหาทั้ง 4 ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่บ้านนายอภิสิทธิ์ เพราะระเบิดเป็นคนละชนิดกัน อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่า ผู้ต้องหาดังกล่าวเป็นคนเสื้อแดง โดยบางคนมีประวัติร่วมกับคนเสื้อแดงบุกสถานที่จัดประชุมรัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนที่พัทยาเมื่อปี 2552 ด้วย
       
       ต่อมาคืนวันที่ 16 ม.ค. คนร้ายได้ใช้ปืนกราดยิงแนวด่านทางเข้าพื้นที่ชุมนุมของกลุ่ม คปท. โชคดีไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ คืนเดียวกัน คนร้ายได้ปาระเบิดใส่บ้านพักนายอิสสระ สมชัย แกนนำ กปปส.ที่ย่านหลักสี่ นอกจากนี้คืนเดียวกัน ยังเกิดเหตุคนร้ายปาระเบิดลูกเกลี้ยงเอ็ม 26 เข้าใส่วังสวนผักกาด ซึ่งเป็นบ้านพักของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.ด้วย โดยกล้องวงจรปิดสามารถจับภาพคนร้าย 2 คนขี่รถจักรยานยนต์มาจอด ก่อนที่คนซ้อนจะลงมาขว้างระเบิดใส่วังสวนผักกาด ทั้งนี้ ตำรวจยอมรับว่า ระเบิดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุเป็นชนิดเดียวกับที่คนร้ายปาใส่บ้านนายอภิสิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีคนร้ายใช้อาวุธปืนกราดยิงประตูวัดอ้อน้อย(ธรรมอิสระ) จ.นครปฐม ที่หลวงปู่พุทธะอิสระพำนักอยู่ด้วย หลังหลวงปู่ออกมาเคลื่อนไหวกับ กปปส.
       
       เป็นที่น่าสังเกตว่า นอกจากตำรวจจะจับคนร้ายที่ป่วนผู้ชุมนุม กปปส.-คปท.และแกนนำพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้แล้ว คนร้ายยังได้ลอบกัดผู้ชุมนุมอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด เมื่อวันที่ 17 ม.ค. ระหว่างที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.นำผู้ชุมนุมเดินรณรงค์เพื่อชวนให้คนกรุงเทพฯ ออกมาร่วมชุมนุมบริเวณ ถ.บรรทัดทอง ปรากฏว่า คนร้ายได้ขว้างระเบิดลงมาจากตึกร้างบริเวณดังกล่าวเข้าใส่ขบวนของผู้ชุมนุม ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 38 ราย โดยผู้ที่อาการสาหัสได้เสียชีวิตลงแล้ว 1 ราย คือ นายประคอง ชูจันทร์ อายุ 46 ปี เป็นชาว จ.นครศรีธรรมราช หลังโดนสะเก็ดระเบิดเข้าที่บริเวณหน้าอก
       
       ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ มีผู้ชุมนุมเห็นคนที่ขว้างระเบิดลงมาจากตึกร้างดังกล่าว จึงได้พยายามเข้าไปค้นหาพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุวัตถุระเบิดหรืออีโอดี และทหารหน่วยเสนารักษ์ นำโดย พ.อ.นพสิทธิ์ สิทธิพงศ์โสภณ รองผู้บังคับการกองพันทหารม้าที่ 1 รักษาพระองค์ ซึ่งจากการตรวจสอบภายในตึกร้างดังกล่าว ไม่พบคนร้าย แต่พบอาวุธจำนวนมาก ได้แก่ อาวุธปืนเอ็ม 16 ที่ถอดประกอบจำนวนหนึ่ง มีดดาบยาว 3 เล่ม วิทยุสื่อสาร 5 เครื่อง พานท้ายปืน 3 ชิ้น ฝาประกบ 4 ชิ้น กระบอกขาตั้งปืนเอ็ม 16 จำนวน 2 ชิ้น หมวกชุดปฏิบัติการจู่โจมสีแดง 1 ใบ และยังมีแถบป้ายที่เขียนว่า “Police” ด้วย นอกจากนี้ตำรวจยังได้รับแจ้งพบปุ๋ยยูเรียทิ้งไว้ในตึกร้างที่ติดกับตึกที่พบอาวุธประมาณ 1 กิโลกรัม
       
       ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ศอ.รส.ได้เปิดแถลงในเวลาต่อมาโดยอ้างว่า อาวุธปืนที่พบทั้งหมดในตึกร้างเป็นเพียงสิ่งเทียมอาวุธปืน หรือบีบีกันเท่านั้น ซึ่งขัดแย้งกับที่ชุดอีโอดีและทหารยืนยันก่อนหน้านี้ว่า มีปืนเอ็ม 16 อยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า ศอ.รส.ไม่พูดถึงหมวกชุดปฏิบัติการจู่โจมสีแดงดังกล่าวแต่อย่างใด ขณะที่ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ รีบยืนยันว่า เหตุระเบิดที่ ถ.บรรทัดทองไม่ใช่ฝีมือตำรวจ
       
        ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส.ได้ปราศรัยทั้งน้ำตาเมื่อคืนวันที่ 17 ม.ค.ที่ผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บจากเหตุระเบิดที่ ถ.บรรทัดทอง พร้อมแฉ เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นฝีมือตำรวจ โดยหมวกแดงที่เขียนว่าชุดปฏิบัติการจู่โจม เป็นหมวกของตำรวจสังกัด 13 อำเภอใน จ.นราธิวาส ที่มีการมอบหมวกนี้ให้ในการฝึกอบรมปฏิบัติการพิเศษจู่โจมเพื่อความพร้อมในการแก้ปัญหาความไม่สงบในภาคใต้ นายสุเทพยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เหตุใดใกล้ตึกร้างดังกล่าว จึงมีรถตำรวจจอดไว้ให้ติดต่อนายตำรวจรองสารวัตร กลุ่มงานวิจัย พร้อมบอกเบอร์โทรศัพท์ไว้ด้วย
       
        นายสุเทพ ยังแฉต่อว่า เมื่อ 2 วันก่อนมีตำรวจมาบอกข้อมูลว่า ไอ้แจ๊ดได้มอบภารกิจให้เสี่ยเหลียง นครปฐม และจิตร์ เมืองนนท์ และเสี่ยอ้วน ปทุมธานี ไปจัดหามือปืนและออกเงินไปก่อน แล้วจะเปิดตู้ม้าให้หากิน ให้ 3 คนนี้ไปจัดการแกนนำ กปปส.และประชาชนให้แตกฮือกลับบ้านให้หมดโดยการก่อการร้าย นายสุเทพ ยังพูดเหมือนสั่งเสียด้วยว่า ตนรับรองไม่ได้ว่าจะหลบหนีได้ตลอด แต่ถ้าจัดการตนได้ ขออย่างเดียว อย่ายอมแพ้ สู้ให้ชนะ สืบสานปณิธานล้มระบอบทักษิณให้ได้
       
        เป็นที่น่าสังเกตว่า หลังมีผู้ปาระเบิดใส่ผู้ชุมนุม กปปส.จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ยังไม่มีท่าทีใดๆ จาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ที่เคยพูดเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า ถ้ามีการบาดเจ็บล้มตาย รัฐบาลต้องรับผิดชอบ
       
       2. ป.ป.ช. ฟัน “บุญทรง-ภูมิ” พร้อมพวก 15 คนทุจริตจำนำข้าว ขายจีทูจีเก๊ พร้อมเดินหน้าไต่สวน “ยิ่งลักษณ์” ส่อผิด ม.157!

       เมื่อวันที่ 16 ม.ค. คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ได้ประชุมลงมติคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว หลังประชุม นายวิชา มหาคุณ กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานคณะกรรมการไต่สวนคดีนี้ แถลงว่า หลังจากคณะกรรมการ ป.ป.ช.ได้ตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีมีการกล่าวหานายบุญทรง เตริยาภิรมย์ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กับพวกเกี่ยวกับการทุจริตโครงการรับจำนำข้าว และการระบายข้าว ซึ่งคณะอนุกรรมการพิจารณาพยานหลักฐานแล้วรับฟังได้ว่า การเข้าทำสัญญาซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี กับสาธารณรัฐประชาชนจีนนั้น ยังไม่มีข้อเท็จจริงใดๆ สนับสนุนว่าหน่วยงานรัฐวิสาหกิจทั้ง 2 แห่งที่เข้ามาทำสัญญาซื้อขายแบบจีทูจีได้รับมอบหมายจากสาธารณรัฐประชาชนจีน และไม่มีการส่งออกข้าวนอกราชอาณาจักรจริง “คณะกรรมการ ป.ป.ช.ทั้งหมด 9 คน จึงมีมติเป็นเอกฉันท์แจ้งข้อกล่าวหากับนายบุญทรง และนายภูมิ สาระผล เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้ดำเนินการเจรจาทั้ง 2 ฝ่าย รวมถึงผู้รับมอบอำนาจของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เข้ามาเจรจาด้วยรวม 15 ราย”
       
        สำหรับผู้ถูกกล่าวหาทั้ง 15 ราย ได้แก่ นายมนัส สร้อยพลอย เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ,นายทิฆัมพร นาทวรทัต เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักบริหารการค้าข้าว ,นายอัครพงษ์ ทีปวัชระ เมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเลขานุการกรมการค้าต่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ,บริษัทจีเอสเอสจี ,บริษัทไห่หนาน และตัวแทนของหน่วยงานทั้งสอง ทั้งชาวจีนและชาวไทย คือ นายรัฐนิธ โสจิระกุล ,นายสมคิด เอื้อนสุภา และนายลิตร พอใจ ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทสยามอินดิก้า จำกัด
       
        สำหรับการไต่สวนความเกี่ยวข้องกับบริษัทสยามอินดิก้าฯ นั้น ที่ประชุมอนุกรรมการมีมติให้ไปไต่สวนเพิ่มเติม เพราะต้องสอบไปยังบริษัทรับซื้อรายย่อยอีก 17 ราย เพราะมีการอ้างว่าเป็นการค้าแบบจีทูจี แต่ความจริงเป็นการค้าในประเทศ โดยอ้างการจ่ายเช็คเงินสดให้กับกรมการค้าต่างประเทศทุกราย ไม่ใช่การจ่ายแบบจีทูจี ดังนั้นจึงไม่สามารถอ้างการยกเว้นภาษีอากรได้ จึงมีมติให้ส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการตามอำนาจหน้าที่อย่างเด็ดขาด ได้แก่ กรมสรรพากร กระทรวงการคลัง เพื่อเรียกเก็บภาษี เนื่องจากทำให้รัฐสูญเสียรายได้จากภาษีอากรจำนวนมหาศาล หากไม่ดำเนินการ ป.ป.ช.จะมีมาตรการขั้นเด็ดขาดต่อไป
       
        นอกจากนี้ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ยังมีมติเอกฉันท์ตามที่คณะอนุกรรมการเสนอให้ไต่สวนข้อเท็จจริง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เนื่องจากพิจารณาแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงมีเหตุอันควรสงสัยว่า การดำเนินโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาล ซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ(กขช.) ได้ทราบถึงการท้วงติงและความเสียหายจากการดำเนินโครงการดังกล่าวแล้ว แต่กลับละเลยไม่ดำเนินการระงับหรือยับยั้ง อันอาจเป็นมูลความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 หรือกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง
       
        ส่วนจะนัดนายบุญทรงและพวกมารับทราบข้อกล่าวหาเมื่อใดนั้น นายวิชา บอกว่า ยังไม่ได้กำหนดวันที่ชัดเจน แต่จะทำโดยเร่งด่วน โดยขั้นตอนหลังจากแจ้งข้อกล่าวหาแล้ว จะให้ผู้ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหามารับทราบข้อกล่าวหาและชี้แจงแก้ข้อกล่าวหาภายใน 15 วัน
       
        ด้าน นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ผู้เรียกร้องให้ ป.ป.ช.ไต่สวนกรณีจำนำข้าว บอกว่า โดยภาพรวมรู้สึกพอใจมติของ ป.ป.ช.เพราะเป็นการตอกย้ำว่าโครงการนี้มีการทุจริตจริง และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้รัฐบาลไม่มีเงินจ่ายชาวนาในโครงการรับจำนำข้าว แต่กรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์นั้น แปลกใจว่า ตนยื่นคำร้องให้ ป.ป.ช.สอบทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์และนายบุญทรงในคดีเดียวกัน แต่เหตุใด ป.ป.ช.จึงแยกออกจากกัน ไม่แจ้งข้อกล่าวหาในคราวเดียวกัน
       
       3. “ยิ่งลักษณ์” ไม่กลัวนรก เดินหน้าเลือกตั้ง-ไม่ลาออก ด้าน “อภิสิทธิ์” ชี้ เกิดอะไรขึ้นต้องรับผิดชอบ!

       ความคืบหน้าเกี่ยวกับการเลือกตั้ง หลังสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) ออกโรงทำหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ทบทวนการจัดเลือกตั้งในวันที่ 2 ก.พ. เนื่องจากเห็นว่ามีความเสี่ยงสูงที่การใช้งบประมาณแผ่นดินเพื่อจัดการเลือกตั้ง 3,885 ล้านบาท จะสูญเปล่า และอาจต้องจัดให้มีการเลือกตั้งหลายครั้ง เนื่องจากหลายเขตหลายจังหวัดยังไม่มีผู้สมัครรับเลือกตั้ง ขณะที่ กกต.ทั้ง 5 ได้มีมติทำหนังสือเสนอนายกฯ ขอให้มีการออก พ.ร.ฎ.กำหนดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ ซึ่งนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านกิจการบริหารงานเลือกตั้ง เห็นว่า วันเลือกตั้งที่เหมาะสม คือวันที่ 4 พ.ค.โดยเป็นไปตามกรอบ 180 วันที่รัฐธรรมนูญกำหนดนั้น
       
        ปรากฏว่า แทนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์จะทำตามที่ กกต.เสนอ กลับใช้วิธีเชิญหลายๆ ฝ่ายมาหารือโดยอ้างว่าเพื่อหาทางออกเกี่ยวกับข้อเสนอของ กกต. ซึ่งหลายฝ่ายมองว่า รัฐบาลมีธงที่จะไม่เลื่อนการเลือกตั้งอยู่แล้ว และพยายามดึงหลายภาคส่วนมาร่วมสนับสนุน โดยรัฐบาลได้เชิญหน่วยงานและกลุ่มบุคคลประมาณ 70 รายชื่อมาประชุม รวมทั้งเชิญตัวแทนพรรคประชาธิปัตย์ กปปส.และ กกต.ด้วย
       
        ด้านนายสมชัย ศรีสุทธิยากร กกต.ด้านบริหารงานเลือกตั้ง บอกว่า คิดว่ารัฐบาลยังทำไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อรัฐบาลได้รับหนังสือข้อเสนอแนะจาก กกต.แล้ว นายกฯ และประธาน กกต.ในฐานะผู้รักษาการ พ.ร.ฎ.ยุบสภา ให้มีการเลือกตั้งใหม่ ควรจะนัดหารือกันอย่างเร่งด่วน เพื่อรับทราบปัญหาและหาทางออกร่วมกัน เพราะถ้าทั้งสองฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้ การหารือกับทุกฝ่ายก็คงไม่มีประโยชน์
       
        ขณะที่รัฐบาลยังยืนยันจะเชิญทุกฝ่ายมาหารือในวันที่ 15 ม.ค. นายสมชัย จึงได้ทำหนังสือถึงนายกฯ เพื่อขอให้มาหารือกับ กกต.ทั้ง 5 คนในวันที่ 16 ม.ค.เพื่อพูดคุยแนวทางแก้ปัญหาการจัดการเลือกตั้งว่าจะทำอย่างไร
       
        ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินหน้าประชุมหารือกับพรรคการเมืองและตัวแทนฝ่ายต่างๆ ที่ได้เชิญไว้ แต่ไม่มีตัวแทนจากพรรคประชาธิปัตย์และ กปปส.มาร่วมประชุมแต่อย่างใด ขณะที่ กกต.ทั้ง 5 คนก็ไม่มา แต่ส่งนายภุชงค์ นุตราวงศ์ เลขาธิการ กกต.มาร่วมฟังเท่านั้น เมื่อการประชุมแล้วเสร็จ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รักษาการรองนายกฯ แถลงยืนยันว่า เสียงส่วนใหญ่ในที่ประชุมเห็นว่า กกต.ต้องจัดการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.เพราะไม่มีกฎหมายใดบัญญัติให้รัฐบาลหรือ กกต.เลื่อนการเลือกตั้งหรือกำหนดการเลือกตั้งใหม่ ส่วนบางเขตที่มีปัญหาไม่มีผู้สมัครหรือมีผู้สมัครแค่คนเดียว กกต.ก็ต้องจัดการเลือกตั้งในเขตเหล่านั้นให้ได้จนได้ ส.ส.ครบ
       
        ขณะที่นายสมชัย ยังไม่ละความพยายาม โดยออกจดหมายเชิญนายกฯ มาหารือกับ กกต.ในวันที่ 17 ม.ค. “ถึงอย่างไร กกต.และนายกฯ ก็ต้องมาคุยกัน เพราะมีประเด็นข้อกฎหมายหลายเรื่อง ถ้าไม่ว่างก็จะนัดในวันถัดๆ ไปจนกว่านายกฯ จะมา” พร้อมย้ำ ทั้งหมดนี้เป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องมาพูดคุยกัน เพื่อดูว่ามีข้อกฎหมายที่ยังเห็นต่างและต้องส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดหรือไม่
       
        นายสมชัย ยังกล่าวระหว่างร่วมเวทีอภิปรายเรื่อง “การเลือกตั้ง 2 ก.พ.กับการปฏิรูปเมืองไทย” ที่มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชเมื่อวันที่ 16 ม.ค.ด้วยว่า การจัดเลือกตั้งครั้งนี้ยากสุดนับตั้งแต่มีการเลือกตั้งมา ถ้าจัดการเลือกตั้งในสภาวการณ์ปกติไม่ใช่เรื่องยาก แต่ครั้งนี้ กกต.เห็นถึงนรก เห็นถึงสภาพการณ์ที่อยู่ข้างหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น “นอกจาก 28 เขตเลือกตั้งแล้ว ยังมี 22 เขตที่มีผู้สมัครเพียงรายเดียว ที่ต้องได้คะแนนเสียงเกิน 20% และต้องได้คะแนนมากกว่าโนโหวต ดังนั้นสภายังจะเปิดไม่ได้จนกว่าจะได้ ส.ส.เกิน 95% ถ้าเดินหน้าต่อไป กว่าจะเปิดสภาตั้งรัฐบาลได้ เชื่อว่าเดือน พ.ค. รัฐบาลยังต้องรักษาการต่อไป บรรยากาศจากนี้ยังเป็นความขัดแย้ง และมีโอกาสพัฒนากลายเป็นความรุนแรงได้ตลอดเวลา ดังนั้นคิดใหม่ กำหนดวันเลือกตั้งในเดือน พ.ค.ทุกพรรคมีสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง และต้องลงสัตยาบันร่วมกัน”
       
        ด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่สนข้อเสนอของ กกต.โดยให้สัมภาษณ์สื่อต่างประเทศ 15 สำนักเมื่อวันที่ 17 ม.ค.ว่า ถ้าสามารถจัดการเลือกตั้งวันที่ 2 ก.พ.ได้ ความขัดแย้งทางการเมืองจะจบลงเร็วขึ้น พร้อมย้ำ กกต.มีหน้าที่จัดการเลือกตั้ง ถ้าวันที่ 2 ก.พ.ได้ ส.ส.ไม่ครบตามกฎหมาย ก็ให้เลือกตั้งใหม่ภายใน 30 วัน จนกว่าจะครบจำนวนเพื่อเปิดประชุมสภา ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมนายกฯ ไม่ลาออกเพื่อให้ปัญหาจบ น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างว่า ต้องทำหน้าที่รักษาการนายกฯ จนกว่าจะได้คนใหม่เข้ามา อยู่ดีๆ จะลาออกไม่ได้ และว่า การเลือกตั้งคือวิธีที่ดีที่สุดในระบอบประชาธิปไตย ยังต้องรักษาการในตำแหน่งนายกฯ ถ้าไม่ชอบคณะรัฐมนตรี ไม่ชอบนายกฯ ก็ต้องออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เชื่อว่าการเลือกตั้งจะทำให้สถานการณ์ต่างๆ จบลงได้
       
        ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่า หากรัฐบาลตัดสินใจเดินหน้าเลือกตั้ง ก็ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่เกิดขึ้น “ผมยืนยันว่า กกต.รายงานแล้วว่าการเลือกตั้งไม่สามารถจัดให้สุจริตและเที่ยงธรรมตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญได้ ถ้านายกฯ ยืนยันจะจัด นายกฯ เข้าข่ายจงใจฝ่าฝืนข้อกฎหมาย และต้องรับผิดชอบทั้งทางกฎหมายและการเมือง จะโทษ กกต.ไม่ได้ ...ผมไม่เห็นว่านายกฯ และพี่ชายจะทำอะไรที่รักษาประชาธิปไตยในประเทศ ถ้าคนรักษาประชาธิปไตยจริง คงไม่ทำประเทศมาถึงจุดนี้”
       
       4. “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” ครองแชมป์ผู้นำเลวที่สุดในโลก ด้าน “ธีรยุทธ” ชำแหละ “ทักษิณ” พร้อมขายชาติถ้าได้ประโยชน์มากพอ!

       เมื่อวันที่ 16 ม.ค.เว็บไซต์จัดอันดับสากลโลก thetoptens.com ได้จัดอันดับผู้นำยอดแย่หรือผู้นำที่เลวที่สุดในโลก โดยคะแนนมาจากการโหวตของผู้ท่องโลกไซเบอร์ต่างๆ พบว่า จากเดิมที่มีการโหวตให้ "อดอล์ฟ ฮิตเลอร์" อดีตผู้นำพรรคนาซี และผู้นำประเทศเยอรมนี ให้เป็นบุคคลเลวที่สุดในโลก ปรากฏว่า ล่าสุด ถูกทำลายสถิติเรียบร้อยแล้ว โดยผู้ที่ขึ้นมาอยู่อันดับ 1 ผู้นำเลวที่สุดในโลก ก็คือ "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร" นักโทษคดีอาญา หนีคำพิพากษาศาล จำคุก 2 ปีคดีทุจริต ซึ่งหนีออกจากบ้านเกิดไปพำนักในต่างประเทศ ขณะที่ผู้นำเลวสุดอันดับ 2 ก็คือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รักษาการนายกรัฐมนตรี น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ผู้สร้างความวุ่นวายในไทย ส่วน “ฮิตเลอร์” นั้น ร่วงลงมาอยู่อันดับ 3 ตามด้วย "ฮุน เซน" นายกรัฐมนตรีกัมพูชา อันดับ 4 และ "คิม จองอิล" อดีตผู้นำเกาหลีเหนือ อันดับที่ 5
       
        ด้านนายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้แถลงเมื่อวันที่ 15 ม.ค. ในหัวข้อ “สุดท้ายของระบอบทักษิณ สร้างรากฐานใหม่ให้ประเทศไทย” โดยชี้ว่า ต้นเหตุที่ทำให้เกิดกระแสปฏิรูปประเทศและการปฏิวัติประชาชน เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่นักประชาธิปไตย แต่เป็นพวกอนาธิปไตย ปฏิเสธอำนาจรัฐที่เป็นอุปสรรคต่อการหาผลประโยชน์ แต่ใช้อำนาจรัฐเป็นเครื่องมือในการคอร์รัปชั่น จนเกิดโรคระบาดคอร์รัปชั่นขึ้นในทุกวงการ และว่า ผลงานของทักษิณ ได้แก่ รื้อเส้นแบ่งอธิปไตยของชาติ ทำลายผลประโยชน์ชาติเพื่อประโยชน์ของตนเอง เช่น แก้กฎหมายเกี่ยวกับดาวเทียมเพื่อให้ตัวเองขายบริษัทได้ ,ให้เงินกู้พม่าเพื่อประโยชน์ตัวเอง ,ขายข้าวโครงการรับจำนำข้าวอย่างมีเงื่อนงำ ฯลฯ ดังนั้นจึงไม่มีหลักประกันว่าจะไม่มีการขายชาติให้กับประเทศอื่นๆ ที่ให้ผลประโยชน์ตัวเองมากพอ
       
        นอกจากนี้ทักษิณยังใช้เงินและตำแหน่งซื้อความจงรักภักดีของข้าราชการและองค์กรอิสระ รัฐวิสาหกิจ รวมทั้งจูงใจด้วยงบประมาณหรือทรัพยากรอื่นๆ ,ทำลายห่วงโซ่ระบบยุติธรรมของตำรวจ อัยการ องค์กรอิสระบางส่วนลงได้อย่างเด็ดขาด ระบบตรวจสอบคอร์รัปชั่นจึงพังทลาย ,ทำลายวินัยการเงินการคลัง เช่น การออก พ.ร.บ.กู้เงิน 2 ล้านล้านบาท ,ทำลายเส้นแบ่งระหว่างบุคคล(ทักษิณ) กับพรรค ระหว่างฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติ กลายเป็นเผด็จการบุคคลโดยผ่านการเลือกตั้ง และการเลือกตั้งคือกระบวนการเปลี่ยนบุคคลในครอบครัวทักษิณขึ้นมาครองอำนาจ
       
        ส่วนวิกฤตขณะนี้จะจบลงอย่างไร นายธีรยุทธ วิเคราะห์ว่า 1.ถ้าคนไทยส่วนใหญ่ไม่แคร์เรื่องการคอร์รัปชั่น การเปลี่ยนกลับไปกลับมาของเพื่อไทย รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะรักษาการไปจนถึงการเลือกตั้งใหม่ และได้กลับมาเป็นอำนาจอธิปัตย์อีกครั้ง ซึ่งจะนำไปสู่ระบอบทักษิณโดยสมบูรณ์ และจะไม่มีการปฏิรูปใดๆ เกิดขึ้น 2.เปลี่ยนแปลงโดยการปฏิวัติ ซึ่งแบ่งเป็น 3 แบบ

(1) ปฏิวัติโดยประชาชนขนานใหญ่ มีการใช้กองกำลังติดอาวุธเพื่อเปลี่ยนอำนาจ มีการเสียเลือดเนื้อสูง ซึ่งเมืองไทยไม่มีโอกาสเกิดขึ้น

(2) ปฏิวัติแบบใหม่ คือ “สันติภิวัฒน์” โดยคนส่วนใหญ่ของสังคมจากวิชาชีพต่างๆ ซึ่งเป็นไปได้ถ้ามีนโยบายดีดี จนเป็นฉันทามติหรือประชามติกดดันให้เกิดการแก้กฎหมาย เปลี่ยนโครงสร้าง ทำลายห่วงโซ่ที่เป็นปมปัญหา

(3) ทหารรัฐประหาร สถาปนาตัวเองหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ซึ่งปกติเป็นชนชั้นนำขึ้นเป็นอำนาจอธิปัตย์แล้วร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งจะไม่แก้ปัญหา เพราะไม่เคยเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใดๆ ได้เลย
       
        ทั้งนี้ นายธีรยุทธ มองว่า โอกาสที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะชนะมีน้อยมาก เนื่องจากระบอบทักษิณเริ่มเสื่อมลง เพราะการกลับกลอกผิดคำพูดครั้งแล้วครั้งเล่า แม้แต่กับผู้สนับสนุน ขณะที่ประชานิยมของทักษิณก็เป็นเพียง “ประชาซาเล้ง” ที่ผลประโยชน์ตกอยู่กับแกนนำและลิ่วล้อ ส่วนชาวบ้านรากหญ้าได้เพียงเศษเหล็กเศษพลาสติกที่เหลือใส่ซาเล้งถีบไปขาย ขณะที่ในส่วนของมวลมหาประชาชน ก็อาจไม่ได้รับชัยชนะแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เพราะการปฏิรูปโครงสร้างที่เลวร้ายและวางรากฐานใหม่ให้ประเทศเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลา
       
        อย่างไรก็ตาม นายธีรยุทธ ชี้ว่า มวลมหาประชาชนประสบความสำเร็จเกินคาดจาก 3 ปัจจัย คือ พลังทางความคิดที่กินใจคนไทย ที่จะขุดรากเหง้าการคอร์รัปชั่น การใช้อำนาจบาตรใหญ่ของพรรคเพื่อไทย 2.มวลชนออกมาสนับสนุนจำนวนมากที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ 3.แนวทางสันติวิธี แต่ปัญหาคือ จะรักษาการชุมนุมขนาดใหญ่ที่ใช้พลังกาย พลังใจ พลังวัตถุมหาศาลนี้ได้อย่างไร เพราะการชุมนุมที่ยืดเยื้อมากขึ้นก็มีโอกาสจะเกิดความรุนแรงมากขึ้น
       
        ทั้งนี้ นายธีรยุทธ ได้แนะให้มวลมหาประชาชนใช้ความมุ่งมั่นแบบเหนือมนุษย์ยืนหยัดต่อสู้อย่างสันติต่อไป โดยขยายผู้สนับสนุนไปยังชาวรากหญ้าต่างจังหวัดมากขึ้น และตนขอเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้อย่างสันติครั้งนี้ “ยุทธศาสตร์ของการต่อสู้อาจเรียกเป็น “ทฤษฎีมะม่วงหล่น” คือใช้ความอดทนยาวนาน รอให้ผลไม้หล่นลงมาเอง ซึ่งดูเป็นการเรียกร้องเกินขีดความสามารถของมนุษย์ แต่ถ้าเกิดขึ้นได้ แม้แต่โลกทั้งโลกก็คงจะประหลาดใจและนับถือความมหัศจรรย์ของมวลมหาประชาชนไทย ผมขอสนับสนุนและขอเป็นส่วนหนึ่งของการ “สันติภิวัฒน์” ของมวลมหาประชาชน”

ASTVผู้จัดการออนไลน์    19 มกราคม 2557