จากความเดิมในตอนที่แล้วที่หลายคนสงสัยว่าเหตุใดผมจึงได้นำเสนอผลงานของ นพ.ดร.วิศาล เยาวพงศ์ศิริ ที่ได้เสนอการลดน้ำหนักตัวและโรคเบาหวานว่าให้งดแป้งและน้ำตาล แต่ผลงานในการนำเสนอการลดความอ้วนและรักษาโรคเบาหวานนั้น นพ.ดร.วิศาล เยาวพงศ์ศิริ ไม่น่าจะสัมพันธ์กับการนำเสนอของ ดร.ณรงค์ โฉมเฉลา นักเกษตรอาวุโสขององค์การอาหารและเกษตรแห่งองค์การสหประชาชาติที่สนับสนุนการบริโภคน้ำมันมะพร้าว แต่ความจริงแล้วข้อมูลที่ผมได้นำเสนอในตอนที่แล้วนั้นเป็นการบูรณาการที่เห็นพ้องต้องกันของนักวิชาการหลายท่าน ในการสัมมนาทางวิชาการเรื่อง การใช้น้ำมันมะพร้าวแก้โรคสมองเสื่อม ณ ห้องประชุม 314 ชั้น 3 ตึกกสิกรรม กรมวิชาการเกษตรเมื่อวันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556 ซึ่งได้พ่วงเรื่องความอ้วนและโรคเบาหวานเข้ามาด้วย
เพราะคนจำนวนหนึ่งที่เป็นโรคสมองเสื่อมนั้นหลายคนมาพร้อมกับโรคเบาหวาน และหลายคนที่เป็นโรคเบาหวานก็มาพร้อมกับโรคอ้วน !!
ความจริงแล้วความอ้วน เบาหวาน สมองเสื่อมนั้น เราคงไม่ได้แก้ไขได้ด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งโดยเฉพาะ แต่การบูรณาการหลายๆอย่างเข้าด้วยกันน่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องมากกว่าโดยเฉพาะการบริโภคและพฤติกรรมของเราเอง เช่น การออกกำลังกายอย่างเพียงพอ การไม่นอนดึกและเครียดเกินไป การงดแป้งและน้ำตาล การรับประทานผักให้มากขึ้น และการดื่มน้ำมันมะพร้าว ฯลฯ การเปลี่ยนพฤติกรรมหลายๆอย่างเหล่านี้จะช่วยให้เราได้ใช้ประโยชน์เสริมประสานซึ่งกันและกันเพื่อทำให้เรามีสุขภาพโดยรวมดีขึ้นได้
ความเชื่อแต่เดิมมีความคิดว่าถ้าเราบริโภคน้ำมันทุกประเภทจะต้องทำให้เราอ้วนขึ้น มีน้ำหนักเพิ่ม แต่ความจริงอาจไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป
เพราะถ้าเราบริโภคไขมันต่ำเกินไป อาจทำให้เรามีปริมาณแคลลอรีไม่เพียงพอ และมีความโหยจนถึงขั้นต้องไปกินแป้งและน้ำตาลเพิ่มขึ้น และทำให้กลับมาอ้วนก็ได้เหมือนกัน
ตัวอย่างเช่นการศึกษาเมื่อปี พ.ศ. 2540 โดย Rolls, B.J. และ Miller ในหัวข้อ Is Low-fat message giving people a license to eat more? ตีพิมพ์ใน J. Am. Coll. Nutr. 16:535-43 ได้ให้อาสาสมัครซึ่งเป็นผู้หญิงแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ให้กินโยเกิร์ต 2 ชนิด ชนิดหนึ่งที่มีไขมันสมบูรณ์ อีกชนิดหนึ่งมีไขมันต่ำ โดยที่ปิดฉลากไว้ไม่ให้กลุ่มตัวอย่างทราบ
ปรากฏพบว่าผู้ที่กินโยเกิร์ตที่มีไขมันเต็มเมื่อถึงมื้ออาหารกลับกินอาหารน้อยกว่าผู้ที่กินโยเกิร์ตไขมันต่ำ เพราะการมีพลังงานแคลลอรีเพียงพอจากไขมันจะทำให้ชะลอความหิวให้น้อยลงได้ ข้อมูลการบริโภคไขมันชนิดที่ดีให้เพียงพอตรงนี้จึงเป็นเคล็ดลับสำคัญทำให้งดหรือลด แป้งและน้ำตาลได้
ดังนั้นถ้าพูดเรื่องพลังงานในร่างกายแล้วถ้ามีมากเกินไปจนเหลือใช้ก็เกิดการสะสม และวิธีการหนึ่งที่จะใช้พลังงานให้ดีที่สุดก็คือ "การออกกำลังกาย" เป็นประจำ
ในขณะเดียวกัน น้ำมันมะพร้าว เป็นน้ำมันชนิดเดียวที่มีกรดไขมันสายสั้นและปานกลางมากที่สุดในโลก ดังนั้นจึงถูกดูดซึมเร็ว เป็นอาหารให้กับเซลล์ได้เร็ว เป็นพลังงานเพิ่มการเผาผลาญได้เร็วและแทบไม่เหลือตกค้างให้เป็นไขมันสะสม ต่างจากไขมันชนิดอื่นเกือบทั้งหมดที่เป็นกรดไขมันสายยาว
งานวิจัยชิ้นหนึ่งในปี พ.ศ. 2545 โดย St-Onge, M.P., และ Jones จากมหาวิทยาลัย แม็กกิล ประเทศแคนนาดา ได้ศึกษาในหัวข้อ Physiological effects of medium-chain triglycerides: potential agents in the prevention of obesity. ตีพิมพ์ใน J.Nutr.132; 329-332 พบว่าถ้าเพียงแค่เปลี่ยนน้ำมันพืชอย่างอื่นทั้งหมดให้มาเป็น น้ำมันที่เป็นไตรกลีเซอไรด์สายปานกลาง (มีมากที่สุดในน้ำมันมะพร้าว) กินเหมือนเดิม ปริมาณเท่าเดิม แคลลอรีเท่าเดิม โดยไม่ต้องปรับพฤติกรรมการกินจะสามารถลดน้ำหนักได้ถึง 36 ปอนด์ (16.33 กิโลกรัม) ต่อปี
และถ้าจะย้อนกลับไปในงานวิจัยของ ดร.เรย์ พีท นักชีวเคมีแห่งมหาวิทยาลัยโอเรกอน และอาจารย์สอนมหาวิทยาลัยหลายแห่ง ได้เคยอ้างว่าตามบันทึกเหตุการณ์ของเอนไซโคพีเดี ประจำปี พ.ศ. 2489 พบมีรายงานว่าในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ราคาน้ำมันมะพร้าวตกลงและขายไม่ค่อยได้ จากการถูกโจมตีโดยกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันถั่วเหลืองว่าน้ำมันมะพร้าวทำให้อ้วน ปรากฏว่าผู้เลี้ยงหมูในสหรัฐอเมริกาจึงซื้อน้ำมันมะพร้าวมาเลี้ยงหมูเพราะคิดว่าจะทำให้หมูอ้วนขึ้น แต่ปรากฏว่าหมูผอมลงทั้งเล้า
นับตั้งแต่นั้นในวงการปศุสัตว์ไม่เคยมีใครคิดจะใช้น้ำมันมะพร้าวมาเลี้ยงสัตว์ของตัวเองอีกเลย และอาหารยอดนิยมในวงการปศุสัตว์ในยุคปัจจุบันคือถั่วเหลือง ข้าวโพด ที่ส่วนใหญ่ตัดแต่งพันธุกรรม ที่น้ำมันในธัญพืชเหล่านี้ไม่อิ่มตัวทำให้อัตราการเผาผลาญของสัตว์ลดลง กินน้อย ขุนให้อ้วนง่ายทำราคาได้ดี
ความจริงแล้วน้ำมันมะพร้าวมีไขมันประเภทไตรกลีเซอไรด์สายปานกลางมากที่สุด และเป็นไขมันที่มีพลังงานน้อยที่สุดด้วย โดยมีเพียง 8.6 กิโลแคลลอรีต่อกรัม ในขณะที่น้ำมันพืชส่วนใหญ่เป็นไขมันสายยาวให้พลังงานประมาณ 9 กิโลแคลอรีต่อกรัม ด้วยเหตุนี้น้ำมันมะพร้าวจึงไม่ได้เป็นเหตุแห่งความอ้วนเมื่อพิจารณาจากจำนวนแคลลอรีต่อกรัม
และเพราะน้ำมันมะพร้าวเป็นน้ำมันที่มีความอิ่มตัวมากที่สุดในโลก จึงมีความอยู่ตัวและเสถียรในทางเคมีสูง ทำให้ออกซิเจน หรือ ไฮโดรเจน ไม่สามารถเข้ามาทำปฏิกิริยาได้ ผลของการที่ออกซิเจนไม่สามารถเข้ามาทำปฏิกิริยาได้จึงทำให้ไม่เกิดอนุมูลอิสระ และการที่ไฮโดรเจนไม่สามารถเข้าทำปฏิกิริยาได้แม้ว่าจะโดนความร้อนจึงไม่ทำให้เกิดเป็นไขมันทรานส์ และอนุมูลอิสระและไขมันทรานส์นี้เองที่ทำให้การทำงานของร่ายกายต่างๆเสื่อมลง และมีส่วนทำให้เกิดโรคอ้วน ดังนั้นการเลือกบริโภคน้ำมันมะพร้าวก็คือการตัดการบริโภคน้ำมันที่ก่อโรคที่ไม่อิ่มตัวจากธัญพืชชนิดอื่น
น้ำมันมะพร้าวมีองค์ประกอบของไขมันสายโซ่ปานกลางและสั้น จึงถูกดูดซึมเร็ว ย่อยง่าย เผาผลาญเร็วเป็นพลังงานให้แก่ตับได้นานต่อเนื่องกันถึง 24 ชั่วโมง โดยไม่สะสมเหมือนไขมันชนิดอื่น และเมื่อการเผาผลาญสูงขึ้นร่างกายจึงดึงไขมันที่สะสมในร่างกายมาผลิตเป็นพลังงานอีกด้วย
ข้อสำคัญคนจำนวนไม่น้อยมีน้ำหนักมากเพราะมีอุจจาระคั่งค้างในลำไส้มาก เนื่องจากระบบขับถ่ายผิดปกติ แต่เนื่องด้วยน้ำมันมะพร้าวที่เพิ่มอัตราการเผาผลาญให้สูงขึ้น ร่างกายอุ่นขึ้น ได้รับพลังงานมากขึ้น จึงเป็นผลทำให้ลำไส้เคลื่อนตัวได้เร็วขึ้นและเพิ่มประสิทธิภาพในการขับถ่าย ลดอาการท้องผูก จึงเท่ากับเป็นการลดน้ำหนักด้วยการช่วยส่งเสริมการขับของเสียออกจากร่างกายให้เพิ่มมากขึ้น ดังนั้นสำหรับคนที่ดื่มใหม่ที่อาจไม่คุ้นหรือขับถ่ายมากอาจต้องไต่ระดับจากการดื่มทีละน้อยและค่อยๆเพิ่มปริมาณเพิ่มขึ้น
ที่น่าสนใจมากขึ้นไปอีกก็ตรงที่น้ำมันมะพร้าวมีกรดลอลิก (Lauric acid) ซึ่งมีสายโซ่อะตอมคาร์บอนต่อกัน 12 ตัว สูงถึงประมาณกว่า 50% ซึ่งเป็นกรดไขมันชนิดเดียวกันกับน้ำนมแม่ของมนุษย์ (น้ำนมแม่มีกรดลอริกประมาณ 3% -15%) เมื่อดื่มเข้าไปร่างกายจะเปลี่ยนกรดลอริกกลายเป็นกรดโมโนลอริน (Monolaurin) มีความสามารถในการฆ่าเชื้อเฉพาะที่ก่อโรค (ซึ่งเชื้อก่อโรคเหล่านี้จะมีไขมันเป็นเกราะหุ้มอยู่) ซึ่งรวมถึง เชื้อรา ยิสต์ ไวรัส โปรโตซัว กรดโมโนลอรินนี้เองจะไม่ได้ฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ชนิดดีที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย เพราะเชื้อจุลินทรีย์ที่ดีนั้นจะไม่ได้มีไขมันเป็นเกราะหุ้มส่วนใหญ่ เมื่อเชื้อก่อโรคถูกทำลายจะทำให้จุลินทรีย์ชนิดดีเพิ่มจำนวนขยายพื้นที่ในลำไส้และทางเดินอาหารเราได้มากขึ้น ประสิทธิภาพในการย่อยอาหารและการขับถ่ายของเราจะมีมากขึ้น จึงเท่ากับส่งเสริมการทำงานถึง 2 ด้าน ด้านหนึ่งทำให้ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนอาหารให้เป็นพลังงานสูงขึ้น ด้านที่สองทำให้ระบบการขับของเสียดีขึ้น น้ำหนักจึงลดลงและสามารถลดความอ้วนได้
เมื่ออ่านถึงขั้นตอนนี้ คงเหลือประเด็นสุดท้ายอยู่ที่ว่าน้ำมันมะพร้าวจะกลายเป็นสิ่งต้องห้ามสำหรับคนผอมหรือไม่?
จากงานเขียนของ ดร.บรูซ ไฟฟ์ ปรมาจารย์ด้านมะพร้าว ประธานศูนย์วิจัยมะพร้าว มลรัฐโคโรลาโด ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้เขียนหนังสือเรื่อง Virgin Coconut Oil Nature's Miracle Medicine ได้อธิบายความดังนี้ว่า
"ถ้าน้ำมันมะพร้าวช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ แล้วจะสำหรับคนที่แห้งเกินไปล่ะ ถ้ายิ่งทานน้ำมันมะพร้าวจะทำให้น้ำหนักยิ่งลดลงหรือเปล่า คำตอบคือ ไม่ใช่
เนื่องจากน้ำมันมะพร้าวมีผลช่วยปรับสมดุลของร่างกายในสองทาง โดยสำหรับผู้ที่มีนำหนักตัวมากเกินไปจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ ในทางกลับกันผู้ที่มีน้ำหนักตัวน้อยเกินไป น้ำมันมะพร้าวจะช่วยเพิ่มน้ำหนักให้
ผู้ที่มีน้ำหนักตัวยิ่งมากเท่าไหร่จะยิ่งทำให้การลดน้ำหนักได้ผลดีเท่านั้น เมื่อน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติเมื่อเทียบกับความสูงแล้วอันตราการลดน้ำหนักจะค่อยๆน้อยลง บางคนอาจจะกังวลเกี่ยวกับน้ำหนักตนเองมาก จนทำให้เน้นเรื่องการลดน้ำหนักมากเกินไป แต่ความจริงคนๆนั้นอาจจะผอมอยู่แล้ว
คนที่ผอมแห้งเมื่อรับประทานน้ำมันมะพร้าวจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นเพราะร่างกายจะปรับให้มีความสมดุล ดังนั้นในรายที่รับประทานน้ำมันมะพร้าวเพื่อหวังผลให้ตัวเองผอมลงมากๆต่ำผิดปกติ ก็จะไม่สามารถทำได้เช่นกัน"
ณ บ้านพระอาทิตย์
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
ASTVผู้จัดการรายวัน 10 มกราคม 2557