My Community
หมวดหมู่ทั่วไป => ข่าวเกี่ยวกับวงการแพทย์ => ข้อความที่เริ่มโดย: story ที่ 06 ธันวาคม 2011, 23:25:33
-
จิตแพทย์แนะไม่ว่าจะเกิดวิกฤตการณ์อย่างไร "พ่อ" ผู้ที่ทำหน้าที่หัวหน้าครอบครัว ผู้แบกรับการตัดสินใจ การแก้ไขปัญหา การเผชิญหน้ากับอุปสรรคมากมาย จะต้อง ให้ความสำคัญต่อการเป็นตัวอย่างให้กับลูก โดยเฉพาะลูกชายในเรื่องของการวางตัว การมีสติ การตัดสินใจ และการใช้อารมณ์ เพื่อให้ลูกก้าวสู่การเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และเป็น "พ่อ" ที่ดีต่อไปในอนาคต
นายแพทย์โกวิทย์ นพพร จิตแพทย์โรงพยาบาลมนารมย์ กล่าวว่า ประเด็น ในการเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับลูกของพ่อแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่เหมือนกันและเป็นพื้นฐานของการเป็นแบบอย่างที่ดีให้ลูกก็คือ เรื่องของการครองและบริหารชีวิต ซึ่งการครองชีวิตที่ดีเหมาะสม จะนำพาชีวิตเราไปสู่ความสำเร็จ ทั้งนี้ พ่อควรเป็นแบบอย่างของคนที่ประพฤติดี มี ศีลธรรม จริยธรรม ขยันหมั่นเพียร มีความอดทน มีความสามารถในการฟันฝ่าอุปสรรค และแก้ไขปัญหาต่างๆ ในชีวิตไปได้ รวมถึง การตัดสินใจที่ดีในยามวิกฤติและการยืนหยัด อยู่ได้ในทุกสถานการณ์
"เมื่อเราเป็นคนดี มีศีลธรรม ก็จะสามารถอดทน อดกลั้น ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ ในยามวิกฤติได้ ในขณะที่ความขยันหมั่นเพียร มีสัมมาอาชีวะ ก็จะสามารถสร้างสิ่งที่ดีๆ ส่งต่อไปยังอนุชนรุ่นหลังได้ ซึ่งต้องพึงระลึก ว่าการสอนให้ลูกเป็นอย่างที่ตัวเองเป็นนั้น ก็คือการทำตัวให้เป็นแบบอย่างที่ดีควบคู่ไปกับการสอนสิ่งที่ถูกต้องให้แก่ลูกด้วย"
สำหรับการกระทำให้เป็นแบบอย่างที่ดี แม้จะต้องเจอวิกฤติน้ำท่วมหรือภัยพิบัติที่ถาโถมเข้ามาในช่วงท้ายปี 2554 และอาจจะ ต่อเนื่องยาวไปจนถึงปี 2555 นั้น นพ.โกวิทย์ แนะว่าผู้ที่ทำหน้าที่พ่อควรใช้ช่วงวิกฤตินี้ถ่ายทอดแบบอย่างที่พึงประสงค์ เพื่อให้ลูกสามารถเติบโตและฝ่าวิกฤติไปได้เมื่อโตขึ้น โดยมีหัวใจที่สำคัญ 3 ประการคือ
การรู้จักตั้งสติที่ดีไม่ตื่นตระหนกเกินไป เช่น เวลาที่เกิดปัญหา พ่อต้องแสดงให้ลูกเห็นว่าจะต้องมีสติ ไม่ตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูก มีความอดทนอดกลั้นต่อสภาวะที่ประสบอยู่ แม้ว่าน้ำท่วมจะทำให้เราเดือดเนื้อร้อนใจ แต่ถ้าเราไม่อดทน มัวแต่ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก เราก็จะแก้ปัญหาแบบไร้ทิศทาง ฉะนั้นการที่เรามีความสุขุม จะทำ ให้เราค่อยๆ แก้ไขปัญหาได้
การมีจริยธรรม มีการตัดสินใจแก้ปัญหาที่ดี ด้วยพฤติกรรมที่เหมาะสม เช่น ถ้าเราเป็นคนที่มีความมานะอุตสาหะ เราก็จะไม่ได้เป็นคนที่นั่งรอคอยความช่วยเหลือแล้วก็โวยวายไปว่าทำไมไม่มีใครมาช่วย เมื่อมีคนมาช่วยเหลือแล้ว ก็เผื่อแผ่แบ่งปัน เจือจานให้คนข้างหลัง ได้รับการช่วยเหลืออย่างทั่วถึง ความคิดที่ว่าฉันเดือดร้อนแล้ว แต่เธอยังสบายอยู่หรือเดือดร้อนน้อยกว่า ฉันไม่ยอม ฉันต้องทำให้เธอเดือดร้อนลำบากด้วย ไม่ใช่โมเดลที่ดีที่จะแสดงให้ลูกได้เห็น และไม่ควรไปแสดงให้ใครเห็น
ประการสุดท้าย คือ การไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา เพราะการใช้ความรุนแรง ไม่ได้ทำให้สิ่งที่ตัวเองประสบอยู่นั้นทุเลาเบาบางลงไป ควรใช้สติปัญญาในการตัดสินและแก้ไขปัญหา ซึ่งน่าจะเป็นต้นแบบ ที่ดีให้กับลูก และเมื่อเขาเรียนรู้จากพ่อ-แม่ ในอนาคตเมื่อเขาพบปัญหาลักษณะเดียวกัน เขาจะได้ยึดหลักการตัดสินใจและแก้ไขปัญหาตามแบบพ่อ-แม่
นพ.โกวิทย์ ยังแนะนำหลักปฏิบัติสำคัญพื้นฐานสำหรับการเลี้ยงดูลูก เพื่อให้ลูกได้ซึมซับและเป็นแบบอย่างของการเป็นพ่อ ที่ดีในอนาคต คือ การที่พ่อจะต้องมีอารมณ์ที่มั่นคง คงเส้นคงวา อย่าเป็นพ่อที่อารมณ์เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เพราะจะทำให้ลูกงงว่าทำไม ทำแบบเดียวกัน แต่เดี๋ยวพ่อก็ดุด่า บางทีก็เฉยๆ ไม่สนใจ และบางทีก็ยิ้ม และยิ่งถ้าพ่อควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้แล้วใช้ความรุนแรง เช่น ถ้าทำผิดอย่างเดียวกัน วันนี้พ่อตีเสียตัวลาย อีกวันพ่อทำเป็นมองไม่เห็น อีกวัน ก็กลับชมเสียอีก เด็กก็จะสับสน ในแง่หนึ่งคือเด็กเรียนรู้ ว่าตกลงจะเอายังไง ในวันที่พ่อ ทำโทษแรงๆ เด็กก็จะมองว่าพ่อไม่รัก เรื่องนี้มีผลกระทบกับลูกมาก เด็กจะไม่รู้ว่าอะไรคือสิ่งที่ควรทำ อะไรไม่ควรทำ ที่สำคัญอารมณ์ที่ไม่คงเส้นคงวาอาจทำให้ลูกไม่ค่อยกล้าเข้าหาพ่อเ พราะไม่แน่ใจว่าวันนี้เข้าหาพ่อแล้วพ่อจะดีหรือร้าย และผู้เป็นพ่อจะต้องลดความคาดหวังที่มีต่อลูกลงบ้าง ว่าลูกของเรานี่จะต้องเก่ง จะต้องเป็นคนโดดเด่นกว่าเพื่อนในโรงเรียน ลดการแข่งขันลง เพื่อที่ว่าเด็กจะได้มีชีวิตอยู่อย่างมีความสุขมากกว่า
"เท่าที่เห็นในสังคมทุกวันนี้ พ่อ-แม่ค่อนข้างจะคาดหวังจากลูกมาก คาดหวังว่าจะเรียนรู้เยอะ เข้าโรงเรียนดีๆ แข่งขันกับเพื่อนได้ ฉะนั้น พ่อแม่ก็เลยพยายามยัดเยียด สิ่งต่างๆ ที่คิดว่าดีให้ลูก เน้นเรื่องการให้ การศึกษา พ่อแม่ทั้งหลายก็เน้นผลักดันให้ลูกได้รับการศึกษามากๆ ให้ลูกเป็นคนที่โดดเด่นกว่าคนอื่น อาจจะไม่ได้มองที่ว่า มันเหมาะสมกับลูกตัวเองแค่ไหน พยายามผลักดันให้ลูกทำอย่างเดียวก็คือ เรียนหนังสือ รวมถึงเรียนนอกเวลา เรียนพิเศษอย่างอื่น ทั้งเรียนดนตรี กีฬา ศิลปะ ทำให้เด็กไม่ได้ถูกฝึกให้มีความรับผิดชอบในชีวิตประจำวันด้านอื่นๆ หลายรายติดสินบนลูก ด้วยของเล่นหรือด้วยรางวัลอย่างอื่น ซึ่งบางที มันก็ไม่เหมาะกับอายุเด็ก และอาจทำให้เด็กกลายเป็นคนที่ติดวัตถุมากกว่าทางด้านจิตใจ สุดท้ายก็ส่งผลเสียกลับมา และเมื่อเขาโตขึ้น เขาจะไม่สามารถเป็นโมเดลที่ดีให้กับคนรุ่นต่อไป กลายเป็นว่าได้เรียนรู้สิ่งผิดๆ และทำสิ่งผิดๆ ตามแบบที่ซึมซับมาอีก"
สำหรับ "พ่อ" ซึ่งกำลังมีความวิตก กังวล ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ หรือมีความเครียดจากวิกฤติน้ำท่วม หากต้องการคำปรึกษาจากนักจิตวิทยาและจิตแพทย์ สามารถ ใช้บริการสายด่วน "มนารมย์ร่วมใจช่วย ผู้ประสบภัยน้ำท่วม" ที่ 02-7259555 ได้ทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.00-18.00 น. หรือ ศึกษาข้อมูลการสร้างสุขภาพจิตที่ดี รวมถึง ทำแบบทดสอบประเมินความเครียดด้วยตัวเองที่ www.manarom.com
แนวหน้า 6 ธันวาคม 2554