ตอบคำถามคุณ กาแฟดำ
พญ.เชิดชู อริยศรีวัฒนา
ประธานเครือข่ายคุ้มครองการบริการสาธารณสุข(คบส.)
สืบเนื่องจากบทความของ กาแฟดำในกรุงเทพธุรกิจ เรื่อง หมออย่าทะเลาะกัน คนไข้จะเป็นลม ได้ทิ้งคำถามไว้ว่า ควรจะตอบคำถาม 3 ประเด็นนี้ คือ
1. กฎหมายนี้จะทำให้มีการฟ้องร้องแพทย์และบุคลากรสาธารณสุขมากขึ้นจริงหรือไม่?
2. รัฐและคนไข้ทั่วไปจะเสียหายให้กับคนไข้ที่ ฉวยโอกาส จากกฎหมายใหม่นี้หรือไม่อย่างไร?
3. คนไข้โดยเฉพาะที่ใกล้ตายจะพากันแห่เข้าโรงพยาบาลเพื่อหาประโยชน์จากกฎหมายฉบ ับนี้ จนทำให้โรงพยาบาลต้องรับภาระหนักหน่วงขึ้น และคนไข้ที่จำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาลจะประสบปัญหา เพราะหาเตียงนอนในโรงพยาบาลยากลำบากมากขึ้นหรือไม่?
คำตอบจากประธานเครือข่ายคบส.
1. กฎหมายนี้จะทำให้การร้องขอเงินค่าช่วยเหลือจากกองทุนมากขึ้นแน่นอนดังนี้
1.1 ไปร้องเรียนที่คณะกรรมการ เวลาร้องก็ต้องกล่าวหาว่าใครทำให้เสียหาย ส่วนแพทย์และโรงพยาบาลก็ต้องเขียนรายงานส่งคณะกรรมการ หรืออาจต้องถูกเรียกไปให้ปากคำกับคณะกรรมการ หลังจากนั้น คณะกรรมการก็จะต้องตัดสินว่า จะให้เงินค่าช่วยเหลือและค่าชดเชยหรือไม่ ถ้าให้ จะให้เท่าไร และประชาชนที่ร้องขอเงินพอใจกับจำนวนเงินที่คณะกรรมการจะจ่ายหรือไม่ ถ้าพอใจก็รับไป
1.2 แต่ถ้าประชาชนยังได้เงินไม่มากพอตามใจที่อยากได้ ก็มีสิทธิ์ไปร้องอุทธรณ์เพื่อขอเงินเพิ่มไปยังคณะกรรมการได้อีก ถ้าคิดว่าคณะกรรมการอุทธรณ์เพิ่มให้จนพอใจแล้ว ก็รับเงินก้อนนั้นไป
1.3 ถ้าจำนวนเงินที่ได้นั้นยังไม่พอใจ ก็จะไปฟ้องศาลแพ่งได้อีก และถ้าชนะคดี ได้เงินมากกว่าที่คณะกรรมการให้ ก็เป็นอันยุติ หรือถ้ายังไม่ชนะคดี ก็อาจไปฟ้องกันจนถึงศาลฎีกา แต่ถ้ายังไม่ชนะคดี ก็ยังมีสิทธิ์กลับไปขอเงินจำนวนที่คณะกรรมการตัดสินให้ได้อีก
1.4 ถ้าฟ้องคดีชนะแล้ว ได้เงินแล้ว แต่ยังอาฆาตเคียดแค้นหมอไม่เลิกก็ยังมีสิทธิไปฟ้องศาลอาญาได้จนถึงขั้นฎีกา เพื่อเอาโทษอาญากับหมอให้ได้
1.5 ส่วนหมอนั้น ถ้าไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของคณะกรรมการ ก็ต้องไปฟ้องศาลปกครองชั้นต้น และศาลปกครอสูงสุดตามลำดับ เพื่อขอให้เพิกถอนคำสั่งของคณะกรรมการ
1.6 เนื่องจากมาตรา 6 บอกว่า จะจ่ายเงินได้ ต้องรู้ว่าแพทย์ไม่รักษาผู้ป่วยตามมาตรฐาน แต่กรรมการไม่มีความรู้ทางการแพทย์ เท่ากับว่าแพทย์ถูกเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรม
1.7 เมื่อแพทย์ถูกกล่าวหาว่ารักษาผู้ป่วยไม่ได้มาตรฐาน แพทย์ก็จะต้องถูกสอบสวนเพิ่มขึ้นอีกจากแพทยสภา ซึ่งมีหน้าที่ควบคุมการประพฤติของแพทย์ให้มีจริยธรรมวิชาชีพ ซึ่งหมายความรวมถึงการประกอบวิชาชีพให้ได้มาตรฐานด้วย
1.8 ฉะนั้น โดยสรุปแล้ว ขอให้คุณสทธิชัย หยุ่น คิดเองก็แล้วกันว่า กฎหมายนี้จะทำให้การร้องเรียน/ฟ้องร้องลดลงหรือไม่
2.รัฐและคนไข้ทั่วไปจะเสียหายให้กับคนไข้ที่ ฉวยโอกาส จากกฎหมายใหม่นี้หรือไม่อย่างไร?
ตอบ
2.1 คนไข้ที่ใกล้ตาย ญาติอาจรีบนำไปโรงพยาบาล ให้ไปตายในโรงพยาบาล เพื่อร้องขอเงินช่วยเหลือ โดยไม่ต้องพิสูจน์ถูก/ผิด
2.2 รัฐบาลต้องหาเงินมาจ่ายให้โรงพยาบาลของรัฐมากขึ้น ไม่เช่นนั้น โรงพยาบาลของรัฐต้องล้มละลายแน่นอน เพราะมีผู้ป่วยตายในโรงพยาบาลปีละหลายแสนคน
2.3 โรงพยาบาลของรัฐบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุขปัจจุบันนี้ ก็ขาดดุลและขาดสภาพคล่องทางการเงินอยู่แล้ว505 โรงพยาบาลจากประมาณ 870โรงพยาบาล ฉะนั้น ถ้าต้องส่งเงินเข้ากองทุนนี้ปีละประมาณ 2,000 ล้านบาท (จากการประมาณการของสวรส.) โรงพยาบาลก็คงต้องขาดเงินในการจัดซื้อยา เวชภัณฑ์ต่างๆ (ผ้าปิดแผล อุปกรณ์ห้ามเลือด เฝือก สายสวน มีด กรรไกร เข็มฉีดยา เครื่องมือผ่าตัด ฯลฯ) รวมทั้งเตียง เครื่องมือแพทย์ต่างๆ ไว้คอยดูแลผู้ป่วย ทั้งวัสดุคงทนและวัสดุสิ้นเปลือง ต้องขาดแคลนอย่างแน่นอน
ถาม 3. คนไข้โดยเฉพาะที่ใกล้ตายจะพากันแห่เข้าโรงพยาบาลเพื่อหาประโยชน์จากกฎหมายฉ บ บนี้ จนทำให้โรงพยาบาลต้องรับภาระหนักหน่วงขึ้น และคนไข้ที่จำเป็นต้องอยู่ในโรงพยาบาลจะประสบปัญหา เพราะหาเตียงนอนในโรงพยาบาลยากลำบากมากขึ้นหรือไม่?
ตอบ ตามปกติแล้ว ในปัจจุบันนี้ โรงพยาบาลต่างๆ
โดยเฉพาะรพศ/รพท. หรือโรงพยาบาลประจำจังหวัดนั้นต่างก็ไม่มีเตียงเพียงพอที่จะรับผู้ป่วยทุกคน อยู่แล้ว ผู้ป่วยและญาติจะทราบดี เพราะประสบกับปัญหาเตียงเต็ม ต้องเอาผู้ป่วยใส่รถตระเวนไปเรื่อยๆจน กว่าจะได้เตียง บางที่ก็ต้องหาเตียงเสริมมานอนตามระเบียงบ้าง หน้าห้องส้วมบ้าง หน้าบันไดบ้าง เพราะฉะนั้น ถ้ามีพ.ร.บ.นี้ขึ้นมาจริงๆ ประชาชนอาจจะต้องนอนกับพื้น เหมือนโรงพยาบาลสนามยามศึกสงคราม และอาจต้องรับสมัครประชาชน มาเป็นแพทย์สนามแบบเสนารักษ์ หรือเป็นนางพยาบาลอาสาสมัคร เพื่อช่วยกันดูแลรักษาพยาบาลผู้ป่วยหรือญาติของตนกันเอาเอง
ส่วนที่ กาแฟดำไม่ได้ถามในบทความนี้ ประธานคบส.(เครือข่ายคุ้มครองการบริการสาธารณสุข) ขอบอกก็คือ ผู้อยู่เบื้องหลังการเขียนและผลักดันกฎหมายนี้ เขียนล็อกสเป็คเอาไว้ในมาตรา 50 บทเฉพาะกาล มีสิทธิมานั่งบริหารกองทุน เอาเงินของประชาชน มาเป็นเบี้ยเลี้ยง เบี้ยประชุม และผลประโยชน์แอบแฝงอื่นๆอีกมากมาย
ส่วนใครจะอยู่เบื้องหลังบ้าง หวังว่า "กาแฟดำ" ผู้เฝ้าข่าวสารบ้านเมืองทั่วโลกมาตลอดเวลา คงจะพอรู้ตัวคนเหล่านี้อยู่แล้วนะคะ
ถ้ายังไม่รู้ก็ถามมาได้นะคะ ยินดีจะตอบทุกคำถาม